ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามสุดเพี้ยนของเหล่าเกรียนหลุดโลก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด -1-

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 58


     

         บทที่ 1 คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด

     

    ผมรู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง เมื่อได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อรู้ตัวอีกทีเลือดกำเดาของผมก็พุ่งออกมาเหมือนท่อประปาแตก

    ชื่อของผมก็คือ ชิน หรือ ชื่อจริงก็คือ ชินรัตน์ นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนสาธิตประจำจังหวัด

    ผมเป็นเพียงนักเรียนธรรมดาๆ ที่เพียงแค่มีโรคประจำตัวที่ประหลาดเล็กน้อย

    อาการคือเวลาเข้าใกล้เรื่องราวที่เกี่ยวกับ เวทย์มนตร์ มนุษย์ต่างดาว หุ่นยนต์ เรื่องผี หรือแม้แต่พวกความเชื่อทางศาสนาที่พิสูจน์ไม่ได้ผมจะมีอาการ เพ้อเจอ จะมีอาการมึนหัว คลื่นไส้ และเลือดกำเดาพุ่ง

    พูดโดยสรุปเลย คือผมเป็นโรคแพ้เรื่องเพ้อเจ้อ

    หมอบอกว่าโรคนี้ไม่ได้เกิดจากไวรัสพิเศษจากภายนอก แต่เป็นอาการโฟเบียอย่างอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากกลไกทางจิตของผมเอง อาการทั่วไปคือทำให้ความดันขึ้นสูงผิดปรกติ จนเลือดกำเดาไหล ดูอาการไม่ร้ายแรงนัก แต่ถ้าเป็นต่อเนื่องบ่อยๆอาจจะได้แจ็คพ็อตเป็นโรคหัวใจ หรือเส้นเลือดในสมองแตกตามมาได้เหมือนกัน

    หมอที่ดูน่าจะมีอายุไม่ถึง30ปีตั้งชื่อเล่นให้อาการนี้ว่า “แอนตี้จูนิเบียวซินโดรม” ด้วยท่าทางเหมือนพยายามจะเล่นมุขให้ผมรู้สึกดีขึ้น

    แต่มันไม่ตลก ไม่ตลกเลยสักนิด

    ลองคิดว่าคุณต้องใช้ชีวิตโดยที่ต้องพยายามหลบภาพการ์ตูนที่ติดอยู่ตามร้านหนังสือ ต้องพยายามหลบภาพคอสเพลย์ที่แชร์กันมาในเฟสบุ๊ค พยายามไม่ให้เจอข่าวบูชาจอมปลวกในหนังสือพิมพ์

    หมอคาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากบาดแผลทางจิตใจบางอย่างของผม ซึ่งถ้าปล่อยให้เวลามาเยียวยาอาการน่าจะทุเลาลง

    แต่นับจากที่ผมเริ่มมีอาการก็ผ่านมาปีเศษแล้วอาการก็ยังไม่ทุเลาลงเลยสักนิดเดียว

    ในที่สุดผมก็ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับมันด้วยวิธีการเผชิญหน้ากับสาเหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น

    ซึ่งก็คือสมุดสีดำที่อยู่ในมือของผมตอนนี้

    สมุดปกสีดำสนิท เขียนรูปดาวหกแฉก และเขียนชื่อ “คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด”ด้วยเส้นสีขาวอย่างสวยงาม

    หนังสือที่บันทึกเรื่องราวของเทวดาตกสวรรค์ลูซิเฟอร์เอาไว้

    และนี่ไม่ใช่หนังสือของลัทธิประหลาด หรืองานของนักเขียนสติหลุดที่ไหนหรอก

    ผมนี่ล่ะเป็นคนเขียนมันเอง...

    ผมสั่งซื้อสมุดปกสีดำจากอินเตอร์เน็ต เขียนปกด้วยน้ำยาลบคำผิด แล้วค่อยๆเขียนตัวหนังสือข้างในด้วยปากกาคอแร้งแบบต้องจุ่มหมึกสีดำในขวดก่อนเขียน

    หรือถ้าพูดให้ถูกต้องบอกว่า “ตัวผมสมัยมัธยมต้นเป็นคนเขียน”

    พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกว่าเลือดกำเดากำลังจะพุ่งออกมา จนต้องเอามือบีบจมูกไว้

    สิ่งที่อยู่ในหนังสือนั้นมีพลังร้ายกาจมากจนพูดอะไรไม่ออก เต็มไปด้วยถ้อยคำเพ้อเจ้อราวกับหลุดมาจากนิยายแฟนตาซีเรื่องไหนสักเรื่อง แถมเนื้อหายังโคตรเน่า หนักกว่าละครช่องมากสีด้วยซ้ำ

    แถมข้างในสมุดนั้นยังเต็มไปด้วยภาพวาดฝีมือหวัดๆ ห่วยๆ ของตัวละครในเรื่อง พร้อมเขียนกำกับพวกความสามารถพิเศษ อาวุธ ลักษณะนิสัย และตัวเลขค่าพลังเอาไว้อีกต่างหาก

    ให้ตายสิ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกคันไปทั่วตัว ให้ใครมาอ่านก็รู้สึกได้เลยว่าคนเขียนสมุดเล่มนี้น่ะเพ้อเจ้ออย่างรุนแรงจนเรียกว่า บ้าไปเลยก็ได้ด้วยซ้ำ

    เออ แต่ไอ้คนที่เขียนสมุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวผมนี่่ล่ะ...

    เพราะสมุดเล่มนี้ทำให้ผมต้องมีชีวิตที่แสนเศร้า มันคือสาเหตุของโรคที่ผมเป็นอยู่

    ช่วง ม.1 ม.2 ตอนที่ผมเขียนมันขึ้นมา ผมคิดว่าตัวเองที่เป็นจอมมารนั้นโคตรเท่ คิดว่าการใส่เครื่องประดับเหล็กๆ ผ้าคลุมแปลกๆ กับการวาดลวดลายเวทยมนตร์ใส่สิ่งของต่างๆมันสุดยอด คิดว่าตัวเองเป็นที่ไม่สนใจสังคมนี้โคตรเท่

    แต่แล้ววันนึง จู่ๆผมก็ได้สติ ว่านั่นมันบ้าชัดๆ

    แต่ไม่ทันแล้วเพื่อนๆทุกคน เรียกผมว่า “จอมมาร” และหัวเราะ เวลานั้นผมไม่อาจพูดว่า “ฮึ เจ้าพวกคนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของโลกกำลังจะมาถึงแล้ว” และไม่สนใจเสียงหัวเราะของทุกคนได้อีกต่อไป

    ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเป็นโรคแอนตี้จูนิเบียวซินโดรม

    ทุกครั้งที่เพื่อนเรียกผมว่า “จอมมาร” ผมจะเลือดกำเดาพุ่ง ฉายาของผมเลยเปลี่ยนเป็น “จอมมารสีเลือด”แทน ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไปโรงเรียนไม่ได้อีกเลย

    สุดท้าย ผมจึงต้องย้ายโรงเรียน

    ผมใช้เวลาทั้งปีที่ไปโรงเรียนไม่ได้ อ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน จนสอบเข้า ม.4 ของโรงเรียนสาธิตได้

    ที่นี่ไม่มีคนจากโรงเรียนเก่าของผม แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงว่าจะกลับไปเป็น “จอมมารสีเลือดอีก

    ผมกังวลว่าจะเลือดกำเดาพุ่งต่อหน้าเพื่อนๆในชั้นเรียนจึงต้องหลบเลี่ยงเพื่อนๆที่อาจจะคุยเรื่องละคร เรื่องเพ้อ เจ้อ หรือการ์ตูน จนถูกมองว่าเป็นคนจริงจังเข้าถึงยากในที่สุด

    ต้องหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องความฝันทั้งหลายของพวกนักกีฬา จึงเข้าทีมเล่นกีฬากับเพื่อนๆไม่ได้ ทั้งๆที่แอบซุ่มฝึกชูตสามแต้มไว้จนโอกาสลงแป้นสูงกว่า 80% แท้ๆ

    เพราะเหตุนี้ถึงจะใช้ชีวิต ม.4 มาได้หลายเดือนแล้ว มันก็ยังไม่สดใสเท่าไหร่

    ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสมุดเล่มนี้เล่มเดียว

    ตอนที่ผมเริ่มมีอาการ แม้แต่คิดถึงการดำรงอยู่ของหนังสือเล่มนี้ผมก็จะทนไม่ไหวแล้ว แต่วันนี้ หลังจากผ่านการฝึกอันยาวนาน ในที่สุดผมก็สามารถจับมันด้วยมือเปล่าได้สักที

    ดังนั้นวันนี้ผมจะต้องกำจัดสมุดเล่มนี้โดยเร็วที่สุด

    เพราะเหตุนี้ผมจึงมายืนอยู่ที่นี่ ในเวลานี้

    หน้าเตาเผาขยะหลังโรงเรียน ในยามเย็นที่ไร้ผู้คน พร้อมกับถังขยะในห้อง 4/2 ที่อุตส่าห์อาสายกมาทิ้งทั้งๆที่ไม่ใช่เวรเพื่อความเนียนในภารกิจ

    เพียงแค่ ทิ้งมันลงไปพร้อมกับขยะอื่นๆ สมุดแห่งความอับอายเล่มนี้ก็จะมอดไหม้และจากไปตลอดกาล

    ผมเตรียมบอกลาสมุดสีดำในมือ เวลานั้นเองความทรงจำอันหวานชื่นของวัยเยาว์ก็ย้อนกลับมา ทั้งตอนวิ่งไปทั่วเมืองเพื่อหาสมุดสีดำและจบลงที่อินเตอร์เน็ต ทั้งการเก็บเงินซื้อปากกาคอแร้ง ทั้งตอนที่ท่องคาถาที่คิดขึ้นและโพสท่าอยู่หน้ากระจก

    ถึงจะเป็นความหลังอันน่าเจ็บพวก เมื่อคิดว่าจะต้องจากมันไปแล้ว ก็เกิดเศร้าขึ้นมานิดๆเหมือนกัน

    ผมเตรียมที่จะหย่อนสมุดลงไปในเตา น้ำตาชื้นขึ้นมาที่ขนตา... ไม่สิ เป็นเพราะแสงยามเย็นมันแสบตาต่างหาก

    ทว่าเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งกลับรบกวนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียก่อน

    “ชิน?”

    ผมหันกลับไปด้วยความตกใจ

    ที่อยู่ตรงนั้น เป็นเด็กสาวผู้มีผมสีดำซอยสั้นประบ่า ดวงตาของเธอเป็นสีดำสนิท ขนตายาว รูปร่างของเธอค่อนข้างเตี้ยไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของหญิงไทย เธอสวมชุดนักเรียนหญิงซึ่งทำให้เธอดูบอบบางขึ้นอีก

    ไอ... ไอรยา

    ทำไมต้องเป็นคนที่ไม่อยากให้เห็นที่สุดในตอนนี้ด้วยว้า โลกนี้ถูกควบคุมด้วยท่านเทพเจ้าเมอฟี่หรือไง

    ขอแนะนำ ยัยนี่คือ ไอรยา

    เขียนว่า “ไอรยา” อ่านว่า ไอ-ระ-ยา เรียกสั้นๆว่าไอ ดูเหมือนตอนแรกที่บ้านจะตั้งชื่อตามช้างของพระอินทร์ แต่นายทะเบียนพิมพ์ชื่อสลับระหว่างตัว ร กับ ย เลยออกมาเป็น ไอรยา ตอนได้ยินครั้งแรกผมยังคิดเลยว่าที่มันเท่สองชั้น เท่โคตรๆ

    ที่บอกว่า “เพื่อนสมัยเด็ก” หมายความว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้วนั่นเอง

    ไอรยา เป็นลูกครึ่งไทย–สวิตเซอร์แลนด์ ที่ย้ายมาอาศัยอยู่ข้างบ้านของผมตอนสมัยประถม          พ่อของไอรยาเป็นฝรั่งแต่ดันตัวเตี้ยแถมยังบ้าๆบอๆ ส่วนแม่ค่อนข้างจะเป็นคนจริงจัง ทั้งคู่เป็นอาจารย์สายวิศวกรรมในมหาวิทยาลัย

    สมัยประถมผมกับเธอเคยสนิทกัน จนกระทั่ง ม.ต้น ไอรยาเรียนที่โรงเรียนสาธิต แต่ผมเรียนโรงเรียนรัฐบาลธรรมดา เมื่อเรียนคนละโรงเรียนเลยห่างเหินกันไป ก็เด็กผู้ชาย ม.ต้น ถ้าจะให้ไปเล่นกับเด็กผู้หญิงข้างบ้านตลอดมันไม่เท่ใช่มั้ยล่ะ... แล้วพอ ม.ปลาย ถึงผมจะย้ายไปเรียนที่เดียวกับไอรยาแต่ก็กลับไปคุยด้วยไม่ได้ง่ายๆซะแล้ว

    พอโตขึ้นแล้วไอรยาหน้าตาหน้ากลัวมาก ถึงจะตัวเตี้ยแต่ก็ปล่อยแรงกดดันออกมาตลอด เธอทำหน้าเหมือนอารมณ์เสียเงียบๆ และยังปล่อยออร่าเย็นเยียบที่ไม่ชวนให้เข้าใกล้ออกมาตลอดเวลา

    ผมเคยทักไอรยาตอนที่เจอแถวป้ายรถเมล์ตอนเช้า แต่กลับถูกเมิน ด้วยความเจ็บช้ำในครั้งนั้นผมจึงไม่กล้าทักเธออีกเลย

    โดยสรุปตอนนี้พวกเราสองคนก็เป็นแค่คนแปลกหน้ากันไปแล้ว

    แต่อย่างนั้นคนที่ไม่อยากให้เห็น “คัมภีร์บันทึกประวัติศาสตร์มืด” มากที่สุดก็ยังเป็นไอรยาอยู่ดี

    “ป... เปล่า...” ผมรีบซ่อนสมุดสีดำใส่ในเสื้อด้านหลัง ถ้ามีใครรู้ว่าผมเป็นเจ้าของสมุดเล่มนี้ เลือดกำเดาของผมจะต้องพุ่งแน่ๆ “ขยะทุกวันนี้มันมากขึ้นจริงๆเนาะ โลกต้องร้อนขึ้นแน่ๆ เลยเนอะ... แย่จังเนอะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

    ไอรยาเอียงคอ และหรี่ตามองด้วยสายตาราวกับจะสอบสวน ส่วนผมได้แต่หัวเราะเหมือนคนบ้า

    “เธอมาทำอะไรล่ะนี่”

    “มาทำเวรตอนเย็น” ไอรยาวางตะกร้าใส่ขยะประจำห้อง 4/1ลง น้ำเสียงของเธอดูไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคย สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนจากเดิมสักนิด เรื่องนี้เป็นเอกลักษณ์ของเธอเลยล่ะ

    “ก็... ก็แค่แปลกใจนิดหน่อยที่เจอเธอตรงนี้น่ะ”

    “เหรอ? แล้วนายล่ะ”

    “ก็มาทิ้งทำเวรขยะน่ะสิ คิดว่าฉันมาปิกนิกหน้าที่ทิ้งขยะหรือไง”

    ไอเอียงคอเล็กน้อย “เวรของนายมันอาทิตย์หน้านี่”

    แล้วเธอรู้ตารางเวรห้อง 4/2 ฉันได้ไงฟะ! ผมคิดในใจแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป กระทั่งมองเห็นว่า ไอรยา กำลังสนใจบางอย่างอยู่

    “นี่ ชิน”

    “หืม? อะไรล่ะ”

    “สมุดสีดำนี่ของนายหรือเปล่า”

    “หา?”

    ผมหันควับไปตามเสียงที่ไอรยาบอกและได้พบว่า เจ้าสมุดสีดำเจ้ากรรมดันร่วงตกจากแผ่นหลังไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมไอรยากำลังจะเก็บมันขึ้นมาอีกต่างหาก

    เมื่อคิดแบบนั้น ผมก็กระโจนไปคว้ามันเอาไว้ในทันทีทำให้ไอรยาถึงกับงงขึ้นมาไม่ใช่น้อย เธอเอียงคอด้วยท่าทางสงสัย

    “มะ มะ มะ ไม่มีอะไรสักหน่อย สมุดนี้ของฉันเองแหละ”

    “อื้อ รู้แล้ว ก็เลยจะเก็บให้ไง” เธอบอก

    “ไม่ต้อง ไม่เลย ไม่หรอก ไอ ของของฉัน ฉันเก็บเองได้”

    ไอเอียงคอเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าทางของผมนั้นยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปกันใหญ่

    “แปลก”

    ขุดหลุมฝังตัวเองซะงั้น

    “ไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่มีอะไรหรอกน่า”

    “ตานายลอกแล่กชอบกลนะ”

    “ไม่มีอะไรจริงๆนา ก็แค่สมุดจดวิชาเรียนเท่านั้นเองน่า”

    “สมุดจดวิชาเรียน?”

    “ใช่ๆ สมุดจดวิชาเรียนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เธอต้องมาสนใจหรอกนะ”

    “เหรอ สัญลักษณ์ที่ปกนี้น่าสนใจดีนะ”

    “อ่อ... มันเป็นสมุดของวิชาคณิตบทตรีโกณมิติน่ะ เลยมีรูปพวกเรขาคณิตไง”

    “เหรอ”

    “ใช่ ใช่ ใช่ เพราะงั้นไอกลับไปก่อนเถอะนะ” ผมบอกพร้อมกับยกถังขยะห้อง 4/1 ของไอเทลงไปในเตาแล้วยื่นถังเปล่าให้ เป็นการไล่กลายๆ

    ถึงจะยังมีสายตาสงสัยแต่ไอไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากหยิบถังขยะ แล้วเดินจากไป

    ผมถอนหายใจ

    ในที่สุดตอนนี้ก็มีแค่ผมที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเพียงลำพังอีกครั้ง

    เกือบไปแล้วไหมล่ะ

    ผมบ่นกับตัวเอง เกือบพลาดให้คนอื่นเห็นแล้วไหมล่ะ แถมยังเป็นไอ เอาว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ไอเห็นไม่ได้ก็แล้วกัน... ถ้าไอเห็นข้างในนั้นล่ะเป็นเรื่องใหญ่กว่ามีคนสะแกนมันไปปล่อยลงเน็ตซะอีก

    เพราะเหตุนี้ก็ขอบอกลาสมุดเล่มนี้ตอนนี้เลยก็แล้วกัน

    พอคิดได้แบบนี้ผมก็ยืนมือข้างที่ถือสมุดไปยังเตาเผาซึ่งกำลังส่งความร้อนหลายร้อยองศาอย่างน่าเกรงขามออกมา อะไรก็ตามที่ตกลงไปในเตาเผานี้ต้องไม่เหลือซากอย่างแน่นอน

    “ลาก่อน...” ผมบอกลาสมุดเป็นครั้งสุดท้าย

    และขณะที่ผมกำลังจะโยนสมุดลงไปในเตาไฟนั้นเอง

    จู่ๆ เตาเผาขยะก็เกิดระเบิดขึ้น...

    ครับ... ระเบิด

    ตูม!!

    พลังของมันรุนแรงมากจนทำให้ร่างของผมปลิวกระเด็นลอยไปกระแทกกับพื้นเต็มแรง

    ความรู้สึกแรกคือตกใจ ผมสับสน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    เมื่อมีสติผมก็พบว่า บริเวณโดยรอบตัวของผมนั้นมีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น

    ท้องฟ้ายามเย็นถูกย้อมด้วยสีแดงฉานประดุจโลหิต ดวงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้าถูกกลืนด้วยสีดำทะมึนจนอับแสง บรรยากาศรอบตัวอึมครึมจนชวนอึดอัด

    “นี่มันอะไรวะเนี่ย!!”

    ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วมองรอบตัวอีกครั้งด้วยความงุนงงไม่เข้าใจว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ จนกระทั่งหูของผมได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากบริเวณเหนือศีรษะ

    มันเป็นเสียงหัวเราะด้วยความสะใจราวกับตัวร้ายในหนังเกรดบี

    “ฮาฮาฮา ถึงเป็นแค่สวะแต่ก็หลบได้เก่งนี่ อย่างน้อยก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้าสินะ”

    ผมเงยหน้ามองไปยังต้นเสียงหัวเราะนั้น และพบกับเจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนอยู่บนหลังคาของอาคารของห้องเก็บของใกล้ๆ

    ความรู้สึกแรกของผมก็คือ “เอ็งหลุดมาจากการ์ตูนเรื่องไหนหรือเปล่าฟะ คอสเพลย์เรอะ!!”

    เพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนหลังคานั้นสวมชุดสูทสีขาวราคาแพง สวมแว่นกรอบสีเงิน เขากำลังกอดกดด้วยท่าทางเก็กสุดๆ พร้อมกับส่งสายตาเหยียด ๆ ผ่านกรอบแว่นนั้นมาหาผม

    ภายใต้แว่นราคาแพงนั้นเป็นใบหน้าอันหล่อเหลา ทั้งคางเรียวได้รูป ดวงตาสีดำสนิท ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้มกระเซิงๆ เหมือนพวกบอยแบนด์เกาหลี

    ที่สำคัญกว่านั้น คือคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

    “เมดงั้นเรอะ?”

    ผมอุทานขึ้นมาโดยทันที เพราะ ร่างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับชายชุดสูทขาวนั้นเป็นเมดสาวที่มีใบหน้าเรียวงามประดุจนางแบบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเธอมีขนตายาว และหางตาที่ตกลงเล็กน้อย เธอมีผมสีน้ำเงินพลอยไพลินอันแสนงดงาม ชุดที่สวมใส่อยู่ถึงจะเป็นแบบไม่มีแขน แต่ด้วยสี ผ้ากันเปื้อน ระบายลูกไม้ และที่คาดผม ทำให้รู้ว่านั่นเป็นชุดเมดที่ออกแบบมาสำหรับเมืองที่อากาศร้อน ชุดเมดของแท้แน่นอน

    เมดเลยนะเว้ย

    ถึงจะปลาบปลื้มก็เถอะ แต่องค์ประกอบของสิ่งที่เห็นนี้ก็ทำให้ผม รู้สึกคันไปทั้งตัว

    โชคดีที่สีหน้าของเมดคนนั้นดูค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับการกระทำของชายคนนี้ ผมพอจะนึกออกน่ะนะ ใครยืนข้างๆ คนบ้าก็คงทำหน้าแบบนี้กันหมดล่ะ ความมีสามัญสำนึกของเมดทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย

    “ผู้รับเลือกจากพระเจ้า? นี่พูดบ้าอะไรกันวะเนี่ย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท้องฟ้ากัน” ผมตะโกนถาม

    “อืมมม นายยังไม่ตื่นขึ้นสินะ” สูทขาวก้มลงถามจากที่สูง

    คนที่ยังไม่ตื่นน่ะแกมากกว่ามั้ง...

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×