คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [Spoiler#3] ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น - by smilesneezes
ถ้าให้ยุกต์เขียนเล่าเกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองให้เพื่อนและคุณครูฟังที่หน้าชั้นเรียน หรือเขียนเรียงความหัวข้อ ‘ครอบครัวของฉัน’ เรื่องราวที่เขาเล่าก็คงไม่มีความโดดเด่นชนิดที่ผู้รับสารจะต้องทึ่งมากมายนัก
ครอบครัวของยุกต์เป็นครอบครัวของคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว อาศัยอยู่ในตัวเมือง หากต้องจัดแบ่งชนชั้นคงอยู่ในชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง พ่อของยุกต์เป็นพนักงานกินเงินเดือนของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนแม่ของยุกต์เป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงานประจำ นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ครอบครัวของยุกต์ก็ยังมีอาม่าอีกคนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ทั้งหมดนั้นคือคนในครอบครัวของยุกต์ในช่วงชีวิตสี่ปีแรกของเขา เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พ่อแม่ของยุกต์ก็บอกว่ายุกต์กำลังจะมีน้องชาย นับจากวันนั้นไปอีกหลายเดือน กันต์ก็กำเนิดมาบนโลก และกลายเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่เติมเต็มครอบครัวของยุกต์ให้สมบูรณ์
ฉะนั้นเมื่อเทียบกับครอบครัวของเพื่อนร่วมชั้นที่ผู้นำครอบครัวเป็นผู้บริหารหรือคนใหญ่คนโตในวงการการเมือง หรือมีพี่ชายเป็นมือกีตาร์วงดนตรีชื่อดัง หรือมีพี่ชายได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาแล้ว ชีวิตและครอบครัวของยุกต์จึงเต็มไปด้วยความธรรมดาสามัญที่พบเจอได้ทั่วไปและหาได้มีอะไรพิเศษไม่ ตั้งแต่ยุกต์เริ่มเข้าโรงเรียน เขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดื่มนมกล่อง กินขนมปังแทนอาหารเช้า แล้วนั่งสัปหงกในรถเก๋งระหว่างรอให้พาหนะทั้งหมดบนถนนเส้นประจำที่ผ่านทุกเช้าขยับเคลื่อนไปได้ในยามเร่งด่วน เรียนพิเศษในครึ่งเช้าวันเสาร์ตามความต้องการของพ่อแม่ที่หวังว่านั่นจะช่วยปูทางให้ยุกต์ได้เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนอื่นที่มาจากสังคมใกล้เคียงกัน
ในตอนนั้น ความรู้สึกว่างเปล่าโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่ยุกต์ไม่เคยเข้าใจ เพราะภายใต้ความธรรมดาสามัญนั้น ครอบครัวของยุกต์ก็อบอุ่นดี สิ่งที่ทำให้ยุกต์รู้สึกดีเป็นพิเศษคือการที่เขาเป็นหลานคนโปรดของอาม่า ยุกต์มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะใบหน้าของยุกต์ถอดแบบพ่อซึ่งเป็นลูกชายคนโตและคนโปรดของท่านมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยิ่งเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นลูกชายคนเดียวของบ้านแต่กลายเป็นพี่ชายคนโตไปแล้ว ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับคำว่า ‘พี่’ และเด็กทารกตัวน้อยในอ้อมกอดแม่ที่มีชื่อว่า ‘กันต์’ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้กับยุกต์ เวลาที่เขาพูดกับเพื่อนรอบตัวว่าเขามีน้องชายอีกหนึ่งคนที่บ้านทำให้เขาดูโตและเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่น
ทว่าปัญหาหนึ่งที่ครอบครัวที่มีลูกหลายคนยากจะหลีกเลี่ยงก็คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ครอบครัวของยุกต์ก็หนีไม่พ้นมัน เมื่อยุกต์อายุประมาณแปดขวบ และกันต์อายุประมาณห้าขวบ ยุกต์เริ่มอยู่ในวัยที่เข้าใจอะไรมากขึ้น เริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนกว่าสมัยก่อนมากขึ้น เขาจึงอดน้อยใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแม่ประคบประหงมกันต์เกินความจำเป็น บางอย่างเขาจำไม่ได้เลยว่าแม่เคยทำอย่างนั้นกับเขา ถึงกระนั้นยุกต์ก็ไม่ได้พยายามรังแกน้องหรือทำตัวเป็นเด็กดื้อเรียกร้องความสนใจ เพราะพ่อที่เหมือนจะรู้ใจเขาไปทุกอย่างพูดกับเขาเสมอว่า ‘น้องยังเด็กอยู่ แม่ก็ต้องดูแลน้องหน่อย ยุกต์โตแล้วก็อย่ารู้สึกไม่ดีกับน้องนะลูก ถ้าลูกๆ ไม่รักกันพ่อแม่ต้องเสียใจแน่’ ยุกต์จึงได้แต่เก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้เงียบๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปมันก็เป็นแค่ความรู้สึกอิจฉาแบบเด็กๆ ที่ยุกต์ไม่คิดจะกวนตะกอนเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้งให้ใจขุ่นมัว
ช่วงชีวิตในวัยเด็กของยุกต์กับครอบครัวดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ปกติ และธรรมดา ต่อให้ต้องเล่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตและครอบครัวของเขาทั้งหมด ยุกต์ก็ไม่พบว่าชีวิตของตัวเองจะมีอะไรพิเศษที่น่าตื่นเต้นกว่าคนทั่วไปมากนัก พ่อแม่และอาม่าของเขาก็เป็นคนดี ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครจนต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง
เส้นทางของชีวิตของยุกต์เป็นทางเดินสีขาวเรียบโล่ง ปราศจากอุปสรรค ปราศจากสีสันพิเศษใดๆ
หากจะให้ยุกต์พูดถึงความพิเศษในชีวิต ณ ตอนนั้น เขาคงนึกออกแต่คนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนหยดสีเข้มข้นหยดแรกที่หล่นลงบนเส้นทางสีขาว หยดสีโทนอุ่นเพียงหยดเดียวที่ซึมซับและแผ่กระจายเป็นวงขนาดเล็กมากจนอาจมองด้วยตาเปล่าไม่ชัด แต่หยดสีหยดนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเขามีแต่สีที่สบายตาแต่ให้ความรู้สึกว่างเปล่าจนจืดชืดเหมือนเดิมอีกต่อไป
ต้วนอี๋เอิน หรือมาร์ค คือเจ้าของสีสันที่พิเศษนั้นในชีวิตของยุกต์
— โปรดติดตามต่อในเล่ม —
ความคิดเห็น