คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : วาสนาครั้งที่ 1 ดรุณีในกรงเล็บมังกร 100%
ไป๋อวี้ซิงพยักหน้าแล้วใช้พลังตรวจอาการบอบช้ำภายในให้แก่นาง
“เจ้าหายดีเป็นปกติแล้ว ยามื้อนี้ถือเป็นมื้อสุดท้ายที่ต้องดื่ม
เจ้ารีบกินอาหารแล้วดื่มยาเถิด”
“ขอบคุณท่านเทพ
หลายวันมานี้ข้ารบกวนท่านมากจริงๆ”
“ที่เจ้าบาดเจ็บถือว่าสำนักของข้าก็มีส่วน
การที่ข้าช่วยรักษาให้เจ้าถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว หลังจากนี้เจ้าอยากไปที่ใด
ข้าจะไปส่งเจ้าจนถึงที่นั่น” เขาเสนอตัวไปตามที่เห็นสมควร
และเมื่อส่งนางจนถึงที่หมายแล้วเขาจะตรงไปที่สำนัก
เรียกเหล่าศิษย์ของตนมากำชับความไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อีก
ซูหนิงเซียงพลันกระจ่างแจ้งขึ้นในใจ
ที่แท้เขาดีต่อนางก็เพราะเหตุนี้ “ข้าต้องการกลับไปที่สำนักเทพของท่าน และต้องการฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนัก
ขอเพียงท่านยอมช่วยออกหน้าสักครั้ง”
“เจ้าไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกไม่ใช่หรือ”
“ถูกต้อง
และนั่นก็คือเรื่องที่ข้าไม่อาจยอมรับ เหตุใดท่านจึงต้องกีดกันเด็กกำพร้าด้วย
พวกเราเกิดมาอาภัพไร้พ่อขาดแม่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเลวร้าย หลายคนมีความสามารถแต่กลับต้องถูกปฏิเสธเพราะเรื่องนี้
นี่ถือเป็นความยุติธรรมแล้วหรือ”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า
แต่สำนักของข้าไม่ได้มุ่งถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เท่านั้น ผู้ที่เข้าเป็นศิษย์จะได้ศึกษาวิชาเซียนเอาไว้ช่วยเหลือผู้คน
หากศิษย์ที่รับเข้ามาไม่อาจสืบสาวที่มาที่ไปได้แต่แรก วันหน้าหากมีศิษย์ทรยศนำวิชาที่ได้ไปใช้ในทางที่ผิด
ย่อมเกิดผลกระทบตามมาอย่างใหญ่หลวง”
“ต่อให้ท่านใช้วิธีร่อนกรวดทรายออกจากข้าวสารเช่นนี้
ก็ใช่ว่าผู้ที่รับเข้ามาทั้งหมดจะเป็นคนดี” นางเคยเห็นมามากมายนัก
ลูกเศรษฐีที่อาศัยเงินพ่อแม่ทำตัวเป็นอันธพาล เขาเป็นเทพอยู่มาหลายหมื่นปีจะไม่เคยเห็นเลยเชียวหรือ
“การจะเข้าเป็นศิษย์ในสำนักข้าหาได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด
ขั้นตอนการคัดเลือกศิษย์ยังมีอีกหลายด่าน ดังนั้นต่อให้เปิดรับศิษย์ใหม่
ก็ใช่ว่าจะมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ร้อยปีมานี้ในสำนักจึงมีศิษย์ใหม่เพียงสิบคนเท่านั้น
ผู้ที่โยนเจ้าออกมาไม่แน่ว่าจะใช่ศิษย์ในสำนัก
วันรับศิษย์ใหม่ผู้คนมากมายจึงต้องอาศัยกำลังคนจากที่อื่นมาช่วย” ไป๋อวี้ซิงอธิบายอย่างใจเย็น
ต้องพูดให้นางเข้าใจกระจ่าง วันหน้าเมื่อนางไปพบผู้อื่นจะได้ชี้แจงเหตุผลได้ถูกต้อง
“ร้อยปีรับศิษย์แค่สิบคน”
ซูหนิงเซียงทวนคำอย่างตกตะลึง ไม่คาดว่าจะยากเย็นถึงเพียงนั้น “แต่อย่างไรข้าก็ยังอยากเป็นศิษย์ในสำนักของท่านอยู่ดี”
นางทอดถอนใจพลางลู่ไหล่ลงอย่างผิดหวัง
“เหตุใดเจ้าจึงอยากเข้าสำนักของข้านัก”
ใต้หล้านี้ใช่ว่าจะมีเพียงสำนักเทพของเขา
สำนักอื่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็มีอยู่ไม่น้อย
“ข้าเป็นกำพร้าใช้ชีวิตเร่ร่อนมาตั้งแต่เด็กถูกรังแกมาก็มาก
ชีวิตประสบแต่ความทุกข์ยากไม่เคยมีความสุขแม้แต่วันเดียว วันหนึ่งมีแม่ชีชรายอมรับข้าเป็นศิษย์
นางบอกว่าแม้ข้าจะมีนิสัยเกเรดื้อรั้น ทว่าพื้นฐานสามารถขัดเกลาได้
แต่เป็นเพราะข้าไร้วาสนา นางยังไม่ทันสั่งสอนวิชาอะไรให้ข้าก็ล้มป่วยหนัก
ก่อนจะสิ้นใจนางสั่งเสียให้ข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักของท่าน
นางเชื่อว่าข้าสามารถบำเพ็ญเพียรจนเป็นเซียนได้ ข้าจึงทำตามคำสั่งเสียของนาง”
“หมายความว่าเจ้าขึ้นเขาตามคำสั่งเสียของอาจารย์
หาใช่เพราะความตั้งใจของตนเองไม่”
“เป็นด้วยคำสั่งเสียของอาจารย์ครึ่งหนึ่ง
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นความตั้งใจของตัวข้าเอง
ข้าอยากเรียนวิชาเซียนเพื่อช่วยเหลือผู้คน ชีวิตข้าผ่านความทุกข์ยากมามากมายไม่มีใครคอยช่วยเหลือ
บางครั้งแม้มีบางเรื่องที่ข้าไม่อยากกระทำ แต่ก็ถูกคนชั่วรังแกบีบคั้นให้ต้องทำ อาจารย์เคยบอกข้าว่าหากสามารถรู้ใจผู้อื่นได้
ก็จะเข้าใจเหตุผลในการกระทำของคนผู้นั้น ข้าจึงอยากรู้นักว่าในใจคนเหล่านั้นเก็บอะไรเอาไว้บ้าง”
ไป๋อวี้ซิงแยกออกว่าในน้ำเสียงของนางมีความเจ็บแค้นแฝงอยู่ส่วนหนึ่ง
คาดว่าเส้นทางชีวิตของนางคงผ่านมาไม่ง่ายดายนัก ที่อาจารย์ของนางสอนมาก็ไม่ผิด
เขาจึงคิดอยากชี้แนะนางเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
“ต่อให้รู้ใจคนทั่วหล้าก็หาได้มีค่าเท่ากับรู้ใจตนเองเพียงหนึ่งเดียว
เมื่อสามารถรู้ใจตนเองได้แล้ว ไม่ว่าจะมีความคิดดีหรือความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นในใจ
เจ้าก็ล้วนใช้สติจัดการกับความคิดเหล่านั้นได้
เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการขัดเกลาตนเองอย่างแท้จริง”
ซูหนิงเซียงจ้องมองบุรุษตรงหน้าไม่วางตา
ส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในใจสั่นสะเทือนไปกับคำพูดของเขา
ในดวงตาประหนึ่งมองเห็นแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นตรงหน้า
แสงสีขาวที่นุ่มนวลยิ่งกว่าแสงเงินยวงของดวงจันทร์ที่สะท้อนบนผืนน้ำ
ภาพที่นางเคยเห็นในความฝัน ความรู้สึกหนึ่งแผ่ลามราวกับคลื่นน้ำที่กลืนกินฝั่งอาบรดลงบนผืนดิน
จากนั้นต้นอ่อนสีเขียวก็แทงยอดขึ้นจนละลานตา
เหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนี้เพียงเพราะคำพูดของเขา
ไป๋อวี้ซิงเห็นนางนิ่งงันไปก็คิดว่าเรื่องที่เขาพูดยากเกินกว่าที่นางจะเข้าใจ
เขาจึงลุกขึ้นให้นางได้เริ่มลงมือกินอาหาร ไม่คิดว่าจะทำให้นางสะดุ้งรีบลุกขึ้นตาม
จนตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะตกไปอยู่ที่พื้น
เขาจึงเสกตะเกียบคู่ใหม่ขึ้นมาในมือแล้วส่งให้นาง
“เจ้ากินข้าวต่อเถิด”
ซูหนิงเซียงรับตะเกียบมา
ในใจพลันเกิดความปรารถนาหนึ่งสว่างวาบขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว หัวใจสะท้านไหวและเอียงอายโดยไร้เหตุผล
เป็นครั้งแรกที่นางแบ่งแยกว่าเขาคือบุรุษและนางคือสตรี
ความอ่อนโยนที่ได้รับทั้งเมื่อครู่นี้และตลอดหกวันที่ผ่านมา ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าเขาแตกต่างจากชายอื่นที่นางเคยพบ
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอกข้างซ้ายเต้นรัวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางมองเขาก้าวจากไปความรู้สึกในส่วนลึกยิ่งกระจ่างชัด
เมื่อครู่เขาเพิ่งสอนให้นางรู้ใจตนเอง
สอนให้นางใช้สติจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ถึงนางจะเรียนมาน้อยรู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว
หากก็พอรู้ได้ว่าความรู้สึกที่แผ่ลามอยู่ในอกนี้คือสิ่งใด
นางเป็นมนุษย์ที่ไปหลงรักเทพเข้าให้แล้ว
ใช่หรือ...จริงหรือ...
ซูหนิงเซียงหลับตาลงในมือกำตะเกียบที่เจือความอบอุ่นนั้นไว้จนแน่น
ผลลัพธ์นั้นน่าตื่นตระหนกทว่ากลับมีความอ่อนหวานแทรกซึมอยู่ในทุกอณู
ประหนึ่งเส้นสายบางเบาที่เกี่ยวรัดใจนางไว้ ให้ปล่อยวางไม่ได้ตัดใจไม่ลง
นิสัยนางมิใช่คนโลเลจับจด จึงใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งลมหายใจพิจารณาและไตร่ตรองเรื่องนี้จนถ้วนถี่
ไป๋อวี้ซิงเป็นเทพแล้วอย่างไรเล่า หากรักแล้วยอมเช็ดน้ำตาลาจากเขาไปง่ายๆ สตรีขี้แพ้ผู้นั้นก็หาใช่นางแล้ว
ความคิดเห็น