คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [Fic] [MiHan] รักนะ...คุณลูกค้าตัวยุ่ง Part 3
Title: รักนะ...คุณลูกค้าตัวยุ่ง
Author: imazawa
Pairing: Zhoumi/Hangeng
Rate: PG-13
Part 3
ภายในร้านอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งใจกลางย่านการค้าซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน ฮันเกิงกำลังขมวดคิ้วมองคนที่นั่งยิ้มแฉ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นายพาฉันมากินอาหารในร้านหรูๆแบบนี้มันจะดีเหรอ? มีปัญญาจ่ายป่ะเนี่ย? หวังว่าคงไม่ชักดาบแล้วทิ้งให้ฉันล้างจานใช้หนี้
หรอกนะ” ร่างบางถามด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
อาชีพเจ้าของร้านกาแฟ ถึงจะขายดีแค่ไหนแต่มันก็ไม่น่ารวยถึงขั้นที่จะพาเขามาเลี้ยงอาหารในร้านระดับนี้ได้ อาหารที่นี่ราคาต่ำสุดก็สามร้อยหยวนเข้าไปแล้ว และร่างสูงก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางสั่งอาหารที่ถูกที่สุดมากินแน่
โจวมี่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เห็นอย่างนี้แต่ผมก็มีเงินเก็บนะ เชิญคุณสั่งตามสบายเลย”
“อวดดีนักนะ คอยดูเถอะ ถ้าไม่มีตังค์จ่ายขึ้นมาฉันไม่รับผิดชอบจริงๆด้วย” ฮันเกิงเชิดใส่อีกฝ่ายก่อนที่จะหันไปสั่งอาหารกับ
บริกรหนุ่มที่ยืนรออยู่
“เอาซุปกุ้งล็อปสเตอร์ ฟัวร์กราร์ ซี่โครงแกะย่าง เอสคาโก้อบเนยกระเทียม แล้วก็สปาเก็ตตี้ซอสหมึกดำ” รายการอาหารยาวเหยียด
ดูปราดเดียวก็รู้ว่าร่างบางจงใจแกล้งเจ้ามืออย่างโจวมี่ให้ต้องตกที่นั่งลำบาก แต่แทนที่โจวมี่จะตกใจหรือแสดงอาการลำบากใจ
ออกมาอย่างที่ฮันเกิงหวังไว้ ร่างสูงกลับยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูเสียนี่
“จะยิ้มปัญญาอ่อนแบบนั้นอีกนานมั้ย? รีบๆสั่งอาหารของนายเข้าสิ!” ร่างบางเริ่มเหวี่ยงเมื่อเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของอีกฝ่าย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตกเป็นฝ่ายถูกแกล้งอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่สั่งอะไรเพิ่มแล้วครับ รอทานของที่คุณทานเหลือดีกว่า” โจวมี่พูดยิ้มๆ ส่วนฮันเกิงก็หัวเราะเยาะทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ฮะๆๆ นายเป็นหมาหรือไงถึงต้องมาคอยกินของเหลือน่ะ? ไม่มีปัญญาจ่ายก็บอกมาเหอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองก็ได้”
โจวมี่ส่ายหน้า รอยยิ้มใจดีไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้าของเขาถึงแม้ว่าจะโดนอีกฝ่ายพูดดูถูกครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
“ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมมั่นใจว่ายังไงคุณก็ทานของพวกนี้คนเดียวไม่หมดแน่ ทานเหลือมันไม่ดีรู้มั้ย? มีคนตั้งมากมายที่ต้องอดอยากนะครับ”
ฮันเกิงจ้องอีกฝ่ายตาเขียว รู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ร่างสูงทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา
“เป็นแค่เจ้าของร้านกาแฟกระจอกๆ อย่าบังอาจมาสั่งสอนฉัน! อยากกินเศษอาหารของฉันก็ตามใจนาย ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” พูดจบ
ร่างบางก็สะบัดหน้าไปอีกด้านด้วยความหงุดหงิด
โจวมี่หันไปพยักหน้าให้บริกรเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ขอสั่งอะไรเพิ่มอีกแล้ว บริกรหนุ่มโค้งให้ลูกค้าทั้งสองคนอย่างนอบน้อมก่อนที่จะเดินจากไป
ขณะที่อารมณ์ของฮันเกิงยังคุกกรุ่นอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าถือราคาแพงลิบลิ่วของเขาก็ดังขึ้น
ร่างบางหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กออกมาจากกระเป๋าด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดก่อนที่จะโยนมันกลับเข้าไปในกระเป๋าตามเดิมเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา
โจวมี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจนัก
“ใช่พ่อของคุณหรือเปล่าครับ?”
ฮันเกิงสะดุ้งซึ่งนั่นก็ทำให้โจวมี่มั่นใจว่าเขาเดาถูก
“อย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน! ร่างบางพูดห้วนๆ แต่เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ยังดังอย่างต่อเนื่อง
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่ผมว่าคุณควรจะรับสาย ท่านต้องเป็นห่วงคุณมากแน่ๆ” ช่ายหนุ่มร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“ป๊าไม่เป็นห่วงฉันหรอก ถ้าจะห่วงก็คงห่วงว่าฉันจะไปก่อเรื่องอะไรให้เขาลำบากอีกมากกว่า” ฮันเกิงเถียงอย่างดื้อรั้นจนโจวมี่
อยากจะยอมแพ้ แต่เสียงเรียกเข้าที่ดังไม่หยุดนั้นทำให้โจวมี่รู้ว่าคนที่อยู่อีกฝั่งของสายโทรศัพท์กำลังร้อนใจมากแค่ไหน
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายรับสายให้ได้
“รับเถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้อง ถ้าผมเป็นพ่อของคุณผมก็คงจะเป็นห่วงลูกชายน่ารักๆแบบคุณมากเหมือนกัน” โจวมี่พูดพร้อมกับ
ส่งตายตาอ้อนวอนไปให้อีกฝ่าย
ฮันเกิงหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินร่างสูงพูดว่าเขา “น่ารัก” และแววตาคู่นั้นก็ทำให้เขาขัดขืนต่อไปไม่ได้
‘ทำไมฉันถึงต้องยอมแพ้หมอนี่ด้วยนะ?!’ ฮันเกิงบ่นในใจด้วยความหงุดหงิด
ร่างบางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนที่จะรับสายด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“ฮัลโหลป๊า?”
“เกิงอยู่ไหนลูก? เมื่อกี๊ป๊าโทรไปที่บ้าน แม่บ้านบอกว่าลูกยังไม่กลับ มืดค่ำป่านนี้แล้วมัวทำอะไรอยู่?” เสียงทุ้มต่ำจากปลายสาย
ละล่ำละลักถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง แต่ฮันกิงกลับตีความความเป็นห่วงของผู้เป็นพ่อเป็นอย่างอื่นไป
“เกิงไม่ทำอะไรให้ป๊าต้องเดือดร้อนหรือขายหน้าหรอกครับ ป๊าไม่ต้องห่วงหรอก!”
“ป๊าไม่ได้ระแวง แต่นี่มันก็มืดแล้ว ป๊าเป็นห่วงเกิงนะ” ฮันเต๋อหมิง พ่อของฮันเกิงพยายามอธิบาย
“เกิงกำลังกินข้าวอยู่กับเจ้าของร้านกาแฟ อาหยินกับอาหยางก็อยู่ด้วย ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงเกิงหรอก ห่วงแต่งานของป๊าเถอะ!” พูดจบร่างบางก็ตัดสายทิ้งก่อนจะปิดโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
โจวมี่ลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง ถึงฮันเกิงจะปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับผู้เป็นพ่อ แต่เขารู้ว่าร่างบางเพียงแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจ
ชายหนุ่มร่างสูงต้องการทำให้สถานการณ์ระหว่างฮันเกิงกับพ่อดีขึ้น แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม จังหวะเดียวกันนั้นอาหารที่ร่างบางสั่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟพอดี
ร่างบางลงมือกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็วในตอนแรกเพราะต้องการเอาชนะอีกฝ่ายที่ตราหน้าเขาเอาไว้ว่าเขาต้องกินอาหารพวกนี้คนเดียวไม่หมดแน่ โดยที่มีโจวมี่นั่งรอเฉยๆด้วยความอดทน เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ความเร็วในการกินของร่างบางก็ตกลงเรื่อยๆ
จนในที่สุดเขาก็ต้องยอมวางมีดกับส้อมลงทั้งๆที่ยังเหลืออาหารอีกกว่าครึ่ง
คนน่ารักทำหน้ามุ่ย ยิ่งเห็นคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันกำลังยิ้มอย่างพอใจใบหน้าหวานก็ยิ่งงอง้ำมากขึ้นไปอีก
“ถ้าคุณอิ่มแล้ว ผมขออนุญาตทานต่อนะครับ?” โจวมี่ขออนุญาตอีกฝ่ายก่อนที่จะเลื่อนจานใส่ซี่โครงแกะย่างมาไว้ตรงหน้าของตัวเองแล้วเริ่มลงมือทาน
ฮันเกิงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะกล้ากินของที่เขากินเหลือจริงๆ มันทำให้เขา
รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
“นี่...นายสั่งใหม่เถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง ส่วนของพวกนี้ถ้านายไม่อยากให้มันเสียของ ฉันห่อกลับไปกินต่อที่บ้านก็ได้นะ” ฮันเกิงพูดด้วยท่าทางเหมือนกับเด็กที่สำนึกผิด แต่โจวมี่กลับอมยิ้มแก้มตุ่ยก่อนจะจิ้มเนื้ออีกชิ้นเข้าปากโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”
ร่างบางทำท่าจะเอ่ยปากห้ามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงตั้งหน้าตั้งตากินอาหารที่เหลืออย่างเอร็ดอร่อย เขาก็พูดอะไรไม่ออก
ฮันเกิงได้แต่นั่งมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ถึงสิบห้านาที ภาชนะที่เคยมีอาหารอยู่ก็ว่างลงทั้งหมด
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ” โจวมี่พูดับร่างบางก่อนที่จะเดินตรงไหยังแคชเชียร์หน้าร้าน เขาทำอะไรอยู่ตรงนั้นสักพักแล้วเดินกลับมา
ที่โต๊ะ
“ไปขอผ่อนค่าอาหารมาใช่มั้ยเนี่ย?” ร่างบางพูดเป็นเชิงเยาะเย้ย ถึงจะยังรู้สึกผิดอยู่มากแต่การยอมรับผิดและเอ่ยปากขอโทษนั้น
ไม่ใช่นิสัยของฮันเกิง เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองขอโทษคนอื่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
“ผมจ่ายเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“คะ ใครบอกว่าฉันเป็นห่วงนายกัน?! ฉันก็แค่กลัวว่าตัวเองจะเสียเครดิตไปด้วยต่างหาก!” ร่างบางปฏิเสธเสียงแข็ง ใบหน้าหวาน
ที่แดงซ่านนั้นทำเอาคนมองอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“เอ่อ ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับที่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ แต่ผมว่าคุณน่าจะลองคุยกับพ่อคุณดีๆ มองท่านในแง่ดีบ้าง” น้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เมื่อเขาเห็นว่าร่างบางไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไรจึงพูดต่อ
“พ่อแม่เป็นห่วงลูกทุกคนนั่นแหละครับ มีลูกน่ารักก็ยิ่งห่วง และถ้ามีลูกน่ารักแต่ไม่มีเวลาดูแลใกล้ชิดก็ยิ่งเป็นห่วงเข้าไปกันใหญ่
พ่อของคุณก็น่าจะอยู่ในประเภทสุดท้าย”
คนฟังยังก้มหน้านิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเป็นพิเศษ
“พยายามเข้าใจท่านหน่อยเถอะนะครับ ผมอยากให้คุณมีความสุขมากกว่านี้จริงๆ”
เสียงอบอุ่นกับแววตาอ้อนวอนที่กำลังขอร้องเขาอยู่นั้นทำให้ฮันเกิงไม่สามารถปฏิเสธได้ ตอนนี้เขาได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจ
ของตัวเองที่ดังกึกก้องราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ในหู
ในที่สุด คนหัวแข็งอย่างฮันเกิงก็พยักหน้ารับไปโดยที่ไม่รู้ตัว
To be continued
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
ความคิดเห็น