คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : วาสนาครั้งที่ 1 ดรุณีในกรงเล็บมังกร 70%
วาสนาครั้งที่ 1 ดรุณีในกรงเล็บมังกร 70%
“กรงเล็บมังกรทำให้เจ้าบอบช้ำภายใน ตามข้ากลับไปรักษาก่อนก็แล้วกัน” เขาจำต้องอุ้มนางขึ้นอีกครั้ง นางเป็นมนุษย์ธรรมดาหากใช้พลังเทพรักษาจะเป็นการฝืนกฎสวรรค์ เหลือทางเดียวคือให้นางกินยาค่อยๆ รักษาให้หายเท่านั้น
ซูหนิงเซียงหมดแรงที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ รู้เพียงว่าร่างของนางถูกโอบไว้ในวงแขน
พริบตาเดียวก็ถูกเขาพามายังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางความเจ็บปวดและมึนงงนางพยายามลืมตาขึ้นมอง
ตอนนี้นางถูกเขาวางลงแล้วกำลังคิดจะเอ่ยปากถาม เขาก็ป้อนยาเม็ดหนึ่งเข้ามาในปาก
รสชาติขมเฝื่อนทำให้นางขมวดคิ้วแน่น แม้สุดท้ายจะเจือความหวานที่ปลายลิ้น
หากนางก็ยังอยากอาเจียนออกมาอยู่ดี
“ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งลุกขึ้นนั่ง
กินยาแล้วอีกสักครู่เจ้าจะดีขึ้น”
ต่อให้เขาไม่สั่งนางก็ไม่มีแรงลุกขึ้นมาอยู่ดี
ได้แต่ฝืนเปิดเปลือกตาเอาไว้ไม่ให้ตนเองหลับไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีจะให้หมดสติต่อหน้าบุรุษย่อมไม่สมควร
ดวงตาจึงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อดึงความสนใจของตนเองเอาไว้ จุดที่นางอยู่นี้คล้ายศาลาแห่งหนึ่ง
หูของนางได้ยินเสียงน้ำไหล จมูกได้กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาเป็นสาย ผีเสื้อคู่หนึ่งบินเคียงกันมา
ท่ามกลางสายลมโชยเอื่อย สงบ ร่มเย็น และเป็นสุข สถานที่นี้คือที่แห่งใดกัน
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“ยอดเขาสดับพิรุณ
ตอนนี้เจ้ากำลังพักอยู่ในศาลาบงกชพ้นวารี”
ซูหนิงเซียงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกออกว่าเขาสดับพิรุณก็คือสถานที่ปลีกวิเวกของเทพไป๋อวี้ซิง
นางมาอยู่ที่นี่ได้เพราะมังกรตัวนั้นเหินผ่านยอดเขาแห่งนี้
หรือว่าเขาพบนางจากที่อื่นแล้วจึงพามารักษาตัวที่นี่
“ขอบคุณท่านเทพที่ช่วยข้าจากมังกรตัวนั้น
ไม่ทราบว่าท่านเห็นข้าได้อย่างไร”
“มังกรดำบินผ่านมาทางนี้
ท่าทางมันกำลังคึกคะนองเหมือนได้ของเล่นใหม่
ข้ามองไปเห็นเจ้าอยู่ในกรงเล็บของมันจึงช่วยเจ้าออกมา
ที่อยู่ของมังกรดำตัวนั้นห่างจากที่นี่ไปราวสิบลี้ ข้าทำให้มันตกใจจนยอมปล่อยเจ้า
ป่านนี้มันคงเหาะกลับไปซ่อนตัวอยู่ในที่ของตนเองแล้ว”
“อ้อ”
นางพยักหน้ารับทราบ ที่แท้เขาก็ไม่ได้ทำร้ายมัน แต่เจ้ามังกรดำตัวนั้นช่างขวัญอ่อนนัก
ส่งเสียงร้องจนนางคิดว่ามันถูกทำร้ายจนสาหัส ที่แท้ก็แค่ตกใจกลัวจนหนีไป
ทว่าท่านเทพผู้นี้ช่างมีเมตตาสมกับที่นางเคยได้ยินมา หากนางขอร้องเขาเรื่องเข้าสำนัก
ก็อาจมีทางเป็นไปได้ที่เขาจะช่วยออกหน้าแทนนาง
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าโดนศิษย์ในสำนักโยนออกมา
ทำให้ข้านึกได้ว่าวันนี้เป็นวันเปิดรับศิษย์ใหม่ บนเขาจะต้องเต็มไปด้วยผู้คน
ด้วยนิสัยของมังกรดำมันย่อมไม่ปรากฏกายต่อหน้าคนจำนวนมาก
แล้วเจ้าไปพบมันได้อย่างไรกัน” ไป๋อวี้ซิงถามต่อเมื่อเห็นว่านางพอมีแรงจะอธิบายให้เขาฟังได้แล้ว
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสำนักของเขาอย่างไรก็ควรสืบสาวให้กระจ่าง
“ข้าไม่ยอมรับเหตุผลที่เขาปฏิเสธข้า
พวกเขาก็เลยอาศัยกำลังที่มากกว่าจับข้ามาโยนไว้ที่ประตูทิศตะวันตก ที่นั่นนอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
จากนั้นข้าก็ถูกมังกรดำจับตัวไว้จนได้ท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ท่านเทพข้า...”
นางจะพูดต่อก็กระอักเลือดออกมาอีกกองหนึ่ง คราวนี้ไม่เพียงแต่ปากเท่านั้น
แม้แต่จมูกก็มีโลหิตไหลออกมาด้วย
“เจ้ายังไม่หายดี
ไม่ควรปล่อยให้ตนเองถูกอารมณ์พลุ่งพล่านครอบงำจนลมปราณตีกลับ
สังเกตจากสีของโลหิตแล้วอาการของเจ้านับว่าหนักเอาการ ในช่วงนี้เจ้าก็พักรักษาตัวให้หายดีก่อน
เรื่องอื่นหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
ซูหนิงเซียงไม่ขัดข้องในเรื่องนี้
นางเป็นกำพร้าไม่มีบ้านจะให้กลับอยู่แล้ว หากเขาให้นางลงจากเขาไปนางก็ต้องเร่ร่อนหลบพักตามวัดร้าง
อาศัยอาหารที่พวกเศรษฐีโปรยทานประทังหิว นางบาดเจ็บเช่นนี้จะทำงานอะไรได้
ซ้ำร้ายหากถูกคนชั่วพบตัวเข้าแล้วพานางไปขายให้หอคณิกา นางคงหนีไม่รอด
เขายอมรับตัวนางไว้ไม่ขับไล่ไสส่งเหมือนเช่นคนอื่น ทำให้นางซาบซึ้งใจนัก
นางหลับตาลงน้ำตาไหลออกมาจากหางตา จมูกได้กลิ่นหอมของดอกบัวจางๆ แทรกมากับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
จิตใจพลันสงบลงอย่างประหลาด
และโดยไม่ทันรู้ตัวนางก็เผลอหลับไปต่อหน้าเขาตรงนั้นเอง
เสียงปักษาขับขานแทรกผ่านผ้าขาวปักลายบุปผาเข้ามาในห้อง
ปลุกให้ผู้ที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง ได้รู้ว่าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครา ซูหนิงเซียงพลิกตัวพลางม้วนผ้าห่มนุ่มมากอดไว้อย่างเกียจคร้าน
วันแรกที่ตื่นมาแล้วได้ยินเสียงนี้นางถึงกลับงุนงงไปชั่วขณะ สำนักของท่านอาจารย์แห้งแล้งกันดาร
แม้แต่วิหคสักตัวยังไม่บินมาหาอาหารแถวนี้ กระทั่งเก็บภาพห้องสีขาวเข้าสู่สายตาจนครบถ้วน
นางจึงรำลึกได้ว่าตนเองมิได้อยู่ที่สำนักเก่า แต่เป็นยอดเขาเหนือเมฆนามว่าสดับพิรุณ
และวันนี้ก็เข้าสู่วันที่เจ็ดแล้ว
ตลอดหกวันที่ผ่านมานางใช้เวลาไปกับการรักษาอาการบอบช้ำภายใน
คราแรกนั้นนางคิดว่าท่านเทพจะต้องมีลูกศิษย์หรือข้ารับใช้คอยรับคำสั่ง จนเมื่อเขานำอาหารและยามาให้นางด้วยตนเอง
นางจึงได้รู้ว่าบนยอดเขาแห่งนี้ไม่มีบุคคลอื่นอยู่อีก เรือนพักที่เขาให้นางอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าเคียงธารา
คงเพราะตั้งอยู่ใกล้กับศาลาบงกชพ้นวารี เพียงเปิดหน้าต่างออกไปนางจะได้เห็นสระบัวที่มีปทุมคลี่กลีบคายเกสรอยู่เต็มสระ
เพียงมัจฉาดีดตัวขึ้นมาหยดน้ำกลมใสก็ขึ้นไปกลิ้งอยู่บนใบสีเขียวอ่อนที่ไหวน้อยๆ
ตามแรงลม ห่างออกไปเล็กน้อยทางทิศเหนือมองเห็นสะพานเกสรมุกตั้งอยู่
หากข้ามไปที่นั่นก็คือเรือนพักของเทพไป๋อวี้ซิง ซึ่งนางไม่เคยข้ามสะพานนั้นไปแม้แต่ครั้งเดียว
และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ข้ามไปหรือไม่
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดแล้วและคือวันสุดท้ายแห่งการพักรักษาตัว
นางจำได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่ย้ายจากศาลามาอยู่ในเรือนพัก นางก็ก่อเรื่องน่าอับอายทั้งยังเสียมารยาทด้วยการอาเจียนใส่เขา
นั่นเพราะยาของเขามีรสขมจัด ยังดีที่เขาไม่ถือสานางในเรื่องนี้
ต่อมาเขาจึงหาบ๊วยเชื่อมมาให้นางกินแก้ขม เขาเป็นเทพไม่ต้องกินอาหารก็อยู่ได้
แต่นางเป็นมนุษย์ซ้ำยังร่างกายอ่อนแอ และตามกฎแล้วมนุษย์ไม่อาจกินอาหารที่เทพเสกขึ้นมาได้
เขาจึงต้องไปซื้ออาหารที่มนุษย์ทำมาให้นางกิน
กระทั่งเครื่องแต่งกายเขาก็ยังจัดหามาให้
เพราะห่อสัมภาระของนางหายไปตั้งแต่โดนมังกรนิลจับตัวเอาไว้แล้ว
ตั้งแต่เกิดมานางใส่แต่เสื้อผ้าขาดวิ่นมาตลอด
ชุดที่เขาหามาให้งดงามสดใสราวกับชุดของเหล่านางฟ้าก็ไม่ปาน
นางซาบซึ้งจนแทบหลั่งน้ำตา ไม่ใช่เพราะสิ่งของมากมายเหล่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษผู้หนึ่งเอาใจใส่นาง
“หากเจ้าตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมากินอาหารและดื่มยาเถิด”
ซูหนิงเซียงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ยามนี้ใจของนางไม่เบิกบานดั่งเช่นทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่างอีกแล้ว
เพราะรู้ว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่ที่นี่ แต่เหตุใดนางจึงไม่อยากจากไปข้อนี้นางก็ยังไม่เข้าใจตนเองนัก
อยู่บนเขาแห่งนี้มีอะไรดีกัน ต่อให้สถานที่งดงามแต่ละมื้อมีอาหารเลิศรส
ทุกวันมีอาภรณ์เพริศแพร้วให้สวมใส่ ทว่าก็ไร้อิสระต่างจากปณิธานที่นางได้เคยตั้งไว้
แล้วเหตุใดนางจึงอาลัยอาวรณ์จนสลัดไม่หลุด ทว่าเมื่อการจากลาคือความจริงก็ต้องยอมรับ
นางลุกขึ้นแต่งกายแล้วก้าวออกไปอย่างกระปรี้กระเปร่าให้สมกับนิสัยร่าเริงของตนเอง
“คารวะท่านเทพ”
ความคิดเห็น