บันทึกการเดินทางของดอกไม้ - บันทึกการเดินทางของดอกไม้ นิยาย บันทึกการเดินทางของดอกไม้ : Dek-D.com - Writer

    บันทึกการเดินทางของดอกไม้

    ฉันเดินทางตามสายลมแห่งความหวัง จนกระทั่งถึงฝั่งด้วยสวัสดิภาพ

    ผู้เข้าชมรวม

    134

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    134

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 เม.ย. 60 / 12:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    "..การเดินทางห่างไกลยิ่งไกลห่าง

    ใจอำพรางความคิดปิดบาดแผล

    ก้าวต่อก้าวเดินไปไร้ท้อแท้


    อีกเพียงเเค่เท่านี้ที่ฉันหวัง.."
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      บันทึกการเดินทางของดอกไม้


                เข็มของนาฬิกากำลังบอกความยาวนานของห้วงเวลาที่ค่อยๆ หมุนเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า คนทั้งรถรอคอยความสนใจใยดีของเวลาตัวร้ายและล้อรถ ให้รีบเคลื่อนตัวออกไปจากชานชาลาแห่งนี้เสียที เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกว่าเสียงหายใจของคนที่นั่งอยู่บนรถ บอกอายุการใช้งานของรถที่ผ่านโลกมาไม่น้อย ผู้คนเริ่มทยอยเดินจับจองที่นั่งเป็นของตนเอง ฉันกวาดตามองที่นั่งรอบตัว ตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางแตกต่างกันไป เหมือนสายลมพัดพาเกสรมาจากคนละทิศ เมื่อถึงจุดหนึ่งสายลมนั้นก็พัดพาเกสรแยกย้ายไปในทิศทางของตนเอง 

                คนพลัดบ้านสำหรับฉัน คือคนต่างด้าวสำหรับคนอื่นๆ คำว่าคนต่างด้าว ฉันคิดว่ามันดูรุนแรงและโหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเขา หากเขาเลือกได้เขาคงเลือกทำงานอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องดีกว่าการระหกระเหินมาทำงานที่บ้านเรา แต่ด้วยเหตุผลบางประการพวกเขาจึงจำใจต้องดิ้นรนมาทำงานที่นี่ ดังนั้นคำว่าคนพลัดถิ่นหรือคนพลัดบ้านน่าจะเหมาะสมสำหรับการเรียกผู้คนเหล่านี้มากกว่าคำว่าคนต่างด้าว ฉันไม่ได้โลกสวยแต่มันคือการมองโลกในแง่มุมที่แปลกออกไป ไม่ใช่การขวางโลก หรือสวนกระแสสังคม เพียงเป็นการคิดให้เห็นในสิ่งที่ต่าง วิ่งออกจากกรอบสังคมที่กั้นขวางมุมมองความคิดของเรา ณ เวลานี้กระเป๋ารถเมล์กำลังเดินเก็บค่าตั๋ว ปากถามว่าลงที่ไหน มือถือปากกา ขีดตั๋วรถแล้วฉีกยื่นให้ การสื่อสารระหว่างคนไทยด้วยกันย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนพลัดบ้านที่มีมากกว่าสิบคนบนรถนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากพอตัว ทำเอากระเป๋ารถเมล์เหงื่อท่วมหน้าท่วมตัวกันเลยทีเดียว

                เวลาเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ช่างสวนทางกับผู้คนที่เร่งรีบ ที่นั่งอื่นๆเต็มแล้วยกเว้นที่นั่งข้างๆฉันซึ่งฉันก็แปลกใจนิดหน่อยที่ไม่มีใครมานั่งตรงนี้ แต่ฉันก็คิดว่าเสียว่าสงสัยหน้าตาของฉันคงเป็นอาวุธชั้นดีตีด้วยเหล็กกล้าจึงไม่มีใครย่ำกรายเข้ามาเฉียดใกล้ฉัน นักเดินทางยังคงเดินขึ้นรถมาเรื่อยๆ จนแออัด เสียงพึมพำบ่นถึงความล่าช้าของรถที่ไม่เคลื่อนตัวออกไปซักที เสียงพึมพำนั้นดังยิ่งกว่าเสียงเครื่องยนต์เสียอีก 

                ท่ามกลางความแออัด ฉันเหลือบมองไปเห็นหญิงสูงอายุที่เดินมาพร้อมลูกชายสองคน ซึ่งไม่ใช่หนุ่มวัยละอ่อนแต่เป็นชายวัยกลางคนแล้ว สายตาแรกของคุณป้าคนนั้นมองหาที่นั่งแล้วพบว่าที่นั่งนั้นเต็มหมด เหลือที่นั่งเพียงหนึ่งที่ข้างๆฉันซึ่งไม่ใช่ที่นั่งสำหรับสามคน สายตาของคุณป้าบอกว่าอยากจะก้าวเท้าลงจากรถเต็มที ชายสองคนที่เดินนำหน้าไปก่อน คนหนึ่งดูปกติสมกับร่างกายที่กำยำ อีกคนดูอ่อนเพลียจนดูออกว่าเป็นคนป่วย เสียงคุณป้าเรียกชายที่ป่วยให้มานั่ง เธอบอกว่าเธอจะยืนเอง ลูกชายทั้งสองตอบเสียงหนักแน่นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า

       "แม่นั่งเถอะผมยืนได้" เสียงนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่การพูดเพื่อเสแสร้งแกล้งทำให้ใครชื่นชม

                สายตาฉันเหลือบมองชายป่วยคนนั้นสลับกับมองคุณป้าที่นั่งข้างๆ ฉันรู้สึกแปลบขึ้นมาในใจ ร่างกายของฉันปกติดีทุกอย่าง แต่ร่างกายของเขาไม่ ฉันจะทนได้เหรอที่จะนั่งอยู่ข้างความรู้สึกของคนเป็นแม่ อายุอานามมากกว่าฉันหลายรอบ เธอสามารถยอมเสียสละยืนเพื่อให้ลูกได้นั่ง ฉันไม่ใช่คนดีอะไรแต่ฉันรู้สึกว่าถ้าวันนี้ฉันไม่เสียสละฉันจะต้องรู้สึกผิดกับตัวเองมาก และความรู้สึกผิดนี้จะกลายเป็นฝันอันโหดร้ายในใจของฉัน หากฉันต้องก้าวขึ้นรถเมล์อีกครั้งในวันข้างหน้า

                "คุณป้าค่ะ ขออนุญาตนะคะ ลูกป้าเขาไม่สบายเหรอค่ะ" ฉันถามด้วยท่าทางยิ้มๆ

                "ใช่จ่ะ พึ่งออกจากโรงพยาบาล ก่อนออกมาหมอเขาให้ยากินลูกป้าเขาเลยเพลีย" คุณป้าตอบด้วยน้ำเสียงที่ฉันฟังดูแล้วหดหู่ใจพิลึก สายตาที่มองลูกด้วยความเป็นห่วงแบบนี้ แบบที่ฉันไม่เคยได้รับ

                "เดี๋ยวหนูก็ลงล่ะค่ะ ป้าให้ลูกป้ามานั่งตรงนี้เถอะค่ะ หนูยืนแปบเดียวเดี๋ยวก็ลง บ้านหนูอยู่แค่นี้เอง" ฉันยังพูดด้วยท่าทางยิ้มๆเหมือนเช่นเดิม

                "ไม่เป็นไรหรอกหนู ป้าเกรงใจ ป้าแค่สงสารลูกน่ะ เขาไม่ค่อยสบายป้าห่วงเขาไม่อยากให้เขาต้องยืนหลับ" แววตาเกรงใจกับแววตาดีใจมันทับซ้อนกันอย่างเห็นได้ชัด 

                "ไม่เป็นไรจริงๆค่ะหนูไม่เป็นไร" ฉันพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋า ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกมายืนอยู่ตรงทางเดิน คุณป้ารีบเรียกลูกชายให้มานั่งด้วยท่าทางดีใจ พร้อมกับขอบใจฉันเป็นการยกใหญ่

                "มานั่งตรงนี้เร็วลูก" เธอกวักมือเรียกพร้อมแววตาอันโล่งใจ ซึ่งฉันกลับรู้สึกโล่งใจยิ่งกว่า ฉันไม่ได้หวังว่าใครจะมองสิ่งที่ฉันทำแล้วชื่นชม แต่ฉันหวังให้ใครซักคนคิดตามความเป็นไปที่เกิดขึ้น 

                ขณะยืนฉันหันกลับไปมองคุณป้าและลูกชายอยู่เป็นระยะ ฉันไม่ได้เสียดายที่นั่ง ที่ใครๆต่างแย่งชิงเหมือนแย่งซื้อของลดราคาพิเศษในห้าง แต่ฉันอิ่มใจกับภาพตรงหน้า แม้ความตึงของกล้ามเนื้อขาจะเพิ่มมากขึ้นแต่มันกลับลดลงทุกครั้งเมื่อฉันหันกลับไปมองภาพนั้น

                สายลมของความหวังพัดพาจากคนละทิศละทางส่งเกสรสองก้านถึงที่หมาย แต่ฉันยังคงต้องลอยลิ่วตามลมไปอีกซักระยะ อีกไม่นานหรอกฉันก็คงกลับถึงกระถางแรกของชีวิตเหมือนกัน

                "ลาก่อนสายลม"

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×