ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+Fic+Reborn! Romeo and Juliet[10027]~

    ลำดับตอนที่ #7 : #7

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 54


      

    เสียงคนกลุ่มหนึ่งคุยกันเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ค่อยๆปลุกร่างบางให้ตื่นขึ้น เสียงที่กำลังพูดอย่างหงุดหงิดนั่นคงเป็นของโกคุเทระคุง…. แล้วก็เสียงไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนของมุคุโร่ มันเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยดี และเขาก็รู้ว่าตอนนี้ฮิบาริคงไม่อยู่ในห้องที่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้หรอก

    ร่างเล็กปรือตาขึ้นมาช้าๆ ในหัวเรียบเรียงความคิดทีละนิด จริงสินะ เขาถูกเบียคุรันยิงที่ขานี่นา แล้วหลังจากนั้นไม่สิ ก่อนหน้านั้น

    “อ้าว ไง สึนะโยชิคุง ตื่นได้แล้วเหรอครับ” เสียงคำพูดกวนประสาทลอยเข้าหูทันทีแต่สึนะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นด้วยตอนนี้

    “มุคุโร่ข้อมูลข้อมูลน่ะ” ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก โกคุเทระรีบถลาตัวไปรินน้ำใส่แก้วส่งให้ร่างเล็กทันที

    “รุ่นที่สิบอย่าเพิ่งฝืนเลยดีกว่าครับ นอนพักให้สบายเถอะ เรื่องที่เหลือนั่นเดี๋ยวค่อยคุยกันหลังจากที่รุ่นที่สิบหายดีแล้วเถอะครับ”ชายหนุ่มพูดน้ำเสียแสดงความเป็นห่วง สึนะรับแก้วมาจากอีกฝ่ายพลางยกขึ้นดื่มน้อยๆ

    “อื้มจริงๆคุณเปิดประเด็นนี้มาก็ดีเหมือนกัน เพราะผมกำลังลังเลว่าควรจะเอาเรื่องนี้มาพูดกับคุณเลยดีไหม แต่ในเมื่อคุณเปิดมาแล้วก็เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” มุคุโร่พูดพลางพยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง สึนะกวาดสายตาไปรอบๆห้องที่ตอนนี้มียามาโมโตะนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกมุมหนึ่ง แล้วก็โกคุเทระกับมุคุโร่ที่ตอนนี้ยืนขนาบเตียงเขา

    “เอ๊ะ นายนี่ ยังไงเนี่ย รุ่นที่สิบยังไม่หายดีแล้วจะเอาเรื่องนี้มาให้รุ่นที่สิบปวดหัวเล่นทำไมเล่า”

    “ยังไงผลสุดท้ายเขาก็ต้องรู้อยู่ดี” มุคุโร่ย้อน สึนะขมวดคิ้วทันทีกับคำพูดนั้น

    “หมายความว่ายังไง ถ้าเรื่องข้อมูลน่ะฉันได้มาแล้ว มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อเสื้อตัวที่ฉันใส่เมื่อวันนั้น” สึนะพูดเมื่อเห็นว่าเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่มันเป็นคนละตัวกับเมื่อวันนั้น

    “ครับๆ ผมรู้แล้ว ผมเจอมันตอนที่ผมถอดเสื้อให้คุณนั่นแหละ แล้วมันก็หล่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อคุณ” มุคุโร่พูด สึนะชักสีหน้าน้อยๆ

    ทำไมนายต้องเป็นคนถอดเสื้อให้ฉันด้วย”

    “ก็เลือดสาดซะขนาดนั้น ถ้าไม่ถอดมีหวัง มีคนเข้าใจผิดว่าผมฆ่าคุณแล้วกำลังจะเอาศพไปฝังกันพอดีเอ๊ะๆๆ เดี๋ยวก่อน คุณอายเหรอ?” ชายหนุ่มพูดแหย่ สึนะปาหมอนบนหัวเตียงใส่อีกฝ่ายเร็วๆ

    “บ้ารึไง!

    “นี่แก! เลิกล้อเล่นกับรุ่นที่สิบได้แล้ว ถ้าจะพูดจริงๆก็ตั้งใจหน่อยสิ!” โกคุเทระย้อนอย่างหงุดหงิด

    มุคุโร่หยิบหมอนที่ร่างเล็กปาใส่ขึ้นจากพื้น พลางส่งยิ้มล้อเลียนให้คนบนเตียง

    “ตกลงว่าไงถ้านายเจอข้อมูลที่ฉันเอามาได้แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ?” สึนะถามน้ำเสียงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

    มุคุโร่หุบยิ้มลงในทันที ส่วนโกคุเทระเบือนหน้าหนีน้อยๆ สึนะเลิกคิ้วพลางหันไปมองยามาโมโตะที่นั่งเงียบมาตลอดเป็นเชิงตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ยามาโมโตะชี้ตัวเองงงๆก่อนจะถอนหายใจหน่อยๆ แล้วยกมือเกาหัวแกรกๆอย่างพูดไม่ออก

    “เอ่อรุ่นที่สิบ คือว่า” โกคุเทระพูดเกริ่น แต่ก็เงียบเสียงลง พอเขาคิดว่าสึนะอุตส่าห์ได้ข้อมูลส่วนนั้นกลับมาจนต้องเจ็บหนักแบบนี้ เทียบกับเขาที่แทบไม่บาดเจ็บอะไรเลยแล้ว

    “อื้มนั่นสินะ ให้พูดน่ะ มันพูดยาก” มุคุโร่ยักไหล่ “งั้นรอคุณหายดีก่อนแล้วค่อยไปดูเองแล้วกัน”

    ” สึนะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ อะไรกันนะ อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้ น่าโมโหชะมัดไอ้พวกนี้ ร่างเล็กเอื้อมมือไปจับขอบเตียง ก่อนจะหันไปสั่งกับโกคุเทระ

    “โกคุเทระคุง พาฉันไปที่ห้องคอมที”

    “เอ๊? แต่ว่ารุ่นที่สิบ

    “ในเมื่อบอกฉันไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะไปดูเอง”

    “ฉันเอามาให้นายแล้ว พ่อคนเก่ง” เสียงฮิบาริดังออกมาจากหน้าระตูห้องเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ในห้องทั้งหมด ร่างสูงก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนอย่างเคย ก่อนจะส่งหรือควรจะเรียกว่าเขวี้ยงโน้ตบุ๊คตัวเก่งของสึนะที่อยู่ในมือตัวเองให้ร่างบาง

    “โอ๊ยยยยย เจ็บๆๆๆ” สึนะครางเมื่อโน้ตบุ๊กของตัวเองกระแทกกับแผลที่ขาใต้ผ้าห่ม โกคุเทระหันไปแหวทันที

    “นี่แก รุ่นที่สิบเพิ่งผ่าตัดมานะเว้ย!

    “เอ๊?? ฉันผ่าตัดเหรอ?? ทำไมอ่ะ” สึนะถามอย่างงงๆ มุคุโร่เขกหัวร่างเล็กเบาๆ

    “ก็กระสุนมันฝังในนี่ครับ ก็ต้องผ่าออกสิ แล้วนี่คุณรู้ตัวไหมเนี่ยว่าตัวเองสลบไปตั้งสามวัน นอนกินบ้านกินเมืองจนผมแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่แล้วเนี่ย” มุคุโร่พูดล้อพลางแสร้งทำตัวลีบๆ

    “ที่นายไม่มีที่จะยืนเพราะนายทำตัวไม่ได้เรื่องจนไม่มีใครอยากให้นายอยู่ร่วมโลกด้วยมากกว่ามั้ง” สึนะกัดตอบ พลางเอ่ยขอบคุณโกคุเทระที่เลื่อนที่วางโน็ตบุ๊คออกมาให้เขา ฮิบาริเดินเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆยามาโมโตะแล้วเท้าคาง ส่วนมุคุโร่ได้แต่ทำปากขมุบขมิบสาปแช่งร่างเล็ก เพราะนึกคำเถียงต่อไม่ออก

    “ไม่น่ารอดมาได้เลยจริงๆนะคุณเนี่ย” มุคุโร่พึมพำ สึนะยักไหล่อย่างไม่สนใจ

    ร่างเล็กจัดสายระโยงรยางค์ที่ต่อเข้ากับโน้ตบุ๊คของตัวเองที่ฮิบาริต่อมาให้จากห้องคอม พลางเริ่มคีย์โน้ตบุ๊กของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว

    มือเล็กเลื่อนไปขยับเมาส์ไปที่ข้อมูลที่เขาต้องการจะหาอย่างรวดเร็ว แล้วร่างเล็กก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อค้นพบปัญหาที่ว่า

    [[PASSWORD PROTECT _ _ _ _]]

    จริงๆก็ไม่น่าแปลกอะไรกับเรื่องนี้ แต่จริงๆแล้วแค่แก้พาสเวิร์ดมันก็ไม่น่าจะยุ่งยากอะไรไม่ใช่เหรอ?

    สึนะเปิดรันโปรแกรมต่างๆขึ้นมาบนหน้าจอ ปลายนิ้วเรียวเริ่มรัวบนแป้นพิมพ์เร็วๆภายใต้บรรยากาศในห้องที่เงียบสนิท

    “ให้จางนีนิดูให้รึยัง?” สึนะเอ่ยถาม ตายังคงมองบนหน้าจอเขม็ง

    “เขาแก้ไม่ได้ครับ” มุคุโร่พูดพร้อมเหยียดยิ้มหวาน ในขณะที่มือเอื้อมไปหยิบส้มในตระกร้าขึ้นมาปอกเปลือก “”ระดับเขาแก้ไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่าระดับคุณจะแก้ได้หรอก”

    “เชอะ” สึนะแยกเขี้ยวใส่มุคุโร่ที่เอาส้มเข้าปาก พลางลอบกลืนน้ำลายอึกๆ เขารู้สึกว่าตอนนี้ท้องไส้เขากำลังปั่นป่วนจากการแก้ข้อมูลตรงหน้าบวกกับที่เขาไม่ได้กินอะไรมาสามวัน เขารู้ว่าตอนนี้ท้องเขาหิวสุดๆ แต่ปากเขาคงยังไม่อยากกินอะไรตอนนี้แน่

    เสียงรัวแป้นพิมพ์ดังและถี่ขึ้นพร้อมๆกับสีหน้าที่ซีดลงของร่างเล็ก มุคุโร่ยังคงหยิบนู่นหยิบนี่ออกมาจากในตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ปอกเปลือกส้มแล้วยัดเข้าปากพลางมองสีหน้าที่ซีดลงของร่างบางด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ

    “ผมบอกแล้ว ระดับคุณน่ะทำไม่ได้หรอก ถึงจะน่าเสียดายแต่ผมว่าตัดใจดีกว่า”

    ….” ใบหน้าหวานเม้มริมฝีปากแน่นอย่างเจ็บใจ มือยังคงรัวแป้นพิมพ์ต่อไปเรื่อยๆ ฮิบาริหาวออกมาหน่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา โกคุเทระอึกอัก เขาอยากจะบอกให้คนบนเตียงหยุดคิดอะไรที่มันยุ่งยากแล้วพักผ่อน ส่วนยามาโมโตะยังคงจ้องร่างเล็กนิ่งๆ

    ในที่สุดสึนะก็กระแทกมือลงบนคีย์บอร์อย่างหงุดหงิด

    “นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!” เสียงหวานตะโกนอย่างหงุดหงิด พลางเบ้หน้า นี่มันเป็นสิ่งที่เขาถูกยิงเพื่อให้ได้มาเลยนะ แล้วจะบอกว่าเปิดไม่ได้งั้นเหรอร่างบางยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด แต่มืออีกข้างอย่างคงรัวแป้นพิมพ์อย่างไม่ยอมแพ้ โกคุเทระเม้มริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหาสึนะในที่สุด

    “พอก่อนเถอะครับ รุ่นที่สิบ” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพลางโน้มหน้าลงไปหาใบหน้าหวานใกล้ๆ มือหนาเอื้อมไปแตะมือของร่างเล็กที่ยังคงรัวแป้นพิมพ์ “ตอนนี้รุ่นที่สิบควรจะพักผ่อน อย่างน้อยตอนนี้ก็กินอะไรก่อนเถอะครับ ส่วนเรื่องข้อมูล…. ไว้เราค่อยหาทางอื่นก็ได้ โอกาสยังมีอีกตั้งเยอะ”

    …..” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากอีกฝ่าย ทำให้ร่างเล็กต้องหยุดมือลง ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาในอกเมื่อมือหนาเอื้อมมาบีบมือเขาเบาๆแล้วดึงมาเขาออกจากแป้นพิมพ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลช้อนขึ้นไปสบกับอีกฝ่าย

    “โกคุเทระฉัน” สึนะอึกอัก “ขอโทษ”

    ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาในที่สุดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นที่สิบ ตอนนี้พักผ่อนให้หายดีกว่าก่อนเถอะครับ” โกคุเทระพูดพลางดึงตัวโน้ตบุ๊คออกจากตรงหน้าของร่างเล็ก

    “แหมๆๆๆ นั่นสินะครับ ปกติคุณเองก็หัวไม่ค่อยดี ยิ่งตอนไม่สบายยิ่งแย่เข้าไปอีกสองเท่า รอให้หายดีก่อน แล้วมาลองใหม่อาจจะแก้ได้นะครับ” มุคุโร่พูดขึ้นบ้าง สึนะค้อนขวับใส่อีกฝ่ายทันที

    แต่ถึงจะดูเหมือนเป็นคำพูดกวนๆเล่นๆ แต่ความหมายในประโยคกับน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงทำให้สึนะอ่อนข้อลง

    ซักพักทั้งหมดก็ทยอยออกจากห้องเพื่อให้ร่างเล็กได้พักผ่อน สึนะถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน แอบสะดุ้งกับสายตาคมของฮิบาริก่อนที่ร่างสูงจะออกไปจากห้องเมื่อครู่

    หวังว่าคุณฮิบาริจะไม่เอาไปบอกใครเรื่องที่เขาจูบกับเบียคุรันหรอกนะ

    เขารู้ว่าฮิบาริไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เขาก็อดเสียวไม่ได้นี่ อยู่ๆคุณพี่ท่านเขาเกิดอยากเปลี่ยนนิสัยขึ้นมาตอนนี้ เขาจะทำยังไง ยิ่งเมื่อตอนั้น….

    ร่างเล็กไหวตัวขึ้นมาหน่อยๆเมื่อนึกถึงจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นไปสัมผัสกับริมฝีปากของตัวเองน้อยๆ ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อขึ้น

    ทำไมคุณฮิบาริต้องทำแบบนั้น? เพราะว่าโกรธที่เขากับเบียคุรันจูบกันอย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงโกรธ…?

    สึนะรีบสะบัดความคิดต่อไปออกจากหัว ทำไมถึงโกรธน่ะเหรอ ก็เพราะเบียคุรันเป็นบอสของฝั่งตรงข้ามน่ะสิ! เหตุผลมันก็ง่ายนิดเดียว จะไปคิดอะไรให้มันยุ่งยากทำไมเนี่ยเรา

    แต่ว่าพอนึกถึงเบียคุรันความเจ็บมันก็แล่นแปลบเข้ามา แค่นึกถึงใบหน้าที่มองเขาตอนที่รู้ว่าเขาทรยศ นึกถึงแววตาที่เจ็บปวดคู่นั้น ความเจ็บปวดที่ร่างสูงพยายามเก็บไว้ด้วยการแสดงออกที่ตรงข้าม ทั้งๆที่มันมีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดมากกว่าเดิมเท่านั้น

    “อุบ” สึนะกุมปากของตัวเอง ก่อนจะไอออกมาเบาๆ

    อย่าร้องนะเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะร้อง คนที่ผิดคือเขา อย่าร้องนะ สึนะโยชิ

    “แฮ่กแฮ่ก..” ร่างเล็กหอบออกมาน้อยๆ รู้สึกเหมือนความรู้สึกเจ็บในอกจะล้นทะลึกออกมา

    เขาเข้าใจเขาเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายราวกับอ่านใจได้ ซึ่งเขาอาจจะทำได้จริงๆ ทำไมเขาถึงเข้าใจ? ถ้าเขาเข้าใจว่าเบียคุรันเกลียดเขาไปเลย มันอาจจะไม่เจ็บขนาดนี้ แต่เพราะร่างสูงไม่เกลียดเขา ถึงจะพยายามทำเป็นเกลียดแค่ไหน แล้วเขาก็เข้าใจมันซะด้วย

    แล้วยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ในตอนนี้ ทำให้หวนนึกถึงทุกคนในแฟมิลี่ของเขาขึ้นมา ทุกคนเป็นห่วงเขาแล้วนี่เขากำลังทำอะไรอยู่

    เขาทำอะไรลงไป เขาทำอะไรลงไปเนี่ย

    “อึก..

    ใบหน้าหวานที่ตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เริ่มซีดขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ร้องไห้ เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ร้อง สึนะปล่อยให้ความรู้สึกผิดมันกรีดลึกเข้าไปในหัวใจช้าๆ ก่อนจะหลับตาลงเบาๆ แล้วนึกถึงบุรุษอีกคน คนที่เขารักมาก มากถึงมากที่สุด

     

    .

    .

    .

    .

    .

    “คุณเบียคุรันคุณเบียคุรันครับ” เสียงที่ดังเหมือนมาจากที่ไกล ปลุกร่างสูงที่กำลังเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างน้อยๆ เบียคุรันหันหน้าออกจากกระจกหน้าต่าง ก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มให้อีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานที่เขานั่งอยู่

    “หืม? มีอะไรเหรอ โชจัง”

    “อีกแล้วนะครับ นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเมื่อกี๊เลยใช่ไหม” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะก้มลงมองเอกสารในมืออีกที แล้วส่งให้ร่างสูง “ผมบอกว่าไม่มีข้อมูลอะไรเสียหาย รายละเอียดคุณไปอ่านเอาเองละกัน แล้วก็เรื่องที่มีคนบุกเข้ามาในฐานของเราไม่มีคนรู้เยอะหรอกครับ เพราะว่าคุณเป็นคนสั่งให้ปิดข่าวใช่ไหม”

    ร่างสูงหยิบมาชเมลโล่ในจานที่วางอยู่แถวๆนั้นเข้าปาก ก่อนจะหยิบเอกสารที่อีกฝ่ายส่งมาให้ขึ้นมาดู แล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดตอบยิ้มๆเหมือนอย่างเคย

    “ก็นะ โชจัง” ใบหน้าคมเหยียดยิ้ม “ถ้าเรากระจายข่าวออกไปให้คนในแฟมิลี่รู้ ดีไม่ดีจะเป็นเรื่องใหญ่ซะเปล่า ให้รู้กันแค่สี่ห้าคนที่รู้อยู่นี่ก็พอ แล้วอีกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่เหรอ ก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย เดี๋ยวจะโกลาหลกันไปซะเปล่าๆ”

    “มันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่หรอกครับคุณเบียคุรัน” โชอิจิพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “แต่ที่คุณบอกว่า ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใครนี่

    ” นัยน์ตาคู่คมตวัดขึ้นไปมองคนพูดทันที “ก็มันไม่มีหลักฐานอะไรไม่ใช่เหรอ”

    “แต่ว่า.. คุณเบียคุรัน!” ร่างเล็กรีบพูด “ผมเห็นนะครับ! ผู้พิทักษ์เมฆาแห่งวองโกเล่น่ะเขาไปด้อมๆมองๆอยู่แถวๆนั้นนะครับ ไม่แน่ว่าทางวองโกเล่อาจจะ

    “ไม่มีหลักฐานก็คือไม่มีหลักฐาน” เบียคุรันพูดตอบอย่างไม่ยี่หระพลางหยิบขนมในจานเข้าปากอีกชิ้น “ทำไมจะต้องพยายามยกโทษให้ใครซักคนด้วย”

    “แล้วทำไมคุณเบียคุรันจะต้องพยายามปกป้องอีกฝ่ายมากขนาดนั้นละครับ!” โชอิจิพูดขึ้น แทบจะเป็นเสียงตะโกน ร่างสูงนิ่งไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น ก่อนจะมองคนตรงหน้าที่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ หรืออาจจะมีหลายๆความรู้สึกที่ปนกัน เบียคุรันหลบตาอีกฝ่ายเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเงยขึ้นมาสบใหม่ พร้อมกับคลี่ยิ้ม

    “อย่าเข้าใจผิดสิ โชจัง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นในที่สุด

    “เอ๊ะ?” อีกฝ่ายอุทานอย่างไม่เข้าใจ

    “ที่ผมไม่อยากหาตัวคนร้าย หรือยกความผิดให้ใคร ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่างถ้าเราประกาศออกไป มันก็จะไปถึงหูแฟมิลี่อื่นด้วยแน่ๆ แล้วถ้าเป็นแบบนั้น มันก็จะทำให้แฟมิลี่อื่นเข้าใจว่าแฟมิลี่ของเรามันบกพร่องด้านบอดี้การ์ดซะเปล่าๆ แล้วเขาก็อาจจะหาเรื่องโจมตีเราว่ามีความลับอะไรเก็บไว้รึเปล่า กลายเป็นประเด็นถกเถียงให้มันยุ่งยากขึ้นก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรื่องมันไม่ร้ายแรงอะไร ผมก็ไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เข้าใจไหม? โชจัง”

    ….” ชายหนุ่มนิ่งคิดไปกับคำอธิบายยาวเหยียดของอีกฝ่าย ไม่มีคำพูดที่ไหนที่ไม่จริงเลยซักนิด โชอิจิเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างสูงอีกที “ผมขอโทษครับ คุณเบียคุรัน”

    !?” ร่างสูงนิ่งอึ้งไปกับคำขอโทษนั้นทันที

    “คุณเบียคุรันอุตส่าห์นึกถึงแฟมิลี่ขนาดนี้แต่ผมกลับพูดจาแบบนั้นใส่เบียคุรัน ผมขอโทษครับ”

    ความรู้สึกผิด ประเดประดังเข้าในใจร่างสูงวูบ

    เบียคุรันเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ พยายามฝังความคิดนั้นด้วยอะไรที่หลายๆอย่าง ใช่ เขารู้สึกผิดต่อแฟมิลี่ แต่เขาก็รู้สึกผิดต่อคนที่เขารักด้วยเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าอะไรมันมากกว่า แต่ตอนนี้เขามีแต่ต้องประคับประคองมันไปเรื่อยๆแบบนี้

    ใบหน้าคมคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ

    “อย่าคิดมากน่า โชจัง เข้าใจก็ดีแล้ว แล้วนี่ นอกจากเรื่องนี้มีอะไรอย่างอื่นอีกรึเปล่า?”

    “อ้อครับ มีข่าวจากวงในมาว่า บอสของวองโกเล่สึนะโยชิโดนลอบยิงน่ะครับ” โชอิจิพูดอย่างนึกขึ้นได้ “แต่ว่าไม่บาดเจ็บสาหัสอะไร แต่สาเหตุ เวลา หรือสถานที่ไม่ระบุนะครับ”

    “งั้นเหรอ” ร่างสูงพูด เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “อืม ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”

    “คุณเบียคุรัน” ร่างบางอึกอัก “คุณคิดยังไงกับวองโกเล่รุ่นที่สิบครับ”

    กึก

    ร่างสูงไหวตัวกับคำถามนั้นน้อยๆ ก่อนจะหันขวับไปที่คนถาม พลางคลี่ยิ้มที่อ่านไม่ออกเหมือนเคย

    “คิดยังไงในความหมายไหนละ?”

    “ถึงจะถามว่าในความหมายไหน” โชอิจิขมวดคิ้ว เบียคุรันหยิบมาชเมลโล่นานขึ้นอีกชิ้น ก่อนจะหมุนเก้าอี้ไปทางหน้าต่างอีกครั้ง “คุณเบียคุรัน..?

    “อืมนั่นสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยสบายๆตอบ “พันธมิตรในหมู่ศัตรูละมั้งครับ”

    โชอิจิทำหน้าโล่งอกขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินคำพูดนั้น”อย่างนั้นเหรอครับ”

    ….

    “อ่า ถ้าอย่างนั้น คุณเบียคุรันจะไม่ไปเยี่ยมเขาหน่อยเหรอครับ วองโกเล่รุ่นสิบน่ะ”

    “หืม?” เบียคุรันพูดอย่างงงๆ โชอิจิรีบขยายความ

    “ก็ถ้าคุณหมายถึงพันธมิตรในหมู่ศัตรู ก็หมายถึงเขาเป็นศัตรูที่เราต้องแสร้งทำเป็นพันธมิตรด้วยใช่ไหมละ เพราะงั้น การที่คุณไปเยี่ยมเขา ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”

    ….” เบียคุรันนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อีกฝ่าย “ถ้าโชจังคิดว่างั้นก็

    “อ๊ะ ครับงั้นเดี๋ยวผมจะจัดการเตรียมให้” ร่างบางพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง

    เบียคุรันหัวเราะในใจ เขาจะบอกไปได้ไงละ ว่าคนที่ลอบยิงวองโกเล่รุ่นที่สิบที่ว่าคือเขาเอง แล้วเขากำลังจะไปเยี่ยมคนที่ตัวเองยิงไปกับมือเนี่ยนะ ฮ่าๆควรจะขำดีไหมเนี่ย








    -----------------------------------------------------------------------------
    กลับมาอัพต่อแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ดีใจที่ได้มาอัพ10027! เพราะโดยส่วนตัวแล้วฟิคนี้เป็นฟิคที่อยากอัพมากที่สุดเลย ฮ่ะๆๆๆ แต่คนอ่านน้อยลงไปเยอะเลยแฮะ? ORZ เพราะไม่มีฉากเรทใช่ไหม=*=


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×