ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่ปรับซาตาน - ตีพิมพ์กับ Simplybook Love & Desire

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ลิ้นกับฟัน

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 53


    บทที่ 3 ลิ้นกับฟัน
                ร่างหนาใหญ่ตื่นแต่เช้าดังเช่นปกติทุกวัน เท้าหนักๆ ก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ก่อนตรงเข้าห้องอาหารแล้วกวาดสายตาคู่คมไปทั่วห้อง แต่ก็เมื่อไม่พบใครบางคนที่หวังว่าจะเจอ มีเพียงป้าแก้วแม่บ้านสูงวัยเท่านั้นที่กุลีกุลำเลียงอาหารวางบนโต๊ะ
                “โรสยังไม่ลงมาหรือป้าแก้ว”
                แม่บ้านสูงวัยยิ้มบางๆ ขณะตักข้าวสวยใส่จาน ก่อนตอบให้เจ้านายหนุ่มหายข้องใจ
                “ตื่นตั้งแต่เช้ามืดแล้วละคะ เมื่อคืนคุณหนูโทรหาป้าบอกให้มาที่บ้านแต่เช้า...”
                “อ้าว...แล้วเขาโทรไปหาป้าทำไม”
                ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะรายงานจบ พอพลก็แทรกถามด้วยความสงสัย
                “คุณหนูโรสเธอนัดกับคุณนทีไว้น่ะค่ะ เห็นว่าเมื่อวานไปรอบๆ เกาะแถวนี้ วันนี้แกเลยอยากจะไปหมู่บ้านประมง คุณนทีแกว่างพอดีก็เลยอาสาพาไป ป้าเลยมาจัดเตรียมของว่างไปให้ทานระหว่างทางนะคะ เดินทางตั้งสองชั่วโมงกว่ากลัวจะหิวกัน”
                คนพูดรายงานไปเรื่อย แต่คนฟังนี่สิหน้าตึงขึ้นมาทันควัน เมื่อวานที่กลับกันจนเย็นย่ำเขาอุตส่าห์ไม่ว่าอะไร เพราะเห็นว่าเธอพึ่งมาเป็นครั้งแรก แต่นี่ยังจะแอบนัดแนะไปกันเพียงสองคนอีก
                “แล้วเขาบอกป้าไหมว่าจะกลับกันเมื่อไหร่”
                เสียงถามห้วนจัดของหนุ่มลูกครึ่ง ทำให้ผู้สูงวัยรู้ว่าคนตรงหน้าไม่พอใจ อยู่ด้วยกันมานานมีหรือที่นางจะดูไม่ออก
                “ไม่ได้บอกค่ะ”
                “ดีกันจริงคนบ้านนี้ จะไปไหนมาไหนก็ไม่บอก เห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอหรือไงกัน”
                พอพลโพลงขึ้นมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับวางช้อนส้อมในมือลงอย่างไม่สบอารมณ์
                “ป้าว่าบ่ายๆ ก็คงจะกลับกันนะคะ”
                “ป้าแก้วไม่ต้องออกรับแทนสองคนนั่นเลย แต่ไหนแต่ไรนทีมันไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง มันต้องเป็นแผนของโรสิตาแน่ๆ”
                “คงไม่...”
                “ผู้หญิงกับผู้ชายไปกันสองต่อสองมันสมควรที่ไหน ทำอะไรไม่รู้จักคิด พอกันทั้งคู่เลย”
                พูดจบร่างหนาที่พึ่งจะทานข้าวไปได้ไม่กี่คำก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้รวดเร็ว หงุดหงิดจนพานจะกินอะไรไม่ลง ป้าแก้วที่กำลังจะเอ่ยเป็นอันต้องหุบปากลง
                “อ้าว นั่นคุณพอลอิ่มแล้วเหรอคะ”
                “ผมกินไม่ลง หมดอารมณ์”
                “แต่ป้าว่า...”
                “ไม่ต้องห่วงหรอกป้า เดี่ยวผมไปหากาแฟทานที่ออฟฟิศ”
                เขารู้ว่าแม่บ้านสูงวัยเป็นห่วง เพราะตลอดเวลาที่ต้องพักอยู่นี่นางดูแลเขาไม่ขาดตกบอกพร่องราวกับเป็นคนในครอบครัว ชายหนุ่มจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวลกับสุขภาพร่างกายของตน
                เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินพ้นประตูห้องอาหาร นางจึงได้แต่พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ ด้วยเกรงว่าชายหนุ่มจะตำหนินทีและโรสิตา สายตาผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมามากทำให้นางเริ่มจะดูออกลางๆ ว่าสาวน้อยหน้าหวานคนนั้น อาจจะทำให้หนุ่มหลายคนในที่นี้ใจสั่น แล้วใครกันเล่าที่จะเข้ากุมหัวใจหนูโรสเอาไว้ทั้งดวง
                พอพลเดินออกมายังระเบียงหน้าบ้านด้วยความไม่สบอารมณ์ ฮึดฮัดขัดใจไปเสียทุกอย่าง ทั้งโมโหคนของตัวเองที่ร้อนวันพันปีไม่เคยสักครั้งที่ไปไหนแล้วจะไม่รายงานเขา แต่มาคราวนี้กับรวมหัวกับยัยเด็กแสบแอบไปเที่ยวกันสองคน กลับมาคงต้องเรียกมาคุยกันให้รู้เรื่อง           
    แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มือหนาจึงสอดเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนหยิบมือถือเครื่องเล็ก แล้วกดหมายเลขคุ้นชินที่เขาจำได้จนขึ้นใจ ไม่นานปลายสายก็ตอบรับ
                “ว่าไงจ๊ะพ่อเพลย์บอยตัวพ่อ พายุเข้าภูเก็ตหรือไงถึงได้โทรมาหาย่าตั้งแต่แปดโมงได้เนี่ย”
                เสียงทักทายแกมประชดประชันอาจจะทำให้ต้นสายยิ้มออกมาได้ ถ้าอยู่สภาวะปกติ แต่ยามนี้อารมณ์กรุ่นโกรธทำให้เขาเข้าเรื่องทันที
                “พายุไม่ต้องเข้าหรอกครับ แต่เพราะน้องสาวของหลานสะใภ้คุณย่านั่นแหละทำอะไรไม่เข้าท่าสักนิด”
                กรอกเสียงกลับด้วยความไม่พอใจ จนคนฟังจับความรู้สึกได้ แต่นอกจากปลายสายจะไม่สะดุ้งสะเทือนแล้ว ยังหัวเราะแว่วมาให้ชายหนุ่มได้ยินอีกด้วย
                “คุณย่าหัวเราะอะไรครับ ไม่มีเรื่องน่าขำสักนิด”
                “ก็แล้วน้องไปทำอะไรให้แก่ละ ที่บอกว่าไม่เข้าท่านะ ไหนลองบอกย่ามาสิ”
                พอผู้สูงวัยเปิดโอกาส ชายหนุ่มก็ร่ายซะยาวเหยียด
                “วันนี้ยัยตัวแสบของคุณย่าออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ไปหมู่บ้านประมงกับนที ไปกันสองคน แถมไม่รายงานผมด้วย แล้วมันเหมาะสมเหรอครับที่ผู้หญิงกับผู้ชายที่พึ่งรู้จักกันแค่วันเดียว จะไปไหนมาไหนด้วยกันเพียงลำพัง ชาวบ้านชาวช่องจะได้เอาไปคุยกันสนุกปากละคราวนี้”
                “ชาวบ้านชาวช่องที่ว่าน่ะ แกหรือเปล่าตาพอล”
                “คุณย่า”
                “รึไม่จริง” พอพลคราง แทบไม่อยากเชื่อ นอกจากย่าจะไม่เข้าข้างเขาแล้ว ยังเข้าข้างเด็กนั่นหน้าตาเฉย กลายเป็นเขาเองที่ผิด
                “ผมไม่เถียงครับ แต่เพราะผมเป็นผู้ชาย ผมเลยอดห่วงแทนพ่อเขาไม่ได้ โรสยังเด็กนะครับไปกับนทีสองคนแบบนี้มันไม่เหมาะ”
                “แกดูยังไงว่าน้องเด็ก หนูโรสน่ะเขาโตเป็นสาวแล้วนะ แล้วก็สวยเสียด้วยหากนทีหรือใครจะชอบพอ คอยเอาอกเอาใจมันก็ไม่แปลก”
                นั่นปะไร ก็ไอ้เพราะความสวยนี่แหละที่มันทำให้เขาต้องงุ่นง่านตั้งแต่ตะวันยังไม่โด่งฟ้า จนอยากจะหาคนช่วยปราบความก๋ากั่นไม่เกรงกลัวใครของโรสิตาบ้าง แต่คุณย่ากลับเห็นดีเห็นงามด้วยเสียนี่
                “แต่มันไม่สมควรนะครับ”
                “แล้วทีแกล่ะ”
                “ผม ทำไมครับ” ชายหนุ่มย้อนถามไปทันทีเมื่อโดนกล่าวหา
                “ต้องให้ย่าสาทะยายให้แกฟังด้วยเหรอ ว่าพฤติกรรมของแกมันเป็นอย่างไรบ้าง ดารานางแบบกี่คนแล้วที่แกพาไปกกที่ภูเก็ตน่ะ อย่าคิดนะว่าย่าไม่รู้”
                “มีใครคาบข่าวไปบอกคุณย่าอีกล่ะครับ หรือว่าพี่สมร”
                “โอ๊ย...ตาพอล แกเห็นย่าหูหนวกตาบอดหรือยังไงฮ้า ย่าเลี้ยงแกกับน้องมากับมือไม่รู้นิสัย ก็คงโง่บรมแล้ว ขนาดอยู่กรุงเทพใกล้หูใกล้ตาแกยังลงหน้ากอซซิปไม่เว้นแต่ละวัน แล้วในที่ลับขนาดนั้นย่าจะไม่รู้เชียวเหรอ”
                “แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ” เถียงข้างๆ คูๆ อย่างเสียไม่ได้
                “แล้วยังไงล่ะ แกเองก็ไม่ได้ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง แล้วจะไปว่าหนูโรสได้ยังไง ส่วนนทีก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลทำงานกันมานาน ย่าไว้ใจเขาอยู่แล้วละ”
                “ตกลงไม่ว่าผมจะพูดอะไรคุณย่าก็จะเข้าข้างเด็กนั่นใช่ไหมครับ”
                “แน่นอน...”
                ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ แนวร่วมที่คิดว่าจะพึ่งพาได้ กลับตาลปัดเป็นพรรคพวกของเด็กนั่นเสียอีก
                “ย่าเชื่อว่าหนูโรสคงต้องคิดรอบครอบแล้วจึงตัดสินใจ เอาไว้น้องมาแกก็ค่อยบอกน้องแล้วกัน ว่าคราวหน้าจะไปไหนมาไหนก็ให้บอกแกก่อน”
                เมื่อเห็นหลานชายเงียบไป ท่านจึงอดเอาน้ำเย็นเข้าลูบไม่ได้ เพื่อหาทางออกให้กับคนทั้งคู่ซึ่งไม่ค่อยจะกินเส้นกัน ให้ถูลู่ถูกังทำงานร่วมกันได้
                “ก็ได้ครับ แต่ผมบอกไว้ก่อนนะครับว่าทุกคนที่นี่อยู่ในความดูแลของผม ผมจึงมีสิทธิขาดทุกอย่าง”
                “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงตาพอล”
                “เปล่าครับ ผมก็แค่บอกคุณย่าไว้เท่านั้นเอง เพราะถ้าหากยัยกุหลาบป่าของคุณย่าดื้อมากๆ ผมก็ต้องกำราบบ้าง จะได้ไม่มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
                “ดูพูดเข้า ทำอย่างกับน้องไปฆ่าใครตายงั้นแหละ”
                “ผมก็แค่พูดไว้เฉยๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะครับ คุณย่าที่แสนจะลำเอียง”
                จบประโยคปั้บชายหนุ่มก็ตัดสายทันที คนปลายทางได้แต่อมยิ้ม ทั้งที่การไปครั้งนี้ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของท่านเลยสักนิด เพราะรู้ว่าคนอย่างพอพลไม่ได้แข็งนอกอ่อนในเหมือนเรวิน หลานคนนี้ท่านจึงไม่อยากยุ่งเพราะเกรงว่าหากหาผู้หญิงให้ แล้วไม่ถูกใจผู้หญิงจะเสียหายเปล่าๆ แต่ดูท่าการไปฝึกงานของหนูโรสจะทำให้ใครบางคนก้นร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ และเจ้าตัวก็คงจะยังไม่รู้ใจตัวเช่นกัน
     
                “นทีทำไมนายถึงไม่บอกฉัน ว่าจะพาโรสิตาออกไปหมู่บ้านประมง”
                ปลายสายที่ถามด้วยน้ำเสียงห้วนจัด ทำให้นทีละมือจากพวงมาลัยเรือสปีดโบ้ททันที และอาการอึกอักของเขาก็พอจะทำให้สาวเจ้าด้านข้างเดาได้ไม่ยาก ว่าใครเป็นผู้โทรเข้ามา
                “ผมต้องขอโทษคุณพอลด้วยนะครับ คือ...”
                “ฉันเป็นคนห้ามคุณนทีรายงานคุณเอง”
                เสียงที่แทรกขึ้นมานั้นทำให้ดวงตาคู่คมของคนฟังวาวขึ้น ก่อนจะพ่นลมหายใจเพื่อระงับขีดอารมณ์ที่พุ่งสูงให้เย็นลง และพูดออกไปเสียงเรียบ
                “โรสกำลังทำให้นทีเสียคนอยู่นะ”
                “ตรงไหนไม่ทราบ”
                คราวนี้ปลายสายได้ยินเต็มสองหู เมื่อโรสิตาคว้าโทรศัพท์ในมือนทีมาคุยเอง ส่วนเจ้าของโทรศัพท์จึงได้แต่หน้าเหวอไม่คิดว่าหญิงสาวจะกล้าหาญต่อปากต่อคำกับเจ้านายหนุ่ม ที่ใครหน้าไหนไม่แม้จะกล้าขึ้นเสียงใส่
                “นทีไม่เคยไปไหนโดยที่ไม่รายงานให้พี่ทราบก่อน”
                “แล้วไง” คนตัวเล็กยืนเท้าเอวตอบโต้ด้วยใบหน้ายียวนอย่างที่สุด แต่สำหรับนทีกลับมองว่ากริยานั้นมันยียวนชวนหวั่นใจเสียมากกว่า
                “แล้วไง! นี่โรสไม่รู้สึกผิดเลยใช่ไหม”
    นับหนึ่งถึงสิบเพื่อจะพยายามใจเย็นไม่ร้อนตามเด็กสาว แต่คำพูดคำจาแต่ละประโยคที่อีกฝ่ายตอบมาแบบกำปั้นทุบดิ้นนั้น มันก็ทำให้ขันติแตกได้เช่นกัน
                “ก็บอกแล้วไงว่าฉัน เป็นคนห้ามคุณนทีไม่ให้บอกคุณเอง เพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดกับฉันอย่าไปว่าคุณนที”
                คำออกรับแทนของหญิงสาว ทำให้คนฟังหน้าตึง นี่แค่สองวันนะและหากสามเดือนล่ะ เจ้าหล่อนไม่เห็นเขาเป็นหัวตอหรอกหรือ
                “ไม่ต้องกลัว กลับมาเราต้องคุยกันยาวแน่”
                “โอเค งั้นแค่นี้นะ ไงก็รอหน่อยแล้วกัน เพราะกว่าโรสกับคุณนทีจะกลับก็คงดึกหน่อย”
                “นี่...โรส...เดี่ยวเฮ้ย...ยัยเด็กบ้า”
                พอพลแทบจะปามือถือทิ้ง เมื่อสิ้นเสียงเป็นต่อแกมเยาะของโรสิตา สัญญาณก็ถูกตัดไปดื้อๆ แถมยังปิดเครื่องหนีอีกด้วย และตลอดวันนั้นตั้งแต่เที่ยง ชายหนุ่มก็ทำงานแทบไม่รู้เรื่อง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวยังไม่ถูกบรรเทา ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกสนานเพลิดเพลินกลางทะเลเท่าไร เขาก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านพานทะโล่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนสมรเลขาสาวใหญ่ลอบมองอย่างงุนงงกับอาการของเจ้านายหนุ่ม
     
                หนึ่งทุ่มก็แล้ว สองทุ่มก็แล้ว จวบจนสามทุ่ม ร่างที่เดินพล่านเหมือนหนูติดจั่น แทบจะหมดความอดทนกับการรอคอย เขากดโทรศัพท์เข้าเครื่องนทีรอบที่เท่าไรไม่ทราบได้ แต่ปลายสายก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
                แล้วความอดทนของเจ้าบ้านหนุ่มก็หมดลง และคิดจะให้ลูกน้องออกเรือไปตามหาคนทั้งคู่ แต่แล้วเท้าสองข้างก็ต้องชะงัก เมื่อแว่วเสียงคุยและเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากประตูทางเข้าตรงรั้วบ้าน ความตั้งใจแรกที่ว่าจะเดินออกด้านนอก จึงกลับถอยร่นกลับเข้าภายในอย่างเงียบๆ
                หนึ่งหนุ่มหล่อที่เปรียบเสมือนมือเท้าของพอพล เดินตีคู่เข้ามากับหนึ่งสาวน้อยวัยขบเผาะ ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนแบบสบายๆ หลังจากออกไปผจญกลางท้องทะเลมาทั้งวัน มันทำให้โรสิตารู้สึกหายเหงาปากขึ้นเยอะ เพราะนทีตามใจเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปทางไหนชายหนุ่มก็ไม่แม้จะปฏิเสธให้เธอต้องหงุดหงิด
                “ไม่เข้าบ้านด้วยกันก่อนเหรอ”
                “ไม่ดีกว่าครับมันดึกแล้ว อีกอย่างวันนี้เราตากแดดตากลมมาทั้งวัน ผมว่าคุณโรสขึ้นไปอาบน้ำแล้วขึ้นนอนคงจะดีกว่า”
                “อืม...ก็ได้”
                “สงสัยคุณพอลคงจะขึ้นนอนแล้ว” เมื่อชะเง้อมองภายในบ้านไม่เห็นร่างเจ้านาย เขาจึงอดถามด้วยความกังวลไม่ได้
                “โอ๊ย...รายนั่นช่างเขาเถอะ โรสไม่เห็นจะสนใจเลย ว่าแต่วันเสาร์นี้อย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะคะ”
                “ไม่ลืมหรอกครับ แต่คุณโรสอย่าลืมบอกคุณพอลด้วยนะครับ ผมไม่อยากมีปัญหาเกรงว่าคุณพอลจะเป็นห่วง”
                คนฟังถอนใจเบ้ปาก ก่อนพยักหน้ารับชายหนุ่มอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งการกระทำนั้นมันช่างน่ารักน่าเอ็นดู จนหัวใจหนุ่มโสดเต้นผิดจังหวะอยู่บ่อยหน
                “เพื่อความสบายใจของคุณ แล้วโรสก็ไม่อยากทำให้คุณต้องตกงาน โรสจะรายงานให้เจ้านายคุณทราบก็ได้ค่ะ ดีเหมือนกันเขาจะได้ไม่มาบ่นทีหลังว่าทำให้ลูกน้องเขาเสียคน”
                “คือผม...” นทีพูดไม่ออก เมื่อเจอคำตอบแกมประชดจากเรียวปากจิ้มลิ้ม
                “ไม่ต้องพูดแล้วละ โรสรู้ว่าคุณนทีลำบากใจ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน เราก็ต้องไม่ทำให้เพื่อนตกที่นั่งลำบากจริงไหม เพราะฉะนั้นถ้าหากโรสจะไปไหน โรสจะรายงานคุณพอพลทุกครั้ง”
                “ผมทำให้คุณโรสลำบากใจหรือเปล่าครับ” หญิงสาวอมยิ้มส่ายหน้าแทนคำตอบ
                “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”
                “ก็เราเพื่อนกันนี่ค่ะ”
                หญิงสาวยิ้มอย่างจริงใจ ก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นราวเด็กน้อย
                “สัญญาแล้วนะว่าจะพาไปเที่ยวอีก แด่มิตรภาพของเรา”
                ชายหนุ่มร่างสูงจำต้องยกนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวกับสาวน้อยตรงหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ เสมือนกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้งก็ไม่ปาน
                “ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
                “เช่นกัน” โรสิตายืนมองอีกฝ่ายโบกมือบ้ายบายจนพ้นรั้วบ้าน กระทั่งรถกอล์ฟคันเล็กเคลื่อนหายออกไปจนลับตาจึงได้หมุนตัวกลับ
                ร่างบอบบางเดินแกว่งหมวกในมือผิวปากเข้าบ้านอย่างสบายอารมณ์ จนแทบจะหลงลืมคนร่วมชายคาไปเสียสนิทใจ แต่เพียงเท้าคู่เล็กกำลังจะก้าวพ้นห้องนั่งเล่นไปยังบันได ไฟที่เปิดไว้สลัวแค่พอเห็นทางก็สว่างวาบขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่เท่าเสียงห้าวทุ้มที่ดังมาจากประตูด้านข้าง
                “สนุกมากเลยสิท่า ถึงได้กลับกันมาเสียดึก”
                ร่างบางหันขวับมาทางต้นเสียงทันที ฉีกยิ้มกว้างให้ร่างหนาที่ยืนพิงประตูอย่างยียวน เรียกดวงตาสีมรกตให้เข้มจัดจนแทบจะลุกเป็นไฟ
                “ใช่ สนุกมาก...ถึงมากที่สุด”
    คำตอบกับสีหน้าท่าทางคนตอบสอดคล้องกันจนน่าโมโห และมันก็ทำให้มือหนาที่ถือแก้ววิสกี้ไว้ในมือกำแน่นจนแทบแหลก
                “พี่พูดขนาดนี้โรสยังไม่สำนึกอีกหรือ แล้วทำไมต้องปิดเครื่องหนีด้วย”
                “รำคาญ” สั้น ห้วน และได้ใจความอย่างที่สุด
                ดวงตากลมโตสีนิลกาลปลายตามองคนถามเพียงนิจ และเธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยนัก เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มหลุดลุ่ยออกมาด้านนอกกางเกง แถมยังปลดกระดุมลงมาเกือบทั้งแถบ จนแอบคิดในใจไม่ได้ว่าอีกฝ่ายช่างขยันโชว์พาวตัวเองเสียเหลือเกิน
                “รำคาญงั้นเหรอ!”
                “อืมฮึ” ตอบไปไม่มองหน้า และด้วยส่วนลึกย้ำเตือนว่าควรจะออกห่างเขาให้มากที่สุด เท้าสองข้างจึงพาร่างเดินหน้าต่อไป
                “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ” นอกจากจะไม่ทำตามแล้วเธอยังเดินเร็วยิ่งกว่าเดิม
                “พี่บอกให้หยุด”
                “โรส...โรส...”
                เมื่อคนดื้อยังไม่นำพา พอพลจึงวางแก้วลงกับโต๊ะกระจกดังลั่น แล้วสาวเท้าตามร่างบางมาติดๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะทันก้าวขึ้นบันได และเพียงไม่กี่ช่วงขาชายหนุ่มก็ถึงตัวหญิงสาวก่อนจะตวัดแขนจนร่างบางเซถลา เข้าปะทะแผงอกกว้างตามแรงกระชาก
                “ทำไมถึงเดินหนีพี่”
                ชายหนุ่มถามเสียงต่ำพร้อมกับรั้งร่างบางเข้าแนบอก จ้องเธอเขม็งอย่างรอคอย มือบางที่พยายามผลักไสกลับไม่ได้ผลเมื่อลำตัวของเธอแนบในทุกส่วน มือสองข้างจึงไม่อาจแทรกทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้ถนัด
                “ว่าไง ทำไมถึงเดินหนีพี่” คราวนี้ตะคอกถามดังยิ่งกว่าเดิม ก่อนร่างบางจะเงยหน้าสบตา
                “มันดึกแล้ว ฉันเหนื่อยมาทั้งวัน อยากจะอาบน้ำนอน คุณก็เหมือนกันถ้าเมามากก็ไปอาบน้ำนอนซะ จะได้ไม่มาพาลคนอื่นเหมือนหมาบ้าแบบนี้”
                “รู้เหมือนกันเหรอว่าดึก รู้แล้วทำไมยังกลับบ้านจนมืดค่ำ แถมยังเดินหนีพี่อีก และพี่ก็ไม่ได้เมาสติของพี่ยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี”
                “เอ๊ะ! คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยเดี่ยวนี้นะ”
                “ไม่ จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
                “โรสไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
                “แต่พี่มี”
                “มันก็เรื่องของคุณ” โรสิตาตอบโต้ไม่ลดละ ทั้งที่ออกจะประหวั่นพรั่นพรึงกับอารมณ์อีกฝ่ายไม่น้อย เมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์ลจางๆ จากปากชายหนุ่มซึ่งใกล้เพียงคืบ
                “อย่ามาเถียงข้างๆ คูๆ”
                “โรสไม่ได้เถียง ถ้าคุณเมาก็ไปนอน มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
                “ต้องคุยวันนี้เท่านั้น” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังไม่ยอมแพ้เช่นกัน
                “อย่ามาบังคับกันนะ ไอ้คนบ้าปล่อยเดี่ยวนี้ โรสอึดอัด ปล่อยสิ”
                ร่างบางที่เริ่มดิ้นรน ทำให้อ้อมแขนหนาแกร่งออกแรงรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม จนสองร่างแนบกันไปทุกส่วน และด้านหลังซึ่งเป็นฝาผนังทำให้ร่างบางไม่อาจจะขัดขืนได้
                “ก็หยุดดิ้นก่อนสิ อย่าดื้อกับพี่ให้มากนัก มันไม่น่ารักเลยสักนิด”
                “แล้วใครไปขอให้คุณมารักไม่ทราบ”
                คำตอบแบบลอยหน้าลอยตาท้าทาย ราวกับเป็นต่อในคำโต้ตอบนั้น ทำให้ชายหนุ่มจนถ้อยคำจะสวนกลับ ได้แต่จ้องคนตัวเล็กตาวาววับ ชั่วขณะนั้นที่ปากจิ้มลิ้มหยักโค้งเยาะเย้ย สมองด้านมืดก็เข้าครอบงำพอพลทันที
                “นี่...คุณจะทำอะไร...ไม่นะ...อื้อ...”
                เสียงห้ามปรามไม่เป็นผล เมื่อริมฝีปากบางคล้ายผู้หญิงทาบบนกลีบปากอวบอิ่มอย่างสนิท แม้เจ้าตัวจะพยายามเม้มแล้วก็ตามแต่มันก็ยังช้ากว่าอีกฝ่าย ที่ใช้วิธีล่อหลอกให้คนในอ้อมแขนเปิดปากจนได้
                “อื้อ...คุณ...”
                จังหวะที่พอพลขยับปากออกห่างเพียงนิด แล้วสาวเจ้ากำลังจะก่นด่า เท่านั้นเองหนุ่มนักรักก็ประกบปากแนบสนิทในทันทีทันใด ก่อนจะบิดริมฝีปากตัวเองในแนวเฉียง แล้วแทรกเรียวลิ้นเข้าสู่โพรงปากสาวรวดเร็ว
                ราวกับกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั้งร่าง เมื่อเจอการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว และต่อให้ทันตั้งตัวโรสิตาก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนตั้งรับ เมื่อยิ่งดิ้นยิ่งสะบัดหน้าหนีก็คล้ายจะระบบไปทั่วริมฝีปาก มือสองข้างได้แต่กระหน่ำทุบไปบนแผ่นหลังกว้าง ทว่าเจ้าตัวก็ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย กลับเป็นเธอเสียอีกที่เริ่มจะหายใจติดๆ ขัดๆ ราวกับคนกำลังจะจมน้ำ
                รสชาติขมของวิสกี้ชั้นเลิศถูกถ่ายทอดสู่เรียวลิ้นเล็ก จนรับรู้ได้ชัดเจน มือหนารั้งร่างสาวสูงขึ้นเพื่อให้รับจุมพิตจากเขาได้ถนัดถนี่ ก่อนดวงตาสีเขียวเข้มจะปลายตามองใบหน้าแดงซ่านของเด็กสาวที่กำลังจะสิ้นฤทธิ์
                ชายหนุ่มรับรู้ได้จากมือบางสองข้าง ที่เปลี่ยนจากทุบเป็นดึงรั้งตัวเสื้อเขาจากด้านหลัง ราวกับหาที่ยึดเหนี่ยวเมื่อความรู้สึกประหลาดกำลังถาโถมเข้าใส่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
                “หวาน...หวานมาก...”
                เพลย์บอยตัวพ่อกระซิบเสียงพร่ากับกลีบปากอิ่มที่บวมเจ่อของหญิงสาว ประสบการณ์อันโชกโชนทำให้พอพลรู้ว่า ตัวเองคือคนแรกที่ได้แนบชิดกับหญิงสาวแสนดื้อรั้นคนนี้
                “คุณ...”
                โรสิตาพูดได้เพียงนั้น อีกฝ่ายก็แนบเคล้าบดคลึงกลีบปากเธออีกครั้งอย่างหนักหน่วง ราวจะสูบวิญญาณสาวให้หลุดลอยออกจากร่าง แม้จะพยายามต่อต้านเท่าใด แต่ด้วยสัมผัสแปลกใหม่ทำให้เธอกริ่งเกร็ง ทั้งอยากหยุดและอยากรับรู้ความรูสึกนั้นอีกครั้ง
                จวบจนเจ้าบ้านหนุ่มพอใจ ว่าสาวเจ้าจะไม่แผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีก เขาจึงถอนจุมพิตออกจากเรียวปากอิ่มอย่างแสนเสียดาย ดวงตาคู่คมระริกไหวจ้องใบหน้านวลเนียนด้วยความเอ็นดู ก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทจะค่อยหรี่ปรือฉ่ำไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย สติที่กระเจิดกระเจิงถูกรวบรวมเข้าสมองช้าๆ พลันนั้นดวงตาสีนิลกาลก็แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว
                “ไอ้คนฉวยโอกาส”
                มือสองข้างหยิกทึ้งแผ่นหลังของอีกฝ่ายทันที เท้าเล็กยกสูงหวังจะเหยียบเท้าชายหนุ่มให้เต็มแรง แต่ก็พลาดก่อนเจ้าบ้านจะจับแขนสองข้างของเธอกางออก แล้วกดติดกับผนังเต็มแรง
                “ยังจะดื้ออีก เมื่อกี้ยังไม่พอใช่ไหม โรสจะยั่วให้พี่ทำมากกว่านี้อีกใช่ไหม”
                เขาถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยอมจะโอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ
                “ปล่อยเดี่ยวนี้ ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้หัวงู ปล่อยนะโว้ย...”
                นอกจากจะไม่ยอมง่ายๆ แล้ว สาวน้อยยังตะโกนใส่หน้าพอพลจนแก้วหูสะเทือน และก่อนที่ร่างบางเล็กจะเบี่ยงตัวมากัดหู ชายหนุ่มก็รู้ทันจึงตวัดร่างบางขึ้นบ่าทันที แล้วสาวเท้าตรงออกไประเบียงนอกบ้าน กระทั่งมายืนตรงสระน้ำ
                “คุณจะทำอะไร ปล่อยนะ ปล่อย...”
                เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ แถมมาหยุดยืนอยู่ริมสระ โรสิตาก็ยิ่งออกแรงดิ้นทุบหลังอีกฝ่ายไม่ยั้ง เท้าแกว่งเตะสะเปะสะปะหลายไม่รู้ทิศทาง หลายครั้งที่เกือบจะโดนใบหน้าของคนแบกอยู่รอมร่อถ้าไม่เบี่ยงหลบ
                “ไม่ปล่อย พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าน้ำในสระมันจะทำให้โรสหายบ้าได้ไหม”
                พูดจบ ชายหนุ่มก็ตวัดร่างสาวมาไว้ในอ้อมแขน และไม่ต้องรอให้เสียเวลา วงแขนหนาก็เหวี่ยงร่างสาวออกจากตัวรวดเร็ว
                “ไม่นะ...”
                “เฮ้ย!”
                ตู้ม!!!
                เป็นอะไรที่คนโยนเองก็คาดไม่ถึง เมื่อคนในอ้อมแขนกลับกระหวัดรัดรอบลำคอเขาไว้ ผลก็คือ สองร่างตกลงในสระน้ำด้วยกันทั้งคู่
                โรสิตาถีบตัวขึ้นสูงเพื่อหาออกซิเจน แต่หญิงสาวก็โผล่พ้นได้เพียงอึดใจ ร่างบางก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกมือหนาดึงรั้งให้จมลงใต้น้ำ มือบางพยายามตะกุยตะกายดิ้นและเสือกตัวหนี ทว่าไม่เป็นผล และคราวนี้เธอกำลังจะจมน้ำจริงๆ เมื่ออากาศในปอดกำลังจะหมด
                แขนแข็งแรงสองข้างตวัดคนดื้อรันเข้าหาตัวอีกครั้ง ก่อนจะประกบปากเพื่อถ่ายเทอากาศให้ ซึ่งโรสิตาก็จำต้องเปิดปากเพื่อให้เขาช่วยเหลือโดยไม่อาจปฏิเสธได้ พอพลแบ่งปันออกซิเจนซึ่งกันและกันจวบจนวินาทีสุดท้าย แล้วจึงดันตัวพาร่างบางขึ้นเหนือผืนน้ำ  
                “คนฉวยโอกาส เห็นแก่ตัวที่สุด ไอ้คน...”
                “ถ้ายังไม่หยุดพี่จะทำแบบเมื่อกี้อีก”
                คำแสลงหูยังไม่ทันจะพ่นออกจากปากอิ่มแบบที่เจ้าตัวต้องการ มีอันต้องหยุด เมื่อดวงตาสีมรกตวาววับสะท้อนกับแสงไฟพร้อมกับคำข่มขู่นั้นดังอยู่ชิดใบหน้า
                “คุณ...”
                “ท้าทายพี่ใช่ไหม ก็ได้...”
                “หยุดแล้ว”
                ตอบกระแทกแดกดันแทบจะทันที ไม่วายมองค้อนเขาปะหลักปะเหลือก เมื่อมือหนาทำท่าจะรั้งแขนเธอให้จมน้ำไปด้วยกันอีกครั้ง แม้คำตอบของคนตรงหน้าดูจะไม่เต็มใจนัก แต่มันก็เรียกรอยยิ้มให้กับคนฟังไปเปาะหนึ่ง
                “ถ้าไม่ดื้อรั้นและฟังพี่ตั้งแต่แรก ก็คงไม่อยู่ในสภาพลูกหมาตกน้ำแบบนี้หรอก”
                “คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ” ยังไม่วายเถียง ขอให้มีโอกาสเถอะ
                “ยังอีก สงบปากสงบคำฟังผู้ใหญ่พูดดีๆ บ้างไม่ได้หรือไง”
                “มีอะไรก็ว่ามา”
                “เรามาทำข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน ในบ้านหลังนี้” 
                คนตัวเล็กเพียงพยักหน้ารับด้วยความจำใจ

    **** สวัสดีจ้าทุกคน มาลงเสียดึกเพราะพึ่งแต่งเสร็จหมาดๆ ช่วงนี้คนแต่งงานยุ่งอิรุงตุงนังสุมหัวมากโข เหอๆ เลยทำให้อัพช้า ต้องขอประทานอภัยคนอ่านที่รักด้วยนะจ้า

    แล้วก็ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ยังคงให้การติดตามกันตลอด ผู้แต่งมีกำลังใจ ยิ้มจนตัวพองลมแล้วอิๆ

    มีคำผิดต้องขอโทษด้วยนะ คนแต่งตาลายง่วงเหลือเกิน ไปนอนดีกว่า ครอก....

    **** ช่อศิลาญา ****
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×