คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [SF] [ChulHan] You Are Not My Type!!! Part 3 [END]
Title: You Are Not My Type!!!
Author: imazawa
Pairing: Heechul/Hangeng
Rate: PG-13
Part 3 [END]
“กริ๊งงงงงงง~” เสียงกริ่งพักกลางวันดังขึ้นตามมาด้วยเสียงดังโหวกเหวกจากเหล่านักเรียนที่เอ่ยปากบ่นถึงความน่าเบื่อของวิชาที่เพิ่งเรียนไปบ้าง เอ่ยชวนกันไปกินข้าวกลางวันบ้าง และบางคนที่มองการณ์ไกลก็เริ่มพูดถึงแผนในช่วงเย็นกันแล้ว
“ไอ้ฮัน เย็นนี้มึงไปคาราโอเกะกับกูนะ” ฮีชอลพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนอย่างถือวิสาสะ
“ชวนแฟนนายไปสิ มาชวนฉันทำไม?” ฮันคยองทำหน้าเบื่อหน่าย เขารู้สึกได้ว่าประโยคของคนหน้าสวยมันเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าประโยคเชิญชวนซึ่งนั่นก็หมายความว่าเพื่อนคนนี้บังคับให้เขาไปด้วยนั่นแหละ
“ก็กูอยากไปกับมึงนี่ ห้ามปฏิเสธด้วยเพราะกูจองห้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้ามึงไม่ไปกูเอามึงตายแน่” ฮีชอลขู่จนฮันคยองต้องพยักหน้ารับอย่างจำใจ
ร่างเพรียวลุกขึ้นจากโต๊ะเรียน ตั้งใจว่าจะไปกินข้าวกลางวันกับเยซองและคังอินแต่ก็ถูกร่างโปร่งคว้ามือเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวไอ้ฮัน กูไปกินข้าวด้วย”
“อีกแล้วเหรอ?” ฮันคยองหลุดปากถามออกมาด้วยความแปลกใจ โดยปกติแล้วฮีชอลจะไปกินข้าวกลางวันกับแฟนสาวแต่พักหลังมานี้เพื่อนหน้าสวยกลับเกาะติดฮันคยองแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจนไม่น่าจะมีเวลาให้กับแฟนเลย
“ตอนเย็นนายก็ไม่ยอมชวนน้องเขาไปด้วย ตอนกลางวันก็ยังจะมาขลุกอยู่กับฉันอีก ทำแบบนี้แฟนนายไม่น้อยใจแย่เหรอ?”
“เป็นแฟนกันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลานี่หว่า”
‘มันก็ใช่ เป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ถ้าไม่มีเวลาให้กันเลยแบบนี้มันจะต่างอะไรกับคนแปลกหน้าล่ะ?’
ร่างเพรียวคิดในใจ
“ถามจริงๆเหอะนะ พวกนายทะเลาะกันหรือเปล่า?” ฮันคยองถามด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความเป็นห่วง
“ใช้หัวแม่ตีนคิดเหรอมึงว่ากูกับแฟนทะเลาะกัน?! ถึงเวลาอยู่กับคนอื่นกูจะเหี้ย แต่เวลาอยู่กับแฟนกูน่ารักนะโว้ย! ไม่มีเรื่องอะไร
ทำให้กูกับแฟนทะเลาะกันได้หรอก” ฮีชอลตอบไปตามความจริง เขากับแฟนสาวไม่ได้ทะเลาะกัน อันที่จริงแล้วเขาแทบไม่ได้คุยกับ
เธอเลยด้วยซ้ำ น่าแปลกที่ความห่างเหินระหว่างเขากับเด็กสาวรุ่นน้องไม่ได้ทำให้เขารู้สึกใจหายหรือรู้สึกเหมือนกับชีวิตขาดอะไร
ไปเลยสักนิด
‘ถ้าเรารู้ว่าพี่คิดแบบนี้ เราจะโกรธพี่หรือเปล่านะยุนอา?’ ร่างโปร่งคิดในใจอย่างรู้สึกผิด
ฝ่ายฮันคยองเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนก็รู้สึกเจ็บแปลบๆในอกอย่างบอกไม่ถูก ฮีชอลทำตัวดีกับแฟนสาวแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ
ก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหมด แสดงว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความหมายกับฮีชอลมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นเลยอย่างนั้นสินะ?
‘ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกน้อยใจขึ้นมา นี่ผมกำลังหวังอะไรจากเขาอยู่กันแน่เนี่ย?’
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
ตั้งแต่วันที่ฮันคยองผิดหวังจากซีวอน ฮีชอลก็ยิ่งให้เวลากับเพื่อนร่างเพรียวมากขึ้นและนั่นก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ
แฟนสาวห่างเหินกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ พวกเขาแทบจะไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลยแม้กระทั่งทางโทรศัพท์ จนในที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เขาทั้งสองก็ตัดสินใจเปิดอกคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน
“ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะคะพี่ฮีชอล” ยุนอาเปิดประเด็นด้วยรอยยิ้มสดใสเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
“อืม ตั้งแต่ที่ไอ้ฮัน...เอ่อ เพื่อนสนิทพี่น่ะ...มันอกหัก พี่ก็ไม่อยากปล่อยให้มันอยู่คนเดียว กลัวว่ามันจะฟุ้งซ่าน ขอโทษนะยุนอาที่พี่
ไม่มีเวลาให้เราเลย พี่มันเป็นคนรักที่ไม่เอาไหนจริงๆ” ฮีชอลพูดแล้วก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
มือเล็กยื่นออกมากุมมือเรียวของฮีชอลเอาไว้ก่อนที่จะส่ายหน้า
“พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกค่ะ ฉันเข้าใจพี่ดี” เด็กสาวหยุดพูดแค่นั้นก่อนที่จะยิ้มบางๆแล้วพูดต่อ
“พี่ฮีชอลอย่าโกรธฉันเลยนะคะ แต่ฉันอยากบอกพี่ว่าอันที่จริงแล้วฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยที่พี่ไม่มีเวลาให้ฉัน ถึงเราจะไม่ได้เจอกัน
แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเลยว่าขาดอะไรไป ขอโทษนะคะ ฉันรู้ว่าในฐานะที่เราเป็นคนรักกันฉันไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้ แต่...” คำพูดของ
หญิงสาวต้องหยุดลงเมื่อนิ้วเรียวแตะริมฝีปากสีชมพูนั้นเอาไว้
“ไม่ต้องขอโทษหรอกยุนอา...”
“......”
“พี่ก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” ฮีชอลพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ ยุนอาเป็นเด็กสาวที่น่ารักเพียบพร้อม แต่เขากลับดูแลเธอแบบ
ทิ้งๆขว้างๆ แถมยังพูดเหมือนกับว่าเธอไม่มีความหมายแบบนี้อีก เด็กสาวจะรู้สึกแย่กับการกระทำของสักแค่ไหนกันนะ?
เหมือนยุนอาจะรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม เธอบีบมืออีกฝ่ายเป็นการให้กำลังใจ
“พี่อย่าคิดมากสิคะ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดนะ ก็แค่ความรู้สึกของเราสองคนมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง”
“ยุนอา...”
“ฉันว่า...เรากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่ามั้ยคะ? ฉันรู้สึกว่าฉันอยากคบกับพี่ในฐานะนั้นมากกว่า” เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้ม
ที่ออกมาจากใจ
“ยุนอา...ขอบใจมากนะ” ฮีชอลเอ่ยอย่างซาบซึ้ง เขาเป็นผู้ชายที่โชคดีจริงๆที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้เป็นคนรักของเด็กสาวที่มี
จิตใจงดงามอย่างยุนอา
ร่างโปร่งโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ร่างเล็กแล้วหยุดพักหนึ่งเป็นเชิงขออนุญาต เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยิ้มรับอย่างเขินๆแล้วเขาจึงประทับจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้อย่างแนบแน่น
จูบลาในฐานะคนรัก...และอ้อมกอดบริสุทธิ์ใจในฐานะพี่น้อง
“ฉันดีใจที่ได้พี่กลับมานะคะ...พี่ชาย”
“กลับมาแล้วครับ...น้องสาว”
ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันด้วยความยินดีก่อนที่ยุนอาจะพูดอะไรบางอย่างออกมาซึ่งทำให้พี่ชายของเธอเขินจนหน้าแดง
“เรื่องพี่ฮันคยองก็สู้ๆนะคะ ฉันเป็นกำลังใจให้ ฉวยโอกาสตอนที่พี่ฮันคยองกำลังอ่อนไหวแล้วรีบทำคะแนนเลยค่ะ ฮิๆๆๆ”
ฮีชอลลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ น้องสาวคนนี้รู้ใจเขาไปเสียหมดทุกเรื่องเลยจริงๆ
“อืม พี่จะพยายามนะ” ร่างโปร่งพูดด้วยความมาดมั่น ถึงเวลาไล่ตามหัวใจอีกครั้งแล้ว
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
ร่างโปร่งบางนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาตัวยาวอย่างสบายใจ หนังสือการ์ตูน ขนมและเครื่องดื่มถูกวางอยู่ในรัศมีที่เขาสามารถหยิบได้โดยไม่ต้องเคลื่อนที่
ร่างเพรียวมองการกระทำของเพื่อนที่ทำตัวราวกับอยู่บ้านของตัวเองจนเขาชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขายังเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
อยู่หรือเปล่า
‘ให้ตายสิคิมฮีชอล นายสะกดคำว่าเกรงใจไม่เป็นใช่มั้ย?’
“ด่ากูในใจอยู่ล่ะสิมึง?” คนหน้าสวยถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือ
ฮันคยองส่ายหน้าก่อนที่จะปฏิเสธ ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วฮีชอลจะเดาถูกก็เถอะ
“เปล่า ก็แค่ประหลาดใจน่ะ ถ้าฉันเป็นแฟนนายแล้วนายเอาแต่ขลุกอยู่ที่บ้านเพื่อนทุกวันแบบนี้ฉันคงน้อยใจแย่เลย”
ฮีชอลลอบยิ้ม แค่ฮันคยองสมมติว่าตัวเองเป็นแฟนเขามันก็ทำให้เขามีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“กูเลิกกับแฟนแล้ว” ฮีชอลพูดเรียบๆส่วนคนฟังก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! เลิกกันตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
“สักอาทิตย์นึงได้แล้วล่ะมั้ง อ้าว...นี่ยังไม่มีใครบอกมึงเลยเหรอ?”
ฮันคยองส่ายหน้าด้วยท่าทางที่ยังมึนๆอยู่ ถึงเขาจะรู้ว่าพักหลังมานี้เพื่อนของเขากับแฟนสาวจะห่างๆกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเลิกรากันแบบนี้
“มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนญาติตายใส่กู กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ฉันเป็นห่วงแฟนนายต่างหาก ถูกคนอย่างนายบอกเลิกนี่คงเสียความมั่นใจไปอีกนานเลย” ถึงแม้ว่าจะยังรู้สึกประหลาดใจอยู่มากแต่เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้แก้แค้นคนที่ชอบแกล้งเขา
ฮีชอลผลักหัวอีกฝ่ายไปแรงๆหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
“เชี่ย! เลวจริงๆนะมึงอ่ะ เพื่อนเพิ่งเลิกกับแฟนมึงยังจะทำเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นอีก”
“แล้วนายทำเหมือนมันเป็นเรื่องจริงจังมั้ยล่ะ? นายเป็นคนบอกเองด้วยซ้ำว่าไม่เป็นอะไร” ฮันคยองลูบหัวตัวเองป้อยๆพร้อมกับ
ทำปากยื่นด้วยความไม่พอใจ
‘แม่งเอ๊ย! เวลามึงงอนนี่น่ารักชิบหายเลยว่ะ!’ ร่างโปร่งคิดในใจ
“ว่าแต่ทำไมถึงเลิกกันซะล่ะ? น้องเขาจับได้ว่านายมีกิ๊กหรือไง?” เด็กหนุ่มชาวจีนถาม ถึงแม้คำถามจะดูกวนประสาทไปสักหน่อยแต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ในนั้น
“เปล่า ตอนนี้กูก็เลิกยุ่งกับกิ๊กทุกคนแล้วเหมือนกัน”
“......”
“......”
“นายจะไปบวชเหรอฮีชอล?”
คำถามซื่อๆจากเพื่อนหน้าหวานทำเอาฮีชอลแทบสำลักอากาศ
“ไอ้ควาย! มึงใช้หัวแม่ตีนคิดอีกแล้วใช่มั้ย?! ทำไม?! คนอย่างกูจะลุกขึ้นมาทำตัวดีๆบ้างมันแปลกมากเลยเหรอวะ?!” ฮีชอลถาม
ด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“อือ แปลกมาก” ฮันคยองตอบตรงๆ
“เชี่ย!” ร่างโปร่งสบถส่งท้าย คนตรงหน้าบทจะกวนประสาทขึ้นมาก็เล่นเอาเขาไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน
“แล้วนายนึกยังไงล่ะถึงจะทำตัวเป็นคนดีตอนนี้น่ะ?”
“...กูก็แค่...อยากทำให้คนที่กูรักเขาหันมามองกูบ้าง” คนหน้าสวยตอบโดยที่ไม่ยอมสบตาคู่สนทนา
“เฮ้ย! นี่นายนอกใจแฟนไปมีคนอื่นเหรอ? นี่ใช่มั้ยเหตุผลที่ทำให้นายเลิกกับน้องเขาอ่ะ?” ฮันคยองถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
“กูไม่ได้นอกใจ กูแค่เพิ่งรู้ตัวว่าช่วงหลังๆความรักที่กูมีให้แฟนมันเปลี่ยนไป กูรักเขาแบบน้องสาวมากกว่า แล้วเขาเองก็รู้สึกกับกู
แค่พี่ชายเหมือนกัน เราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ทุอย่างจบลงด้วยดี ตอนนี้...กูรู้แล้วว่าคนที่กูรักและอยากจะปกป้องเขาไปตลอดชีวิตคือใคร”
ฮีชอลพูดด้วยท่าทางจริงจังแบบที่ฮันคยองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาที่เป็นเพื่อนกันมา ท่าทางมุ่งมั่นของฮีชอลทำให้
เขาใจสั่นจนต้องก้มหน้าหลบสายตาคมกริบคู่นั้น
“พูดอะไรจริงจังแบบนี้มันดูไม่เข้ากับนายยังไงก็ไม่รู้ พอเถอะ ฉันขนลุก” ร่างเพรียวลูบแขนตัวเอง
“กูเท่ห์ใช่มั้ยล่ะ~ หวั่นไหวล่ะสิมึ้ง~” ไม่พูดเปล่า ร่างโปร่งยังยื่นหน้าสวยๆเข้าไปใกล้เพื่อนรักจนจมูกแทบจะชนกับแก้มเนียนอีกด้วย
ฮันคยองผลักหน้าอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ดวงตาที่สั่นระริกด้วยความตกใจของเพื่อนทำให้ฮีชอลรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
“กูขอโทษ กูเล่นมากไปหน่อย” คนหน้าสวยพูดหงอยๆ
ฮันคยองขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก็ปกติเพื่อนคนนี้เคยขอโทษใครซะที่ไหนล่ะ ยิ่งขอโทษด้วยท่าทางสำนึกผิดจริงๆแบบนี้
ยิ่งแปลกเข้าไปกันใหญ่
“อื้อ ไม่เป็นไร” ร่างเพรียวพูดก่อนที่จะขยับตัวออกจากอีกฝ่ายเพื่อรักษาระยะห่าง
“......”
“คนที่นายรักนี่เขาคงเจ๋งมากเลยเนาะ ทำให้นายเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ถึงนิสัยโดยรวมจะยังแย่เหมือนเดิมก็เถอะ”
ฮีชอลหัวเราะเบาๆกับคำพูดของคนน่ารักที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยสักนิด
“คนที่กูรักน่ะไม่เจ๋งหรอก แม่งซื่อบื้อจะตาย ควายยังน่าจะฉลาดกว่า”
ร่างเพรียวยู่ปากพลางขมวดคิ้วมุ่น ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนอื่นพูดถึงคนที่ตัวเองรักด้วยคำพูดทำนองนี้
“แล้วนายไปเจอเขาได้ยังไงล่ะ? ฉันรู้จักหรือเปล่า...คนคนนั้นน่ะ?”
“กูรู้จักกับเขามาตั้งนานแล้ว มึงก็รู้จักเขาดี มึงน่าจะรู้จักเขาดีกว่าทุกคนบนโลกนี้ด้วยซ้ำ” ร่างโปร่งตอบพร้อมกับจ้องมองร่างเพรียวด้วยแววตาจริงจังหวังจะให้อีกฝ่ายรับรู้อะไรบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับเอียงคอแล้วมองเขาด้วยท่าทางงงๆเสียนี่
“เอ๋~ คนที่ฉันรู้จักดีงั้นเหรอ? นอกจากเยซองกับคังอินแล้วฉันว่าฉันก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทคนอื่นอีกนะ อย่าบอกนะว่านายชอบหนึ่งในสองนั่นอ่ะ? โอ๊ย!” จบคำถามร่างเพรียวก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกมือเรียวตบเข้าที่ศีรษะอย่างแรง
“เมื่อไหร่มึงจะย้ายสมองจากหัวแม่ตีนขึ้นมาอยู่บนหัวกะโหลกมึงสักทีฮะไอ้เชี่ยฮัน?! คิดอะไรแต่ละอย่าง!” คนหน้าสวยวีนแตก
“อย่างน้อยฉันก็ทำการบ้านภาษาญี่ปุ่นเองได้แล้วกัน! ไม่ต้องเอาแต่ลอกเพื่อนเหมือนนายหรอก!” เด็กหนุ่มชาวจีนโวยกลับบ้าง
เขาชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆแล้วนะ
เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักร่างเพรียวดูจะงอนเข้าแล้ว ฮีชอลจึงต้องสงบสติอารมณ์และเป็นฝ่ายเริ่มง้ออีกครั้ง
“กูขอโทษ ก็มึงทำให้กูหงุดหงิดนี่หว่า” ฮีชอลพูดเสียงอ่อย แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ฮันคยองจะไม่ยอมหายโกรธง่ายๆ
“แล้วนายมานั่งทำอะไรอยู่ที่บ้านฉันเนี่ย?! มีคนที่รักแล้วก็ไปจีบเขาสิ!” เสียงทุ้มติดหวานสะบัดห้วนจนฮีชอลอดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าร่างเพรียวกำลังประชดเขาเพราะความหึง
“มึงว่ากูจีบเขาตอนนี้เลยจะดีเหรอวะ?” ร่างโปร่งถามด้วยท่าทางจริงจังอีกครั้ง
“รอให้คนอื่นมาคาบเขาไปก่อนก็ได้นะแล้วค่อยเริ่มจีบ ฉลาดนักไม่ใช่หรือไง เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ได้” ฮันคยองตอบด้วยท่าทางงอนๆซึ่งดูน่ารักเหลือเกินในสายตาของอีกฝ่าย
“เขาเพิ่งอกหักมาน่ะ กูเลยไม่อยากฉวยโอกาสตอนนี้” ฮีชอลตอบยิ้มๆ
“ไม่ต้องมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเลย ฉันรู้ว่านายไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น จีบเขาตอนที่เขาเพิ่งอกหักมาน่ะดีแล้ว คนอกหักหวั่นไหวง่าย นายจะได้มีโอกาสมากขึ้น ฉันเองถ้าตอนนี้มีใครมาจีบก็คงจะหวั่นไหวไปได้ง่ายๆเหมือนกัน” ฮันคยองพูดเหงาๆ ถึงแม้เขาจะมีเพื่อนรายล้อมอยู่โดยเฉพาะเพื่อนหน้าสวยคนนี้ที่อยู่กับเขาแทบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่บางครั้งเขาก็ต้องการความรักและความอบอุ่น
ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
ฮีชอลอาศัยจังหวะที่ร่างเพรียวกำลังเหม่อเขยิบเข้าไปใกล้ก่อนที่จะยกแขนขึ้นโอบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างเนียนๆ
“มึงว่ากูควรทำอย่างงั้นเหรอวะ?” ฮีชอลกระซิบถาม ระยะห่างเพียงน้อยนิดทำให้ฮันคยองรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นบริเวณแก้มใส
มันทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อือ” ร่างเพรียวครางรับในลำคอ เขาอยากจะผละออกจากวงแขนของเพื่อนแต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเรี่ยวแรงของเขาก็หายไปเสียหมด
“ถ้างั้น...” ฮีชอลสูดหายใจเพื่อรวบรวมความกล้า
“กูรักมึงนะไอ้ฮัน”
ร่างเพรียวสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเพราะนอกจากคนหน้าสวยจะพูดประโยคนั้นด้วยเสียที่ดังราวกับตะโกนแล้ว
เนื้อหาของมันก็ยังทำให้เขาตกใจมากอีกด้วย
“นะ...นาย มามุขไหนอีกเนี่ย?” ฮันคยองถามเสียงสั่น แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆร่างโปร่งก็เชยคางเขาขึ้นเพื่อให้สบตาอีกฝ่าย
“มึงมองตากูสิ ยังคิดว่ากูเล่นมุขอยู่อีกหรือเปล่า?”
ดวงตาของฮีชอลไม่ได้มีแววโกหก แต่เมื่อคิดถึงองค์ประกอบต่างๆ ฮันคยองก็ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งที่ร่างโปร่งพูดเป็นเรื่องจริง
“นายอาจจะแค่หวั่นไหวก็ได้ นายเพิ่งเลิกกับแฟนแล้วฉันก็เป็นคนเดียวที่เข้าใจและอยู่ใกล้ชิดนายมากที่สุด นายก็เลยคิดว่านายรักฉัน” เด็กหนุ่มจากแผ่นดินใหญ่พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายคล้อยตาม แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย
“กูไม่ได้หวั่นไหวกับมึงเพราะกูเพิ่งเลิกกับแฟนนะ แต่กูเลิกกับแฟนเพราะกูหวั่นไหวกับมึงต่างหาก” ฮีชอลพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“......”
“กูรู้สึกตัวมาได้พักใหญ่แล้วไอ้ฮัน กูเป็นห่วงมึงมาก กูไม่กล้าทำให้มึงเจ็บแล้วกูก็โกรธมากถ้าจะมีหมาตัวไหนมาทำให้มึงเจ็บ
เวลากูเห็นมึงยิ้ม กูรู้สึกเหมือนจะลอยได้ ทุกอย่างในโลกแม่งดูสดใสไปหมด”
“มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกดีๆในฐานะเพื่อน...”
“หัวใจกูไม่เต้นแรงขนาดนี้เวลาอยู่กับเพื่อนหรอก อีกอย่าง...กูเกิดอารมณ์อย่างว่ากับมึงด้วย” คนหน้าสวยหลิ่วตาอย่างเจ้าเล่ห์
“นายนี่! พูดมาได้ไม่อายเลยนะ!” มือบางฟาดเข้าที่ต้นแขนของอีกฝ่ายเสียเต็มรัก ใบหน้าเรียวสวยแดงก่ำด้วยความโกรธและอาย
“โอ๊ย! นี่มันเจ็บนะ! มึงคิดว่ามันง่ายนักเหรอวะกับการที่คนอย่างกูจะยอมรับว่ารักมึงเนี่ย? ถึงหน้ากูจะสวย ถึงกูจะขี้วีนขี้โวยวายแต่กู
ก็ไม่เคยคิดจะเบี่ยงเบนนะโว้ย กูมั่นใจมาตลอดว่ากูอ่ะเป็นผู้ชายทั้งแท่ง แล้วจู่ๆวันนึงกูก็เสือกรู้สึกหวั่นไหวกับมึง มึงรู้มั้ยว่ากูกลุ้มใจ
แค่ไหน?” ร่างโปร่งพูดเสียงเครียดพร้อมกับจับมือที่ตีเขาเมื่อสักครู่นี้เอาไว้
ฮันคยองหลุบตาลง ทำไมกันนะ เวลาที่ถูกเพื่อนคนนี้ทำท่าทางจริงจังใส่เขาถึงต้องใจสั่นทุกที?
“แล้วทำไม...นายถึงกล้ามาบอกฉันล่ะ? ไม่กลัวโดนล้อเหรอ?” เด็กหนุ่มหน้าตี๋ถามอ้อมแอ้ม
“กลัวดิ่ มึงก็รู้ว่ากูรักศักดิ์ศรีขนาดไหน ถ้าโดนใครล้อว่าเป็นพวกผิดเพศกูก็คงโมโห แต่ตอนนี้...กูกลัวว่าจะเสียมึงไปอีกครั้งมากกว่า” ฮีชอลพูด แววตามั่นคงของเขาทำให้ฮันคยองรู้สึกเหมือนจะละลายเสียให้ได้
“กูมานั่งคิดดูแล้ว ถ้ากูโดนล้อกูก็แค่ต่อยปากคนที่มันกล้าล้อกู เดี๋ยวเรื่องก็จบ แต่ถ้ากูไม่สารภาพรักกับมึงแล้วมีใครมาแย่งมึงไปหรือมึงดันไปตกหลุมรักคนอื่นเหมือนที่มึงเคยรักซีวอนอีกกูคงคนไม่ได้ มึงรู้มั้ยว่ากูหงุดหงิดแค่ไหนเวลาที่เห็นมึงกระหนุงกระหนิงกับ
ผู้ชายคนอื่น? เห็นมันทำให้มึงเสียใจแล้วกูทำอะไรไม่ได้สักอย่าง รู้มั้ยว่ากูทรมานใจแค่ไหน? กูไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้วไอ้ฮัน”
“......” คนน่ารักฟังอีกฝ่ายพูดอย่างเงียบๆ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ยินเป็นความจริง แต่แววตาจริงจังของฮีชอลก็ดูนิ่งเกินกว่าที่คนที่กำลังโกหกจะแสร้งทำได้
“กูรู้นะว่ากูไม่ดีพอ แต่กูก็จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อมึง มึง...พอจะให้โอกาสคนอย่างกูได้หรือเปล่า?” ฮีชอลขอร้องด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ฮันคยองเม้มปากอย่างชั่งใจก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
“บอกตรงๆนะว่านายน่ะไม่ใช่สเปคของฉัน”
เสียงทุ้มติดหวานของเพื่อนสนิททำเอาฮีชอลรู้สึกราวกับแผ่นดินกำลังจะถล่มแต่เขาก็ยังรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อ
ด้วยความอดทน
“ฉันไม่ชอบคนแบบนาย แข็งกระด้าง หยาบคาย ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ขี้วีน ขี้โมโห แถมยังลามกไม่เลือกที่อีก”
“......” ฮีชอลรู้สึกเหมือนตัวหดเล็กลงไปสามเท่า ก็สิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงเขามันไม่มีเรื่องดีๆเลยนี่นา
ในขณะที่กำลังจะหมดหวัง ประโยคต่อมาที่ร่างเพรียวพูดกลับนำแสงสว่างมาสู่เขาอีกครั้ง
“แต่ว่า...ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้หวั่นไหวไปกับคนอย่างนาย” คนน่ารักพูดแล้วก้มหน้าลงอย่างเขินๆ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ความรู้สึกในใจของตัวเองคืออะไร แต่ในเมื่อคนรักศักดิ์ศรีอย่างฮีชอลยังกล้าสารภาพความในใจกับเขา เขาเองก็ควรจะบอกอีกฝ่าย
ไปตรงๆเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไร
ดวงตากลมโตของฮีชอลทอประกายวิบวับเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“มึงว่าไงนะ? มึงหวั่นไหวกับกูเหรอ? หมายความว่ามึงก็รักกูเหมือนกันใช่ป่ะไอ้ฮัน?! เชี่ยเอ๊ย! กูดีใจชิบหายเลยว่ะ!” คำสบถต่างๆนานาพรั่งพรูออกมาจากปากของคนที่กำลังดีใจจนสติหลุด
ฮันคยองยู่ปากพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าฉันรักนาย” ร่างเพรียวพูดห้วนๆซึ่งทำให้คนที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ถึงกับชะงักกลางอากาศ
“อ้าว...ก็เมื่อกี๊มึงบอกว่ามึง...หวั่นไหว?” ร่างโปร่งทวนคำพูดของอีกฝ่ายด้วยท่าทางงงๆ
ฮันคยองถอนหายใจยาว
“มันก็จริงที่ว่าฉันหวั่นไหวกับนาย เวลาที่ถูกนายสัมผัส เวลาที่ถูกนายจ้องฉันรู้สึกหวิวๆ แปลกๆ ใจก็เต้นรัวจนบางทีฉันเองก็สงสัยว่าอาจจะชอบนายเข้าแล้วหรือเปล่า แต่พอเจอนิสัยแย่ๆของนายทีไรฉันก็ต้องเลิกคิดทุกที มันไม่ใช่อ่ะฮีชอล ฉันไม่ได้ชอบคนดิบเถื่อนแบบนาย” ร่างเพรียวพูดด้วยสีหน้าหนักใจขณะที่คนฟังนั้นก็ดูหงอยลงไปถนัดตา
“มึงก็รู้ว่านิสัยกูเป็นแบบนี้ กูพูดหวานๆกับผู้ชายไม่เป็นหรอก ถ้ามึงเป็นผู้หญิงก็อีกเรื่อง”
“นั่นไง ฉันเลยอยากให้นายคิดดีๆว่านายชอบฉันจริงหรือเปล่า แน่ใจแล้วเหรอว่าจะรักผู้ชายด้วยกันได้จริงๆ?”
“กูรักมึง!” ฮีชอลตอบอย่างหนักแน่น
“กูแน่ใจว่ากูรักมึง มึงให้โอกาสกูไม่ได้เหรอไอ้ฮัน? ให้โอกาสกูได้ปกป้องความรักที่กูมีต่อมึงเอาไว้สักครั้งเถอะ นะ...กูขอร้อง”
ฮันคยองอึ้งกับการกระทำของคนตรงหน้า คนอย่างคิมฮีชอลไม่เคยขอร้องใคร แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นฮีชอลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้มาก่อนเลยด้วย
ร่างเพรียวหลับตา ทบทวนความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อเพื่อนสนิทอีกครั้ง
‘เราเกลียดฮีชอลหรือเปล่า? คำตอบคือไม่ แล้วเราชอบฮีชอลหรือเปล่า? คำตอบก็คือไม่อีกนั่นแหละ เจอกันทีไรก็ทำให้หนักใจ
ได้ตลอด แต่ว่า...ความรู้สึกหวั่นไหวเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขาก็คงเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่
ถ้าลองเสี่ยงดู...จะดีมั้ยนะ?’
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่างเพรียวนิ่งไปนานจนผิดปกติ ฮีชอลก็เริ่มใจหาย นี่เขาทำให้อีกฝ่ายลำบากใจเกินไปหรือเปล่า?
“ช่างเถอะไอ้ฮัน มึงอย่าคิดมากเลย กูพอเข้าใจว่านิสัยกูมันแย่เกินกว่าที่มึงจะรับได้ มึงคู่ควรกับคนรักที่อบอุ่น สุภาพแล้วก็อ่อนโยน
กับมึงมากกว่าคนไม่เอาไหนอย่างกู”
“......”
“กูขอโทษนะที่มาวุ่นวายกับชีวิตมึง กูจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ล่ะ” ร่างโปร่งลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของตัวเองโดยที่ไม่ยอมมองหน้าฮันคยองเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นน้ำตาที่รื้นอยู่เต็มสองตาของเขา
“เดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มหวานหูกับสัมผัสนุ่มนิ่มที่รั้งแขนเขาไว้ทำให้ฮีชอลต้องหันกลับไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่มีทางเลือก
“......” ฮีชอลมองอีกฝ่ายนิ่งๆ รอฟังสิ่งที่ร่างเพรียวกำลังจะพูดด้วยความอดทน
“เอ่อ...คือ...จะว่ายังไงดีล่ะ คนแบบนายไม่ใช่สเปคของฉันก็จริง แต่ถ้านายพอจะปรับตัวได้ ฉัน...ก็คิดว่าน่าจะพอไหวอยู่นะ”
ร่างเพรียวลูบท้ายทอยแล้วก้มหน้าลงเพื่อซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อของตัวเอง
ร่างโปร่งที่เกือบจะถอดใจไปแล้วเมื่อสักครู่นี้กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เขารวบมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายมากุมไว้ด้วยท่าทางตื่นเต้น
“มึงหมายความว่ามึงจะให้โอกาสกูใช่ป่ะ? กูอยากจะกรี๊ด ขอบคุณมึงมากเลยนะ กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้มึงเสียใจเด็ดขาด จะปรับปรุงตัวเพื่อมึง” ฮีชอลพูดก่อนที่จะคว้าคนร่างเพรียวเข้ามากอดเสียแน่นแล้วยังทำท่าเหมือนจะขโมยจูบอีกต่างหาก แต่ฮันคยองผลักเขาออกไปได้ทัน
“เริ่มต้นจากคำพูดคำจากับนิสัยปากว่ามือถึงของนายก่อนเลยก็แล้วกัน ให้ตายสิฮีชอล! ถึงฉันจะไม่ได้เป็นผู้หญิงแต่ฉันก็เป็นคนรักของนายนะ อ่อนโยนกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง? มือไม้นี่ก็เหมือนกัน เก็บๆไว้ซะบ้างสิ นิสัยกับหน้าตาของนายมันขัดแย้งกันชะมัด” ฮันคยองบ่นเป็นชุดส่วนฮีชอลก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
‘เมียผมขี้บ่นกว่าที่คิดแฮะ พอเปลี่ยนสถานะแล้วเพิ่งรู้สึก’
“เอ่อ...ถ้างั้นผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุดเลยนะขอรับ ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ให้โอกาสผม...”
“นี่นายประชดหรือเปล่า? ใช้สรรพนามว่านายกับฉันก็พอ ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้น พูดแบบที่ฉันพูดเนี่ยทำได้มั้ย?” ฮันคยองพูดปนหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูจะลำบากอย่างมากในการสรรหาคำมาใช้พูดกับเขา
“มึง เอ๊ย! นายก็รู้นี่นาว่ากู เชี่ย~ ทำไมมันยากงี้วะ?! นายก็รู้นี่ว่าฉันไม่เคยพูดกับผู้ชายด้วยคำสุภาพเลยสักครั้ง มันก็ต้องใช้เวลาปรับ
สักพักแหละกว่าจะชินน่ะ” คนหน้าสวยพูดเสียงอ่อย
“ก็พอจะรู้อยู่” ฮันคยองยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
ฮีชอลรู้สึกเบาใจขึ้นเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่เขาคุ้นเคย อย่างน้อยเขาก็ยังมีเวลาปรับปรุงตัวเองล่ะนะ
“ไอ้..เอ่อ...ฮันคยอง ขอ...ขอกอดหน่อยได้ป่ะ?” ฮีชอลขออนุญาตอีกฝ่ายด้วยแววตาคาดหวัง
ร่างเพรียวเขินไม่น้อยที่ถูกขอร้องตรงๆแบบนี้ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ
ร่างโปร่งโอบกอดคนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยเอาไว้ด้วยความรัก หัวใจของพวกเขาทั้งคู่เต้นแรงมากจนต่างฝ่ายต่างแน่ใจว่าอีกคนต้องรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจของกันและกันแน่ๆ
“ทำไมถึงยอมให้โอกาสฉันล่ะ? ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่สเปคของนาย” ฮีชอลถามคนในอ้อมกอด น้ำเสียงของเขาถูกเจอด้วยความไม่มั่นใจจนคนฟังรู้สึกได้
ฮันคยองขืนตัวออกจากอ้อมแขนของฮีชอลแล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเองก็รู้สึกหวั่นไหวกับนายเหมือนกัน ฉันไม่อยากจะเก็บความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิตหรอกนะ เพราะอย่างงั้นถึงอยากจะลองเสี่ยงดู ว่าแต่นายเถอะ มาคบกับฉันไม่กลัวคนอื่นนินทาหรือไง? หน้านายสวยขนาดนี้ ใครมองก็ต้องคิดว่านายเป็นฝ่ายรับแน่ๆ”
“ไม่กลัวหรอก เพราะว่ากูรักมึงจริงๆนี่ ใครจะว่ายังไงก็ช่างแม่งเหอะ เดี๋ยวพอมึงท้องทุกคนก็รู้เองแหละว่ามึงต่างหากที่เป็นเมียกู”
คนหน้าสวยพูดอย่างภาคภูมิใจ
“คิมฮีชอล” ฮันคยองเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มหวานบาดใจ
“จ้ะ เมียจ๋า~” ฮีชอลขานรับโดยที่ไม่ได้รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาเลยแม้แต่น้อย
“เลิกกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“อ่ะ ไม่น้า~ ฉันผิดไปแล้วฮันคยอง~”
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-* Epilogue *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
สวัสดีครับ ผมคิมฮีชอล สุดหล่อเลือกได้คนเดิม o(=v=)o พวกคุณรู้อะไรมั้ย? ถึงผมจะหล่อเลือกได้แต่ตอนนี้ผมไม่คิดจะเลือกใครไปทั่วเหมือนกับเมื่อก่อนแล้วล่ะ ผมยินดีที่จะเป็นฝ่ายถูกเลือกและผมก็ภูมิใจที่คนรักของผมเขาเลือกผม
“คยองกี้~ ฉันกลับมาแล้ว~ คิดถึงคยองกี้ที่สุดเลยรู้มั้ย?” ผมพูดพร้อมกับตรงเข้าไปกอดร่างเพรียวของคนที่กำลังทำอาหารอยู่จากทางด้านหลัง สูดดมความหอมจากซอกคอของเขาอย่างโหยหา
“อย่าเว่อร์น่าฮีชอล ออกไปเรียนแค่หกชั่วโมงเอง พูดอย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นชาติ” คนน่ารักดุแต่ผมรู้ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มและเขิน
จนหน้าแดงอยู่แน่ๆ
ผมอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ด้วยความหมั่นเขี้ยวและนั่นก็ยิ่งทำให้เขาหน้าแดงมากขึ้นไปอีก มันน่าสนุกจริงๆนะที่ได้เห็นปฏิกิริยาแบบนี้จากเขา ทั้งๆที่เราคบกันมาได้เกือบสองปีแล้วแต่เขาก็ยังเขินอายทุกครั้งที่ถูกผมสัมผัส
“แค่หกชั่วโมงอะไรกันล่ะ ตั้งหกชั่วโมงต่างหาก คยองกี้ใจร้าย ไม่ยอมให้ฉันเอ็นทรานซ์เข้าคณะเดียวกับนาย รู้มั้ยว่ามันทรมาน
แค่ไหนที่ต้องไปเรียนโดยที่ไม่มีนายอยู่ข้างๆ ไร้แรงบันดาลใจที่สุด” ผมพูดอย่างงอนๆ
พวกเราตกลงคบกันไม่นานก่อนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไอ้ผมก็อยากจะอยู่กับคนรักตลอดเวลาเลยตั้งใจว่าจะเรียนต่อในคณะเดียวกับเขา...อักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น แต่เขากลับคัดค้านหัวชนฝา บอกว่าผมไม่เหมาะที่จะเรียนอักษรศาสตร์เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่
ผมรักจริงๆ (แน่สิ ก็สิ่งที่ผมรักจริงๆในชีวิตนี้มีแค่เขาคนเดียวนี่นา ฮี่ๆๆๆ) แล้วเขาก็แนะนำคณะที่ผมกำลังเรียนอยู่ในตอนนี้
ให้กับผม...มนุษยศาสตร์ เอกการท่องเที่ยว ตอนแรกผมน้อยใจนะ มันเหมือนกับเขาพยายามจะผลักไสผม จนผมสงสัยว่าเขารำคาญผม
แล้วหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าเขาทำเพื่อผมจริงๆ เขารู้จักผมดีกว่าตัวผมเองเสียอีก ผมมีความสุขกับการเรียนในคณะนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้จะเหงาอยู่บ้างเพราะไม่มีเขาอยู่ข้างๆ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเขาจะรอต้อนรับผมอยู่ที่บ้านของเราพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนทุกวัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชีวิตของผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“ไม่ต้องทำมาเป็นคิดถึงกันเลย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายแอบไปส่องสาวที่คณะอักษรฯอ่ะ” เขาพูดด้วยท่าทางงอนๆก่อนที่จะตีแขนผมซึ่งโอบรอบเอวเขาอยู่
“ฉันไปส่องสาวที่ไหนกันล่ะ ฉันส่องนายนั่นแหละ นายไม่ยอมให้ฉันไปหาที่คณะฉันก็เลยต้องไปแอบมองน่ะสิ” ผมอ้อนด้วย
น้ำเสียงที่คิดว่าน่าเห็นใจที่สุดก่อนที่จะไซ้ซอกคอเขา มันยากที่จะห้ามใจเมื่อได้อยู่ใกล้เขามากขนาดนี้
“ไม่เอาน่าฮีชอล จั๊กจี้” ฮันคยองหัวเราะคิกคัก พยายามหดคอหนีผม แต่เขายิ่งหนีผมก็ยิ่งอยากแกล้ง จมูกของผมเปลี่ยนเป้าหมายจากซอกคอหอมกรุ่นเป็นกกหูของเขาแทน
“อ๊ะ! ฮีชอล~” ฮันคยองหลุดครางออกมาด้วยเสียงกระเส่า พระเจ้า! ทำไมเขาถึงได้ยั่วยวนขนาดนี้นะ? ตอนแรกผมคิดว่าจะแกล้ง
แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะทำจริงขึ้นมาซะแล้วสิ
ไวเท่าความคิด มือซุกซนของผมเลื่อนลงจากเอวบางลงไปยังบั้นท้ายงอนของเขาแล้วบีบแรงๆอย่างหื่นกระหาย
“อื้ม อ๊ะ ฮีชอล ฉันกำลังทำกับข้าวอยู่นะ อ๊ะ” เขาเอ่ยปรามพร้อมกับพยายามดิ้นแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงจะหายไปหมดจนเขา
ไม่สามารถต่อต้านผมได้เลย
“ไม่ต้องสนใจกับข้าวแล้ว คยองกี้ของฉันน่ากินกว่าเยอะเลย โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขาศอกใส่เข้าที่หน้าท้องเสียเต็มรักจนรู้สึกจุก
“แฮ่กๆ ถะ...ถ้าไม่ยอมหยุดล่ะก็ อย่ามาแตะต้องฉันอีกเลยตลอดชีวิต” ฮันคยองยื่นคำขาดพร้อมกับหันปลายมีดที่ใช้หั่นแครอท
เมื่อสักครู่นี้มาทางผมจนผมต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้ เขาจึงกลับไปทำอาหารต่อ
ผมมองการกระทำของเขาด้วยรอยยิ้ม ผมรู้ว่าฮันคยองไม่ได้โกรธผมหรอก เพียงแต่เขาเป็นคนที่ขี้อายมากและไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ชินกับการกระทำรุ่มร่ามของผมเสียที
ผมมองเขาทำอาหารอยู่พักใหญ่จนในที่สุดเขาก็พูดอะไรบางอย่างออกมา
“อดใจรอหน่อยสิ อาบน้ำ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน” เขาพูดอ้อมแอ้มส่วนผมยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก รู้ดีว่าเขาบอกให้ผมอดใจรออะไร
ผมเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลังอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ขัดขืนแต่กลับก้มหน้าลงต่ำเพื่อปกปิดความเขิน
“ขอบคุณนะฮันคยอง ฉันรักนาย” ผมพูดแล้วจูบแก้มเขาเบาๆ นั่นยิ่งทำให้คนรักของผมเขินมากขึ้นไปอีก
“อื้ม ฉันก็เหมือนกัน” เขาตอบด้วยเสียงหงุงหงิงซึ่งน่าเอ็นดูเสมอในสายตาผม
ผมหัวเราะ กอดเขาแน่นขึ้น
‘ขอบคุณที่เลือกฉันนะฮันคยอง ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจ จะไม่มีวันปล่อยมือนาย ฉันสัญญา...’
[END]
Talk: จบแล้วค่ะ >w< ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ขอโทษด้วยสำหรับแฟนๆของซีวอน ยิ้มทิ้งซีวอนให้หายไปในสายลมอีกแล้ว
= =”
เป้าหมายต่อไปคือ...SiHan!!! คุณชายชเวจะได้เป็นพระเอกเต็มตัวสักที รออ่านนะคะ ^^
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคนที่คลิกเข้ามาอ่านค่ะ รักทุกคน ^3^
ความคิดเห็น