มิติกลางเส้นด้าย (Life) - มิติกลางเส้นด้าย (Life) นิยาย มิติกลางเส้นด้าย (Life) : Dek-D.com - Writer

    มิติกลางเส้นด้าย (Life)

    สุดท้ายถนนแห่งชีวิตจะบังคับให้คุณต้องเลือก ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร คุณต้องเลือก.."

    ผู้เข้าชมรวม

    139

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    139

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 เม.ย. 60 / 14:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    พบกันครึ่งทางไงคะแม่ ไม่ต้องทำลายความฝันของใคร เพราะศาสตร์และศิลป์ก็ยังอยู่คู่กันจันทร์ยิ้มและกอดเจ้าจาวอย่างภูมิใจที่ลูกสาวคิดได้แบบนี้ ลูกสาวคนเดียวของเธอเขาโตแล้วจริงๆ เขาไม่ใช่เด็กๆแล้ว


    "..หากต้องเลือกความหวังกับความหวัง

    ฉันคงต้องเลือกความหวังที่เป็นไปได้

    ไม่ใช่ดื้อรั้นหัวชนฝา...จนไม่เห็นค่าความหวังของพ่อแม่.."

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      มิติกลางเส้นด้าย

      โดย สะบันงา

      มีคนเคยบอกฉันว่า โลกนี้แบ่งออกเป็นสองด้าน มีเพียงเส้นด้ายบางๆเป็นเขตแดนขวางกั้นระหว่างสองโลก นัยน์ตาของคนเรามองเห็นโลกนี้มีสีที่หลากหลาย แต่ในความจริงที่อยู่เหนือความเป็นจริงจากสายตา โลกนี้มีเพียงสองสีเท่านั้น คือสีดำ ที่หมองหม่น จนมองไม่เห็นลายระเอียดใดใด  และสีขาว ที่กระจ่างใส จนมองเห็นรอยด่างได้อย่างชัดเจน

      บรรยากาศตอนเวลาใกล้เช้ามืด อากาศเย็นสบาย เสียงเพลงจากวิทยุเปิดคลอเบาๆ พร้อมกับเสียงนาฬิกาที่เดินได้ตรงจังหวะของบทเพลงที่เปิดอยู่อย่างพอดิบพอดี ติ๊ก ต่อก ติ๊ก ต่อกเสียงนาฬิกาเรือนเก่า เรือนเดิมที่ไม่เคยหยุดเดิน มันยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปในทุกวันอย่างไม่เคยหยุดยั้ง แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดก็ตาม ความคิดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะท้อนผ่านออกมาทางแววตา แม้เธอจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เพียงมองเข้าไปในแววตาของเธอ ก็สามารถมองทะลุผ่านไปถึงก้นบึ้งของความคิดเธอได้ เธอกำลังอยู่ในสภาวะที่สับสนทางความคิด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าเธอยังสับสนกับอนาคตของเธอและยังไม่แน่ใจว่าจะก้าวไปทางไหนดี จะก้าวตามความฝันของตัวเอง หรือจะก้าวตามความฝันของแม่ที่ฝากไว้กับเธอ

      เจ้าจาว ! ทำอะไรอยู่ ทำไมนั่งทำหน้านิ่งแบบนี้ล่ะลูก เสียงนุ่มนวลของจันทร์ ที่เอ่ยถามลูกด้วยความเป็นห่วง

      เจ้าจาวสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ดึงความกล้าเท่าที่เธอที่จะมี ก่อนจะเอ่ยถามแม่ของตนว่า

      แม่คะ ถ้าวันหนึ่งจาวไม่ได้เรียนในสิ่งที่แม่อยากให้เรียน ไม่ได้เป็นในสิ่งที่แม่อยากให้เป็น แม่จะโกรธจาวมั๊ย

      สิ้นสุดคำถาม ที่เชิงเป็นคำบอกเล่าของลูกสาว สีหน้าและแววตาของจันทร์ก็ดูแปลกไปจนเห็นได้ชัด แต่จันทร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวของเธอ จันทร์พูดกับเจ้าจาวเสมอว่า อยากเรียนอะไรก็เรียน แม่จะไม่ว่าลูกเลย อนาคตของลูก ชีวิตของลูกและในบทสนทนาครั้งนี้เธอก็ยังตอบคำถามของเจ้าจาวเหมือนกับครั้งก่อนๆ แต่ในทุกครั้งที่จันทร์พูดแบบนี้ออกมา เจ้าจาวรู้สึกได้ว่าแม่ของเธอมีแววตาที่หมองหม่น แม้ไม่ได้แสดงออกมาทางท่าทางแต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความเสียใจที่แม่ของเธอมีอยู่ในใจ

      ตั้งแต่วันที่พ่อของเจ้าจาวเดินออกไปจากชีวิตของเจ้าจาว และจันทร์ เขาไม่ได้กลับมาสนใจสองคนแม่ลูกอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้จันทร์มีเพียงลูกสาวของเธอคนเดียว และเจ้าจาวก็มีเพียงแม่ของเธอเพียงคนเดียวเช่นกัน การตัดสินใจเรียนต่อของเธอจึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพราะเธอไม่ยากทำลายความฝันของแม่ และเธอก็ไม่อยากทำลายความฝันของตัวเองเหมือนกัน

       เจ้าจาวเคยลองคิดในมุมของแม่ที่แม่อยากให้เรียนครู เพราะว่าถ้าจบมาแล้ว มีงานทำ เป็นอาชีพที่มั่นคง มีเกียรติ และเธอก็ลองมองย้อนกลับมาที่ความฝันของตัวเอง เพราะอะไรเธอถึงอยากเรียน และเธอถึงอยากเป็น มัณฑนากร แต่คำตอบของเธอก็ดูเหมือนว่าจะว่างเปล่า เธอรู้แค่ว่าเธอรักที่จะทำ เธออยากที่จะเป็น

      ที่โรงเรียน เจ้าจาวเป็นทั้งเด็กกิจกรรม เด็กเรียน เธอมีผลงานหลายด้าน แต่ด้านที่ดูจะโดดเด่นกว่าใครๆในโรงเรียน ก็คงจะหนีไม่พ้นด้านการสร้างสรรค์งานเขียน ซึ่งงานเขียนของเธอได้รับรางวัลอยู่บ่อยครั้ง ความสามารถในการเขียนของเธอมันมาจากทั้งพรแสวง และพรสวรรค์ เธออยากที่จะเขียน รักที่จะเขียน โดยเธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่า สิ่งที่เธอชอบที่สุดคือสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุด คนเรามักจะลืมมองสิ่งใกล้ตัวที่มีค่า แต่มักจะไขว่คว้าสิ่งที่ไกลตัวก่อนเสมอ

      หนึ่งอาทิตย์ก่อนการสอบตรง แม่คะ แม่คะ แม่อยู่ไหน เจ้าจาวกลับมาแล้วเจ้าจาวกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านพบแต่ความวางเป่าไม่เห็นแม้เงาของแม่ เธอรีบโทรศัพท์ไปหา แต่โทรเท่าไรแม่ก็ไม่รับ มองไปมองมารอบบ้าน เหลือบมองไปเห็นโพสอิทติดอยู่ที่ตู้เย็นเดี๋ยวแม่มา แม่ไปทำธุระแล้วจะรีบกลับเจ้าจาวนึกสงสัยเพราะปกติเธอกับแม่ไม่มีความลับต่อกัน ระยะเวลาที่จันทร์ไม่อยู่ แม้จะแค่คืนเดียว แต่สำหรับเจ้าจาวมันช่างยาวนานเหลือเกิน ความคิดของเจ้าจาวอยากอ่านหนังสือ แต่ใจของเธอเป็นห่วงแม่จนไม่มีสมาธิเลย

      แสงแดดยามเช้า เล็ดลอดผ่านผ้าม่านที่หน้าต่างเข้ามา เจ้าจาวค่อยลืมตาขึ้น และลุกจากที่นอน เดินออกมาตรงชานบ้านเพื่อดูว่าแม่กลับมารึยัง มือเล็กๆอุ่นๆค่อยๆโอบกอดเจ้าจาวจากด้านหลังเธอสะดุ้งด้วยความตกใจ และหันกลับมามองแม่คะ แม่มาเมื่อไร แม่รู้ไหมว่าจาวเป็นห่วงจันทร์ยิ้มและโผกอดเจ้าจาวด้วยความรัก เช่นเดียวกันกับเจ้าจาวที่โผกอดจันทร์จนลืมมองว่ามีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้านหลังแม่ เขาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ จนเจ้าจาวสังเกตเห็น เธอปรายตาขึ้นมองแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะเขาคนนั้นคือ พ่อของเธอ จันทร์จับมือเจ้าจาวมานั่งที่ระเบียงบ้าน เจ้าจาวฟังแม่นะ แม่กับพ่อหลังจากที่แยกกันมาหลาย หันหลังให้กันมาหลายปี ไม่ติดต่อกันมาหลายปี เมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่แม่กับพ่อยอมหันหน้ามาคุยกัน แม่กับพ่อยอมถอยหลังไปยืนอยู่จุดเดิม แม่กับพ่อยอมถอยหลังกันคนละก้าว และวันนี้แม่กับพ่อยอมก้าวผ่านเส้นด้ายบางๆที่กั้นระหว่างกันไว้ แม่กับพ่อเลือกเดินกันคนละครึ่งก้าว เลือกพบกันคนละครึ่งทาง เหตุผลไม่ใช่เพราะความสุขของแม่ ความสุขของพ่อ แต่มันคือความสุขของเราเจ้าจาวโผกอดพ่อสุดกำลัง เธอดีใจที่พ่อไม่ทิ้งเธอ ดีใจที่ครอบครัวของเธออยู่กันพร้อมหน้า

      คำพูดของแม่ ทำให้เจ้าจาวนึกถึงอะไรได้หลายอย่าง ตัดสินใจอะไรได้หลายอย่าง คำพูดของแม่ไม่ใช่เพียงคำพูดแต่มันคือ กรรไกรที่ตัดเส้นด้ายบางๆที่แบ่งโลกของเจ้าจาวออกจากกัน วันนี้มันไม่ใช่โลกคนละใบ แต่มันคือโลกใบเดียวกัน มันไม่ใช่โลกคนละสีแต่มันคือโลกสีเดียวกัน แม้จะเป็นสีที่ดูขมุกขมัว ไม่ขาวจนกระจ่าง ไม่ดำจนมองไม่เห็นรายละเอียด แต่โลกใบนี้ก็เป็นโลกที่ดูพอดี ในสายตาของเจ้าจาว

      วันนี้เป็นหนึ่งวันก่อนสอบตรง เจ้าจาวอ่านหนังสืออย่างหนักจนลืมเวลา เธอเริ่มอ่านตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนตอนนี้เวลาใกล้จะเที่ยงคืน เธอก็ยังไม่ยอมหยุดอ่าน

      ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูและตามด้วยเสียงจันทร์ เจ้าจาว นอนรึยังแม่เอานมกับขนมปังขึ้นมาให้ แม่เข้าไปนะเจ้าจาวไม่ตอบ จันทร์จึงค่อยๆเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือความน่ารักของลูก เจ้าจาวอ่านหนังสือจนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เธอปล่อยให้ลูกสาวของเธอหลับ แล้วทำการเก็บเศษกระดาษที่อยู่ตามพื้นขึ้นไว้บนโต๊ะ เก็บหนังสือที่กระจัดกระจายขึ้นเข้าชั้นหนังสือ เธอเหลือบมองไปเห็นกระดาษโพสอิทของเจ้าจาวที่ติดอยู่ชั้นหนังสือ เธอจึงหยิบขึ้นมาดู สู้ต่อไป มัณฑนศิลป์ ศิลปากรกระดาษใบเล็กๆทำให้จันทร์คิดได้ว่า ที่เจ้าจาวอ่านหนังสือจนลืมเวลา ตั้งใจเรียน ยอมเดินทางไปกลับกรุงเทพ-ปราจีนทุกอาทิตย์ เพราะอะไร ก็เพราะเจ้าจาวอยากเรียนมัณฑนศิลป์จริงๆ จันทร์เลยเขียนโพสอิทและแปะไว้ที่โต๊ะ

      เจ้าจาวลุกขึ้นมาอาบน้ำตอนตีสาม เธอเดินเซไปเซมาเปิดไฟในห้อง มองไปมองมาเห็นโพสอิทที่แปะอยู่บนโต๊ะ ใบหนึ่งเป็นโพสอิทของเธอ อีกใบเป็นโพสอิทของแม่

       “แม่ยอมแล้ว แม่จะไม่บังคับลูกแล้ว สู้ๆนะมัณฑนากรของแม่ใจความในโพสอิททำให้เจ้าจาวยิ้ม ไม่ยอมหุบ ในใจเจ้าจาวนึกขอบคุณ และเตรียมเซอร์ไพรส์แม่ของเธอเต็มที่

      แม่คะ แม่คะ ผลสอบมาแล้วเจ้าจาวยื่นซองประกาศผลสอบให้จันทร์ดู จันทร์ยิ้ม และรับซองจดหมายมาเปิดดู จันทร์คิ้วขมวดผูกกันเป็นปม มองลูกสาวด้วยสายตาที่งุนงง และเอ่ยถาม

      นี่คณะอักษรศาสตร์นิ่ ไหนลูกบอกว่าอยากเรียนมัณฑนศิลป์เจ้าจาวยิ้ม โผกอดแม่และกระซิบว่า

      พบกันครึ่งทางไงคะแม่ ไม่ต้องทำลายความฝันของใคร เพราะศาสตร์และศิลป์ก็ยังอยู่คู่กันจันทร์ยิ้มและกอดเจ้าจาวอย่างภูมิใจที่ลูกสาวคิดได้แบบนี้ ลูกสาวคนเดียวของเธอเขาโตแล้วจริงๆ เขาไม่ใช่เด็กๆแล้ว

      คำพูดของจันทร์ในวันนั้น ทำให้เจ้าจาวตัดสินใจได้แบบนี้ คำพูดของจันทร์เหมือนปลายพู่กันที่ละเลงสีดำที่เป็นความกังวลในใจ และสีขาวที่เป็นขาวฝันของเจ้าจาวเข้าด้วยกัน เจ้าจาวตัดความกังวลในใจลงไปได้หลายอย่าง ตัดความเอาแต่ใจของตัวเองออก และหยิบเอาความฝันของแม่กับความฝันของตัวเองมารวมเข้าด้วยกัน จากวันนั้นวันที่เธอสับสนจนถึงวันนี้วันที่ทุกอย่างลงตัว เจ้าจาวรู้สึกขอบคุณโลกสีดำที่เธอเคยมีในอดีตของครอบครัว และรู้สึกขอบคุณโลกสีขาวที่เธอมีที่โรงเรียน โลกสองใบที่สีแตกต่าง แต่มันสอนอะไรหลายอย่างในชีวิต แม้สีแตกต่างแต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในความแตกต่างมันไม่ได้แตกต่างกันเลย โลกสองใบนั้นสอนให้เจ้าจาวรู้ที่จะเรียนรู้ รู้ที่จะกล้าตัดสิน และรู้ที่จะถอยหนึ่งก้าว

      หลังจากเรียนจบ เจ้าจาวทำงานเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เธอเรียน ในวันเวลาว่างๆหลังจากไม่มีสอน เธอก็รับทำงานศิลปะ รับทำงานออกแบบ และรับเขียนหนังสือ เธอทำงานศาสตร์และเธอก็ทำงานศิลป์ ไปพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เธอไม่เสียใจเลยที่เลือกคณะอักษรศาสตร์  ไม่เคยเสียใจเลยที่ยอมถอยหลังมาหนึ่งก้าว เธอรู้สึกขอบคุณคำพูดของแม่ที่พูดกับเธอในวันนั้น ขอบคุณความสามารถที่โดดเด่นที่เธอมีในโรงเรียน ขอบคุณสภาวะของครอบครัวที่เคยขาดหายไป

      และสุดท้ายขอบคุณโลกทั้งสองใบในความคิดที่ทำให้เธอรู้ว่าโลก ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีสีที่หลากหลาย โลกของเรามีเพียงสองสี คือสีดำที่หมายถึงความทุกข์ ความเศร้า ความกังวล สีขาวที่หมายถึงความสะอาด ความสุข ความสบาย แต่เชื่อเถอะในชีวิตของเจ้าจาวและในชีวิตของใครหลายๆคนแล้ว โลกนี้มีอีกสีหนึ่ง คือโลกสีเทา เพราะชีวิตของคนเราไม่ได้สุขสบายจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานเกินไป ทุกอย่างมีความพอดีในตัวของมันเอง โลกสีเทาเหมือนโลกใบที่สามที่ทับซ้อนอยู่ระหว่างโลกทั้งสองใบ เหมือนมิติที่แอบอยู่หลังเส้นด้ายบางๆที่ขวางกั้นโลกสีดำ และโลกสีขาว รอวันที่จะมีสิ่งเร้ามากระตุ้นให้เส้นด้ายที่ขั้นกลางขาดออกจากกัน สีของโลกที่เราเห็นว่าแบ่งแยกอย่างชัดเจน ก็จะรวมกันเป็นสีเดียวกัน สีที่ดูแล้วขมุกขมัว แต่เป็นสีที่มีทั้งทุกข์และสุข

      ถ้าไม่มีความทุกข์ เราจะรู้จักความสุขได้อย่างไร และถ้าไม่มีความสุขเราจะรู้จักความทุกข์ได้อย่างไร โลกเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน โลกสีดำสอนให้เราสู้ และอดทน โลกสีขาวสอนให้เรามุ่งมั่น และตั้งใจ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา สุดท้ายแล้วโลกสีเทาก็สอนให้เรารู้ว่าชีวิตที่มีชีวิตมันดีอย่างไร

      โลกหมุนแล้วเลยลับมิกลับย้อน   ฉากชีวิตเป็นบทตอนละครใหญ่

      มีอดีตเป็นเบื้องหลังอันรำไร               มีวันใหม่เป็นบทบาทวาดตัวตน

                โลกสีเทาแอบซ่อนซ้อนเส้นด้าย อยู่ระหว่างกลางเส้นสายปลายเหตุผล

      มีมืดมิดมีขาวบ้างอย่างปะปน             ชีวิตคนยืนอยู่กลางทางสีเทา             

       

       

       

       

       

       

       

       

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×