คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ เวทย์พยากรณ์
สามภพผูกพัน วาสนาคู่เคียง
บทนำ เวทย์พยากรณ์
เสียงโซ่ลากพื้นที่นำหน้าเข้ามาก่อนนั้นชวนให้หนาวเยือกพรั่นพรึง
ไม่นานร่างของนักโทษอุกฉกรรจ์ผู้หนึ่งก็ถูกนำตัวออกมา สภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นชวนตระหนกจนแทบหยุดลมหายใจ
ทั่วร่างเกรียมไหม้มองเห็นเพียงสีดำสลับแดงของโลหิต แม้กระทั่งกระดูกขาวที่แทงทะลุออกมาก็ถูกย้อมจนแดงฉาน
ศีรษะปราศจากเส้นผม เครื่องหน้าไม่เหลือร่องรอยให้บ่งบอกเพศ
ทิ้งไว้เพียงหลักฐานของการลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกทำลาย
ไม่ต่างจากหนอนเน่าตัวหนึ่งที่ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง
“พวกเจ้าจงดูมารวารีโลหิตเอาไว้เป็นตัวอย่าง
นี่คือจุดจบของผู้ที่คิดทรยศต่อข้า” เสียงนั้นกังวานอย่างนุ่มนวล
ทว่ากลับทำให้ผู้ที่ได้ฟังพากันหวาดผวา
ผู้ที่นั่งอยู่เหนือบัลลังก์คือจอมมารจิ่วหรง
ดวงหน้างามสง่าอ่อนเยาว์เผยรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเปล่งประกายลึกล้ำมองภาพตรงหน้าอย่างรื่นรมย์
การลงทัณฑ์ผ่านมาหนึ่งร้อยปีแล้ว
นับตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่ามารสิ้นสุดลง
ทว่าความแค้นกลางอกของเขากลับมิได้ลดน้อยลงแม้แต่เสี้ยวเดียว
หากวันนั้นแผนใหญ่ของเขาไม่ถูกทำลายลงกลางคัน
มีหรือที่เผ่ามารจะต้องยอมเจรจาสงบศึก การได้เห็นผู้ทรยศมีสภาพเช่นนี้จึงเป็นภาพที่งดงามยิ่ง
“มารวารีโลหิตเจ้าไม่เพียงมีใจคิดคดกล้าทรยศต่อเผ่าตนเอง ซ้ำยังกล้าฝึกวิชานอกรีตที่เป็นภัยต่อเผ่ามารอย่างมหันต์
หนึ่งร้อยปีผ่านไปเจ้าสำนึกในความผิดตนเองหรือไม่”
กระแสเสียงนั้นก้องสะท้อนไม่เพียงมารทุกตนที่ได้ยิน กระทั่งนักโทษที่โสตประสาทถูกทำลาย
ก็ยังรับกระแสเสียงนี้ได้ผ่านดวงจิตของตนเอง
ร่างที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ขยับไหวเล็กน้อยประหนึ่งใบไม้ต้องสายลมแผ่วเบา
ทว่าคำตอบกลับมีเพียงความเงียบงันจากซากศพดังเดิม
ไม่ต่างจากทุกครั้งที่เคยถูกตั้งคำถามนี้
“ในเมื่อเจ้าเลือกทางนี้ก็อย่าได้หาว่าข้าแล้งน้ำใจ”
เหล่ามารทุกตนในที่นั้นแทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เพราะเพียงเห็นนายเหนือหัวยกมือข้างหนึ่งขึ้น
ชายอาภรณ์สีนิลปักลายทองพลิ้วไหวตามคลื่นพลัง ก็เป็นอันรู้ได้ทันทีว่านี่คือกระบวนท่าของวิชาที่โหดเหี้ยมที่สุดสายหนึ่ง
วันนี้นักโทษที่ถูกทรมานมานับร้อยปีได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแห่งลมหายใจแล้ว
พลังเวทย์สีดำสายนั้นได้เปลี่ยนเป็นกงเล็บแหลมคมพุ่งทะลวงเข้าสู่ร่างที่มอดไหม้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉีกกระชากจนขาดวิ่นอย่างไร้ความปรานี
แม้ร่างนั้นจะสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าจนหมดสิ้น ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน
ริมฝีปากไม่อาจเปล่งเสียง
ทว่าความทรมานอย่างแสนสาหัสก็ลากดึงเสียงโหยหวนให้ดังออกมา องคาพยพปลิดปลิว
โลหิตพวยพุ่ง ศีรษะร่วงสู่พื้นกลายเป็นเศษเถ้าธุลี
หากสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่ากลับเป็นดวงจิตที่ยังคงลอยเด่น
ลำแสงฉายชัดเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่เคยคลางแคลง
เหตุใดจอมมารจึงยอมไว้ชีวิตนักโทษผู้นี้ถึงร้อยปี
มิใช่ให้โอกาสกลับตัว
แต่เป็นเพราะไม่อาจบดขยี้ให้แหลกสลายไปได้
“นำเตาหลอมชีหลงออกมา”
จอมมารจิ่วหรงมองดวงจิตที่ลอยอยู่อย่างเหี้ยมเกรียม
เตาหลอมชีหลงคือของวิเศษที่เขาใช้พลังทุ่มเทสร้างขึ้นมา
เปลวเพลิงที่อยู่ภายในร้อนแรงยิ่งกว่าไฟแห่งขุมนรก
ต่อให้เป็นดวงจิตที่แข็งแกร่งเพียงไหนก็ต้องมอดไหม้เป็นจุณ
“เจ้าเกิดในเผ่ามารต่อให้ดวงจิตดับสลายเจ้าก็ต้องรับใช้เผ่ามาร”
ผนึกเตาถูกเปิดออกรับดวงจิตที่ถูกส่งเข้าไป
ไอร้อนแรงแผ่กระจายจนแม้แต่เหล่ามารที่อยู่ห่างออกไป และมีพลังแข็งแกร่งยังแทบไม่อาจต้านทาน
เพลิงกัลป์โชติช่วงเปล่งแสงดุจโลหิต ผ่านไปเก้าราตรีอัคคีจึงมอดดับลง
พร้อมดวงจิตหนึ่งที่สมควรแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ร้อยปีผันผ่านเมฆหมอกเคลื่อนสลาย มวลผกาเต็มท้องฟ้ากลีบบุปผาโปรยปราย
แสงแห่งความปีติยินดีฉายลงสู่สำนักที่เงียบงัน ต้อนรับเทพไป๋อวี้ซิงซึ่งหวนกลับคืนสู่สำนักอีกครั้ง
เพียงข่าวนี้กระจายออกไปเหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี
ไม่เว้นแม้แต่เซียนหนุ่มอาภรณ์ม่วงที่ก้าวลงจากเกลียวเมฆอย่างผ่าเผย
จากนั้นจึงตามเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นศิษย์เอกเข้าไปพบเทพไป๋อวี้ซิงที่อยู่ด้านใน
“โม่ชิงคารวะท่านเทพ”
เซียนอาภรณ์ม่วงประสานมือก้มศีรษะอย่างนอบน้อม ไม่ได้พบกันหนึ่งร้อยปีท่านเทพกลับยิ่งงามสง่า
วงหน้าคมคายสงบนิ่ง ดวงตาเรียวยาวดุจตาหงส์ล้ำลึกแฝงรอยการุณย์อยู่เป็นนิจ
สองมือดุจจะโอบอุ้มสรรพสิ่งในใต้หล้าเอาไว้ในอ้อมอก จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่ามกลางสนามรบ
เขาเลือกช่วยเหลือชีวิตบริสุทธิ์ไม่ใยดีต่อผลแพ้ชนะ
ยอมแบกรับโทษทัณฑ์จากเบื้องบนไว้เพียงผู้เดียว
ไป๋อวี้ซิงพยักหน้ารับพลางมองอีกฝ่ายที่นั่งลงตรงหน้า
เขาเข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงให้ความสนใจกับเซียนหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ
นั่นเพราะโม่ชิงคือเซียนที่ทำหน้าที่เชื่อมวาสนาให้แก่เทพเซียนที่ยังไร้คู่บุพเพ
และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“วันนี้โม่ชิงมาเพื่อแสดงความยินดีที่ท่านเทพได้กลับคืนสู่สำนักอีกครั้ง
และยังมาเพื่อแจ้งข่าวให้ท่านเทพได้ทราบภายในเวลาไม่เกินห้าร้อยปีจากนี้
เบื้องบนจะแต่งตั้งมหาเทพองค์ใหม่ซึ่งข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้ว
ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของท่านเทพอย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นหรือ”
ไป๋อวี้ซิงรับคำโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ผู้อื่นบำเพ็ญเพียรเพื่อเลื่อนขั้น
แต่เขาฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเองเพื่อความสงบร่มเย็นของใต้หล้า
หากไร้ซึ่งสงครามและการเข่นฆ่าแล้วไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ไม่ต่างกัน
“ในการเลื่อนขั้นครั้งนี้ท่านเทพจะต้องผ่านด่านสวรรค์
ตามที่ข้าน้อยรู้มาด่านสวรรค์พลิกแพลงแตกต่างยากคาดเดา
โดยเฉพาะสำหรับมหาเทพแล้วล้วนหนักหนาถึงขั้นต้องแลกมาด้วยชีวิต ดังนั้นขอท่านเทพโปรดเตรียมตัวให้พร้อม
เพื่อรับมือกับการทดสอบของเบื้องบนในครั้งนี้”
“ข้ารู้แล้ว
ขอบใจเจ้ามากที่มาส่งข่าว” ไป๋อวี้ซิงยังคงเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม
ใจจริงเขาไม่ได้ใส่ใจกับด่านสวรรค์แม้แต่น้อย
ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาพานพบเรื่องหนักหนาสาหัสมามากมาย
อยู่ท่ามกลางสงครามกับเผ่ามารที่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก แม้ตายก็ไม่เคยนึกเสียดายชีวิต
ไหนเลยจะหวาดหวั่นต่อด่านสวรรค์ที่ต้องรับมือ
“ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
โม่ชิงขยับตัวเล็กน้อยอย่างเตรียมพร้อม
เพราะเรื่องนี้แม้บางเบาทว่ากลับเอ่ยได้ยากกว่าเรื่องหนักหนาอย่างด่านสวรรค์มากนัก
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”
เขาผายมือให้อีกฝ่ายที่นั่งตัวเกร็งได้พูดต่อ
“ท่านเทพคงเคยได้ยินมาบ้างว่าในอดีตเหล่ามหาเทพองค์ก่อน
ล้วนผ่านด่านสวรรค์โดยมีมหาเทวีเคียงข้าง
เรื่องนี้ไม่ทราบว่าท่านเทพมีความเห็นอย่างไรบ้าง”
โม่ชิงรอคอยคำตอบด้วยใจที่เต้นระทึก
พลางคิดหาทางจะเสนอสาวงามที่เหมาะสมให้ท่านเทพได้พิจารณา เขาเป็นเซียนผู้เชื่อมวาสนา
สตรีที่คู่ควรกับเทพไป๋อวี้ซิงนั้นหาได้ไม่ง่ายนัก
แต่ก็มีผู้หนึ่งที่เขาเห็นว่าเหมาะสม
และนางเองก็ได้ไหว้วานให้เขาเป็นผู้ผูกด้ายแดงให้
หากที่ทำให้เขาต้องรวบรวมความกล้าในการเอ่ยถึงเรื่องนี้
ก็เพราะท่านเทพเป็นบุรุษที่ไม่เคยมีเรื่องรักใคร่อยู่ในความสนใจมาก่อน
อารมณ์ที่แสดงออกต่อหน้าผู้อื่นล้วนเคร่งขรึมสงบนิ่ง ไร้ทุกข์ ไร้สุข ไร้ปรารถนา
การจะเชื่อมวาสนาให้บุรุษเช่นนี้ถือเป็นงานที่ยากยิ่งสำหรับเขา
ไป๋อวี้ซิงยกถ้วยชาขึ้นจิบ
สำหรับเขาหากโม่ชิงไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาคงน่าแปลกใจมากกว่า เพียงแต่เขาไม่เคยมีความคิดเรื่องคู่ครองมาก่อน
ยังจำได้ว่าเมื่อสิบหมื่นปีก่อนครั้งที่เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นเทพ
วันนั้นอาจารย์ได้ทำนายเรื่องนี้ให้เขาและเหล่าศิษย์น้อง
ต่างคนต่างมีวาสนาที่แตกต่าง หากของเขากลับไม่รู้ว่าควรเรียกคู่บุพเพได้หรือไม่
‘อวี้ซิงคู่บุพเพของเจ้าคือเทพหญิงผู้หนึ่ง
ทว่าวันหน้านางจะกลายเป็นหยดน้ำตาในชีวิตของเจ้า’ ท่านอาจารย์เอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ
หลังจากใช้เวทย์พยากรณ์แล้ว
‘เช่นนั้นศิษย์จะไม่ยอมพบนางจนชั่วชีวิต’
เขาตอบอย่างไม่หวาดหวั่น
วันเวลาที่ผ่านมาต่อให้ประสบเรื่องหนักหนาเพียงใด เขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
ไหนเลยจะยอมให้ความรักย้อมใจจนต้องหลั่งน้ำตาเพื่อสตรีนางเดียว และต่อให้ไม่มีคำพยากรณ์จากท่านอาจารย์
ก็ไม่เคยมีสตรีใดทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้มาก่อน ตามคำพยากรณ์ของท่านอาจารย์ หากเขาผ่านด่านสวรรค์ขึ้นเป็นมหาเทพได้ก่อนที่จะพบนาง
เขาและนางก็ถือว่าสิ้นสุดวาสนาต่อกัน ตอนนี้เวลาก็เหลืออีกไม่มากแล้ว
“โม่ชิงเจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าได้รับโทษให้กักตนสำนึกผิดถึงร้อยปี
ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าอยู่ในความสงบเพียงลำพังจนเคยชินเสียแล้ว
เรื่องมหาเทวีก็อย่าได้พูดถึงอีกเลย” โทษทัณฑ์ที่เขาได้รับเกิดจากสงครามระหว่างเผ่าเทพและมาร
ครั้งนั้นบนสายน้ำที่กั้นกลางระหว่างสองเผ่า
เขาใช้พลังของตนเองหยุดยั้งไม่ให้ทหารทั้งหมดต้องล้มตายกลางสายน้ำ เรื่องนี้ทำให้เขาเสียโอกาสในการบุกเข้าโจมตีจอมมาร
สุดท้ายสงครามจึงสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาสงบศึก
ส่วนเขาได้รับโทษให้กักตนบนเขาเซียนหนึ่งร้อยปี
“ในเมื่อท่านเทพมีความประสงค์เช่นนี้
ข้าน้อยก็ขอน้อมรับ” โม่ชิงประสานมือคารวะและขอตัวลาอย่างจำใจ
ไป๋อวี้ซิงมั่นใจว่าเรื่องผ่านด่านขึ้นเป็นมหาเทพจะต้องแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
ในแต่ละวันจะต้องมีผู้มาขอพบเขาไม่ขาดสาย เรื่องนี้ทำให้เขาต้องเรียกศิษย์เอกมาสั่งความ
ฝากฝังให้ดูแลสำนักเทพแห่งนี้แทนเขาให้ดีต่อไป จากนั้นจึงย้ายไปอยู่บนยอดเขาสดับพิรุณ
กักตนฝึกวิชาไม่ยอมพบหน้าผู้ใดอีก กระทั่งสี่ร้อยห้าสิบปีต่อมา
ความคิดเห็น