คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : END....
Sprite : พอเหอะ เราทนไม่ไหวแล้วหว่ะขวัญ Read
พื้นซีเมนและคอนกรีตหน้าบ้านมันมีน้ำขังเป็นหย่อมเมื่อระยะเวลาก่อนเช้าเพียงสองชั่วโมงหลังฝนห่าใหญ่มันจะหยุดตก
ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกอย่างกลับเป็นสภาพเดิมได้
มือบางลูบเรียวแขนเพียงแผ่วให้สัมผัสขรุขระจากรอยถลอกมันระคายปลายนิ้ว แสบนะ แต่เธอกลับรู้สึกชามากว่า
นานแค่ไหนไม่รู้เหมือนกันที่เธอเอาแต่นั่งชันเข่าอยู่บนเตียงของตัวเอง จ้องมองพื้นที่ว่างข้างตัวที่เหลือร่องรอยแค่เพียงรอยยับของผ้าปูกับหมอนใบเดิม ถึงสีมันจะเหมือนกันจนเธอไม่ใส่ใจจะแยกได้ก็เถอะ ตลกดีนะ ทุกครั้งที่สไปรท์มาค้างด้วยกลับจำหมอนของตัวเองได้แม่นยิ่งกว่าจมูกหมาซะอีก
ผู้หญิงอะไร ประหลาดชะมัด
อยากจะหัวเราะกับความแปลกของเพื่อนแต่ขอบตามันร้อนขึ้นจนต้องกระพริบตาเร็วๆไล่หยาดน้ำที่มันดังทุรังอยากจะเอ่อล้นขอบตาออกมาทุกที เธออยู่ชุดนักเรียน พร้อมจะออกจากบ้าน แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่ขยับตัว ได้แต่กำเครื่องมือสื่อสารแน่น ไม่สิ มันเป็นแค่เศษโลหะที่ทำไม่ได้แม่แต่จะสื่อ...สารของเธอให้อีกคนรับรู้
ของขวัญกำเจ้ามือถือไร้ประโยชน์ที่ทำได้แค่เผยภาพคู่ระหว่างเราทันทีที่เปิดหน้าจอให้ยิ่งรู้สึกขมขื่น
พังหมด เธอเป็นคนทำลายทุกอย่าง ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเรา ความรู้สึกของสไปรท์ แล้วเหนือกว่าสิ่งอื่นใด
เธอเพิ่งสำเหนียกได้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองจนสาหัส
นิ้วเรียวสัมผัสตามแป้นตัวเลขที่จำได้ขึ้นใจส่งสัญญาณวอนขอการติดต่อสู่ปลายทางที่ยังคงมีแต่เสียงผู้หญิงคนเดิมทีเธอนึกเกลียดขี้หน้าขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังสัญญาณ..... ติ๊ด ติ๊ด...
“ไปรท์........ เราไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้
ขอโทษ”
รู้สึกได้ว่าเสียงมันสั่นจนแทบไม่เป็นภาษาจากก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นจุกเต็มคอ น้ำตาโง่ๆมันไหลมาประจานความอ่อนแอแล้วยังงี่เง่าทำร้ายคนสำคัญได้อย่างไม่น่าให้อภัย เธอกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ รับรู้ถึงรสขมปร่าของน้ำตาที่ไหลผ่านตามผิวหน้า ความว่างเปล่าที่ตอบกลับไม่ได้ทำให้เธอคิดจะวางหูจนสัญญาณมันตัดไป
สไปรท์ไม่ใช่คนเปราะบางเหมือนเนื้อแก้ว แต่แข็งแกร่งราวกับอัญมณีแสนงดงาม
ที่เธอทำมันแหลกจนหมดทนทางจะต่อคืน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
“ขวัญเสร็จรึยังคะ เดี๋ยวแม่ธุระตอนเช้านะ รีบๆหน่อย”
ของขวัญสะดุ้งเฮือกรีบดึงแขนเสื้อลงปิดรอยถลอก มือปาดเช็ดน้ำตาแล้วสูดน้ำมูกให้มันเข้าโพรงจมูก
สะกดกั้นเต็มที่ไม่ให้แม่สงสัย แล้วเปล่งเสียงที่พยายามให้มันสั่นน้อยที่สุดตอบไปเมื่อแม่เรียกเธออีกครั้ง
“กะ...กำลังออกไปค่ะ!”
แกร๊ก...
ประตูเปิดออกและลูกสาวก็รีบออกมาเดินผ่านหน้าแม่ไป คนเป็นแม่เดินตามหลังพลางบอกให้ของขวัญหยิบแซนวิชที่โต๊ะแล้วไปกินในรถเนื่องจากความเร่งรีบ สาวรุ่นไปสต๊าทรถรอ ไม่นานของขวัญก็เปิดประตูขึ้นมานั่งข้างกัน หืม...
“ทำไมตาแดงหน่ะขวัญ เป็นอะไรรึเปล่า”
ของขวัญเงยหน้าขึ้นดูอ้ำอึ้ง แล้วส่ายหัวเป็นคำตอบพลางดึงเซฟติเบลคาดตัว
“ขวัญเคืองๆตาหน่ะ คงแพ้ฝุ่น แม่รีบไม่ใช่หรอคะ”
“อ่อใช่!!”
แม่ทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้ ปัดความสงสัยในตัวของลูกสาวออก เร่งเครื่องขับรถออกไปตามเส้นทางทันที
ภาพข้างทางแสนคุ้นตามันผ่านหางตาไปเหมือนทุกวันมันย้ำความคุ้นเคยที่ทำให้ลำลึกความหลังได้มากจนเกินไปจนต้องกำจิกกระโปรงนักเรียนจนมันยับยู่ยี่
“แล้วนี่สไปรท์ไม่ได้ค้างด้วยหรอ เหมือนแม่จำได้ว่าเห็นสไปรท์มาตอนเย็นนะคะ”
คนโกหกมักไม่กล้าสบตา และเธอกำลังเป็นแบบนั้น
แต่โชคดีที่แม่ใช้สมาธิขับรถมากเกินกว่าจะมาจับผิดกัน
“ไปรท์มีธุระด่วนค่ะ แม่เค้ามารับตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
แม่รับคำอือในลำคอแล้วไม่ถามอะไรอีก จนสุดท้ายรถคันเดิมก็จอดอยู่หน้าโรงเรียน เธอไหว้แม่เหมือนทุกทีที่ได้การลูบหัวเป็นรางวัลที่เธอกลับรู้สึกโหยหามากกว่าทุกครั้ง มันอาจจะเพราะความอ่อนแอที่เป็นอยู่ก็ได้ถึงได้รู้สึกแบบนี้
“ตั้งใจเรียนนะขวัญ เอ้อ ตอนเย็นชวนสไปรท์มาบ้านด้วยสิ
แม่ว่าจะต้มส้มปลากระบอกให้กินซะหน่อย”
ประโยคปกติที่กลับยิ้มรับไปไม่ได้เหมือนเคย แต่แม่คงไม่ทันสังเกต บอกลาเธออีกครั้งแล้วขับรถจากไปทิ้งให้ของขวัญยืนเคว้งเมื่อข้างกายไม่มีใครเหมือนเก่า สองขาได้แต่เดินอย่างเลื่อนลอยไปตามทางเดินเต็มไปด้วยนักเรียนทุกระดับชั้นพลุกพล่าน บ้างก็รู้จักกันที่เธอทำได้แค่เพียงยกมุมปากที่บิดเบี้ยวเกินกว่าจะเรียกว่ารอยยิ้มตอบรับคำทักทาย
เรื่องปกติที่สไปรท์เข้าโรงเรียนสาย
เธอจึงไม่ควรแปลกใจถ้าไม่เห็นอีกฝ่ายตอนเช้าตรู่แบบนี้
ของขวัญเดินไปนั่งรวมกับเพื่อนร่วมห้อง หยิบหนังสือออกมาอ่านเหมือนเช่นเคยสายตาจดจ้องตัวหนังสือแต่สมองกลับไม่รับรู้เนื้อหาเลยซักนิด และเริ่มจะบังคับดวงตาของตัวเองไม่ได้มันถึงได้สอดส่ายเหมือนจะหาใครที่สมควรวิ่งกระหืกระหอบมาใกล้เวลาที่กระชั้นคิดเคารพธงชาติซักที
ของขวัญดูนาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลาด้วยเข็มเส้นเล็กที่ยังทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มความสามารถมากเกินไป
เจ็ดโมงสี่สิบห้า
‘เอ้าเข้าแถวกันได้แล้ว’
เสียงอาจารย์ปกครองดังลั่นจากลำโพง ที่ทำเอานักเรียนเดินเรียงแถวกันให้วุ่นดูวุ่นวายเหมือนทุกวันที่ทำให้ลานอเนกประสงเต็มไปด้วยแถวนักเรียนเรียงเป็นระเบียบได้อยู่ดี ของขวัญขยับเข้ายืนด้านหลังเพื่อนที่ส่วนต่ำกว่าเธอแค่เพียงครึ่งเซนต์ น่าแปลกดีนะ ทั้งที่เธอสูงกว่าแท้ๆแต่สไปรท์ดันชอบมายืนข้างหลังอยู่ได้
‘ก็เราชอบมองหลังขวัญอะ มันเหมือน.... ได้ดูแลเธออยู่ตลอดเวลา’
เธอยังจำได้เลยว่าตอนนั้นหน้ามันร้อนจนแดงเป็นลูกตำลึงสุกมากขนาดที่สไปรท์ล้อเธอไปทั้งวัน
เธอมีความสุข ต้องเรียกว่าเราต่างมีความสุขถึงจะถูก
ของขวัญหันมองด้านหลังที่ยังคงว่างเปล่าที่ถูกเว้นไว้ให้คนที่นึกถึง
ที่ยังคงมีความหวังว่าจะได้เจนจวบครึ่งวันที่ยังคงไม่มีวี่แววของสไปรท์อยู่ดี
เงยหน้าขึ้นมองครูที่ยังคงสอนเหมือนปกติแม้ว่าห้องเรียนจะขาดสมาชิคไปหนึ่งคน เพื่อนยังคงแอบเล่นมือถือ คุยกัน
หรือแม่แต่นินทาครูในระยะเผาขน
‘คำพูดก็เหมือนกระสุน ที่ปล่อยออกไปแล้วมันเรียกคืนไม่ได้ และห้ามให้มันทำร้ายใครก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นคิดให้ดีก่อนพูดนะจ๊ะเด็กๆ เอาหล่ะครูฝากไว้เท่านี้’
คำสอนของครูวิชาพุทธศาสนาที่กลับแทงใจเธอได้ต่างจากทุกที
ออดดดดดดดดดดดด
เสียงลากเก้าอี้ดังระงม และหน้าที่เธอที่ต้องบอกทำความเคารพยืนจนครูอกจากห้องตามด้วยเพื่อนร่วมห้องที่ไม่มีรอจะไปเสวยสุขกับเวลาพักเที่ยงอันน้อยนิด ทิ้งให้ให้มีเพียงแค่เธอ ยืนมองความว่างเปล่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันแทนที่จะเป็นใครอีกคน
ฟันคมขบริมฝีปากจนเจ็บ นึกหวั่นใจกับท่าทีที่ร้ายแรงกว่าที่ผ่านมา
สไปรท์หลบหน้าเธอ
**
ครืด ครืด.....
อือ...
ครืด...
โว้ย!อะไรนักหนา
เสียงตะโกนที่ได้แต่คำรามในใจ เมื่อแรงเปิดปากมันยังมีไม่พอ ได้แต่ฝืนหนังตาหนักๆให้ปรือขึ้นที่ทำได้แค่เพียงครึ่ง
มองภาพมัวๆของเพดานห้องนอนที่มันดูน่าเวียนหัวกว่าทุกวัน
ตัวเธอมันวูบจะด้วยความร้อนหรือหนาวก็ยังแยกไม่ออก รู้แค่ว่าอาการแบบนี้มัน
โง่แล้วยังอ่อนแอให้ไข้กินอีก
สไปรท์ขยับผ้าห่มขึ้นถึงจมูก ขดตัวซุกใส่หาความอบอุ่นจะหลับต่อทั้งชุดนักเรียน ตั้งใจว่าจะไปเรียนหรอกนะแต่พิษไข้ที่เล่นงานใส่ดันเอาเลิกล้มความคิดจะออกจากบ้านเลยนอนมันทั้งชุดนักเรียนนี่แหละผมก็ยังสยายดูเป็นนักเรียนสถุนเบาๆ หน้าเคลิ้มเริ่มจะหลับแต่แรงสั่นครืดคราวที่หัวเตียงยิ่งทำให้หงุดหงิด เอื้อมมือไปคว้ามันอย่างยากลำบากมาดูหน้าจอที่ทำเอาปากแผลที่เริ่มแห้งมันถูกแหวกให้ปริออก
ของขวัญ miss call 96
เหอะ นี่ยังกล้าโทรมาอีก?
สไปรท์เค้นยิ้มทั้งที่หัวมันปวดตึบๆจนแทบแตก กำลังจะวางมือถือเฮงซวยกลับที่เดิมก็ต้องชะงัก
เมื่อข้อความแจ้งเตือนจากไลน์มันเด้งขึ้นเรียกความสนใจ
Team : ไม่มาโรงเรียนหรอวันนี้
จะทำเป็นไม่อ่านเหมือนทุกทีก็ทำได้ แต่อะไรมันดลใจให้เธอเข้ากล่องแชทอืม..คงจะเป็นความอ่อนแอที่อยากมีใครซักคนหล่ะมั้ง
เธอไม่กล้าบากหน้าไปหาคนที่เค้าไม่ต้องการแล้วหล่ะ
นิ้วกดตามตัวอักษารอย่างเชื่องช้าตามระดับความอ่อนแอของเจ้าตัว
Sprite : อื้ม ไม่สบายอะพี่ทีม
Team : อ้าวหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า ให้พี่ไปหาไหม
Sprite : ทำเป็นพูด จะโดดมาหาไปรท์รึไง
Team : ใช่สิ ให้พี่ไปหานะ เป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว
ไม่เคยมีใครทำให้เธอหัวใจเต้นแรงยกเว้นแค่คนคนเดียว แต่ในเวลานี้เธอกลับโหยหาเกินกว่าจะยั้งเรียวนิ้วไม่ให้มันกดพิมพ์ข้อความบ้าๆนั่นไปทัน ช่างหัวมันสิ ไม่อยากคิดะไรให้มันวุ่นวายอีกแล้ว เธออยากทำตามใจตัวเองทุหอย่าง ทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ใครที่มันไม่เห็นค่ากัน
Sprite : อื้อ ไปรท์จะรอนะ
.
.
..
.
ออดด ออดด
เปลือกตาบางปรือขึ้นจากการหลับใหลไปแค่ช่วงสั้นๆแต่มันก็พอที่จะให้เติมพลังต้านหวัดขึ้นมาบ้าง สไปรท์ลูบหน้าเรียกสติอีกนิดแล้วค่อยๆเคลาอนตัวไปนั่งห้อยขาที่ขอบเตียง จับโต๊ะข้างหัวเตียงพยุงตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซออกจากห้องนอนไปยังประตูที่ยังมีเสียงกดออดเป็นพักๆจึงพูดเสียงระโหยโรยแรงไปว่ามาแล้วน่า ให้เขาเลิกกดออด ปลดโซ่ล๊อคออกแล้วเปิดประตูเข้ามา
“เป็นไงบ้างเรา ไหวรึเปล่า”
“ไม่ค่อยอะพี่”
ใบหน้าคมเข้มนั่นดูกังวล อืม เธอคิดว่าเป็นแบบนั้นก็ภาพมันมัวจะตาย
สไปรท์เดินนำอีกฝ่ายไปที่โซฟา ทิ้งตัวนั่งแล้วเปิดทีวีดูเพราะแรงยุบข้างตัวถึงได้รู้ว่าเขามานั่งข้างกัน
อือ...
เด็กสาวครางงือเมื่อมือใหญ่ๆมันมาแตะหน้าผากซะเต็มฝ่ามือ มองหน้าเขาด้วยดวงตาพร่ามันทำเอาภาพต่างๆมันไม่ชัดเจน
เห็นไอ่พี่ทีมละมือไปทาบหน้าผากตัวเองแล้วลูบหัวเธอ
“ตัวร้อนแหะ มีเจลลดไข้ไหมเนี่ย”
“น่าจะมีมั้ง ลองดูในตู้เย็นดิ”
เขาลุกไปเหมือนจะไปเปิดตู้เย็นแต่ชะงักฝีเท้าไว้ช่างใจอะไรซักอย่าง และเธอต้องหลุดร้องออกมาเบาๆเมื่อตัวมันลอยหวือจากแรงดึงแขน สไปรท์ยื้อตัวกลับอย่างไม่ยอมกันจนหน้าบึ้ง หัวเราะทำไมวะ หงุดหงิด!
“โอยๆ พี่จะพาไปนอนในห้อง ป่วยขนาดนี้ยังจะดูทีวีอีก”
“ไม่เอา นอนทั้งวันแล้ว เบื่อ!”
ทำดื้อกระชากตัวให้หลุดร่วงแหมะแปะก้นใส่โซฟาให้เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆ
ติดขำนิดๆ พยักหน้าอย่างจำใจ
“โอเคๆ ”
แล้วเดินไปคุ้ยตู้เย็นหยิบเอาแผ่นเจลสีฟ้ามานั่งข้างสไปรท์ที่ทำคอไม่มีแรงทิ้งหัวหงายใส่พนักโซฟาจึงแปะเจลไว้ที่หน้าผากโหนกๆนั่น เด็กหนุ่มนั่งมอง คนที่ทำตาลอยเอาแต่มองเพดานราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แล้วต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อปากบางๆนั่นเปล่งเสียงแผ่วจนต้องเงี่ยหูฟัง
“เอา.........หนังมาเปิดดิ”
เอ้อ
ทีมหันซ้ายขวาดูงงๆจนสไปรท์จิ๊ปากขมวดคิ้วชี้ไปตู้ใต้ทีวีเขาถึงลุกไปนั่งยอง
เปิดตู้ไม้นั่นออกให้เห็นแผ่นภาพยนตร์กองเป็นตั้ง โอ๊ะ! เทคเคน(taken) ดูเรื่องนี้ดีกว่า
“เอาทไวไลท์นะ ภาคสอง อยากดูหมา”
เออ ก็ได้วะ
เขายิ้มแหยๆวางหนังเรื่องที่อยากดูไว้ที่เดิม คุ้ยเอาเรื่องที่เจ้าของห้องต้องการออกมาเปิดใส่เครื่อง
รอแผ่นมันเข้าจนสุดทางก็เดิยกลับมานั่งข้างคนที่นั่งกึ่งจะนอนข้างกัน
ไม่รู้นานแค่ไหน แต่สไปรท์ยังคงเอาแต่ดูหนังรักแวมไพร์ไม่แม้แต่จะสนใจเขาซักนิด ให้ทีมเริ่มทิ้งหลังพิงพนักนุ่มอย่างเซ็งๆ
“พี่ว่า....เบลล่าจะได้คู่กับใคร”
หืม.... สายตาของสไปรท์ยังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยม มองภาพการเคลื่อนไหวของมาป่า ผีดิบ และมนุษย์จอมแส่เรื่องไม่ขาด ปากบางกระซิบเสียงแผวที่เหมือนกับไม่ได้หวังจะให้เขาได้ยิน
“เอ็ดเวิร์ดสิ”
“นั่นสิเนอะ ไม่คิดว่าจะได้คู่กับเจคอปบ้างหรอ
หรือผู้หญิงไม่ชอบมองคนใกล้ตัว”
เอ่อ... คำถามที่ทำเอาเด็กหนุ่มใบ้กิน แต่เหมือนสไปรท์ก็ไม่ได้อยากรู้คำตอบของเขาซักเท่าไหร่ถึงได้หัวเราะเหอะๆใส่ที่ผีดูดเลือดมันฟัดกับหมาป่าอย่างกับดูโจ๊กฟืดๆของมิสเตอร์บีน ดวงตาที่ปรืออยู่แล้วหลับหรี่ลงเหมือนมันช่างหนักอึ้งเกินกว่าจะฝืนแรงเอ่ยคำถามอีกรอบ
“แล้วในเรื่องพี่ชอบใครอะ”
ใคร ดีหล่ะวะ รู้จักชื่อผู้หญิงอยู่คนเดียวเนี่ยแหละ
ทีมแอบเหล่มองนางเอกหน้าสวยแล้วตอบฉะฉาน
“เบลล่ามั้ง สวยดี” น่าจับทำเมีย
“เหอะ สวยแต่นิสัยแย่ก็ไม่ไหวนะ”
แย่??
“แย่ยังไง โลเลหน่ะหรอ”
นางกลับส่ายหัวด๊อกแด๊กซะงั้นก่อนจะชี้ๆแขนเซไปมาดูไม่มั่นคงใส่หมาตัวเบิ้ม
“จะไม่เอาเจคอปตั้งแต่แรกแล้วมาให้ความหวังทำไมวะ โคตรสงสารไอ่หมาอะพี่”
เออสงสารก็สงสาร เขาพยักหน้าอย่างงงๆ มองสไปรท์ที่หัวเรอะเหอะๆอีกแล้ว ก่อนนางจะเอนหัวพิงพนักนุ่ม ช้อนดวงตาฉ่ำๆนั่นมองเขา เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเมื่อริมฝีปากบางแดงระเรื่อมันเผยอขึ้นให้คนมองลมหายใจติดขัด เปล่งเสียงพร่าที่ทำเอาขนมันลุกไปทั้งตัว
“หิว... ทำไรให้กินหน่อย”
แหมะ
ตามด้วยเจลลดไข้ร่วงแหมะจากหน้าผาก ทีมส่ายหัวนิดๆแล้วเอามันแปะไว้ที่เดิม จับหัวยัยคนป่วยให้ตั้ง หงายดีๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปโซนครัว หูยังได้ยินเสียงภาพยนตร์รักตัวประหลาดมาไม่ขาด มือเปิดตู้เย็นก็เจอแต่ความว่าเปล่า จึงเปิดตามตู้หาอะไรที่พอจะใส่ท้องได้ จนสะดุดสายตากับสิ่งที่วางอยู่ซะหลืบให้ต้องหันกลับมองคนที่นั่งเงยคอมองเพดาน แล้วยกมุมปากขึ้น
ดูก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เพราะป่วย อาการมันเหมือนคนอกหักชัดๆ
‘ฉันรักเธอนะเจคอบ แต่อย่าให้ฉันเลือก เพราะยังไงฉันก็เลือกเค้าอยู่ดี’
ถ้าจะพูดแบบนี้อย่าบอกว่ารักเลยดีกว่าปะ
สไปรท์งึมงำสาปแช่งยังนางเอกสวยเลือกได้ แล้วถดขาขึ้นกอด นั่งคู้ดูหมาเศร้าที่มันฟิลได้กับเธอดีจริงๆ ถึงจะคนละสาเหตุก็เหอะ นึกอยากให้เอ็ดเวิร์ดมันเกิดเกย์กับไอ่หมาให้ยัยเบลล่าเงิบไปเลยคงสะใจพิลึก แรงยุบข้างตัวไม่ได้ทำให้เธอสนใจ
กริ้ง....
แต่เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วจากการแกว่งอยู่ตรงหน้านี่ทำให้เธอเลิกคิ้วขึ้นนิดๆหันมองคนที่ส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ทั้งในมือยังคงถือแก้วใส่ของเหลวสีใสถึงจะมีแค่หนึ่งในสี่แต่กลิ่นมันกลับฉุนจมูกอย่างรุนแรง ยื่นส่งมาให้เธอ
“มีเรื่องกลุ้มใจใช่ไหม มันช่วยได้บ้างนะถ้าจะลืม”
“เหอะๆ กินให้อ้วกก็ลืมไม่ได้หรอก”
นั่นก็จริง
ทีมยักไหล่แล้วยกแก้วของตนขึ้นกระดก รวดเดียวหมดแก้วแล้วขยับอีกแก้วเหมือนจะให้สไปรท์รับไปซักที
“แต่มันจะทำให้ระบายได้ง่ายขึ้นนะ อยากพูดอะไรก็พูดให้หมด”
“อยากรู้เรื่องของฉันขนาดนั้นเลย?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรแต่รินเพิ่มแล้วยกขึ้นจิบ มองสไปรท์ที่ดึงไอ่แก้วที่เขาถือให้ซะนานสองนานไปกุมไว้ เด็กสาวมองมันอย่างช่างใจเหมือนคิดอะไรไม่นานก็เหยียดยิ้มบิดเบี้ยวแล้วยกมันขึ้นกระดก หลับตาปี๋รับความร้อนวาบในลำคอตามการไหลลงของแอลกอฮอล์ ในเวลาแบบนี้เธอรู้สึกว่ามันเยี่ยมกว่ากินแบบผสมซะอีก ร้องอา...ออกมานิดๆเมื่อหมดแก้วแล้วทีมก็รินให้เพิ่ม วนเป็นวัฏจักรเดิม หมดไปแก้วแล้วแก้วเล่า จนใบหน้าน่ารักเริ่มขึ้นสีจากฤทธิ์แอลกอฮอลล์หัวเราะอย่างกับคนบ้า ปล่อยให้ปากบางๆนั่นพ่นคำพูดออกมาไม่หยุด ฮะ ฮะ ฮะ
“หนูอกหักหว่ะพี่ พี่เคยปะ โห.... แม่ง!โคตรเจ็บอะ ตอนโดนประตูหนีบมือยังไม่เจ็บเท่านี้เลยเอาจริง ไม่เอาก็บอกกันแต่แรกดิมาทำให้ชอบทำไมวะ พออยู่ใกล้ๆก็ทำแขยงอย่างกับเป็นตัวเชื้อโรคแต่พอจะตัดใจหาคนอื่นสะเออะมาหวงกันอีก นี่ตกลงจะเอาไงกันแน่อะ ดูดิพี่!! พี่คิดดู! ทำแบบนี้ใครมันจะไปตัดใจได้คิดบ้างปะ!! ปากบอกไม่เอาๆ อยากให้เป็นแค่เพื่อน เพื่อนบ้าไรวะ! ทำได้ก็ไม่ใช่คนละ” ฮึก ฮึก...
จมูกมันแสบไปหมดเพราะไอ่น้ำบ้าๆมันดันทุลังจะออกเพราะแค่ทางเบ้าตาคงจะระบายไม่ทัน ปล่อยให้น้ำสีใสไหลลงเป็นสาย แก้มเนียนเลอะน้ำโง่ๆจนเหนอะไปหมด พยายามเปิดปากพ่นคำพูดต้านรสขมปร่าที่มันไหลเข้าปากหรือแม้แต่จะไหลยาวมาถึงลำคอให้มันแฉะจนรำคาญตัว เค้นเสียงแหบพร่าจากลำคอที่มันสั่นจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“แม่ง...โคตรเห็นแก่ตัว”
ครืด ครืด....
ไอโฟนโง่ๆนั่นมันสะเออะสั่นครืดคราด ดังให้ได้ยินแม้จะอยู่ในห้องนอน รู้หรอกว่าใครโทรมา แต่จะทำไมหล่ะก็คนมันไม่อยากรับ ไม่อยากแม้แต่ได้ยินเสียง แน่จริงมาหาเลยดิ สไปรท์ยังคงหงายหน้าพิงพนักสะอื้นฮึกฮักจนดูน่าสงสาร ทีมจึงดึงแผ่นลดไข้ที่หมดประโยชน์นั่นออก โยนส่งๆไว้ที่พื้น เขาประคองศีรษะคนเมาทั้งพิษไข้ เหล้า หรือแม้แต่พิษรักด้วยนี่ให้ซบลงที่ไหล่ แทนที่แผ่นเจลด้วยริมฝีปากที่กดลงบนหน้าผากร้อนจนเจ้าตัวครางงือ.... ไม่ได้ต่อต้าน
“ก็ช่างมันสิ ไปรท์รู้ไหม พี่มีวิธีทำให้ลืมได้นะ”
สไปรท์ช้อนดวงตาพร่าฉ่ำขึ้นสบกับทีมที่มองตอบด้วยแววตาวาว ราวกับจิ้งจอกตัวผู้
ดูเด็กสาวจะสนใจคำของเขามากายถึงได้มองมาอย่างกับลูกแมวแสนเชื่อง ริมฝีปากหนาเผยอขึ้น กระซิบคำชิดใบหู
“อยากลืมคนเก่า ก็แค่หาคนใหม่...ง่ายจะตาย”
หึ... ใบหน้าคมเข้มมันเคลื่อนเข้าใกล้จนลมหายใจร้อนๆมันรดรินใส่หน้าจากคนที่มันเผยธาตุแท้ให้สไปรท์เหยียดมุมปากเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆที่ปลายคาง
“อยากได้...มากเลยหรอพี่”
กระซิบแค่แผ่วแต่มันคงได้ยินแน่หล่ะ เขาหัวเราะ สะเออะหัวเราะทำไม
“อือ แล้วให้ได้ปะหล่ะ”
รอยยิ้มเหยียดกับดวงตาหรี่ลงของสไปรท์ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งใจเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความรักหรอก เรียกว่าตื่นเต้นจะดีกว่า
และยิ่งพ่นลมหายใจแรงเมื่อมือบางๆของเด็กสาวเคลื่อนจับลำคอของเขา ดึงให้โน้มเข้าใกล้ กระซิบชิดริมฝีปาก
“อยากได้ ก็เอาไปดิ”
****
ออดดดดดดดดดดด
เสียงสวรรค์ประจำวันที่ทำให้ต่างคนต่างเก็บของเร็วเยี่ยงความไวแสง
รวมถึงหัวหน้าห้องที่วันนี้เก็บของเร็วกว่าปกติเมื่อไม่ต้องรออีกคน คว้ากระเป๋าเดินตามเส้นทางเพื่อที่จะกลับบ้านเหมือนทุกวัน
เรียกว่าเหมือนไม่ได้สิ ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่ต้องกลับบ้านคนเดียว
ของขวัญหันกวาดสายตามมองคนรอบตัวที่ยังคงยิ้มหัวเราะ สนุกไปกับเพื่อน สบายใจกับการพักผ่อนหลังเลิกเรียน อย่างที่วัยเรียนสมควรจะเป็นให้กลับยิ่งต้องเร่งฝีเท้าไม่อยากจะรับรู้เรื่องรอบตัว รีบจ้ำจนไปหยุดอยู่หน้าโรงเรียน โบกเรียกแท็กซี่แล้วเปิดประตูหลังออก เตรียมจะบอกปลายทางก็ชะงัก
แล้ว....เธอควรจะไปไหน?
กลับบ้าน .........หรือไปหาสไปรท์ เธอคงจะคิดนานไปหน่อยพี่โชเฟอร์ถึงหันมาเร่งเพราะรถคันหลังเริ่มบีบแตรไล่ซะของขวัญสะดุ้งตกใจ รีบบอกปลายทางไปก่อนจะพรวดพราดเข้าตัวรถ กอดกระเป๋าปล่อยให้ยานพาหนะเคลื่อนไปตามถนนเส้นเดิม
.
.
.
.
.
.
เห้อ..
แล้วก็มาอยู่ที่บ้านของตัวเองจนได้
ของขวัญยิ้มเยาะความขี้ขลาดของตนเอง เลื่อนประตูรั้วออกแล้วเข้าบ้าน ไขกุญแจเปิดประตูไป เข้าถอดรองเท้าอย่างล่องลอยวางกองไว้หน้าชั้นวางรองเท้า และเหมือนทุกวันที่แม่จะนั่งทีวีดูละครยามเย็น ส่งยิ้มเนือยๆทักทายแม่แล้ววางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะรับแขก เดินย่างไร้เรี่ยวแรงไปนั่งข้างๆแล้วเข้าซุกกอดเอวแม่แน่น
“มาถึงก็อ้อนเลยนะ จะเอาอะไรรึเปล่าเนี่ย”
แม่หอมหัวเธอเบาๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะดี๊ด้าจุ้บแม่กลับแต่ตอนนี้กลับไม่มีแรงเหลือพอ
ได้แต่นิ่งไป ซบอกแม่เหมือนจะหาที่พึ่ง
แม่ยังคงลูบไหล่เธอไป ดูทีวีไป ให้เธอได้เห็นละครที่มันยังคงสอดแทรกเรื่องรักร่วมเพศที่มันคงเป็นประเด็นตลกของคนในสังคมไปแล้ว
“แม่คะ”
หืม
“ว่าไงคะ” แม่ตอบมาแค่นั่นแล้วรอให้เธอพูดต่อ ของขวัญกัดปากแน่น
สมองคิดเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก แต่ก็พยามเอ่ยออกไปให้แม่ก้มมองกัน
“ถ้าขวัญ คือ...ถ้าขวัญแปลกไปจากคนอื่น แม่จะรู้สึกยังไง”
แม่เลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ
“แปลก? หมายถึงอะไรแปลกหล่ะเนี่ย มีสามตาหรอ ?”
แม่หัวเราะ แต่เธอกลับขำไม่ออกจนสาวรุ่นใหญ่ชะงัก
ถอนหายใจออกมาเบาๆ กระชับอ้อมแขนเพิ่มความอบอุ่นของอ้อมกอด
“ถึงขวัญจะแปลกแค่ไหน ยังไงแม่ก็รักเราอยู่ดี
ก็ขวัญเป็นลูกแม่นี่”
“ทั้งที่ขวัญจะไม่เหมือนคนปกติหน่ะหรอคะ”
“โถ...เป็นอะไรของเราเนี่ย”
แม่รัดตัวเธอแน่นแล้วโยกไปมาให้เธอยิ่งซูกหน้าใส่อกแม่ หลับตารับความอบอุ่นของที่พึ่ง
“ฟังแม่นะ ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง จะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าแม่ก็ยังรักลูกเหมือนเดิม”
เธอไม่ได้อยากร้องไห้ แต่น้ำตาที่มันคลอขึ้นเต็มหน่วยทำให้แม่ช่วยปาดเช็ดออกให้ ของขวัญกลั้นเสียงสะอื้นจนจมูกแดง
แม่ดูตกใจมากเลยหล่ะที่อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ ถามซ้ำๆว่าเธอเป็นอะไร ให้บอกแม่มา แต่ของขวัญกลับส่ายหน้า หัวเราะนิดๆแล้วผละออกจากอ้อมกอดแม่ ฉงกหน้าหอมแก้มแม่แรงๆแล้ววิ่งไปที่ประตู
“เดี๋ยวหนูมานะคะ! ”
ก่อนจะวิ่งฉิวออกไปให้คนเป็นแม่ได้แต่มองตามอย่างงงๆ
“เอ้า อะไรเนี่ยลูกคนนี้”
**
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก....
แฮ่ก...
ระยะทางจากแท็กซี่ถึงล๊อบบี้คอนโดมันใกล้นิดเดียวแต่เธอกลับเลือดที่จะวิ่งกระหืดกระหอบราวกับกลัวแต่ละวินาทีมันหลุดลอยไปอย่างไร้ค่า รีบบอกเลขห้องทั้งชื่อคนที่อยากเจอให้พี่ยามยอมรูดบัตรให้เข้าตึกได้
ขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง และขอให้มาเริ่มกันใหม่
ในหัวเธอมีคำพูดมากมายที่อยากให้สไปรท์ทำได้ฟัง จะโดนด่าว่าโลเลเห็นแก่ตัวอะไรเธอก็ยอม จะโดนตบเธอก็ไม่ว่า แค่ขอให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือแม้จะเป็นความสัมพันธ์แบบที่สไปรท์ต้องการเธอก็เต็มใจ ตัวลิฟท์มันเคลื่อนด้วยความเร็วปกติที่ครั้งนี่เธอกลับคิดว่าตัวเลขดิจจิตอลมันวิ่งช้าเกินไปถึงได้ร้อนใจจนยืนนิ่งไม่ได้ กำมือลุกลี้ลุกลนและรีบพุ่งตัวออกทันทีเมื่อบานกระตูโลหะมันเลื่อนออก
รอยยิ้มมันวาดขึ้นเต็มไปหน้า ราวกับยกภูเขาทั้งลูกออกจากอกไปได้ซักที
รีบเคาะประตูบานไม้ที่คุ้นตัวเลขจนจำขึ้นใจ
“ไปรท์”
...
เงียบ คงหลับมั้ง
ของขวัญดึงกลอนลงแล้วต้องแปลกใจที่มันไม่ได้ล๊อค ดันประตูบานไม้เข้าไป ถอดรองเท้าไว้ข้างประตู
สายตาสอดส่ายยังโซนนั่งเล่นที่กลับว่างเปล่า มีแค่เสียงเพลงลอยเข้าหูก้องอยู่ทั้งห้อง
ให้มันเป็น...สีชมพู แค่ให้หัวใจของเราได้รู้......
“ไปรท์” อืม...
ไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม ของขวัญกำลังกวาดสายตาหาคนที่หวังจนไม่ได้สังเกต
ว่ารองเท้าผ้าใบมันวางเคียงรองเท้านักเรียนข้างกัน และสายตามันไปสะดุดกับห้องที่มันแค่งับประตูปิดไว้ ให้เธอยิ้มกริ่ม
นั่น...ยังนอนอยู่จริงๆด้วย “ไปรท์”
อีกครั้งที่เรียกแต่ไม่รอให้มีเสียงตอบกลับเหมือนเคย ของขวัญรีบเดินไปยังห้องที่คิดว่าอีกคนคงนอนตายอยู่แน่ๆ จับกรอนประตูโลหะที่ไม่ต้องดึงลงก็สามารถใช้แรงแค่น้อยนิดในการดันมันเข้าไป ให้บานไม้แง้มออกเผยช่องว่างกว้างขึ้นทุกทีที่เผยภาพการเคลื่อนไหวทุกอย่างให้มันชัดเจน..........เกินไป
อือ...
เสียงหอบกระเส่าหรือจะครวญครางเธอแยกไม่ออก เหมือนหูจะอื้อจนตาแทบลายไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงหรือก้าวหนีเพราะขามันชาลามจากปลายนิ้วขึ้นมาทั้งตัว มือที่ยังคงกุมกรประตูโลหะแสนเย็นเฉียบจนบาดลึกเข้าถึงกระดูก ทะลวงก้อนเนื้อเปราะบางให้มันบีบรัดจนปริออก เหมือนกำลังจะตาย
แค่เสื้อผ้าต่างเพศที่กองรวมกันอยู่บนพื้นมันก็พอให้รู้
แต่ภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็นเต็มสองตามันยิ่งบอกทุกสิ่งชัดเจนเกินกว่าจะรับได้อีก
อืม.....
ดวงตาสไปรท์กำลังหลับเพริ้ม ดูพอใจในสิ่งที่รุ่นพี่นั่นกำลังสนองให้ถึงได้รัดลำคอของเขาไม่ปล่อย
น่าตลกเนอะที่เธอยังทำร้ายตัวเองด้วยการยืนมองอยู่แบบนั้นจนสไปรท์เห็นเธออยู่ในสายตาซักที
“ขวัญ!!!”
กว่าจะรู้ตัว ขามันก็สั่งให้วิ่ง วิ่งอย่างเดียว ทำแค่ออกแรงวิ่ง
วิ่งให้เร็วแม้ของเหลวโง่ๆมันจะอัดขึ้นจนล้นขอบตาไหลออกมาเต็มแก้ม เพื่อที่หนีความจริงที่มันชัดเจนเกินกว่าที่จะทนมองได้อีก
**
“ขวัญ!!!”
โถ่เว้ย!
อั๊ค!!! โครม!!
ร่างด้านบนมันกระเด็นออกร่วงกลิ้งตกเตียงด้วยแรงถีบสุดกำลัง
รีบโกยผ้าห่มคลุมตัว พยายามผุดลุกขึ้นแล้วต้องร้องเสียงหลง ทรุดลงกองกับเตียงเมื่อความเจ็บแปลบที่ท้องน้อยมันเล่นงานปนกับพิษไข้ที่เกิดมาออกฤทธิ์ตอนนี้ สไปรท์นั่งขดตัวกุมท้องไม่สนใจคนที่ลุกขึ้นอย่างหัวเสีย ตะหวาดใส่เธออย่างโกรธจัด
“เป็นบ้าไรวะ!!”
“ออกไป ไปไหนก็ไป”
พูดเสียงเรียบที่ทำให้เขายิ่งจะสติแตก ทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าหาให้เด็กสาวรีบผลักอกมันออกจนเขาเซนิดๆ ขยี้หัวอย่างหงุดหงิด รวบเสื้อผ้าสวมใส่ก่อนจะออกจากห้องที่ยังไม่พ้นประตูดีก็หันกลับมาทิ้งประโยคสาดด่า
“แรดแล้วทำแอ๊บ แล้วอย่ามาง้อแล้วกัน”
อยากจะด่าสวนแต่ปากมันไม่อยากจะขยับ ได้แต่ปล่อยให้มันปึงปังออกไป
สไปรท์เคลื่อนตัวพิงหัวเตียง รวบผ้าห่มขึ้นคลุมตัวถดเข่าขึ้นกอด ยิ่งบีบต้นแขนจิกใส่จนเนื้อระบมเมื่อเพิ่งรู้ว่าทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ สัมผัสจางๆที่มันยังหลงเหลือให้รู้สึกมันยิ่งรังเกียจตัวเอง กอดรัดตัวจนเล็บจิกใส่ผิวขาวแดงเป็นปื้น
เธอควรสะใจ ที่ขวัญจะได้รู้ว่ามีคนมากมายต้องการเธอ ขาดขวัญไปซักคนเธอก็ยังหาความสุขใส่ตัวได้ ไม่ตายซะหน่อย
ให้รู้ว่าเธอทำได้ ขาดขวัญไปก็ไม่เป็นไร ไม่แคร์หรอก
ก้มหน้าลงซุกกับหน้าขา ปล่อยให้น้ำตาไหลรินประจานความโง่เขลาที่มันสร้างความเจ็บปวดได้ร้ายแรงกว่าที่ครั้งก่อนเป็นพันเท่าด้วยการกระทำสิ้นคิดของตัวเอง มือทึ้งเรือนผมจนแทบหลุดทิ้งให้ความอ่อนแอมันเทเข้าใส่จนระบมไปทั้งตัวสั่นระริก สะอื้นเสียงสะท้อนไปทั้งห้องนอนที่เคยเป็นของ ‘เรา’ ร้องไห้ออกมา ร้องไปซะให้พอ เอาให้มันขาดใจตายไปเลยยิ่งดี
หมดแล้ว ทุกอย่างเลย....... เธอนี่แหละเป็นคนทำลายมันเอง
**
“ขวัญ? ขวัญ!!”
แม้แม่จะเรียกเมื่อเธอพรวดพราดเข้ามา รีบขึ้นชั้นสองไม่สนใจว่าแม่จะตกใจมากแค่ไหนที่เห็นลูกสาววิ่งน้ำตานองหน้ากลับบ้าน ของขวัญวิ่งขึ้นชั้นสอง เข้าห้องทั้งดึงประตูปิดทันทีใช้แผ่นหลังสั่นเทาของตัวเองแนบเข้าที่บานไม้ให้สัมผัสแข็งๆมันทำเอาหลังเธอเจ็บไปหมด
ฮึก ฮึก...
จำไม่ได้หรอกว่าครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้หนักขนาดนี้มันเมื่อไหร่ สภาพมันจะทุเรศเท่าที่เป็นอยู่ไหมนะ เบ้าตาเธอปวดไปหมด มันคงจะแดงจนน่ากลัว ตัวมันสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำใสมันไหลอย่างกับก๊อกแตกตามผิวแก้มหยดใส่พื้นจนเห็นเป็นหยดใหญ่ ปากพยายามขบกลั้นเสียงสะอื้นที่แม่ยังจะได้ยินอยู่ดีถึงได้มาเคาะประตูถามว่าเธอเป็นอะไรซ้ำๆดูเป็นห่วงเธอ
เพราะเธอเป็นคนสำคัญของแม่ไง แม่ถึงไม่เคยทำให้เธอเสียใจ
ถึงตัวจะยังสั่นและหน้าเปื้อนน้ำตาเต็มไปหมดแต่เธอไม่คิดจะแอบซ่อนมันอีกแล้ว หันตัวไปเปิดประตูให้เห็นหน้าแม่ ที่เธอพุ่งเข้าสวมกอดทันที ปล่อยโฮใส่ไหล่ให้คนเป็นแม่กอดตอบ ลูบหลังปลอบใจคอยกระซิบให้เธอเย็นลง ทำไม่ได้หรอก ถึงพยายามให้ตายเธอก็หยุดร้องไห้ไม่ได้
“มะ...มันจบแล้วแม่ ฮึก.... หนู....ไม่อยากเป็นเพื่อนกับสไปรท์แล้ว”
ถึงแม่จะสงสัยเธอก็ไม่สนใจ ช่างสิ แค่อยากพูดออกไป ไม่อยากเป็นเพื่อนไม่ใช่เพราะอยากจะเลื่อนระดับความสัมพันธ์
แต่เพราะแค่คำว่าเพื่อนยังไม่อยากจะยื่นให้ สิ่งที่สไปรท์ทำมันร้ายแรงเกินไป รุนแรงเกินกว่าที่เธอจะรับได้
เธอเพิ่งเข้าใจคำว่าเจ็บที่สไปรท์คร่ำครวญนักหนา อาจจะเรียกว่ากรรมตามสนองก็ได้
เธอถึงเจ็บจนแทบตายได้ขนาดนี้
****
“อ้าว มาซะเช้าเลยนะสุนิสา”
ครูที่ทำหน้าที่รอรับนักเรียนอยู่หน้าประตูทักขึ้นทันทีที่เห็นนักเรียนติดยศจอมสายอันดับต้นๆมาซะตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
สไปรท์ยิ้มแหยๆรับแล้วไหว้ครูก่อนจะเดินเร็วๆไปยังลานอเนกประสงค์ที่ยังคงโล่งเกือบร้างคนด้วยมันเช้าเกินไป จึงไปยืนพิงกำแพงเย็นๆหาที่หลบมุมพอที่จะมองเห็นทุกคนที่เข้ามา เวลาผ่านไปแค่ไหนก็ไม่รู้แต่นักเรียนเริ่มทยอยเข้ามาในลาน นั่งจับกลุ่มกันตามพื้น ยืนเคาะเท้าฟังเสียงกึกๆฆ่าเวลาที่มันผ่านไปช้ากว่าทุกที
เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ยังไม่มาอีกหรอ
ความกังวลมันออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน เมื่อคนที่หวังดันมาช้ากว่าที่ควรจะเป็น พลางกวาดสายตามองฝูงกางเกงกระโปรงน้ำเงินที่พลุกพล่านจนลายตาแล้วต้องเบิกตาขึ้นเมื่อสะดุดเข้ากับคนที่เพิ่งจะเดินเข้าเพื่อนั่งรวมกลุ่มกลับเพื่อนร่วมห้อง สไปรท์รีบเดินเร็วๆไปก่อนที่ขอขวัญจะถึงที่หมาย รีบคว้าแขนเอาไว้ห้ของขวัญหันกลับมาทั้งตัว สีหน้าของขวัญตกใจ แต่กลับเป็นเป็นนิ่งสนิทเมื่อเห็นว่าเป็นเธอ
สไปรท์อ้ำอึ้งอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ดึงจะให้ของขวัญตามมาซึ่งเจ้าตัวขืนไว้สุดความสามารถ
“เรามีเรื่องจะคุยด้วย ขอร้อง”
น้ำเสียงวอนขอที่ไม่ได้ทำให้ของขวัญนึกเห็นใจ สะบัดแขนอย่างแรงให้หลุดออกไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง แต่สไปรท์กลับกระชากแขนจนตัวเซ หลุดร้องด้วยเสียหลักซึ่งต้นเหตุก็รีบพยุง ไม่รอให้เธอได้ตั้งหลักหนีอีกครั้งสไปรท์กลับกระชากให้เธอเดินตามขาแทบพันกัน ภาพนี้มันคุ้นๆเนอะ เหมือนเคยเกิดขึ้นเลยหล่ะ ...จะว่าไป จะมีเพื่อนที่ไหนเค้าเคลียกันแบบนี้ไหมนะ
ขามันก้าวตามคนที่เดินเร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แต่กัดฟันมองแผ่นหลังบางๆของสไปรท์ที่ขยับตามการก้าวเดินอย่างเร่งรีบของเจ้าตัว จะต้องขอบคุณรึเปล่านะที่มันดันมีห้องเรียนที่แง้มประตูไว้ทั้งที่ทุกคนไปเข้าแถวกันหมดแล้ว สไปรท์ถึงได้เปิดมันออก ก่อนจะรั้งเธอให้เข้าไปตามด้วยปิดประตู ลงกรอนราวกลับกลัวเธอหนีไปไหน ทำแน่หล่ะ แค่ให้มีโอกาส
ดวงตาที่เคยเป็นมิตรเสมอกลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ไม่อยากแม้แต่จะเสวนาจนสไปรท์ยิ่งใจเสีย
จะแตะแขนแต่ของขวัญสะบัดออก ถอยไปทิ้งระยะห่าง
“คือ เมื่อวานเราเมา เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเลยนะขวัญ”
ดวงตาของสไปรท์มันเต็มไปด้วยแววของความปวดร้าว แต่ทำไมเธอต้องแคร์ ที่เธอเห็นสไปรท์ก็ดูมีความสุขดีนี่
สไปรท์ดันโต๊ะเรียนที่ขวางทางออกอย่างลวกๆ จะเข้ามาใกล้และของขวัญก็ถอยหนีทันที คว้าเก้าอี้ดันใส่ให้มันถลากระเด็นชนสไปรท์ เจ็บแน่หล่ะถึงได้ร้องออกมาแบบนั้นแต่ไม่ตอบโต้
“เราไม่ได้ต้องการทำร้ายเธอ”
แค่นี้ใช่ไหมที่อยากพูด
สีหน้าเธอมันฉายชัดด้วยคำถามนั่น ของขวัญร้องเหอะขึ้นจมูก ส่งสายตาเหยียดใส่ไล่มองร่างกายในชุดนักเรียนที่มันแปดเปื้อนสิ้นดี ทำไมเราไม่เหมือนตอนเด็กนะ แค่มีความสุขไปวันๆ ไม่ใช่ต้องมาแบกรับความเสียใจกันแบบนี้
ของขวัญไม่สนว่าสไปรท์จะรู้สึกผิดหรืออยากจะใช่คำพูดกระหลั่วๆนั่นโน้มน้าวเธอมากแค่ไหน รีบวิ่งอ้อมไปหลังห้องหมายจะหนีให้พ้นจากคนตรงหน้าซักที ไม่อยากแม้แต่จะใช้อากาศหายใจร่วมกัน แต่มันดันสะเออะวิ่งมาดัก รวบเธอเข้ากอดรัดก่อนที่มือจะแตะประตู ของขวัญดิ้นสู้สุดกำลัง มือดันผลักคนตรงหน้าออก สะบัดตัวยื้อให้หลุดจากการกอดรัดที่มันแน่นขึ้นเกินไป แน่นจนอึดอัดและรังเกียจสิ่งที่มันฝังอยู่เต็มร่างกายของหล่อน
“ฟังกันหน่อยสิ! เราไม่ได้คิดอะไรกับพี่ทีม เรารักขวัญนะ! รักแค่ขวัญ”
กล้าพูดออกมาได้ยังไง ของขวัญกัดฟันจนสันกรามปวดหนึบ รู้สึกได้เลยว่าปากเธอสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อคำบอกรักงั่งๆมันหลุดจากปากคนตรงหน้า ของขวัญรวบรวมแรงทั้งหมดผลักสไปรท์ออกจนล้มหงายกระแทกพื้น ชนโต๊ะจนมันเคลื่อนไปหลายตัว เสียงโอ้ย!มันทำให้รู้ว่าคงจะเจ็บน่าดูแต่ไม่เท่าเธอหรอก ของขวัญรีบคว้าลูกบิดจะพลักประตูหนักๆออกไปแต่กลับต้องเซมาด้านหลังตามแรงกระชาก เบิกตากว้างเมื่อใบหน้ารู้สึกถึงการกอบกุมด้วยมือโสโครกของหล่อนตามด้วยริมฝีปากโสมมบดเบียดใส่อย่างรุนแรง มือบางกำสาบเสื้อที่ไหล่สไปรท์แน่น ร้องอื้ออึงเมื่อสไปรท์ยังคงกดจูบดูดดึงริมฝีปากที่เม้มแน่ของเธอไม่หยุด พยายามใช้เรียวลิ้นนั่นดุนดันพยายามสอดแทรกเข้ามา.....ราวกับไม่ได้ใช้ความรักกระทำ
เพี๊ยะ!!!!
ใบหน้าสะบัดหัน ตัวเซจนเกือบล้มมันแสดงความรุนแรงของแรงหวดใส่ได้อย่างดี มือเธอมันชาแต่ใบหน้านั่นคงเจ็บยิ่งกว่า
เธอไม่สนคนที่ตัวเซไม่แม้แต่กุมแก้มแดงๆที่มันขึ้นให้เห็นครบหน้านิ้ว ดวงตาคมสวยที่เธอเคยชอบมันสั่นระริกได้แต่ก้มมองพื้นห้องทั้งยังค้างใบหน้าที่ยังสะบัดหัน
กว่าจะได้สติสิ่งที่สไปรท์ได้เห็นเป็นอย่างแรกคือคนที่รักรักหมดใจกำลังถูริมฝีปากรุนแรงราวกับแขยงมันนักหนา แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจจ้องมองมามันทำให้ก้อนเนื้อในอกมันชาเกินกว่าจะรู้สึก แบบนี้มัน....เจ็บยิ่งกว่าโดนตบซะอีก เธอคงไม่มีหน้ารั้งเอาไว้อีกแล้วหล่ะ แค่นี้ก็หน้าด้านหน้าทนมากพอแล้ว
ของขวัญหมุนตัวไปยังทางออก กำลังจะหายไปจากการมองเห็นที่เธอใช้คำพูดชะงักฝีเท้าของขวัญได้เพียงนิด
ก่อนเพื่อนคนสำคัญจะจากไป.....อย่างไม่มีวันหวนกลับ
“โอเค..... ถ้าขวัญอยากได้นัก
.... เราก็จะทำให้ ”
**
อื้อ..... ติดด้วยแห๊ะ
เรียวหน้าสวยเงยมองบอร์ดที่แปะรายชื่อแยกสายการเรื่องมัธยมปลายเด่นหลา
พยักหน้าอย่างพอใจในสายศิลป์-คำนวณที่ได้มา
แน่หล่ะมันเป็นสิ่งที่เธออยากเรียนตั้งแต่แรก
เสียงร้องด้วยความดีใจมันดังรอบตัว มีบ้างที่ผิดหวังอดเข้าสายที่อยากเรียน แต่สุดท้ายเชื่อสิยังไงครูก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ความฝันของเด็กทั้งที เธอขำออกมานิดๆเมื่อมีเพื่อนร้องกรี๊ดกระโดดกอดหนุ่มข้างตัวอย่างดีใจอย่างลืมอาย ดูดีใจเว่อซะแอบคิดว่าเนียนกอดผู้ชายรึเล่า แล้วคงจะเป็นแบบนั้นจริงๆยัยนั่นถึงได้ทำเขินอายลูบหน้าลูบผมแต่หน้าตานี่เบิกบานกว่ารู้สายเรียนอีกแหนะ
ถอยออกมาหลบกล่มคนเบียดเสียด เพื่อที่จะได้มองห่างๆ เห็นทุกคนที่ยังมุงดูบอร์ด
เหมือนกับ ‘อดีต…..เพื่อนสนิท’ของเธอ
อืม...ของขวัญแค่ยิ้มอย่างพอใจในรายชื่อที่แปะหราซะอันดับแรกของสายวิทย์-คณิต แน่หล่ะ เรียนเก่งขนาดนี้ไม่ติดก็แย่แล้ว นึกแล้วก็ตลกดี ทั้งที่เมื่อก่อนอีกฝ่ายเป็นคนขยั้นขยอให้เธออ่านวิทยาศาสตร์ราวกับจะตื้อให้เรียนสายวิทย์คณิตเป็นเพื่อนกันแท้ๆ สไปรท์สูดหายใจเข้าลึก เมื่อคนที่จ้องมองดันหันมาสบตากันพอดี เหมือนทุกสิ่งรอบข้างมันหยุดไปให้เห็นแค่เรา แต่มันแค่เพียงสองวิที่ของขวัญเสตาไปหัวเราะยิ้มแย้มกับเพื่อนใหม่ ที่คงจะสนิทมากกว่าเธอในไม่ช้า
สไปรท์กำกระชับกระเป๋านักเรียน เดินไปตามทางเดินออกจากโรงเรียนอย่างไม่รีบร้อน นี่ก็วันสุดท้ายของม.ต้นแล้วหล่ะ เร็วเนอะ
แค่แปปเดียวเอง เธอยังรู้สึกเหมือนเมื่อวาน ’เรา’ ยังเป็นเพื่อนกันอยู่เลย
มันเงียบมากเลยหล่ะ เดินคนเดียวแบบนี้ถึงจะพอเริ่มชินบ้างจากระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ต้องทน
แต่ไม่นานหรอก เธอคงจะปรับตัวได้เอง ยืนมองแท็กซี่ที่มีรุ่นพี่ถลามาโบกให้ พูดชวนไปดูหนัง
อีกแล้ว..ดูอะไรบ่อยๆ แต่ยังไงก็ดีกว่าต้องอยู่คนเดียวหล่ะนะ
เธอแทรกตัวเข้านั่งฟังเขาบอกปลายทางที่เธอไม่ได้ใส่ใจนัก
ดวงตาเอาแต่เหม่อมองไปยังรั้วโรงเรียนที่ภายในกว้างพอจะทำให้เราไม่ต้องเจอหน้ากัน
ถ้าเป็นไปได้.........ไม่เอาแล้วหล่ะ เข็ดที่จะ’รัก’แล้วจริงๆ
END
talk:
-3-ที่จริงที่ตั้งใจไว้คือจะให้นางแตกหักกันอยู่แล้วนะยิ่งเป็นโรคชอบให้ฟิคจบแบบไม่สมหวัง หน่วงดี ถ้าจบแบบนี้เลยจะโดนตบปะ ฮ่าๆ
ก็ตามที่บอกตอนแรกเลยนะคะว่ามันเป็นเรื่องของสไปรท์กับของขวัญในช่วงก่อนที่จะเลิกคุยกัน มันก็เลยออกมาเป็นประการเช่นนี้แล
ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงคิดอยู่ว่าจะเอาในช่วงที่เกิดในฮอร์โมนด้วยดีไหม-3- แอบอยากแต่งขวัญสไปรท์ในชุดม.ปลายเบาๆแห๊ะ
ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ ^^
ความคิดเห็น