คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : วาสนาครั้งที่ 1 ดรุณีในกรงเล็บมังกร 35%
วาสนาครั้งที่ 1 ดรุณีในกรงเล็บมังกร
ประตูทางทิศใต้คือทางออกของผู้ที่ไม่ผ่านตั้งแต่รอบแรก
บรรดาผู้ที่ผิดหวังจึงต้องเรียงแถวจากไปอย่างสงบ มีเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่งที่ไม่ยอมรับกฎซึ่งทางสำนักตั้งขึ้น
เสียงโหวกเหวกโวยวายของนางดังไปทั้งหุบเขา สุดท้ายจึงถูกหิ้วปีกออกมาทิ้งทางประตูตะวันตก
เพื่อไม่ให้นางก่อความเดือดร้อนและปลุกปั่นผู้ที่มีชะตากรรมเดียวกันเป็นแนวร่วม
“สำนักเทพสั่งสอนศิษย์เพื่อให้ช่วยเหลือผู้คน
แล้วเหตุใดจึงต้องกีดกันผู้ที่ไร้พ่อขาดแม่ด้วยเล่า
กฎเกณฑ์เช่นนี้ถึงตายข้าก็ไม่ยอมรับ” ซูหนิงเซียงร้องตะโกนสุดเสียงพลางผุดลุกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
พวกเขากล้าทำเหมือนนางเป็นลูกสุนัขตัวหนึ่ง
พอตอบคำถามนางไม่ได้ก็อาศัยกำลังที่มากกว่าโยนนางออกมา
“กฎข้อนี้ท่านเทพไป๋อวี้ซิงเป็นผู้ตราขึ้นเองนับแต่ก่อตั้งสำนัก
หากเจ้าไม่พอใจก็หาทางเป็นอาจารย์หญิงให้ได้ แล้วค่อยย้อนกลับมาแก้ไขกฎข้อนี้เอาเองก็แล้วกัน”
ผู้ที่โยนห่อสัมภาระตามเจ้าของออกมาตอบส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง เพราะมั่นใจว่าดรุณีผู้ทำตัวดุจอันธพาลผู้นี้
ไม่มีทางได้เป็นอาจารย์หญิงอย่างที่เขาว่าได้แน่ จากนั้นจึงปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
ไม่สนใจเสียงโวยวายของนางอีก
ซูหนิงเซียงทุบประตูจนมือระบมไปหมดก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครสนใจนาง
หันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นเพียงทางลงเขาที่สูงชันกว่าทางอื่น
แต่นางดั้นด้นปีนเขาขึ้นมาอย่างเหนื่อยยาก
มั่นใจว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์สำนักนี้ได้
หากจะถูกปฏิเสธเพียงเพราะนางเป็นกำพร้า ต่อให้ต้องตายกลายเป็นวิญญาณเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้
นางก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด
พวกลูกศิษย์ปลายแถวพวกนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงมีกฎข้อนี้
นางจะต้องหาทางเข้าพบเจ้าสำนักแล้วขอเหตุผลมาให้ได้
นางแหงนมองประตูหนาหนักที่ปิดใส่หน้า
จากนั้นจึงเหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาทางกลับเข้าไป
ทว่านอกจากทางลงเขาแล้วก็ไม่เหลือทางให้นางเดินหน้าได้อีก
เว้นแต่นางจะเหินร่างเหนือเมฆขึ้นไปเท่านั้น
แต่นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
ที่ตรงนี้ดูเหมือนจะมีแต่นางเพียงผู้เดียว
ยังดีที่ห่อสัมภาระของนางถูกโยนออกมาด้วย อย่างน้อยก็ยังมีของกินให้ได้ประทังหิว
กินเสร็จแล้วค่อยคิดต่อว่าจะเอาอย่างไรดี
ซูหนิงเซียงเดินไปคว้าห่อผ้าที่คลุกฝุ่นอยู่บนพื้นขึ้นมา
บนท้องฟ้าแสงตะวันสาดส่องไอร้อนลงมากลางศีรษะ กวาดตามองไปจึงพบไม้ใหญ่ให้อาศัยร่มเงา
ทว่าเพียงก้าวเท้าทันใดนั้นเงาดำขนาดใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาปกคลุม
นางเบิกตากว้างทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง มังกรดำขนาดใหญ่อยู่ตรงนั้น
ดวงตาดุจเปลวเพลิงจ้องเขม็งมาที่นาง ปากแสยะกว้างกรงเล็บแหลมคมเหยียดออก
พริบตามันก็โฉบเข้ามาแล้วคว้าร่างของนางเอาไว้
พาทะยานขึ้นเหนือเมฆด้วยความเร็วจนหูของนางอื้ออึงและเจ็บปวด ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจดึงเอาวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
พรั่นพรึงจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด และถูกพัดหายไปกับสายลมที่กรีดผ่านร่างอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันการเคลื่อนไหวของมันกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้ยินเพียงร้องคำรามของมัน
จากนั้นกรงเล็บที่บีบนางจนกระดูกแทบแหลกก็คลายออก ทิ้งร่างของนางให้ร่วงลงกลางอากาศ
ด้วยความสูงที่ยิ่งกว่ายอดเขาเรียงซ้อนกัน ชั่วขณะนั้นนางคิดอะไรไม่ออกได้แต่หลับตาแน่นรู้เพียงว่าต้องตายแน่แล้ว
ทว่าความแข็งแกร่งและอบอุ่นหนึ่งรับร่างของนางเอาไว้
หากเป็นก้อนเมฆนางย่อมทะลุผ่าน
หรือจะเป็นกิ่งไม้ใหญ่ที่ปกคลุมด้วยใบหนา
นางไม่กล้าลืมตาขึ้นมองรู้เพียงสองมือที่ตะเกียกตะกายไขว่คว้าอยู่กลางอากาศกอดสิ่งนั้นไว้แน่น
ร่างยังร่วงลงสู่เบื้องล่างทว่าความเร็วกลับลดลง
ไม่นานทุกอย่างก็หยุดลงอย่างนุ่มนวล
นางยังไม่ตายใช่หรือไม่...
ซูหนิงเซียงถามตนเองอย่างกลัวๆ
กล้าๆ ดวงตาที่ปิดแน่นค่อยๆ เผยอเปิดขึ้นอย่างหวาดหวั่น คนผู้หนึ่งปรากฏกายอยู่ตรงหน้านาง
หากภาพย้อนแสงกลับบดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ กลายเป็นเงารางเลือนดุจมายา ประหนึ่งตกอยู่ในภวังค์ฝันที่ทอขึ้นด้วยภูษาขาวราวไอหมอก
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว
เจ้ามีแรงยืนเองหรือไม่”
เสียงทุ้มกังวานนั้นดึงสติที่ปลิวหายไปแล้วของนางให้กลับมา
กวาดตามองอีกครั้งจึงได้รู้ว่าชายแปลกหน้าผู้นี้กำลังอุ้มนางเอาไว้ทั้งตัว แม้แข้งขาจะยังอ่อนแรงเพราะความตกใจ
หากนางก็รีบขืนตัวออกห่างเพื่อลงยืนด้วยตนเอง หลังถอยออกมานางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด
บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ดุจปุยเมฆ ทั้งเรียบง่ายและผ่าเผย
แลดูสูงส่งปราศจากมลทิน ในดวงตาล้ำลึกมีแววอบอุ่นทว่าก็สงบนิ่งจนดูเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นไม่อาจบรรยายได้หมด
ประหนึ่งเขามิใช่มนุษย์แต่คือเทพเซียนผู้เหยียบย่างอยู่บนเมฆาขาว
“ท่านเป็นใคร”
นางถามคล้ายละเมอราวกับโดนรูปโฉมของอีกฝ่ายล่อลวงวิญญาณไป
“ไป๋อวี้ซิง”
เขาตอบพลางพิศมองนางเช่นกัน เด็กสาวผู้นี้คือมนุษย์ที่อายุไม่เกินยี่สิบปี
บนดวงหน้ามอมแมมนั้นมองเห็นร่องรอยความตื่นตระหนก ทว่าคิ้วที่ขมวดนิดๆ กลับเรียวโค้งดั่งวาด
ดวงตาที่ทอประกายสุกใสจับจ้องมาที่เขาอย่างสนใจใคร่รู้ ริมฝีปากแดงดุจแต้มชาด
ผิวขาวถูกย้อมด้วยฝุ่นจนขะมุกขะมอม สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีฟ้าตุ่นที่มีรอยปะชุนอยู่หลายแห่ง
เหตุใดเด็กสาวเช่นนางจึงถูกมังกรนิลจับมาเป็นของเล่นได้
“ไป๋อวี้ซิง...ไป๋อวี้ซิง...ชื่อนี้คุ้นหูนัก”
ซูหนิงเซียงทวนคำไปมาพลางคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน
ทันใดนั้นดวงตาพลันเบิกกว้างหลังกระจ่างแจ้งแล้วว่าอีกฝ่ายคือใคร
“ท่านเทพไป๋อวี้ซิง”
“เจ้าเป็นใครกัน”
ไป๋อวี้ซิงถามเด็กสาวที่ไม่น่าจะรู้จักเขาได้
“ข้าแซ่ซูชื่อหนิงเซียง
วันนี้ตั้งใจมาฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักของท่าน หมายจะกราบท่านเป็นอาจารย์
แต่กลับถูกศิษย์ในสำนักของท่านโยนออกมาราวกับลูกสุนัขตัวหนึ่ง จากนั้นข้าก็ถูกมังกรดำจับตัวมาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
นางยอมรับว่านางตั้งใจฟ้อง คิดจะให้เขาคืนความเป็นธรรมให้แก่นาง
“เหตุใดพวกเขาจึงโยนเจ้าออกมา”
ความคิดเห็น