คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ข้อสอบ -1-
-1-
ดูเหมือนว่าเราจะให้ความสนใจกันเรื่องของวิญญาณ ภูตผีมาช้านานแล้ว สังเกตจากหลักฐานและพิธีกรรมต่างๆ ที่มีมาพร้อมกับการวิวัฒนาการของมนุษย์ แม้แต่ในปัจจุบัน เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังได้รับความสนใจอย่างมาก รายการแนวๆ นี้ได้รับความนิยมสูงมาก ทั้งที่ใครๆก็รู้ว่าเป็นรายการหลอกเด็ก
ทำไมผมถึงมั่นใจว่ามันไม่จริงน่ะเหรอครับ?
คำตอบง่ายๆ คือ “เพราะผมมองเห็นผีน่ะสิ”
ตั้งแต่อุบัติเหตุเมื่อสองเดือนก่อน ผมก็เริ่มมองเห็นผี
ผีที่ผมมองเห็นไม่ได้มีสภาพเละๆ เหมือนในหนังสยองขวัญ แต่ดูสมบูรณ์เหมือนคนธรรมดาทุกประการ
ยกตัวอย่างเช่น คนที่ยืนห่างจากผมไปตอนนี้สักสิบเมตร คนนั้นเป็นผี
หากจะบรรยายให้เห็นภาพอีกหน่อย
ตอนนี้ผมกำลังเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า สำหรับคนที่ไม่รู้จักการเข้าแถวเคารพธงชาติ ผมจะขออธิบายง่ายๆ ว่า มันคือพิธีกรรมน่าเบื่อ ว่าด้วยการยืนตากแดดในตอนเช้า มองดูธงชาติเคลื่อนสู่ยอดเสา สวดมนต์ และยืนฟังอาจารย์ขึ้นมาบ่นเรื่องซ้ำๆ บนโพเดี้ยม ไม่น่าเชื่อว่าเราที่ต้องทำทุกวันตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง จนจบมัธยมหก ผมกล้าพนันว่าถ้าทำโพลจะต้องมีนักเรียนมากกว่าร้อยละแปดสิบลงความเห็นให้ยกเลิกพิธีกรรมนี้แน่นอน แต่ไม่ว่าจะมีคนอยากยกเลิกมันสักกี่ล้านผมก็ต้องลากตัวเองขึ้นมาจากเตียงเพื่อมายืนสังเคราะห์แสงทุกเช้าอยู่ดี
ปรกติพิธีควรจะจบเร็วกว่านี้ ทว่าวันนี้ หลังจากจบพิธีกรรม จู่ๆ ประธานนักเรียนก็ก้าวขึ้นมาบนโพเดี้ยม
พอเห็นหน้าหล่อๆ ของเขาถูกสาดด้วยแสงยามเช้ายังกับเตี้ยมกับพระอาทิตย์ไว้ก่อนแล้วผมก็คิดถึงวันที่เห็นหน้าประธานนักเรียนครั้งแรกขึ้นมา
ในวันปฐมนิเทศ ผมนั่งหลับไปจนเกือบจะจบงาน ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงกรี๊ดกร๊าดน่าปวดหัวของสาวๆ ขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าไฟไหม้หรือไร ผมก็พบประธานนักเรียนอยู่บนเวที
ประธานนักเรียนแต่งตัวถูกต้องตามระเบียบ ไว้ผมยาวพอดีตามระเบียบพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกินแม้เซ็นเดียว เขายิ้มด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนหลุดออกมาจากโฆษณายาสีฟัน
ถ้าจะให้บรรยายประธานนักเรียนด้วยคำพูดของสาวๆ ในห้องเรียนของผมก็คงต้องบอกว่า รูปหล่อ บ้านรวย เรียนเด่น กีฬาดี แล้วก็สรุปด้วยคำว่า “เพอร์เฟคต์”
ไม่รู้ทำไมผมไม่ชอบหน้าคนประเภทนี้ที่สุด ยิ่งมานั่งดูรอยยิ้มเย้ยหยันสะท้อนแสงแบบนี้ยิ่งรู้สึกเซ็งเข้าไปใหญ่ คนที่ “เพอร์เฟคต์” มันไม่มีหรอก ผมพนันได้เลยว่าหมอนี่ต้องมีความลับดำมืดทำนองว่า ถ้าไม่เป็นตาปลาก็ต้องเป็นริดสีดวง ซ่อนอยู่แน่นอน
ผมสังเกตว่าวันนี้รอยยิ้มของประธานนักเรียนเจือไว้ด้วยแววหม่นหมองนิดๆ อย่างจงใจ
แล้วเขาก็เริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอาลัย
ผมขอตัดรายละเอียดของเนื้อหาออกไป เพราะเกรงว่าอาจจะทำให้คนที่พึ่งกินข้าวมาอิ่มๆ คายอาหารกลับออกมา
เรื่องคร่าวๆ ก็ประมาณว่า เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งว่ารุ่นพี่ ม.หก คนหนึ่งพึ่งเสียชีวิตเมื่อคืนนี้ ซึ่งรุ่นพี่ที่ว่าเป็นคนสำคัญของโรงเรียน เคยสร้างผลงานทางวิชาการสำคัญๆ ให้แก่โรงเรียน เป็นรุ่นพี่ที่เขาเคารพอย่างจริงใจ
แดดเริ่มร้อนขึ้นร้อนขึ้นทุกที ผมได้แต่ครุ่นคิดขณะปาดเหงื่อว่า ไอ้ประธานนักเรียนนี้มันเคยคุยกับรุ่นพี่ที่มันแสนเคารพรักสักครั้งรึเปล่าหว่า
ผมอยากรู้ว่ามันจะมีสักกี่คนกัน ที่ตกใจจริงๆ เมื่อรู้ข่าวว่ามีรุ่นพี่โรงเรียนตาย
เอ้า! ก็ได้ ผมยอมรับว่า อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่ตกใจ เหตุผลก็อย่างที่บอกไปตอนแรก เพราะไอ้รุ่นพี่ที่พึ่งตายไปมันยืนอยู่ตรงหน้าผม นั่นแหละ
ปรกติผมไม่ได้สนใจรุ่นพี่อะไรหรอก จริงๆ จะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือรุ่นเดียวกันผมก็ขี้เกียจวุ่นวาย ผมรู้สึกทึ่งกับพวกเพื่อนร่วมชั้นที่จำหน้า ชื่อ พร้อมข้อมูล ของคนนู้นคนนี้ได้เป็นร้อยๆ จริงๆ
แต่ผมกลับจำหน้าหมอนี่ได้ เหตุผลง่ายๆ คือเขาหน้าเหมือนโนบิตะสุดๆ
แต่ทั้งๆ ที่หน้าเหมือนโนบิตะ แต่พี่แกกลับขยันสุดๆ
ผมเห็นเขาบ่อยๆ ในห้องสมุด ในขณะที่ผมไปห้องสมุดเพื่อนอนกลางวันหลังอาหารเที่ยง หมอนี่ไปห้องสมุดเพื่อคนคว้าอย่างจริงจัง
ทุกครั้งที่ผมเดินผ่าน โต๊ะที่เขานั่งจะต้องเต็มไปด้วยกองหนังสือที่ห้องสมุดทำเป็นปกแข็งสีเขียวๆ แดงๆ ผมอดแอบคิดในใจไม่ได้ว่าถ้าโดราเอม่อนมาเห็นภาพนี้คงจะภูมิใจพิลึก
เอาเถอะ ถ้าผมเกิดมาแล้วถูกล้อว่าหน้าเหมือนโนบิตะ ผมอาจจะตั้งใจเรียนเหมือนหมอนี่ เพื่อล้างปมด้อยก็ได้แฮะ
ผมคิดว่าตอนนี้โนบิตะ คงไม่ได้ยินเรื่องที่ประธานนักเรียนประกาศเลยสักนิด ตอนนี้เขามัวแต่ท่องสูตรอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในแถว
ผมเริ่มเห็นความสำคัญของการตั้งใจฟังเรื่องประกาศหลังการเข้าแถวเคารพธงชาติขึ้นมานิดๆ
********************
ผมเริ่มมองเห็นผีหลังจากรอดมาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้พ่อแม่ของผมตาย ยัยแว่น เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งรถไปด้วยกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาแล้วแต่ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
หลายคนปลอบผมว่า โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหนักจากอุบัติเหตุครั้งนั้น แต่ผมไม่คิดแบบนั้น
ความจริงผมได้รับบาดแผลสาหัสเหมือนกัน ทว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่อาจบอกใครได้ ผมได้รับแผลในดวงตา ในสมอง หรือไม่ก็ที่ไหนสักแห่งในร่างกายที่มองไม่เห็น มันเป็นแผลที่ทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน และสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ไม่ว่าพ่อกับแม่ของผมจะเป็นยังไง ไม่ว่าดวงตาของผมจะเป็นแบบไหน โลกก็ยังหมุนอยู่
และแน่นอนว่า ไม่ว่าโนบิตะจะตายไปสักกี่คนโลกก็ไม่หยุดหมุน
เรื่องของโนบิตะกลายเป็นหัวข้อสนทนาอยู่สัปดาห์หนึ่ง ก่อนประเด็นจะกลับมาเป็นเรื่องวันสอบวัดผลทั่วประเทศที่ใกล้เข้ามาทุกที
กระนั้นโนบิตะก็ยังทำตัวเหมือนเดิม
ทุกครั้งที่ผมเดินผ่านห้องสมุด ผมยังเห็นโนบิตะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม นั่งทำแบบฝึกหัดจากหนังสือกองใหญ่ๆ เหมือนเดิม ผมไม่แน่ใจว่าเขายังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว หรือรู้แล้ว ก็เลยกำลังศึกษาหาวิธีพาตัวเองไปสู่สุคติอยู่
ถ้าจะมีคนเดือดร้อนเรื่องการตายของโนบิตะ คนนั้นก็คงจะเป็นพวกผู้บริหารโรงเรียนที่เสียตัวดึงคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนขึ้นไปล่ะมั้ง
ส่วนผมและคนอื่นๆ ก็กำลังเดือดร้อนกับการสอบวัดผลบ้าๆ ที่กำลังจะมาถึง ผมอยากรู้นักว่าใครมันเป็นคนคิดระบบการสอบที่สอบกันตั้งแต่ ม.4 แถมยังสอบปีละหลายครั้ง
ห้องเรียนที่ไม่มียัยแว่นคอยกดดัน ทำให้ผมขี้เกียจได้เต็มที่ ในที่สุดผมก็เลิกสนใจเรื่องการสอบไป มันยังมีอีกตั้งหลายครั้งนี่หว่า ถึงจะหลวมตัวสมัครไปเป็นเพื่อนยัยแว่น แต่ผมยอมเสียเงินเปล่าๆ บูชาความขี้เกียจดีกว่า
ยัยแว่นใกล้จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่คงจะต้องเป็นหลังสอบวัดผล ผมตลกนิดๆ กับความพยายามที่จะออกจากโรงพยาบาลไปสอบให้ได้ของเธอ ทั้งๆ ที่ยังมีครั้งหน้าอีกตั้งหลายครั้งแท้ๆ
หลังจากที่ยัยแว่นฟื้นขึ้นมาจากสภาพเจ้าหญิงนิทรา ผมไปเยี่ยมเธออีกบ่อยครั้ง ทว่าหลายครั้งเมื่อไปถึงยัยแว่นจะหลับอยู่ นับวันโอกาสที่ผมจะพบว่าเธอหลับอยู่ก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนป่วยจะนอนมาก แต่เมื่อเห็นยัยแว่นหลับอยู่อย่างนั้นผมก็อดคิดไม่ได้ว่า “หรือว่าเรื่องที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วจะเป็นแค่ความฝันของผม”
จะเกิดอะไรขึ้นถ้ายัยแว่นหลับลงไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ผมเริ่มคิดเรื่องนี้ระหว่างทางเดินกลับบ้าน
**********************
เสียงฝีเท้าของผมดังเป็นจังหวะในค่ำคืน เสาไฟเคลื่อนเข้ามาและผ่านไปสลับกับความมืด ผมไม่ได้กลับบ้านค่ำขนาดนี้มานานแล้วด้วยหลายๆ สาเหตุ
วันนี้ผมแวะไปเยี่ยมยัยแว่นหลังเลิกเรียน เธอหลับอยู่อีกแล้ว
เมื่อออกกลับออกมาจากโรงพยาบาล จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาเฉยๆ รู้สึกคล้ายๆ กับผมลืมอะไรบางอย่างที่ควรจะพกติดตัวไว้ที่ไหนสักที แต่เมื่อสำรวจดูแล้วก็ไม่มีอะไรหายไป คล้ายๆ กับผมถูกกลืนเข้าไปกลางความว่างเปล่า ไม่อาจคว้าจับสิ่งใดรอบๆ ได้ มองไม่เห็นแม้แต่ความมืดมิด
ผมนึกถึงยมทูต ผมอยากให้เธอโผล่มาแบบไม่คาดฝันจากซอยข้างหน้าเหมือนที่เคยทำ ก่อนจะจีบชายชุดกระโปรงสีดำแปลกๆ ถอนสายบัว ปล่อยให้นาฬิกาพกสีเงินที่ร้อยสร้อยห้อยคอของเธอไหวไปมา ผมเผลอจับนาฬิกาพกของตัวเองในกระเป๋ากางเกงโดยไม่รู้ตัว นาฬิกาสีเงินที่เหมือนกับของยมทูตไม่ผิดเพี้ยน
ผมเผลอฮำเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัว มันเป็นเพลงที่ “เธอ” เป็นผู้แต่งขึ้น เพลงที่เชื่อมโยงผมไว้กับเธอ
อยู่ดีๆ ผมอยากคุยกับใครสักคน ไม่จำเป็นต้องเป็นยมทูตก็ได้ ผมพึ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ผมอยากจะคุยกับใครก็ได้ในความรู้สึกว่างเปล่านี้
แล้วผมก็ได้ยินเสียงชิงช้า...
ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่ามีสนามเด็กเล่นอยู่ตรงนี้
สนามเด็กเล่นอยู่ติดกับซากตึกเก่าๆ ที่สร้างไม่เสร็จ ผมจำไม่ได้ว่าตึกแถวนี้เริ่มสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่ คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นช่วงก่อนเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อหลายปีก่อน ผมจำได้รางๆ ว่าจะทำเป็นคอนโดหรือ
อพาร์ตเมนต์อะไรสักอย่าง เจ้าของที่อาจจะทุนหมด หรือมีอันเป็นไป ตึกแถวจึงถูกทิ้งไว้แบบนี้
จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าไอ้ตึกสูงๆ ในเมืองที่ที่ดินและบ้านเป็นหลังๆ ราคาไม่สูง มันจะขายได้เหรอ อาจจะเป็นเพราะแบบนี้โครงการนี้เลยล่มก็ได้
สนามเด็กเล่นน่าจะมีมาก่อนตึกแถว คงเป็นเพราะมีตึกแถวสร้างไม่เสร็จสร้างบรรยากาศหนังสยองขวัญเกรดบีอยู่ข้างๆ มันก็เลยถูกลืมเลือนไป
จะว่าไปมันตอนนี้มันก็ไม่สมควรจะเรียกว่าสนามเด็กเล่นซะทีเดียว ที่นี่มีเพียงกระดานลื่นกับชิงช้าเก่าๆ
ชิงช้าตั้งอยู่ใต้กรวยแสงจากเสาโคมไฟที่ยังอุตสาห์เหลืออยู่ดวงหนึ่ง บนสนามหญ้าโล่งๆ หญ้าเริ่มขึ้นสูง ถึงจะไม่ถึงขั้นรกแต่ก็แสดงให้เห็นว่าสนามเด็กเล่นโทรมๆ นี้คงไม่เป็นที่สนใจนัก
ผมไม่ประหลาดใจหากจะเป็นเช่นนั้น ถึงจะไม่มีตึกร้างอยู่ข้างๆ เด็กๆ ในยุคนี้ก็มีของเล่นที่น่าสนใจมากกว่ากระดานลื่นกับชิงช้า เต็มไปหมด ไม่ต้องไปถามเด็กหัวเกรียนที่ไหนหรอก ผมเองก็สนเครื่องเกมส์พกพามากกว่าของพรรค์นี้อยู่แล้ว
ดังนั้นผมจึงรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น
เด็กหญิงในชุดนักเรียนประถมนั่งอยู่บนชิงช้า จากจุดที่ผมยืนอยู่มองเห็นโบว์สีขาวอันใหญ่ที่ติดอยู่ที่ผมของเธอได้อย่างชัดเจน
เสียงเอี๊ยดอ๊าด ของชิงช้าดังเสียดขึ้น ผ่าความเงียบของยามเย็น
ไม่รู้ทำไมผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ
เด็กหญิงหันกลับมา เธอยิ้มแว้บหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าระแวงสงสัย ยิ้มเหมือนสีหน้าที่เด็กเห็นพ่อมารับจากโรงเรียนกลับบ้านในตอนเย็น แล้วทำหน้าระแวงเหมือนถูกป้าที่หน้าตาเหมือนแม่มดชวนกินขนม ผมคิดว่าเมื่อครู่เธอคงเข้าใจผิดว่าผมเป็นเพื่อนของเธอหรืออะไรทำนองนั้น
หน้าตาของผมไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียว?
ผมจับโซ่ชิงช้าอีกตัวที่ยังไร้เจ้าของ มันร้อยแขวนที่นั่งซึ่งเป็นแผ่นไม้โทรมๆ ไว้กับราวเหล็กเก่าๆ จากขนาด ของราวเหล็กน่าจะมีชิงช้าสามตัวในตอนแรก แต่ตอนนี้เหลือเพียงสองตัว ชิงช้าตัวทางซ้ายคงจะหลุดหายไปแล้ว
ผมยิ้มให้เด็กหญิง... พยายามยิ้ม แต่นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำหน้ายังไงอยู่
อาจเป็นเพราะความรู้สึกอยากคุยกับใครสักคนอย่างรุนแรง หรือความต้องการแก้ตัวว่า ผมไม่ได้หน้าตาไม่น่าไว้ใจสักหน่อย ผมจึงทำเช่นนั้น
“พี่ไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอกน่า” ผมบอกเธอ
“โกหก...” เด็กหญิงหรี่ตาพิจารณาผม “ดูยังไงก็เป็นคนน่าสงสัยชัดๆ”
ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากหัวเราะแก้เก้อ แล้วนั่งลงบนชิงช้าตัวข้างๆ โยกมันช้าๆ
หรือว่าตูจะหน้าตาไม่น่าไว้ใจจริงๆ ฟะ...
ด้วยเหตุนี้ผมจึงรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา
“เรามาเล่นเกมส์กันไหม” ผมเอ่ย
“เกมส์?” เธอเอียงคอถาม
“ถ้าพี่ชนะถือว่าพี่เป็นคนดี แล้วก็ถือว่าเราเป็นเพื่อนกัน”
เด็กหญิงเอียงคอ เธอดูไม่ไว้ใจแต่ก็สนใจอยู่
“หรือว่าไม่กล้า” ผมยิ้มยั่ว
“ไม่มีทาง” เธอตอบกลับทันที
ผมหัวเราะในใจ ผมไปจำมุขหลอกเด็กแบบนี้มาจากไหนหว่า ผมคิดว่านานมาแล้ว ใครสักคน เคยใช้มุขนี้กับผม ผมไม่รู้ว่าจากสายตาของคนอื่นผมในตอนนั้นจะเป็นเด็กดื้อๆ แบบนี้รึเปล่า
ผมหยิบเหรียญห้าเหรียญหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“กติกาง่ายๆ พี่จะโยนเหรียญนี้ขึ้นไป แล้วก็รับแบบนี้”
ผมโยนเหรียญขึ้นฟ้า แล้วทำเป็นกำมือรับด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมกัน
“ถ้าเราทายถูกว่าเหรียญอยู่ในมือไหน เราชนะ”
ผมแบมือทั้งสองข้างออก เหรียญห้าอยู่ในมือขวา
“ตกลงไหม”
เด็กหญิงพยักหน้า
หึๆ
ผมโยนเหรียญขึ้น ทำเป็นรับแบบเมื่อครู่
“เอาล่ะ เหรียญอยู่ในมือข้างไหน” ผมยื่นกำปั้นทั้งสองข้างให้เธอเลือก
“อืมมม” เด็กสาวเอียงคอคิด “ขวา... ไม่สิซ้ายดีกว่า”
ผมแบมือซ้าย ข้างนั้นไม่มีเหรียญ
“เธอแพ้แล้ว”
“พี่ต่างหากที่แพ้ หนูหมายความว่าหนูเลือกข้างตรงข้ามกับซ้ายต่างหาก”
ผมหัวเราะ แบมือขวาออก ข้างขวาก็ไม่มีเหรียญเหมือนกัน ก่อนจะก้มลงเก็บเหรียญบนพื้นหญ้า
“ขี้โกงนี่!!”
ผมหัวเราะ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” เธอบอกก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไป
“นี่จะไปไหนน่ะ”
“กลับน่ะสิ” เธอตอบ “พี่เองก็รีบกลับบ้านได้แล้วไม่งั้นคนที่บ้านจะเป็นห่วงเอานะ”
ผมยิ้มจางๆ ให้เธอ ที่เดินไกลออกไป
ผมถูกทิ้งไว้บนสนามเด็กเล่นว่างเปล่า แหงนหน้ามองจันทร์เสี้ยว
จู่ๆ ก็ผมอยากไปหาคุณป้าขึ้นมา ผมหยิบนาฬิกาพกจากกระเป๋ากางเกงที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดขึ้นมาดู มันบอกว่าขณะนี้เวลาสามทุ่มสิบห้าแล้ว บ้านของคุณป้าต้องใช้เวลาเดินจากที่นี่ไปอีกราวครึ่งชั่วโมง
รู้สึกว่าตัวเองคงงี่เง่าพิลึก ถ้าจู่ๆ กดกริ่งเรียกชาวบ้านออกมาเปิดประตูให้ตอนสี่ทุ่มโดยไม่มีธุระ คุณป้าไม่ใช่ญาติของผม แทบไม่ใช่คนรู้จักด้วยซ้ำ เธอแค่เป็นแม่ของเพื่อนของผม ไม่สิผมไม่แน่ใจว่าลูกของคุณป้าจะนับผมเป็นเพื่อนรึเปล่าด้วยซ้ำ ผมแค่รู้จักเธอในห้องดนตรี เธอเล่นเปียโน ผมไปนั่งกวน เราใช้เวลารวมกันเพียงชั่วครู่ แล้วเธอก็จากไป
ได้แต่ผมแกว่งชิงช้าอยู่ตรงนั้นเบาๆ
ท่ามกลางความมืด
ท่ามกลางแสงจันทร์
ท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นบรรเลง
แล้วจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดจากกระเป๋าสะพายของตัวเอง
เสียงตี๊ดๆ ของเครื่องจักร ผมล้วงเข้าไปดูก่อนจะพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือนั่นเอง ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีของพรรค์นี้อยู่ด้วย
หลังจากแม่ผมตาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกดรับสายโทรศัพท์
“สวัสดีจ้ะ” ผมอึ้งไปสามวินาทีก่อนจะนึกออกว่า เธอคนนั้นคงไม่พูด “จ้ะ” กับผม คนที่อยู่ปลายสายคือคุณป้า แม่ของเธอที่เสียงคล้ายกันนั่นเอง
“ครับ”
“แม่พึ่งเห็นข่าวเรื่องสอบวัดผลในทีวี เราสมัครกับเขาด้วยใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นวันเสาร์เดี๋ยวแม่ไปส่งที่สนามสอบนะ เราจะได้ไม่ต้องเดินทางลำบาก”
“เดี๋ยวครับคุณน้า...” ผมกำลังจะบอกเธอว่าผมไม่คิดจะไปสอบ ทว่าปลายสายวางไปเสียแล้ว
ผมถอนหายใจ เอาเข้าจริงแม่ลูกก็เอาแต่ใจไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก
ความคิดเห็น