คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด -1-
บทที่ 1 คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด
ผมรู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง
เมื่อได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อรู้ตัวอีกทีเลือดกำเดาของผมก็พุ่งออกมาเหมือนท่อประปาแตก
ชื่อของผมก็คือ
ชิน หรือ ชื่อจริงก็คือ ชินรัตน์ นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนสาธิตประจำจังหวัด
ผมเป็นเพียงนักเรียนธรรมดาๆ
ที่เพียงแค่มีโรคประจำตัวที่ประหลาดเล็กน้อย
อาการคือเวลาเข้าใกล้เรื่องราวที่เกี่ยวกับ
เวทย์มนตร์ มนุษย์ต่างดาว หุ่นยนต์ เรื่องผี หรือแม้แต่พวกความเชื่อทางศาสนาที่พิสูจน์ไม่ได้ผมจะมีอาการ
เพ้อเจอ จะมีอาการมึนหัว คลื่นไส้ และเลือดกำเดาพุ่ง
พูดโดยสรุปเลย
คือผมเป็นโรคแพ้เรื่องเพ้อเจ้อ
หมอบอกว่าโรคนี้ไม่ได้เกิดจากไวรัสพิเศษจากภายนอก
แต่เป็นอาการโฟเบียอย่างอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากกลไกทางจิตของผมเอง อาการทั่วไปคือทำให้ความดันขึ้นสูงผิดปรกติ
จนเลือดกำเดาไหล ดูอาการไม่ร้ายแรงนัก แต่ถ้าเป็นต่อเนื่องบ่อยๆอาจจะได้แจ็คพ็อตเป็นโรคหัวใจ
หรือเส้นเลือดในสมองแตกตามมาได้เหมือนกัน
หมอที่ดูน่าจะมีอายุไม่ถึง30ปีตั้งชื่อเล่นให้อาการนี้ว่า
“แอนตี้จูนิเบียวซินโดรม” ด้วยท่าทางเหมือนพยายามจะเล่นมุขให้ผมรู้สึกดีขึ้น
แต่มันไม่ตลก
ไม่ตลกเลยสักนิด
ลองคิดว่าคุณต้องใช้ชีวิตโดยที่ต้องพยายามหลบภาพการ์ตูนที่ติดอยู่ตามร้านหนังสือ
ต้องพยายามหลบภาพคอสเพลย์ที่แชร์กันมาในเฟสบุ๊ค พยายามไม่ให้เจอข่าวบูชาจอมปลวกในหนังสือพิมพ์
หมอคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากบาดแผลทางจิตใจบางอย่างของผม
ซึ่งถ้าปล่อยให้เวลามาเยียวยาอาการน่าจะทุเลาลง
แต่นับจากที่ผมเริ่มมีอาการก็ผ่านมาปีเศษแล้วอาการก็ยังไม่ทุเลาลงเลยสักนิดเดียว
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับมันด้วยวิธีการเผชิญหน้ากับสาเหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น
ซึ่งก็คือสมุดสีดำที่อยู่ในมือของผมตอนนี้
สมุดปกสีดำสนิท
เขียนรูปดาวหกแฉก และเขียนชื่อ “คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด”ด้วยเส้นสีขาวอย่างสวยงาม
หนังสือที่บันทึกเรื่องราวของเทวดาตกสวรรค์ลูซิเฟอร์เอาไว้
และนี่ไม่ใช่หนังสือของลัทธิประหลาด
หรืองานของนักเขียนสติหลุดที่ไหนหรอก
ผมนี่ล่ะเป็นคนเขียนมันเอง...
ผมสั่งซื้อสมุดปกสีดำจากอินเตอร์เน็ต
เขียนปกด้วยน้ำยาลบคำผิด แล้วค่อยๆเขียนตัวหนังสือข้างในด้วยปากกาคอแร้งแบบต้องจุ่มหมึกสีดำในขวดก่อนเขียน
หรือถ้าพูดให้ถูกต้องบอกว่า
“ตัวผมสมัยมัธยมต้นเป็นคนเขียน”
พอคิดถึงตรงนี้
ผมก็รู้สึกว่าเลือดกำเดากำลังจะพุ่งออกมา จนต้องเอามือบีบจมูกไว้
สิ่งที่อยู่ในหนังสือนั้นมีพลังร้ายกาจมากจนพูดอะไรไม่ออก
เต็มไปด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อราวกับหลุดมาจากนิยายแฟนตาซีเรื่องไหนสักเรื่อง แถมเนื้อหายังโคตรเน่า
หนักกว่าละครช่องมากสีด้วยซ้ำ
แถมข้างในสมุดนั้นยังเต็มไปด้วยภาพวาดฝีมือหวัดๆ
ห่วยๆ ของตัวละครในเรื่อง พร้อมเขียนกำกับพวกความสามารถพิเศษ อาวุธ ลักษณะนิสัย และตัวเลขค่าพลังเอาไว้อีกต่างหาก
ให้ตายสิ
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกคันไปทั่วตัว ให้ใครมาอ่านก็รู้สึกได้เลยว่าคนเขียนสมุดเล่มนี้น่ะเพ้อเจ้ออย่างรุนแรงจนเรียกว่า
บ้าไปเลยก็ได้ด้วยซ้ำ
เออ
แต่ไอ้คนที่เขียนสมุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวผมนี่่ล่ะ...
เพราะสมุดเล่มนี้ทำให้ผมต้องมีชีวิตที่แสนเศร้า
มันคือสาเหตุของโรคที่ผมเป็นอยู่
ช่วง
ม.1 ม.2 ตอนที่ผมเขียนมันขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองที่เป็นจอมมารนั้นโคตรเท่ คิดว่าการใส่เครื่องประดับเหล็กๆ
ผ้าคลุมแปลกๆ กับการวาดลวดลายเวทยมนตร์ใส่สิ่งของต่างๆมันสุดยอด คิดว่าตัวเองเป็นที่ไม่สนใจสังคมนี้โคตรเท่
แต่แล้ววันนึง
จู่ๆผมก็ได้สติ ว่านั่นมันบ้าชัดๆ
แต่ไม่ทันแล้วเพื่อนๆทุกคน
เรียกผมว่า “จอมมาร” และหัวเราะ เวลานั้นผมไม่อาจพูดว่า “ฮึ เจ้าพวกคนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของโลกกำลังจะมาถึงแล้ว”
และไม่สนใจเสียงหัวเราะของทุกคนได้อีกต่อไป
ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเป็นโรคแอนตี้จูนิเบียวซินโดรม
ทุกครั้งที่เพื่อนเรียกผมว่า
“จอมมาร” ผมจะเลือดกำเดาพุ่ง ฉายาของผมเลยเปลี่ยนเป็น “จอมมารสีเลือด”แทน ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไปโรงเรียนไม่ได้อีกเลย
สุดท้าย
ผมจึงต้องย้ายโรงเรียน
ผมใช้เวลาทั้งปีที่ไปโรงเรียนไม่ได้
อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน จนสอบเข้า ม.4 ของโรงเรียนสาธิตได้
ที่นี่ไม่มีคนจากโรงเรียนเก่าของผม
แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงว่าจะกลับไปเป็น “จอมมารสีเลือดอีก
ผมกังวลว่าจะเลือดกำเดาพุ่งต่อหน้าเพื่อนๆในชั้นเรียนจึงต้องหลบเลี่ยงเพื่อนๆที่อาจจะคุยเรื่องละคร
เรื่องเพ้อ เจ้อ หรือการ์ตูน จนถูกมองว่าเป็นคนจริงจังเข้าถึงยากในที่สุด
ต้องหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องความฝันทั้งหลายของพวกนักกีฬา
จึงเข้าทีมเล่นกีฬากับเพื่อนๆไม่ได้ ทั้งๆที่แอบซุ่มฝึกชูตสามแต้มไว้จนโอกาสลงแป้นสูงกว่า
80% แท้ๆ
เพราะเหตุนี้ถึงจะใช้ชีวิต
ม.4 มาได้หลายเดือนแล้ว มันก็ยังไม่สดใสเท่าไหร่
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสมุดเล่มนี้เล่มเดียว
ตอนที่ผมเริ่มมีอาการ
แม้แต่คิดถึงการดำรงอยู่ของหนังสือเล่มนี้ผมก็จะทนไม่ไหวแล้ว แต่วันนี้ หลังจากผ่านการฝึกอันยาวนาน
ในที่สุดผมก็สามารถจับมันด้วยมือเปล่าได้สักที
ดังนั้นวันนี้ผมจะต้องกำจัดสมุดเล่มนี้โดยเร็วที่สุด
เพราะเหตุนี้ผมจึงมายืนอยู่ที่นี่
ในเวลานี้
หน้าเตาเผาขยะหลังโรงเรียน
ในยามเย็นที่ไร้ผู้คน พร้อมกับถังขยะในห้อง 4/2 ที่อุตส่าห์อาสายกมาทิ้งทั้งๆที่ไม่ใช่เวรเพื่อความเนียนในภารกิจ
เพียงแค่
ทิ้งมันลงไปพร้อมกับขยะอื่นๆ สมุดแห่งความอับอายเล่มนี้ก็จะมอดไหม้และจากไปตลอดกาล
ผมเตรียมบอกลาสมุดสีดำในมือ
เวลานั้นเองความทรงจำอันหวานชื่นของวัยเยาว์ก็ย้อนกลับมา ทั้งตอนวิ่งไปทั่วเมืองเพื่อหาสมุดสีดำและจบลงที่อินเตอร์เน็ต
ทั้งการเก็บเงินซื้อปากกาคอแร้ง ทั้งตอนที่ท่องคาถาที่คิดขึ้นและโพสท่าอยู่หน้ากระจก
ถึงจะเป็นความหลังอันน่าเจ็บพวก
เมื่อคิดว่าจะต้องจากมันไปแล้ว ก็เกิดเศร้าขึ้นมานิดๆเหมือนกัน
ผมเตรียมที่จะหย่อนสมุดลงไปในเตา
น้ำตาชื้นขึ้นมาที่ขนตา... ไม่สิ เป็นเพราะแสงยามเย็นมันแสบตาต่างหาก
ทว่าเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งกลับรบกวนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียก่อน
“ชิน?”
ผมหันกลับไปด้วยความตกใจ
ที่อยู่ตรงนั้น
เป็นเด็กสาวผู้มีผมสีดำซอยสั้นประบ่า ดวงตาของเธอเป็นสีดำสนิท ขนตายาว รูปร่างของเธอค่อนข้างเตี้ยไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของหญิงไทย
เธอสวมชุดนักเรียนหญิงซึ่งทำให้เธอดูบอบบางขึ้นอีก
ไอ...
ไอรยา
ทำไมต้องเป็นคนที่ไม่อยากให้เห็นที่สุดในตอนนี้ด้วยว้า
โลกนี้ถูกควบคุมด้วยท่านเทพเจ้าเมอฟี่หรือไง
ขอแนะนำ
ยัยนี่คือ ไอรยา
เขียนว่า
“ไอรยา” อ่านว่า ไอ-ระ-ยา เรียกสั้นๆว่าไอ ดูเหมือนตอนแรกที่บ้านจะตั้งชื่อตามช้างของพระอินทร์
แต่นายทะเบียนพิมพ์ชื่อสลับระหว่างตัว ร กับ ย เลยออกมาเป็น ไอรยา ตอนได้ยินครั้งแรกผมยังคิดเลยว่าที่มันเท่สองชั้น
เท่โคตรๆ
ที่บอกว่า
“เพื่อนสมัยเด็ก” หมายความว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้วนั่นเอง
ไอรยา
เป็นลูกครึ่งไทย–สวิตเซอร์แลนด์ ที่ย้ายมาอาศัยอยู่ข้างบ้านของผมตอนสมัยประถม พ่อของไอรยาเป็นฝรั่งแต่ดันตัวเตี้ยแถมยังบ้าๆบอๆ
ส่วนแม่ค่อนข้างจะเป็นคนจริงจัง ทั้งคู่เป็นอาจารย์สายวิศวกรรมในมหาวิทยาลัย
สมัยประถมผมกับเธอเคยสนิทกัน
จนกระทั่ง ม.ต้น ไอรยาเรียนที่โรงเรียนสาธิต แต่ผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลธรรมดา เมื่อเรียนคนละโรงเรียนเลยห่างเหินกันไป
ก็เด็กผู้ชาย ม.ต้น ถ้าจะให้ไปเล่นกับเด็กผู้หญิงข้างบ้านตลอดมันไม่เท่ใช่มั้ยล่ะ...
แล้วพอ ม.ปลาย ถึงผมจะย้ายไปเรียนที่เดียวกับไอรยาแต่ก็กลับไปคุยด้วยไม่ได้ง่ายๆซะแล้ว
พอโตขึ้นแล้วไอรยาหน้าตาหน้ากลัวมาก
ถึงจะตัวเตี้ยแต่ก็ปล่อยแรงกดดันออกมาตลอด เธอทำหน้าเหมือนอารมณ์เสียเงียบๆ และยังปล่อยออร่าเย็นเยียบที่ไม่ชวนให้เข้าใกล้ออกมาตลอดเวลา
ผมเคยทักไอรยาตอนที่เจอแถวป้ายรถเมล์ตอนเช้า
แต่กลับถูกเมิน ด้วยความเจ็บช้ำในครั้งนั้นผมจึงไม่กล้าทักเธออีกเลย
โดยสรุปตอนนี้พวกเราสองคนก็เป็นแค่คนแปลกหน้ากันไปแล้ว
แต่อย่างนั้นคนที่ไม่อยากให้เห็น
“คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด” มากที่สุดก็ยังเป็นไอรยาอยู่ดี
“ป...
เปล่า...” ผมรีบซ่อนสมุดสีดำใส่ในเสื้อด้านหลัง ถ้ามีใครรู้ว่าผมเป็นเจ้าของสมุดเล่มนี้
เลือดกำเดาของผมจะต้องพุ่งแน่ๆ “ขยะทุกวันนี้มันมากขึ้นจริงๆเนาะ โลกต้องร้อนขึ้นแน่ๆ
เลยเนอะ... แย่จังเนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอรยาเอียงคอ
และหรี่ตามองด้วยสายตาราวกับจะสอบสวน ส่วนผมได้แต่หัวเราะเหมือนคนบ้า
“เธอมาทำอะไรล่ะนี่”
“มาทำเวรตอนเย็น”
ไอรยาวางตะกร้าใส่ขยะประจำห้อง 4/1ลง น้ำเสียงของเธอดูไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคย สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนจากเดิมสักนิด
เรื่องนี้เป็นเอกลักษณ์ของเธอเลยล่ะ
“ก็...
ก็แค่แปลกใจนิดหน่อยที่เจอเธอตรงนี้น่ะ”
“เหรอ?
แล้วนายล่ะ”
“ก็มาทิ้งทำเวรขยะน่ะสิ
คิดว่าฉันมาปิกนิกหน้าที่ทิ้งขยะหรือไง”
ไอเอียงคอเล็กน้อย
“เวรของนายมันอาทิตย์หน้านี่”
แล้วเธอรู้ตารางเวรห้อง
4/2 ฉันได้ไงฟะ! ผมคิดในใจแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป กระทั่งมองเห็นว่า ไอรยา กำลังสนใจบางอย่างอยู่
“นี่
ชิน”
“หืม?
อะไรล่ะ”
“สมุดสีดำนี่ของนายหรือเปล่า”
“หา?”
ผมหันควับไปตามเสียงที่ไอรยาบอกและได้พบว่า
เจ้าสมุดสีดำเจ้ากรรมดันร่วงตกจากแผ่นหลังไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมไอรยากำลังจะเก็บมันขึ้นมาอีกต่างหาก
เมื่อคิดแบบนั้น
ผมก็กระโจนไปคว้ามันเอาไว้ในทันทีทำให้ไอรยาถึงกับงงขึ้นมาไม่ใช่น้อย เธอเอียงคอด้วยท่าทางสงสัย
“มะ
มะ มะ ไม่มีอะไรสักหน่อย สมุดนี้ของฉันเองแหละ”
“อื้อ
รู้แล้ว ก็เลยจะเก็บให้ไง” เธอบอก
“ไม่ต้อง
ไม่เลย ไม่หรอก ไอ ของของฉัน ฉันเก็บเองได้”
ไอเอียงคอเล็กน้อย
รู้สึกว่าท่าทางของผมนั้นยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปกันใหญ่
“แปลก”
ขุดหลุมฝังตัวเองซะงั้น
“ไม่มี
ไม่มี ไม่มี ไม่มีอะไรหรอกน่า”
“ตานายลอกแล่กชอบกลนะ”
“ไม่มีอะไรจริงๆนา
ก็แค่สมุดจดวิชาเรียนเท่านั้นเองน่า”
“สมุดจดวิชาเรียน?”
“ใช่ๆ
สมุดจดวิชาเรียนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เธอต้องมาสนใจหรอกนะ”
“เหรอ
สัญลักษณ์ที่ปกนี้น่าสนใจดีนะ”
“อ่อ...
มันเป็นสมุดของวิชาคณิตบทตรีโกณมิติน่ะ เลยมีรูปพวกเรขาคณิตไง”
“เหรอ”
“ใช่
ใช่ ใช่ เพราะงั้นไอกลับไปก่อนเถอะนะ” ผมบอกพร้อมกับยกถังขยะห้อง 4/1 ของไอเทลงไปในเตาแล้วยื่นถังเปล่าให้
เป็นการไล่กลายๆ
ถึงจะยังมีสายตาสงสัยแต่ไอไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากหยิบถังขยะ
แล้วเดินจากไป
ผมถอนหายใจ
ในที่สุดตอนนี้ก็มีแค่ผมที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเพียงลำพังอีกครั้ง
เกือบไปแล้วไหมล่ะ
ผมบ่นกับตัวเอง
เกือบพลาดให้คนอื่นเห็นแล้วไหมล่ะ แถมยังเป็นไอ เอาว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ไอเห็นไม่ได้ก็แล้วกัน...
ถ้าไอเห็นข้างในนั้นล่ะเป็นเรื่องใหญ่กว่ามีคนสะแกนมันไปปล่อยลงเน็ตซะอีก
เพราะเหตุนี้ก็ขอบอกลาสมุดเล่มนี้ตอนนี้เลยก็แล้วกัน
พอคิดได้แบบนี้ผมก็ยืนมือข้างที่ถือสมุดไปยังเตาเผาซึ่งกำลังส่งความร้อนหลายร้อยองศาอย่างน่าเกรงขามออกมา
อะไรก็ตามที่ตกลงไปในเตาเผานี้ต้องไม่เหลือซากอย่างแน่นอน
“ลาก่อน...”
ผมบอกลาสมุดเป็นครั้งสุดท้าย
และขณะที่ผมกำลังจะโยนสมุดลงไปในเตาไฟนั้นเอง
จู่ๆ
เตาเผาขยะก็เกิดระเบิดขึ้น...
ครับ...
ระเบิด
ตูม!!
พลังของมันรุนแรงมากจนทำให้ร่างของผมปลิวกระเด็นลอยไปกระแทกกับพื้นเต็มแรง
ความรู้สึกแรกคือตกใจ
ผมสับสน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมีสติผมก็พบว่า
บริเวณโดยรอบตัวของผมนั้นมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น
ท้องฟ้ายามเย็นถูกย้อมด้วยสีแดงฉานประดุจโลหิต
ดวงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้าถูกกลืนด้วยสีดำทะมึนจนอับแสง บรรยากาศรอบตัวอึมครึมจนชวนอึดอัด
“นี่มันอะไรวะเนี่ย!!”
ผมค่อย
ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วมองรอบตัวอีกครั้งด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
จนกระทั่งหูของผมได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากบริเวณเหนือศีรษะ
มันเป็นเสียงหัวเราะด้วยความสะใจราวกับตัวร้ายในหนังเกรดบี
“ฮาฮาฮา
ถึงเป็นแค่สวะแต่ก็หลบได้เก่งนี่ อย่างน้อยก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้าสินะ”
ผมเงยหน้ามองไปยังต้นเสียงหัวเราะนั้น
และพบกับเจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนอยู่บนหลังคาของอาคารของห้องเก็บของใกล้ๆ
ความรู้สึกแรกของผมก็คือ
“เอ็งหลุดมาจากการ์ตูนเรื่องไหนหรือเปล่าฟะ คอสเพลย์เรอะ!!”
เพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนหลังคานั้นสวมชุดสูทสีขาวราคาแพง
สวมแว่นกรอบสีเงิน เขากำลังกอดกดด้วยท่าทางเก็กสุดๆ พร้อมกับส่งสายตาเหยียด ๆ ผ่านกรอบแว่นนั้นมาหาผม
ภายใต้แว่นราคาแพงนั้นเป็นใบหน้าอันหล่อเหลา
ทั้งคางเรียวได้รูป ดวงตาสีดำสนิท ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้มกระเซิงๆ เหมือนพวกบอยแบนด์เกาหลี
ที่สำคัญกว่านั้น
คือคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา
“เมดงั้นเรอะ?”
ผมอุทานขึ้นมาโดยทันที
เพราะ ร่างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับชายชุดสูทขาวนั้นเป็นเมดสาวที่มีใบหน้าเรียวงามประดุจนางแบบ
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเธอมีขนตายาว และหางตาที่ตกลงเล็กน้อย เธอมีผมสีน้ำเงินพลอยไพลินอันแสนงดงาม
ชุดที่สวมใส่อยู่ถึงจะเป็นแบบไม่มีแขน แต่ด้วยสี ผ้ากันเปื้อน ระบายลูกไม้ และที่คาดผม
ทำให้รู้ว่านั่นเป็นชุดเมดที่ออกแบบมาสำหรับเมืองที่อากาศร้อน ชุดเมดของแท้แน่นอน
เมดเลยนะเว้ย
ถึงจะปลาบปลื้มก็เถอะ
แต่องค์ประกอบของสิ่งที่เห็นนี้ก็ทำให้ผม รู้สึกคันไปทั้งตัว
โชคดีที่สีหน้าของเมดคนนั้นดูค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับการกระทำของชายคนนี้
ผมพอจะนึกออกน่ะนะ ใครยืนข้างๆ คนบ้าก็คงทำหน้าแบบนี้กันหมดล่ะ ความมีสามัญสำนึกของเมดทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
“ผู้รับเลือกจากพระเจ้า?
นี่พูดบ้าอะไรกันวะเนี่ย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท้องฟ้ากัน” ผมตะโกนถาม
“อืมมม
นายยังไม่ตื่นขึ้นสินะ” สูทขาวก้มลงถามจากที่สูง
คนที่ยังไม่ตื่นน่ะแกมากกว่ามั้ง...
ความคิดเห็น