คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : The Perfect Boy Next Door Part 6
Title: The perfect boy next door
Author: imazawa
Pairing: Kyuhyun/Hangeng
Rate: PG-13
Part 6
ร่างโปร่งบางของฮันคยองเปิดประตูเข้ามาในบ้านของตัวเองด้วยท่าทางอ่อนล้าเป็นครั้งที่สองของวันนี้ หากแต่ครั้งนี้ความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากคนรักเก่า
‘สองวันที่ผ่านมานี่ชีวิตผมมันวุ่นวายชะมัดเลยนะครับ อย่างแรกก็โดนแฟนบอกเลิก หลังจากนั้นก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากคนข้างบ้านที่แทบไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ตอนนี้...ผมกลายเป็นครูสอนเปียโนที่มีค่าตัวแพงที่สุดในเกาหลีใต้ไปซะแล้ว ก่อนหน้านี้ชีวิตของผมมันราบเรียบเกินไปหรือยังไงกันนะ? โชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับผมขนาดนี้’
“Tululu~” เสียงเรียกเข้าจากมือถือเครื่องเล็กดึงร่างบางออกจากห้วงความคิด
ฮันคยองมองชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาแล้วก็ต้องถลึงตาด้วยความตกใจ
‘หม่าม้า...แย่ล่ะสิ ม้าคงเป็นห่วงผมแย่แล้วตอนนี้ ปกติผมจะโทรหาท่านวันละไม่ต่ำกว่าสองครั้ง แต่สองวันที่ผ่านมานี่ผมไม่ได้โทรหาท่านเลย ก็แหม มันยุ่งๆน่ะครับพวกคุณก็รู้นี่’
นิ้วเรียวกดรับสายอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับม้า” ฮันคยองเอ่ยทักอย่างร่าเริงเพราะไม่ต้องการให้ผู้เป็นแม่รู้สึกเป็นห่วงเขามากไปกว่านี้
“อาเกิง...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าลูก? ทำไมไม่โทรหาม้าเลยล่ะ?” น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลเอ่ยถามลูกชาย
“แหะๆ พอดีมีเรื่องยุ่งๆที่นี่นิดหน่อยน่ะครับม้า ขอโทษนะฮะที่ทำให้เป็นห่วง”
“เรื่องยุ่งๆที่ว่านี่...อยากเล่าให้ม้าฟังมั้ยลูก?”
ฮันคยองยิ้มบางๆเมื่อได้ยินคำถามจากปลายสาย
‘ถึงแม้ว่าผมจะเสแสร้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หม่าม้าของผมก็ยังจับได้อยู่ดีว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผม เบื่อจริงจริ๊งคนรู้ทันเนี่ย
แต่ก็นะ เขาเป็นแม่ของผมนี่นา’
หนุ่มชาวจีนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับซีวอนให้ผู้เป็นแม่ฟังทั้งหมด ส่วนอีกฝ่ายก็รับฟังลูกชายระบายความรู้สึกอย่างตั้งอกตั้งใจพร้อมกับ
พูดปลอบโยนบ้างเป็นระยะ
“ลูกไม่เป็นไรแน่นะอาเกิง?” คุณนายฮันถามขึ้นอีกครั้งเมื่อลูกชายเล่าจบ
“ไม่เป็นไรครับม้า...คิดว่านะ ฮะๆๆ” ร่างบางพูดติดตลก
“อาเกิง~”
“หม่าม้า~”
“อาเกิง! เล่นเป็นเด็กๆไปได้นะเรา” แม่ของร่างบางดุ
“ก็แหม ม้าอ่ะ ผมเครียดมาตั้งสองวันแล้วนะ ขอผมรีแลกซ์บ้างไม่ได้เหรอครับ?” ฮันคยองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่ารักออดอ้อน
“ม้าแค่อยากจะแน่ใจว่าลูกไม่เป็นอะไรจริงๆ อยู่ไกลหูไกลตาแบบนี้ม้ายิ่งเป็นห่วงนะลูกก็รู้”
“ผมไม่เป็นไรครับม้า วางใจได้เลย ตอนนี้ผมแค่ยังไม่ชิน มันเหงาๆโหวงๆ เหมือนกับชีวิตมันขาดอะไรไปน่ะฮะ”
“ก็แน่ล่ะ ลูกอยู่กับเขาทุกวันมาตั้งสามปีนี่ กว่าจะทำใจให้ชินได้มันคงต้องใช้เวลา เข้มแข็งเข้าไว้นะลูก” คุณนายเกิงพูดกับลูกชายด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด
“ครับม้า ลูกชายของม้าเข้มแข็งอยู่แล้ว”
น้ำเสียงทะเล้นของฮันคยองทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มออกในที่สุด
“เอ้อ! แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะลูก มีพอใช้หรือเปล่า? จะให้ป๊ากับม้าช่วยอะไรมั้ย?” คุณนายฮันเอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าลูกชายอาจจะลำบากเพราะตอนนี้เขาไม่มีซีวอนคอยช่วยรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายอีกต่อไปแล้ว
“อ๋อ เรื่องนั้นก็ไม่ต้องห่วงครับ วันนี้ผมเพิ่งได้งานใหม่ เป็นครูสอนเปียโนเด็กข้างบ้านน่ะฮะ”
“เด็กข้างบ้าน? ใครเหรอลูก?”
“ก็ลูกชายของเจ้าของคฤหาสน์ข้างๆบ้านที่ผมเคยเล่าให้ม้าฟังไงครับ แม่ของน้องเขาให้เงินผมดีมากเลยแหละ คงจะเป็นเพราะเขาสงสารผมมั้งฮะ ผมยังลำบากใจอยู่เลยเนี่ย”
“แล้วลูกไปสนิทชิดเชื้อกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะอาเกิง?”
“เมื่อวานนี้เองแหละครับ พวกเขาดีกับผมมากเลยล่ะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยแท้ๆ พวกเขาทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลยครับม้า”
ฮันคยองพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความสุขจากใจจริงเป็นครั้งแรกจนคนที่ฟังอยู่ที่ปลายสายรู้สึกเบาใจขึ้นมาก
“ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ลูกได้เจอคนดีๆแบบพวกเขานะ แต่อย่าไปรบกวนพวกเขามากนักก็แล้วกัน งั้นวันนี้แค่นี้ก่อนนะลูก ม้าต้องไปทำงานต่อ
ใกล้เที่ยงแล้ว ลูกค้าเริ่มเยอะแล้วล่ะ ดูแลตัวเองดีๆนะลูก”
“ครับม้า พรุ่งนี้ผมจะโทรไปหานะครับ”
ร่างบางวางสายพร้อมกับเก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
ความห่วงใยจากมารดาที่ถูกส่งผ่านมาทางสายโทรศัพท์ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
“เอาล่ะ ได้เวลาเริ่มต้นชีวิตของนายอีกครั้งแล้วนะหานเกิง” ร่างบางพูดกับตัวเองก่อนที่จะเดินไปยังโต๊ะทำงานของเขาซึ่งมีกองเอกสารที่กำลัง
รอการแปลจากเขาวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ
หนุ่มชาวจีนเริ่มต้นทำงานของตัวเองด้วยความตั้งอกตั้งใจ การที่เขาตั้งสมาธิอยู่กับงานก็ทำให้เขาลืมเรื่องเศร้าๆไปได้มากทีเดียว
หลังจากที่แปลเอกสารกองโตเสร็จแล้วฮันคยองก็นำมันไปส่งให้กับบริษัทที่เป็นคนจ้างเขาได้อย่างตรงเวลา
ร่างบางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสามารถจัดการภารกิจของตัวเองในวันนี้ได้อย่างราบรื่น เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือเรือนสวยที่บอกให้เขารู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
ฮันคยองตัดสินใจแวะไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆเพื่อซื้อข้าวของที่จำเป็นเข้าบ้าน
ระหว่างทางเขาต้องเดินผ่านมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศเกาหลีใต้
ร่างบางมองเด็กๆที่ทยอยเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยด้วยรอยยิ้มพลางคิดไปถึงตัวเองสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ ในขณะที่ร่างบางกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่คุ้นหูก็ลอยมากระทบโสตประสาทของเขาจนเขาต้องหันไปมอง
รอยยิ้มร่าเริงปรากฏบนใบหน้าหวานทันทีเมื่อเห็นคนรู้จัก
“คยูฮยอน~” ร่างบางเอ่ยทักร่างสูงด้วยเสียงอันดังอย่างลืมตัว
คนที่ถูกเรียกหันมาตามต้นเสียง เมื่อสองสายตาประสานกัน ดวงตาคมก็ส่งสายตาดุๆมาให้ฮันคยองทันทีจนร่างบางหน้าเสียแล้วก็ต้องรีบก้มหัวให้
คนอายุน้อยกว่าเป็นเชิงขอโทษที่ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปท่ามกลางคนมากมายขนาดนี้
‘ขอโทษที ฉันลืมคิดไปว่านายคงจะอายถ้าคนอื่นรู้ว่านายรู้จักกับคนอย่างฉัน’
“นายมาทำอะไรแถวนี้?” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่ทว่าเย็นชาเอ่ยถามเรียบๆ
“ฉันเอาเอกสารมาส่งบริษัทน่ะ แล้วก็กะว่าจะไปซื้อของต่ออีกนิดหน่อย นายเรียนที่นี่เหรอ?” ฮันคยองยิ้มกว้างทำใจดีสู้เสือ เผื่อว่าโชคดีคนตรงหน้าอาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันเดินออกมาจากประตูมหา’ลัยเมื่อกี๊ ยังจะต้องถามอีกเหรอ?” เด็กหนุ่มยังคงกวนประสาทคู่สนทนาเช่นเคย
“ก็ถามไว้ก่อนไง นายอาจจะเดินเข้าไปรับเพื่อนก็ได้ใครจะไปรู้” ร่างบางกวนร่างสูงกลับบ้างแล้วก็ดูจะได้ผลดีเสียด้วยในเมื่อตอนนี้เด็กหนุ่มร่างสูงที่มักจะตีหน้านิ่งพร้อมกับส่งสายตาเย็นชาให้ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลากำลังจ้องมองเขาด้วยท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในขณะที่เพื่อนๆของเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยกันต่างก็พยายามกลั้นหัวเราะกันสุดฤทธิ์
‘ฮะๆๆ ท่าทางของเขามันออกจะดูน่ากลัวก็จริงอยู่ แต่ผมขำมากกว่านะ ทำไมผมถึงจะไม่รู้ล่ะว่าเด็กผู้ชาย โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่มีบุคลิกอย่างเขาน่ะเกลียดการถูกทำให้หน้าแตกต่อหน้าเพื่อนฝูงที่สุด ยิ่งมีผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหน้าแตกด้วยแล้ว เขาคงยิ่งโกรธผมไปใหญ่เลยล่ะ ไอ้สีหน้านิ่งๆแบบเจ้าชายน้ำแข็งนั่นก็เหมาะกับเขาอยู่หรอกนะ แต่ผมรู้สึกว่าเขายังเป็นเด็กอยู่เลย น่าจะแสดงความรู้สึกให้มันหลากหลายกว่านี้หน่อย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่ผมอยากเห็นสีหน้าของเขาหลายๆแบบก็เลยลองแกล้งดูน่ะ แหะๆ’
“คยู...คนนี้ใครเหรอ?” เด็กหนุ่มแก้มป่องผู้ที่มีรอยยิ้มบาดใจสะกิดถามเพื่อนพร้อมกับแสดงออกว่าสนอกสนใจในตัวรุ่นพี่ร่างบางอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าของบ้านหลังที่อยู่ข้างๆบ้านของฉัน!” คยูฮยอนตอบเสียงห้วน
“เพื่อนบ้านสินะ?” คิบอมถามย้ำหลังจากที่ใช้สมองประมวลผลคำตอบที่ได้รับจากเพื่อนตัวดีเรียบร้อยแล้ว
‘เจ้าของบ้านหลังที่อยู่ข้างๆบ้านของฉัน...สรุปก็คือเพื่อนบ้านใช่มั้ยล่ะ? มันจะพูดให้เข้าใจยากไปเพื่ออะไรเนี่ย? ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเพื่อนคนนี้เลยจริงๆ’
“ไม่ใช่เพื่อนบ้าน! ก็บอกว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังที่อยู่ข้างๆบ้านของฉัน” ร่างสูงหันไปตวาดเพื่อนก่อนที่จะหันกลับมาจ้องร่างบางด้วยแววตาเย็นชา
อีกครั้ง
คิบอมเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดีจึงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการหันไปทำความรู้จักกับหนุ่มชาวจีนแทน
“ผมชื่อคิบอมครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ...”
“ผมชื่อหานเกิงครับ แต่คนเกาหลีเรียกผมว่าฮันคยองน่าจะถนัดกว่า” ฮันคยองตอบพร้อมส่งรอยยิ้มเอ็นดูไปให้เด็กหนุ่มผิวสีแทน
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับพี่ฮันคยอง” คิบอมก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเพื่อแสดงความเคารพ
“เช่นกันครับ”
“พี่คนนี้หรือเปล่าคยูที่นายบอกว่าจะมาเป็นครูสอนเปียโนของนายน่ะ?” เด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนหนึ่งในกลุ่มของคยูฮยอนเอ่ยถามขึ้น
“เออ! นี่แหละต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องออกจากชมรมคณิตศาสตร์” คยูฮยอนตอบด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด
“ทำไมแกทำหน้าเซ็งโลกอย่างงั้นวะ? พี่เขาก็ท่าทางใจดีออก ถ้าได้เรียนด้วยคงมีความสุขน่าดูเลย” คิบอมเอ่ยถามร่างสูงแต่ทว่าสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานๆของหนุ่มชาวจีนจนฮันคยองได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไปให้
‘วัยรุ่นสมัยนี้เข้าใจยากม๊ากกกก จริงๆนะ คนนึงก็เย็นชา นิ่ง เงียบ ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเล้ย ส่วนอีกคนก็แสดงออกซะชัดเจนเลย ผมคงแก่เกินกว่าที่จะเข้าใจพวกเขาแล้วล่ะมั้ง T-T’
“นี่นาย จะไปซื้อของต่อใช่มั้ย?” คยูฮยอนไม่สนใจคำพูดของคิบอมที่ยืนอยู่ข้างๆแต่กลับถามร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน
“อืม” ฮันคยองพยักหน้ารับ
“ที่ไหน?”
“ซูเปอร์มาร์เก็ตตรงนั้นน่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังอีกฝั่งถนน
ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง คยูฮยอนหันไปหากลุ่มเพื่อนพร้อมกับยักคิ้วและโบกมือให้สองสามทีก่อนที่จะเดินปลีกตัวออกมา
ฮันคยองได้แต่มองการกระทำของเด็กหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ
‘การอ้าปากพูดว่าบ๊ายบายเพื่อนๆเนี่ยมันยากนักหรือไงนะคยูฮยอน?’
“ไป!” เด็กหนุ่มร่างสูงพูดกับร่างบางสั้นๆ
“ไปไหน?” ร่างบางขมวดคิ้ว
“ไปสนามบินอินชอนมั้งนาย! ซื่อบื้อขนาดนี้จับแพ็คใส่กระเป๋าส่งกลับจีนซะเลยดีมั้ยเนี่ย?”
ฮันคยองเบ้ปาก
‘ผมทำอะไรผิดเนี่ย? เขาต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง’
“นายจะไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ไปสิ ฉันก็จะไปด้วย แม่ใช้ให้ไปซื้อชาเขียวเหมือนกัน” ร่างสูงอธิบายเมื่อเห็นว่าร่างบางเงียบไปนาน
“ก็แค่นั้นแหละ คราวหน้าคราวหลังก็บอกตรงๆเลยสิว่าจะไปด้วยกัน ไปๆ นี่ก็เย็นมากแล้ว รีบไปกันเถอะเดี๋ยวคุณป้าจะรอนาน” ฮันคยองยิ้มให้เด็กหนุ่มนิดหนึ่งก่อนที่จะเดินนำไป
เมื่อเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต เด็กหนุ่มร่างสูงก็ตรงไปที่แผนกเครื่องดื่มทันที ฮันคยองก็เลยตัดสินใจเดินตามไปด้วยเพราะเขาเองก็ต้องซื้อเครื่องดื่มกลับบ้านเหมือนกัน
คยูฮยอนหยิบชาเขียวสองแพ็คใหญ่ใส่รถเข็นของร่างบางด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย ร่างบางเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทางเย่อหยิ่งของเด็กเอาแต่ใจคนนี้ เขาเริ่มชินเสียแล้วล่ะ
“ฝากด้วยแล้วกันฉันขี้เกียจถือ เดี๋ยวตอนคิดเงินค่อยแยก” ร่างสูงพูดง่ายๆแค่นั้น
“นายจะเอาไปคิดเงินก่อนมั้ยล่ะ? ถ้ารอฉันก็อีกนานเลยนะ เพราะฉันต้องซื้อของอีกเยอะ” นอกจากฮันคยองจะไม่ถือสาอะไรแล้วยังแสดงความเป็นห่วงเด็กหนุ่มอีกด้วย
‘จริงๆผมก็พูดได้ไม่เต็มปากหรอกครับว่าห่วงเขา ผมห่วงความปลอดภัยของตัวเองด้วยต่างหาก คุณชายเขาเกลียดขี้หน้าผมจะตาย ถ้าเกิดผมเดินเลือกของนานแล้วเขาเกิดรำคาญ ฆาตกรรมผมกลางซูเปอร์มาร์เก็ตขึ้นมาจะว่าไง อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้สึกอึดอัดบ้างแหละถ้าต้องมาเดินกับคนอย่างผมน่ะ’
“ไม่เป็นไรฉันรอได้ นายจะซื้ออะไรก็รีบซื้อไปสิ” เด็กหนุ่มตอบก่อนที่จะหันหน้าไปมองทางอื่น ปล่อยให้ร่างบางยืนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
‘ผมว่าเด็กนี่คงเป็นโรคจิตอ่อนๆแล้วล่ะครับ เขาถึงได้ชอบทรมานตัวเองด้วยการอยู่ใกล้ๆคนที่ตัวเองเกลียดน่ะ’
“งั้นก็ตามใจ แล้วอย่ามาดุฉันทีหลังก็แล้วกัน” ฮันคยองพูดแล้วหันไปตั้งใจกับการเลือกซื้อของ
มือบางเอื้อมไปหยิบน้ำอัดลมสองสามแพ็คมาวางในรถเข็น ดวงตาหวานตวัดไปมองกระป๋องเบียร์หลากหลายยี่ห้อที่วางอยู่ไม่ไกลกันนักก่อนที่เขาจะหยิบเบียร์แพ็คหนึ่งใส่รถเข็นด้วยความเคยชิน
“จะซื้อไปทำไม?” ร่างสูงถามเสียงเขียวจนฮันคยองสะดุ้งเฮือก เกือบปล่อยเบียร์ตกพื้น
“ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ จะดื่มเบียร์บ้างมันแปลกตรงไหนเหรอ?” ร่างบางพูดแล้ววางแพ็คเบียร์ลงในรถเข็นอย่างระมัดระวังหลังจากตั้งสติได้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมือเรียวของร่างสูงหยิบมันขึ้นไปเก็บบนชั้นวางอย่างหน้าตาเฉย
“เฮ้ย! นี่นายทำอะไรของนายน่ะ?” หนุ่มชาวจีนโวยวาย
“แล้วนายจะซื้อไปทำไมล่ะ?” คยูฮยอนถามซ้ำอีกครั้ง
“นอกจากใช้ดื่มแล้วนายคิดว่าเบียร์มันยังทำอย่างอื่นได้อีกเหรอ? อ๋อ หรือนายคิดว่าฉันจะซื้อไปหมักผม?” ฮันคยองเริ่มขึ้นเสียงบ้าง
เด็กนี่มันชักจะยุ่มย่ามกับชีวิตเขามากเกินไปแล้วนะ เขาจะซื้ออะไรมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาไม่ใช่เหรอ?
“หึ แค่ดูฉันก็รู้แล้วว่าปกตินายไม่ชอบดื่มเบียร์ เมื่อวานจิบไปนิดเดียวยังทำหน้าบูดซะขนาดนั้นเลย หรือว่านายจะซื้อไปให้เขา? ยังแอบหวังว่าเขา
จะกลับมาหานายใช่มั้ย? ซีวอนอะไรของนายน่ะ”
คำพูดโหดร้ายที่เป็นเหมือนกับมีดแหลมกรีดลงบนหัวใจของร่างบางหลุดออกมาจากปากของร่างสูงก่อนที่เขาจะห้ามตัวเองไว้ได้ทัน
ฮันคยองมองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มด้วยแววตาเย็นชาที่อีกฝ่ายไม่เคยได้เห็นมาก่อนสักพัก ก่อนที่จะเข็นรถออกไปจากบริเวณนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
‘ผมไม่ได้โกรธเขาหรอกนะ ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ถือสาเด็ก แต่คำพูดของเขามันแทงใจดำของผมจริงๆนี่นา ตอนที่ผมหยิบเบียร์ใส่รถเข็นนั่น ผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันอาจจะเป็นความเคยชินหรือไม่...จิตใต้สำนึกลึกๆของผม อาจจะหวังว่าเขาจะกลับมาจริงๆก็ได้ เพราะงั้นผมก็เลยทนไม่ได้ล่ะมั้งที่ถูกเด็กอย่างเขารู้ทัน’
ร่างบางเดินมาเรื่อยๆจนถึงแผนกของสด เขาตั้งหน้าตั้งตาเลือกผักผลไม้ต่างๆอย่างใจเย็น
“ตุ้บ!” เสียงของบางอย่างที่ถูกวางลงในรถเข็นทำให้ร่างบางเงยหน้าจากแผงวางมันฝรั่งที่เขากำลังเลือกดูอยู่
เมื่อฮันคยองมองไปที่รถเข็นของตัวเองก็พบกับเบียร์สองกระป๋องวางอยู่ด้านบนสุด เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆรถเข็นด้วยแววตาสงสัย
“ดื่มเยอะๆเดี๋ยวก็ตับแข็งตายก่อนได้แก่หรอก ซื้อไปแค่นี้แหละ หมดแล้วค่อยมาซื้อใหม่ ซูเปอร์ฯก็อยู่ใกล้บ้านแค่นี้เอง” คยูฮยอนพูดแค่นั้น เขายังคงปากหนักและไม่กล้าที่จะเอ่ยคำขอโทษเช่นเคย
ฮันคยองถอนหายใจแล้วส่งยิ้มบางๆให้คนตรงหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจว่าเขาไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
ร่างบางเดินเลือกของต่อโดยที่มีเด็กหนุ่มร่างสูงเดินตามไปอย่างเงียบๆ จนในที่สุดก็ได้ของครบตามที่ต้องการ
เมื่อจ่ายเงินเสร็จฮันคยองก็หอบหิ้วถุงหลายถุงที่บรรจุของของเขาออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างทุลักทุเลจนเด็กหนุ่มร่างสูงที่เดินมาด้วยทนดูไม่ได้
“เอามานี่มา!” คยูฮยอนพูดพร้อมกับคว้าถุงของร่างบางสองสามถุงมาช่วยถือ
“ไม่ต้องๆ นายถือของนายก็หนักแล้ว เอาคืนมานี่” ร่างบางคัดค้าน ตอนนี้ในมือของเขามีเพียงถุงใส่กระดาษทิชชูกับถุงใส่ผักผลไม้ซึ่งต่างก็มีน้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับถุงใส่เครื่องดื่มและอาหารกระป๋องที่อีกฝ่ายแย่งไปถือ
“ถ้าให้นายถือแล้วของมันจะอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงบ้านมั้ย? ตัวแค่นี้อย่าทำมาอวดเก่งหน่อยเลย”
ร่างบางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำสบประมาทจากปากของเด็กหนุ่ม
‘เขากล้าดียังไงนะถึงพูดกับผมแบบนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าผมเลยสักนิด ส่วนสูงก็พอๆกัน แถมเขายังดูจะผอมแห้งกว่าผมด้วยซ้ำ แต่...ทำไมแขนแห้งๆนั่นถึงถือถุงหนักๆได้นิ่งอย่างนั้นนะ เมื่อกี๊ผมถือแล้วแขนสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย สงสัยผมจะแก่จริงๆซะแล้วล่ะมั้งนี่’
ฮันคยองถอนหายใจ คงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าร่างสูงช่วยเขาได้มากจริงๆ ถ้าให้เขาถือเองแขนคงเดี้ยงไปหลายวันเลยล่ะ
“งั้นแลกกัน อ่ะนี่ นายเอาถุงทิชชูไปถุงนึง แล้วเอาถุงเครื่องดื่มมาให้ฉันถือ จะได้เบาลงหน่อย เดี๋ยวใครเขาเห็นจะหาว่าฉันรังแกเด็ก” ร่างบางพูดพร้อมกับจัดแจงหยิบถุงเครื่องดื่มกลับมาถือเองแล้วยัดเยียดถุงทิชชูใส่มือของร่างสูงแทน
คยูฮยอนจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งสองคนเดินกลับบ้านไปด้วยกันอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงบ้านของฮันคยองร่างสูงก็วางของทั้งหมดลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า
“ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์ถือมาให้ ช่วยได้มากเลยล่ะ” ร่างบางพูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“งั้นฉันไปล่ะ อ่อ พรุ่งนี้นายต้องไปสอนเปียโนฉันตอนสี่โมงเย็น อย่ามาสายตั้งแต่วันแรกก็แล้วกันนะครับ คุณครู” คยูฮยอนพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มท้าทายมาให้อีกฝ่าย
“ครับผม คุณนักเรียนก็อย่าโดดเรียนตั้งแต่วันแรกก็แล้วกันครับ” ฮันคยองพูดจบก็ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ
เขารู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่ตอกกลับร่างสูงได้ถึงสองครั้งแล้วในวันนี้
“ฮึ! ชักจะได้ใจใหญ่แล้วนะนาย อือๆ พรุ่งนี้เจอกันสี่โมงฉันไม่เบี้ยวแน่ เตรียมการสอนไปดีๆล่ะคุณครู ฉันกลับบ้านล่ะ” เด็กหนุ่มร่างสูงเดินออกจากบ้านของอีกฝ่ายเพื่อไปยังบ้านของตัวเอง
“บ๊ายบายคยูฮยอน พรุ่งนี้เจอกัน” ร่างบางตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่มแล้วโบกมือให้ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หันกลับมามอง
รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าหวานอย่างเด่นชัด
‘ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มร่างสูงที่เพิ่งเดินจากไปจะเย็นชา กวนประสาท และเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง แต่การที่ได้อยู่กับเขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อยเลยนะครับ เหมือนได้น้องชายอะไรประมาณนั้นน่ะ การที่ได้อยู่กับเขานี่มันสนุกกว่าที่ผมคิดนะ’
ทางด้านคยูฮยอน เมื่อเขาเดินเข้าไปในตัวบ้านคนรับใช้ก็รับถุงใส่ชาเขียวจากมือของร่างสูงไปเก็บอย่างรู้หน้าที่
เด็กหนุ่มเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง มือเรียวที่สั่นเทาเนื่องจากความเมื่อยล้าที่ต้นแขนเปิดประตูห้องอย่างช้าๆ
ดวงตาคมมองไปยังเปียโนสีชมพูตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องแล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา
‘ถึงแม้ว่าคนจีนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังข้างๆบ้านของผมจะซื่อบื้อ ดื้อเงียบ แล้วก็ฉลาดน้อยไปนิด แต่การที่ได้อยู่กับเขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนกันนะ เหมือนมีคนเอาไว้ให้แกล้งอะไรประมาณนั้น การที่ได้อยู่กับเขานี่มันสนุกกว่าที่ผมคิดแฮะ’
To be continued
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
Talk: มาต่อแล้วค่ะ ต้องขอโทษผู้อ่านทุกคนจริงๆนะคะที่หายไปนานมาก(20วันพอดีเป๊ะเลย =_=”) โดยเฉพาะคนที่ติดตามมาตลอดแล้วก็คอยทวงฟิค
อยู่ ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานค่ะ แหะๆ ช่วงนี้ผ่านมายุ่งๆกับเรื่องเรียนอ่ะค่ะ ปีนี้ม.6แล้วก็เลยยุ่งเป็นพิเศษ ช่วงปิดเทอมจะพยายามมาลงต่อให้
สม่ำเสมอทุกอาทิตย์นะคะ
ตอนนี้กว่าจะเขียนเสร็จก็เกือบสองวันแน่ะค่ะ ยอมรับเลยว่าพอไม่ได้เขียนนานแล้วมันต่อไม่ค่อยติด ขอโทษด้วยนะคะถ้าตอนนี้มันจะฝืดๆไปบ้าง(หรือมันเป็นเรื่องปกติของฟิคเราหว่า =_=”)
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์ที่เป็นกำลังใจให้เราแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่คลิกเข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
ความคิดเห็น