บันทึกการเดินทางของดอกไม้
ฉันเดินทางตามสายลมแห่งความหวัง จนกระทั่งถึงฝั่งด้วยสวัสดิภาพ
ผู้เข้าชมรวม
134
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
"..การเดินทางห่างไกลยิ่งไกลห่าง
ใจอำพรางความคิดปิดบาดแผล
ก้าวต่อก้าวเดินไปไร้ท้อแท้
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“บันทึกการเดินทางของดอกไม้”
เข็มของนาฬิกากำลังบอกความยาวนานของห้วงเวลาที่ค่อยๆ
หมุนเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า คนทั้งรถรอคอยความสนใจใยดีของเวลาตัวร้ายและล้อรถ ให้รีบเคลื่อนตัวออกไปจากชานชาลาแห่งนี้เสียที
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกว่าเสียงหายใจของคนที่นั่งอยู่บนรถ บอกอายุการใช้งานของรถที่ผ่านโลกมาไม่น้อย
ผู้คนเริ่มทยอยเดินจับจองที่นั่งเป็นของตนเอง ฉันกวาดตามองที่นั่งรอบตัว ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางแตกต่างกันไป
เหมือนสายลมพัดพาเกสรมาจากคนละทิศ เมื่อถึงจุดหนึ่งสายลมนั้นก็พัดพาเกสรแยกย้ายไปในทิศทางของตนเอง
คนพลัดบ้านสำหรับฉัน
คือคนต่างด้าวสำหรับคนอื่นๆ คำว่าคนต่างด้าว ฉันคิดว่ามันดูรุนแรงและโหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเขา
หากเขาเลือกได้เขาคงเลือกทำงานอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องดีกว่าการระหกระเหินมาทำงานที่บ้านเรา
แต่ด้วยเหตุผลบางประการพวกเขาจึงจำใจต้องดิ้นรนมาทำงานที่นี่ ดังนั้นคำว่าคนพลัดถิ่นหรือคนพลัดบ้านน่าจะเหมาะสมสำหรับการเรียกผู้คนเหล่านี้มากกว่าคำว่าคนต่างด้าว
ฉันไม่ได้โลกสวยแต่มันคือการมองโลกในแง่มุมที่แปลกออกไป ไม่ใช่การขวางโลก หรือสวนกระแสสังคม
เพียงเป็นการคิดให้เห็นในสิ่งที่ต่าง วิ่งออกจากกรอบสังคมที่กั้นขวางมุมมองความคิดของเรา
ณ เวลานี้กระเป๋ารถเมล์กำลังเดินเก็บค่าตั๋ว ปากถามว่าลงที่ไหน มือถือปากกา
ขีดตั๋วรถแล้วฉีกยื่นให้ การสื่อสารระหว่างคนไทยด้วยกันย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนพลัดบ้านที่มีมากกว่าสิบคนบนรถนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากพอตัว
ทำเอากระเป๋ารถเมล์เหงื่อท่วมหน้าท่วมตัวกันเลยทีเดียว
เวลาเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ช่างสวนทางกับผู้คนที่เร่งรีบ
ที่นั่งอื่นๆเต็มแล้วยกเว้นที่นั่งข้างๆฉันซึ่งฉันก็แปลกใจนิดหน่อยที่ไม่มีใครมานั่งตรงนี้
แต่ฉันก็คิดว่าเสียว่าสงสัยหน้าตาของฉันคงเป็นอาวุธชั้นดีตีด้วยเหล็กกล้าจึงไม่มีใครย่ำกรายเข้ามาเฉียดใกล้ฉัน
นักเดินทางยังคงเดินขึ้นรถมาเรื่อยๆ จนแออัด เสียงพึมพำบ่นถึงความล่าช้าของรถที่ไม่เคลื่อนตัวออกไปซักที
เสียงพึมพำนั้นดังยิ่งกว่าเสียงเครื่องยนต์เสียอีก
ท่ามกลางความแออัด ฉันเหลือบมองไปเห็นหญิงสูงอายุที่เดินมาพร้อมลูกชายสองคน
ซึ่งไม่ใช่หนุ่มวัยละอ่อนแต่เป็นชายวัยกลางคนแล้ว สายตาแรกของคุณป้าคนนั้นมองหาที่นั่งแล้วพบว่าที่นั่งนั้นเต็มหมด
เหลือที่นั่งเพียงหนึ่งที่ข้างๆฉันซึ่งไม่ใช่ที่นั่งสำหรับสามคน สายตาของคุณป้าบอกว่าอยากจะก้าวเท้าลงจากรถเต็มที
ชายสองคนที่เดินนำหน้าไปก่อน คนหนึ่งดูปกติสมกับร่างกายที่กำยำ
อีกคนดูอ่อนเพลียจนดูออกว่าเป็นคนป่วย เสียงคุณป้าเรียกชายที่ป่วยให้มานั่ง
เธอบอกว่าเธอจะยืนเอง ลูกชายทั้งสองตอบเสียงหนักแน่นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า
"แม่นั่งเถอะผมยืนได้" เสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ
ไม่ใช่การพูดเพื่อเสแสร้งแกล้งทำให้ใครชื่นชม
สายตาฉันเหลือบมองชายป่วยคนนั้นสลับกับมองคุณป้าที่นั่งข้างๆ
ฉันรู้สึกแปลบขึ้นมาในใจ ร่างกายของฉันปกติดีทุกอย่าง แต่ร่างกายของเขาไม่ ฉันจะทนได้เหรอที่จะนั่งอยู่ข้างความรู้สึกของคนเป็นแม่
อายุอานามมากกว่าฉันหลายรอบ เธอสามารถยอมเสียสละยืนเพื่อให้ลูกได้นั่ง ฉันไม่ใช่คนดีอะไรแต่ฉันรู้สึกว่าถ้าวันนี้ฉันไม่เสียสละฉันจะต้องรู้สึกผิดกับตัวเองมาก
และความรู้สึกผิดนี้จะกลายเป็นฝันอันโหดร้ายในใจของฉัน หากฉันต้องก้าวขึ้นรถเมล์อีกครั้งในวันข้างหน้า
"คุณป้าค่ะ
ขออนุญาตนะคะ ลูกป้าเขาไม่สบายเหรอค่ะ" ฉันถามด้วยท่าทางยิ้มๆ
"ใช่จ่ะ
พึ่งออกจากโรงพยาบาล ก่อนออกมาหมอเขาให้ยากินลูกป้าเขาเลยเพลีย" คุณป้าตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉันฟังดูแล้วหดหู่ใจพิลึก
สายตาที่มองลูกด้วยความเป็นห่วงแบบนี้ แบบที่ฉันไม่เคยได้รับ
"เดี๋ยวหนูก็ลงล่ะค่ะ
ป้าให้ลูกป้ามานั่งตรงนี้เถอะค่ะ หนูยืนแปบเดียวเดี๋ยวก็ลง บ้านหนูอยู่แค่นี้เอง"
ฉันยังพูดด้วยท่าทางยิ้มๆเหมือนเช่นเดิม
"ไม่เป็นไรหรอกหนู ป้าเกรงใจ
ป้าแค่สงสารลูกน่ะ เขาไม่ค่อยสบายป้าห่วงเขาไม่อยากให้เขาต้องยืนหลับ" แววตาเกรงใจกับแววตาดีใจมันทับซ้อนกันอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่เป็นไรจริงๆค่ะหนูไม่เป็นไร"
ฉันพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋า ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกมายืนอยู่ตรงทางเดิน คุณป้ารีบเรียกลูกชายให้มานั่งด้วยท่าทางดีใจ
พร้อมกับขอบใจฉันเป็นการยกใหญ่
"มานั่งตรงนี้เร็วลูก"
เธอกวักมือเรียกพร้อมแววตาอันโล่งใจ ซึ่งฉันกลับรู้สึกโล่งใจยิ่งกว่า ฉันไม่ได้หวังว่าใครจะมองสิ่งที่ฉันทำแล้วชื่นชม
แต่ฉันหวังให้ใครซักคนคิดตามความเป็นไปที่เกิดขึ้น
ขณะยืนฉันหันกลับไปมองคุณป้าและลูกชายอยู่เป็นระยะ
ฉันไม่ได้เสียดายที่นั่ง ที่ใครๆต่างแย่งชิงเหมือนแย่งซื้อของลดราคาพิเศษในห้าง แต่ฉันอิ่มใจกับภาพตรงหน้า
แม้ความตึงของกล้ามเนื้อขาจะเพิ่มมากขึ้นแต่มันกลับลดลงทุกครั้งเมื่อฉันหันกลับไปมองภาพนั้น
สายลมของความหวังพัดพาจากคนละทิศละทางส่งเกสรสองก้านถึงที่หมาย
แต่ฉันยังคงต้องลอยลิ่วตามลมไปอีกซักระยะ อีกไม่นานหรอกฉันก็คงกลับถึงกระถางแรกของชีวิตเหมือนกัน
"ลาก่อนสายลม"
ผลงานอื่นๆ ของ แก้วกิรณา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ แก้วกิรณา
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น