ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สามภพผูกพัน วาสนาคู่เคียง

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ เวทย์พยากรณ์

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 63


     สามภพผูกพัน วาสนาคู่เคียง 

    บทนำ เวทย์พยากรณ์

               

                   เสียงโซ่ลากพื้นที่นำหน้าเข้ามาก่อนนั้นชวนให้หนาวเยือกพรั่นพรึง ไม่นานร่างของนักโทษอุกฉกรรจ์ผู้หนึ่งก็ถูกนำตัวออกมา สภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นชวนตระหนกจนแทบหยุดลมหายใจ ทั่วร่างเกรียมไหม้มองเห็นเพียงสีดำสลับแดงของโลหิต แม้กระทั่งกระดูกขาวที่แทงทะลุออกมาก็ถูกย้อมจนแดงฉาน ศีรษะปราศจากเส้นผม เครื่องหน้าไม่เหลือร่องรอยให้บ่งบอกเพศ ทิ้งไว้เพียงหลักฐานของการลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกทำลาย ไม่ต่างจากหนอนเน่าตัวหนึ่งที่ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง

                “พวกเจ้าจงดูมารวารีโลหิตเอาไว้เป็นตัวอย่าง นี่คือจุดจบของผู้ที่คิดทรยศต่อข้า” เสียงนั้นกังวานอย่างนุ่มนวล ทว่ากลับทำให้ผู้ที่ได้ฟังพากันหวาดผวา

    ผู้ที่นั่งอยู่เหนือบัลลังก์คือจอมมารจิ่วหรง ดวงหน้างามสง่าอ่อนเยาว์เผยรอยยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเปล่งประกายลึกล้ำมองภาพตรงหน้าอย่างรื่นรมย์ การลงทัณฑ์ผ่านมาหนึ่งร้อยปีแล้ว นับตั้งแต่สงครามระหว่างเผ่าเทพและเผ่ามารสิ้นสุดลง ทว่าความแค้นกลางอกของเขากลับมิได้ลดน้อยลงแม้แต่เสี้ยวเดียว หากวันนั้นแผนใหญ่ของเขาไม่ถูกทำลายลงกลางคัน มีหรือที่เผ่ามารจะต้องยอมเจรจาสงบศึก การได้เห็นผู้ทรยศมีสภาพเช่นนี้จึงเป็นภาพที่งดงามยิ่ง

    “มารวารีโลหิตเจ้าไม่เพียงมีใจคิดคดกล้าทรยศต่อเผ่าตนเอง  ซ้ำยังกล้าฝึกวิชานอกรีตที่เป็นภัยต่อเผ่ามารอย่างมหันต์ หนึ่งร้อยปีผ่านไปเจ้าสำนึกในความผิดตนเองหรือไม่” กระแสเสียงนั้นก้องสะท้อนไม่เพียงมารทุกตนที่ได้ยิน กระทั่งนักโทษที่โสตประสาทถูกทำลาย ก็ยังรับกระแสเสียงนี้ได้ผ่านดวงจิตของตนเอง

    ร่างที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ขยับไหวเล็กน้อยประหนึ่งใบไม้ต้องสายลมแผ่วเบา ทว่าคำตอบกลับมีเพียงความเงียบงันจากซากศพดังเดิม ไม่ต่างจากทุกครั้งที่เคยถูกตั้งคำถามนี้

    “ในเมื่อเจ้าเลือกทางนี้ก็อย่าได้หาว่าข้าแล้งน้ำใจ”

    เหล่ามารทุกตนในที่นั้นแทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะเพียงเห็นนายเหนือหัวยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชายอาภรณ์สีนิลปักลายทองพลิ้วไหวตามคลื่นพลัง ก็เป็นอันรู้ได้ทันทีว่านี่คือกระบวนท่าของวิชาที่โหดเหี้ยมที่สุดสายหนึ่ง วันนี้นักโทษที่ถูกทรมานมานับร้อยปีได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแห่งลมหายใจแล้ว

    พลังเวทย์สีดำสายนั้นได้เปลี่ยนเป็นกงเล็บแหลมคมพุ่งทะลวงเข้าสู่ร่างที่มอดไหม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉีกกระชากจนขาดวิ่นอย่างไร้ความปรานี แม้ร่างนั้นจะสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าจนหมดสิ้น ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ริมฝีปากไม่อาจเปล่งเสียง ทว่าความทรมานอย่างแสนสาหัสก็ลากดึงเสียงโหยหวนให้ดังออกมา องคาพยพปลิดปลิว โลหิตพวยพุ่ง ศีรษะร่วงสู่พื้นกลายเป็นเศษเถ้าธุลี หากสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่ากลับเป็นดวงจิตที่ยังคงลอยเด่น ลำแสงฉายชัดเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่เคยคลางแคลง

    เหตุใดจอมมารจึงยอมไว้ชีวิตนักโทษผู้นี้ถึงร้อยปี

    มิใช่ให้โอกาสกลับตัว แต่เป็นเพราะไม่อาจบดขยี้ให้แหลกสลายไปได้

    “นำเตาหลอมชีหลงออกมา” จอมมารจิ่วหรงมองดวงจิตที่ลอยอยู่อย่างเหี้ยมเกรียม เตาหลอมชีหลงคือของวิเศษที่เขาใช้พลังทุ่มเทสร้างขึ้นมา เปลวเพลิงที่อยู่ภายในร้อนแรงยิ่งกว่าไฟแห่งขุมนรก ต่อให้เป็นดวงจิตที่แข็งแกร่งเพียงไหนก็ต้องมอดไหม้เป็นจุณ

    “เจ้าเกิดในเผ่ามารต่อให้ดวงจิตดับสลายเจ้าก็ต้องรับใช้เผ่ามาร”

    ผนึกเตาถูกเปิดออกรับดวงจิตที่ถูกส่งเข้าไป ไอร้อนแรงแผ่กระจายจนแม้แต่เหล่ามารที่อยู่ห่างออกไป และมีพลังแข็งแกร่งยังแทบไม่อาจต้านทาน เพลิงกัลป์โชติช่วงเปล่งแสงดุจโลหิต ผ่านไปเก้าราตรีอัคคีจึงมอดดับลง พร้อมดวงจิตหนึ่งที่สมควรแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

     

                        

     

    ร้อยปีผันผ่านเมฆหมอกเคลื่อนสลาย มวลผกาเต็มท้องฟ้ากลีบบุปผาโปรยปราย แสงแห่งความปีติยินดีฉายลงสู่สำนักที่เงียบงัน ต้อนรับเทพไป๋อวี้ซิงซึ่งหวนกลับคืนสู่สำนักอีกครั้ง เพียงข่าวนี้กระจายออกไปเหล่าเทพเซียนทั้งหลายต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ไม่เว้นแม้แต่เซียนหนุ่มอาภรณ์ม่วงที่ก้าวลงจากเกลียวเมฆอย่างผ่าเผย จากนั้นจึงตามเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นศิษย์เอกเข้าไปพบเทพไป๋อวี้ซิงที่อยู่ด้านใน

    “โม่ชิงคารวะท่านเทพ” เซียนอาภรณ์ม่วงประสานมือก้มศีรษะอย่างนอบน้อม ไม่ได้พบกันหนึ่งร้อยปีท่านเทพกลับยิ่งงามสง่า วงหน้าคมคายสงบนิ่ง ดวงตาเรียวยาวดุจตาหงส์ล้ำลึกแฝงรอยการุณย์อยู่เป็นนิจ สองมือดุจจะโอบอุ้มสรรพสิ่งในใต้หล้าเอาไว้ในอ้อมอก จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่ามกลางสนามรบ เขาเลือกช่วยเหลือชีวิตบริสุทธิ์ไม่ใยดีต่อผลแพ้ชนะ ยอมแบกรับโทษทัณฑ์จากเบื้องบนไว้เพียงผู้เดียว

    ไป๋อวี้ซิงพยักหน้ารับพลางมองอีกฝ่ายที่นั่งลงตรงหน้า เขาเข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงให้ความสนใจกับเซียนหนุ่มผู้นี้เป็นพิเศษ นั่นเพราะโม่ชิงคือเซียนที่ทำหน้าที่เชื่อมวาสนาให้แก่เทพเซียนที่ยังไร้คู่บุพเพ และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

    “วันนี้โม่ชิงมาเพื่อแสดงความยินดีที่ท่านเทพได้กลับคืนสู่สำนักอีกครั้ง และยังมาเพื่อแจ้งข่าวให้ท่านเทพได้ทราบภายในเวลาไม่เกินห้าร้อยปีจากนี้ เบื้องบนจะแต่งตั้งมหาเทพองค์ใหม่ซึ่งข้าน้อยได้ตรวจสอบแล้ว ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของท่านเทพอย่างแน่นอน”

    “อย่างนั้นหรือ” ไป๋อวี้ซิงรับคำโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ผู้อื่นบำเพ็ญเพียรเพื่อเลื่อนขั้น แต่เขาฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเองเพื่อความสงบร่มเย็นของใต้หล้า หากไร้ซึ่งสงครามและการเข่นฆ่าแล้วไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ไม่ต่างกัน

    “ในการเลื่อนขั้นครั้งนี้ท่านเทพจะต้องผ่านด่านสวรรค์ ตามที่ข้าน้อยรู้มาด่านสวรรค์พลิกแพลงแตกต่างยากคาดเดา โดยเฉพาะสำหรับมหาเทพแล้วล้วนหนักหนาถึงขั้นต้องแลกมาด้วยชีวิต ดังนั้นขอท่านเทพโปรดเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับมือกับการทดสอบของเบื้องบนในครั้งนี้”

    “ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามากที่มาส่งข่าว” ไป๋อวี้ซิงยังคงเยือกเย็นอยู่เช่นเดิม ใจจริงเขาไม่ได้ใส่ใจกับด่านสวรรค์แม้แต่น้อย ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเขาพานพบเรื่องหนักหนาสาหัสมามากมาย อยู่ท่ามกลางสงครามกับเผ่ามารที่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลก แม้ตายก็ไม่เคยนึกเสียดายชีวิต ไหนเลยจะหวาดหวั่นต่อด่านสวรรค์ที่ต้องรับมือ

    “ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” โม่ชิงขยับตัวเล็กน้อยอย่างเตรียมพร้อม เพราะเรื่องนี้แม้บางเบาทว่ากลับเอ่ยได้ยากกว่าเรื่องหนักหนาอย่างด่านสวรรค์มากนัก

    “เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด” เขาผายมือให้อีกฝ่ายที่นั่งตัวเกร็งได้พูดต่อ

    “ท่านเทพคงเคยได้ยินมาบ้างว่าในอดีตเหล่ามหาเทพองค์ก่อน ล้วนผ่านด่านสวรรค์โดยมีมหาเทวีเคียงข้าง เรื่องนี้ไม่ทราบว่าท่านเทพมีความเห็นอย่างไรบ้าง” โม่ชิงรอคอยคำตอบด้วยใจที่เต้นระทึก พลางคิดหาทางจะเสนอสาวงามที่เหมาะสมให้ท่านเทพได้พิจารณา เขาเป็นเซียนผู้เชื่อมวาสนา สตรีที่คู่ควรกับเทพไป๋อวี้ซิงนั้นหาได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็มีผู้หนึ่งที่เขาเห็นว่าเหมาะสม และนางเองก็ได้ไหว้วานให้เขาเป็นผู้ผูกด้ายแดงให้ หากที่ทำให้เขาต้องรวบรวมความกล้าในการเอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็เพราะท่านเทพเป็นบุรุษที่ไม่เคยมีเรื่องรักใคร่อยู่ในความสนใจมาก่อน อารมณ์ที่แสดงออกต่อหน้าผู้อื่นล้วนเคร่งขรึมสงบนิ่ง ไร้ทุกข์ ไร้สุข ไร้ปรารถนา การจะเชื่อมวาสนาให้บุรุษเช่นนี้ถือเป็นงานที่ยากยิ่งสำหรับเขา

    ไป๋อวี้ซิงยกถ้วยชาขึ้นจิบ สำหรับเขาหากโม่ชิงไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาคงน่าแปลกใจมากกว่า เพียงแต่เขาไม่เคยมีความคิดเรื่องคู่ครองมาก่อน ยังจำได้ว่าเมื่อสิบหมื่นปีก่อนครั้งที่เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นเทพ วันนั้นอาจารย์ได้ทำนายเรื่องนี้ให้เขาและเหล่าศิษย์น้อง ต่างคนต่างมีวาสนาที่แตกต่าง หากของเขากลับไม่รู้ว่าควรเรียกคู่บุพเพได้หรือไม่

    อวี้ซิงคู่บุพเพของเจ้าคือเทพหญิงผู้หนึ่ง ทว่าวันหน้านางจะกลายเป็นหยดน้ำตาในชีวิตของเจ้า ท่านอาจารย์เอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ หลังจากใช้เวทย์พยากรณ์แล้ว

    เช่นนั้นศิษย์จะไม่ยอมพบนางจนชั่วชีวิตเขาตอบอย่างไม่หวาดหวั่น วันเวลาที่ผ่านมาต่อให้ประสบเรื่องหนักหนาเพียงใด เขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไหนเลยจะยอมให้ความรักย้อมใจจนต้องหลั่งน้ำตาเพื่อสตรีนางเดียว และต่อให้ไม่มีคำพยากรณ์จากท่านอาจารย์ ก็ไม่เคยมีสตรีใดทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้มาก่อน ตามคำพยากรณ์ของท่านอาจารย์ หากเขาผ่านด่านสวรรค์ขึ้นเป็นมหาเทพได้ก่อนที่จะพบนาง เขาและนางก็ถือว่าสิ้นสุดวาสนาต่อกัน ตอนนี้เวลาก็เหลืออีกไม่มากแล้ว

    “โม่ชิงเจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าได้รับโทษให้กักตนสำนึกผิดถึงร้อยปี ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าอยู่ในความสงบเพียงลำพังจนเคยชินเสียแล้ว เรื่องมหาเทวีก็อย่าได้พูดถึงอีกเลย” โทษทัณฑ์ที่เขาได้รับเกิดจากสงครามระหว่างเผ่าเทพและมาร ครั้งนั้นบนสายน้ำที่กั้นกลางระหว่างสองเผ่า เขาใช้พลังของตนเองหยุดยั้งไม่ให้ทหารทั้งหมดต้องล้มตายกลางสายน้ำ เรื่องนี้ทำให้เขาเสียโอกาสในการบุกเข้าโจมตีจอมมาร สุดท้ายสงครามจึงสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาสงบศึก ส่วนเขาได้รับโทษให้กักตนบนเขาเซียนหนึ่งร้อยปี

    “ในเมื่อท่านเทพมีความประสงค์เช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอน้อมรับ” โม่ชิงประสานมือคารวะและขอตัวลาอย่างจำใจ

    ไป๋อวี้ซิงมั่นใจว่าเรื่องผ่านด่านขึ้นเป็นมหาเทพจะต้องแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ในแต่ละวันจะต้องมีผู้มาขอพบเขาไม่ขาดสาย เรื่องนี้ทำให้เขาต้องเรียกศิษย์เอกมาสั่งความ ฝากฝังให้ดูแลสำนักเทพแห่งนี้แทนเขาให้ดีต่อไป จากนั้นจึงย้ายไปอยู่บนยอดเขาสดับพิรุณ กักตนฝึกวิชาไม่ยอมพบหน้าผู้ใดอีก กระทั่งสี่ร้อยห้าสิบปีต่อมา

                


                        


              สวัสดีค่ะ เอานิยายเรื่องใหม่มาฝากนะคะ เรื่องนี้เป็นแนวสาวน้อยมาตามเกี้ยวท่านเทพนะคะ อ่านสบายๆ ไม่เครียด จบแฮปปี้จ้า ยังไงก็ขอฝาก สามภพผูกพัน วาสนาคู่เคียง ด้วยนะคะ ส่วน บุพเพมั่นรัก ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์วางจำหน่ายปี 63 นะคะ ไว้ได้ต้นฉบับที่แก้ไขกับสำนักพิมพ์เรียบร้อยมาแล้ว จะเอามาอัปให้อ่านกันอีกรอบค่ะ ขอบคุณค่า 



        


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×