คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Charpter 18
Charpter 18
ท้องฟ้าสีครามสดใส เสียงนกร้องขับขานบทเพลงแห่งธรรมชาติที่แสนไพเราะ เสียงใบไม้ที่ลู่ไปตามลม พื้นหญ้าอ่อนนุ่มที่น่านอน ความสุข...ที่กำลังจะหายไป
ใบหน้าหวานเงยมองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบนแล้วยิ้มออกมาเหมือนเจอเรื่องอะไรที่สนุกสักอย่าง เขาค่อยๆเอื้อมมือขึ้นไปหมายจะคว้าท้องฟ้าลงมาครอบครอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมันไม่มีทางไปถึง อีกไม่นาน ฉันก็จะไปเป็นก้อนเมฆอยู่เป็นเพื่อนแกแล้วนะ เจ้าท้องฟ้า
“คิดอะไรอยู่”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้เยซองชะงัก เขานึกว่าเป็นซีวอนแต่พอหันไปมองกลับไม่ใช่กลายเป็นฮยอกแจคนที่เขาแอบรักมานาน
“ผม เอ่อ ผม”
เยซองลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วเขยิบออกห่างจากฮยอกแจ เขากำลังจะเดินออกไปจากสวนของโรงเรียนแต่เสียงของฮยอกแจกลับเรียกเอาไว้
“อย่าเพิ่งไปสิ พี่มีอะไรจะพูดด้วย”
เยซองมองไปทางฮยอกแจ เขาลังเลใจที่จะเดินกลับเข้าไปหาแต่เพราะสีหน้าที่ดูทุกข์ของอีกคนทำให้เยซองต้องยอมเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ
“พี่บอกว่าต่อไปนี้เราไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอครับ”
“อืม นั่นมันก็ใช่ แต่พอมาคิดๆดูแล้ว มันคงจะน่าเกลียดน่าดูที่ฉันดันพูดอะไรออกไปแบบนั้น วันนี้ฉันเจอเพื่อนของนายด้วย”
เสียงคนร้องขายขนมปังประจำร้านค้าร้านหนึ่งดังขึ้นข้างพวกเขา ฮยอกแจโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธก่อนที่เด็กสาวสองคนจะทำหน้าบึ้งแล้วเดินกระแทกเท้าจากไป เยซองหันไปมองตามเขาอยากจะซื้อแต่คนขายกลับหายไปไกลแล้ว
“พี่ขอโทษนะที่พูดแบบนั้นกับนาย พี่...ช็อกน่ะ”
เยซองพยายามยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ แต่ที่จริงแล้วเขารู้สึกเจ็บ ความรู้สึกเมื่อวันนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ
“นายควรจะพูดอะไรกับพี่มากกว่านี้ ประมาณว่าจะด่าก็ได้ขอแค่อย่าเอาแต่ยิ้ม พี่ไม่สบายใจเลย”
“เรายังเป็นพี่น้องกันได้ใช่มั๊ยครับ”
เยซองถามทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่ ฮยอกแจชะงักแล้วหันมามองคนที่นั่งเจียมตัวอยู่ข้างๆ มือเล็กกำเข้าหากันแน่นอยู่ที่หน้าตัก
“อ้อ...ได้สิ ก็เราเป็นพี่น้องกันมานานแล้วนี่นา”
เยซองอยากร้องไห้ เป็นพี่น้องกันมานานแล้วอย่างงั้นเหรอ แล้วที่บอกให้เขารอมันหมายถึงอะไร ถ้าเขาไม่มีโรค พี่ฮยอกแจจะรักเขามั๊ย ถ้าเขาไม่อ่อนแอ พี่ฮยอกแจจะสนใจเขาหรือเปล่า
“ฮึก”
เสียงสะอื้นดังออกมาจากริมฝีปากเล็ก ฮยอกแจจ้องมองด้วยความตกใจปนสงสาร มือหนากำลังจะเอื้อมไปดึงอีกคนเข้ามากอดแต่เยซองกลับปัดมือออกไป
“ถ้าพี่จะปลอบผมเพราะสงสารก็ได้โปรดอย่าทำเลยครับ ปล่อยผมเอาไว้แบบนี้ยังดีเสียกว่า”
ฮยอกแจชั่งใจแต่ก็ยอมทำตามที่อีกคนบอก เยซองร้องไห้ออกมามากกว่าเดิมโดยไม่สนใจใคร ความเจ็บที่หัวใจไม่รู้ว่ามาจากความรู้สึกหรือว่าจากโรคที่เป็นกันแน่ทำให้เขาต้องทรุดตัวลงไปนอนกับพื้นหญ้า มือเล็กขยำเสื้อด้านซ้ายบริเวณหัวใจเอาไว้แน่น ฮยอกแจตาโตอย่างตกใจ เขาทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งมองอย่างเก้ๆกังๆ
“แกทำอะไร ไอ้ฮยอกแจ!!!!”
ซีวอนพุ่งปราดเข้ามาหาคนตัวเล็ก เขาจ้องมองฮยอกแจคล้ายอยากจะฉีกร่างของอีกคนเป็นชิ้นๆ ฮยอกแจส่ายหน้าไปมาแล้วมองไปทางเยซอง ไม่ต้องรอให้ใครออกคำสั่งซีวอนก็อุ้มเอาตัวของเยซองที่เริ่มดิ้นทุรนทุรายไปมาขึ้นแนบอกแล้ววิ่งออกไป
เยซอง ได้โปรดอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ...
เตียงคนไข้ถูกเข็นอย่างเร็วไปตามทางเดินเพื่อเข้าห้องฉุกเฉิน ซีวอนเกาะราวเหล็กที่กั้นตัวของเยซองเอาไว้แล้ววิ่งตามไปด้วยจนถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เขาพยายามจะดึงดันเข้าไปแต่กลับถูกนางพยาบาลห้ามเอาไว้ เขาหยุดยืนมองเข้าไปภายในด้วยจิตใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ความเป็นห่วงร่างเล็กก่อขึ้นภายในจิตใจที่ว้าวุ่นไปหมด ทั้งห่วง ทั้งกลัว
“ครับ ผมเป็นเพื่อนของเยซองนะครับ ตอนนี้เยซองอยู่ที่โรงพยาบาล ครับ ผมจะรอนะครับ”
เขาตัดสินใจโทรไปบอกทางบ้านของเยซองก่อนจะวางสายลงไป ไม่แปลกที่เขาจะรู้เบอร์บ้านของเยซองเพราะเขาเคยแอบเอามือถือของเยซองมาเล่นและเมมเบอร์บ้านกับเบอร์มือถือของเยซองเอาไว้หมดแล้ว เขามองไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่ยังไม่เปิดออกมาเสียที
“เยซองเป็นยังไงบ้าง”
เขาหันไปมองหญิงและชายวัยกลางคนที่เป็นพ่อแม่ของเจ้าตัวก่อนจะเงียบถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หมอยังไม่ออกมาเลยครับ”
แม่ของเยซองร้องไห้โฮออกมาด้วยความกลัว กังวล และกดดัน ทำให้พ่อของเยซองต้องโอบตัวผู้เป็นภรรยาเอาไว้แล้วพาไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ซีวอนยืนนิ่งมองพ่อและแม่ของเยซองด้วยความเศร้าใจ เขาเองก็อยากมีครอบครัวแบบนี้บ้าง แต่แล้วความคิดก็ต้องหยุดตัวลงเมื่อหมออีทึกในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมาด้วยใบหน้าที่โชกไปด้วยคราบเหงื่อ
“อาการของเพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“หัวใจเต้นอ่อนแรงครับแต่ตอนนี้เป็นปกติดีแล้ว ผมคิดว่าคนไข้ควรจะอยู่โรงพยาบาลตรวจอาการอีกสักหน่อย ตอนนี้เราย้ายไปที่ห้องพักฟื้นแล้วนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน”
หมออีทึกเดินจากไปด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าที่ควร แม่ของเยซองยิ่งร้องไห้มากกว่าเดิมเมื่อได้ยินอาการของลูกชาย ซีวอนหันไปมองก่อนจะต้องถอนหายใจออกมา
เสียงเครื่องวัดคลื่นหัวใจดังเป็นจังหวะ ประตูห้องปิดลงเบาๆพร้อมด้วยร่างสูงๆของซีวอนที่ก้าวเดินเข้ามา เขาหยุดมองร่างบนเตียงสีขาวที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่ตรงหน้า ตัวของเขาชาไปหมดเมื่อเห็นสายอะไรมากมายที่เขาไม่เคยรู้จักและไม่คิดที่อยากจะรู้จักโยงรยางค์ไปทั่วตัวคนบนเตียง เขาก้าวขาเข้าไปหาอีกคนช้าๆด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
“นาย...กำลังจะไปจริงๆน่ะเหรอ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนพูดออกมาอย่างยากลำบาก ซีวอนใช้หลังมือไล้ไปตามพวงแก้มใสอย่างเบามือ ความรู้สึกในใจมันทุรนทุรายจนเขาทำอะไรไม่ถูก คนตรงหน้ามีใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่อแห้งผาก แก้มที่เคยมีเลือดไหลผ่านจนขึ้นสีชมพูกลับไร้สีเลือดต่างจากที่เคยเป็น เขาค่อยๆนั่งลงข้างๆเตียงของอีกคน
“เยซอง...นายต้องตื่นขึ้นมานะ ฉันยังไม่ได้ใช้นายในการแก้แค้นฮยอกแจเลยนะ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
ซีวอนตะโกนสั่ง เขารู้สึกถึงก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำตาคล้ายกำลังจะไหลทำให้เขาต้องกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่ม่านน้ำตาให้หายไป ซีวอนคนเดิมหายไปไหน คนที่เคยเย็นชา เข้มแข็ง และไม่สนใจใคร คนๆนั้นมันหายไปไหน
นายจำเรื่องแก้แค้นไม่ได้เหรอซีวอน นายต้องทำให้ฮยอกแจเจ็บสิ นายต้องทำให้หมอนั่นเจ็บยิ่งกว่านายสิ นายยังจำมันได้หรือเปล่าซีวอน!!!
ซีวอนทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ มือหนายกขึ้นปิดหน้า สับสนเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจตอนนี้ มันเจ็บปวด ทรมานเหมือนใจจะขาด
แค่เห็นคนตัวเล็กบนเตียงเป็นอะไรเข้าหน่อยนายก็อ่อนแอถึงขนาดนี้เลยเหรอ ซีวอน....
เรียวอุคเก็บของที่ใช้ในการร้องเพลงไปเมื่อครู่ลงกระเป๋า เขาเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกนิ่ง ดวงตาคู่สวยไหววูบลง
เขาเป็นใคร...?
ได้แต่ถามอยู่กับจิตใจตัวเองมาเป็นเวลานานแล้ว ความรู้สึกที่แกล้งทำเป็นเย็นชา แกล้งทำเป็นไม่แคร์ใคร เขาทำไปเพื่ออะไร จะก่อกำแพงที่มันแสนยากลำบากขึ้นมาทำไม
“มองไปก็ไม่เจอความสวยหรอก”
ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าใคร เรียวอุคถอนหายใจออกมาเบาๆ เขายังคงจ้องมองตัวเองที่อยู่ในกระจกด้วยสายตาเลื่อนลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ทงเฮเดินเข้ามาจับไหล่ของอีกคนแล้วนวดเบาๆ
“นายคงจะเมื่อยล่ะสิ เอาแต่ยกไหล่เชิดหน้าอยู่ทั้งวัน”
เรียวอุคดวงตาไหววูบไปครั้งหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเย็นชา เขาเหลือบมองอีกคนผ่านทางกระจกเงาที่สะท้อนภาพของทงเฮกำลังนวดไหล่ให้เขาอยู่
“บางที...นายอาจจะชอบฉันแค่เปลือกนอกก็ได้ ถ้านายได้รู้ว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนยังไงล่ะก็ นายอาจจะเลิกชอบฉันไปเลยก็ได้”
“ใครบอกว่าฉันชอบนายแค่เปลือกนอกล่ะ ฉันน่ะรู้ว่าที่จริงแล้วนายเป็นคนยังไงมากกว่าตัวของนายเองเสียอีก เพราะอะไรรู้มั๊ย”
“...”
“เพราะว่าฉันน่ะแคร์นายและก็สนใจแค่นายคนเดียวยังไงล่ะ ฉันไม่สนหรอกนะว่าใครหรือนายจะคิดว่าตัวของนายเป็นยังไง แต่ฉันก็ยังจะคิดกับนายเหมือนเดิม คือตามจีบต่อไป”
ทงเฮยิ้มทะเล้น เรียวอุคมองด้วยสายตาแบบเดิมแต่จิตใจกลับเปลี่ยนไป เขาปัดมือของทงเฮให้ลงไปจากไหล่ของเขา
“นายเลิกพูดแบบนี้เถอะ ฉันเบื่อ”
“อืม....จะเลิกดีมั๊ยน้า~!”
ทงเฮทำเสียงทะเล้นแล้วถือวิสาสะดึงเรียวอุคเข้ามากอด ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างจากกันไม่ถึงสองเซ็นเท่านั้น
“นี่นาย!!!”
“นายมองกระจกทำไมกันแน่ มองเพื่อดูว่าตัวเองเป็นยังไงน่ะเหรอ แต่นายคงจะคิดผิดแล้วล่ะที่นายไปมองกระจกเงา เพราะมันก็ฉายได้แค่ภาพลักษณ์ภายนอกของนาย มันไม่มีทางสะท้อนเข้าไปถึงจิตใจได้หรอกนะ”
เรียวอุคเงียบ ใบหน้าของทงเฮค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ สมองสั่งให้ถอยหนีแต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ หัวใจเต้นแรงจนเขากลัวว่าอีกคนจะได้ยิน ทำไมร่างกายของเขามันถึงไม่ยอมตอบสนอง
“ฉันชอบนายจริงๆนะ”
ทงเฮพูดจบริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสถึงกัน ทงเฮค่อยๆใช้ลิ้นของตัวเองเลียรอบริมฝีปากอีกคนเพื่อขอเข้าไปเก็บเกี่ยวความหวานภายใน ในตอนแรกเขาคิดว่าคงจะหมดหวังเสียแล้ว แต่ผิดคาด เรียวอุคกลับยอมเผยอริมฝีปากเพื่อให้เขาเข้าไป เมื่อได้โอกาสเขาก็ขอใช้เวลานี้ให้คุ้มค่า เก็บเกี่ยวความหอมหวานภายในจนพอใจ
เยซองค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้ชินแสง เขามองไปรอบๆตัวช้าๆก่อนจะเจอกับร่างสูงร่างหนึ่งที่นอนหลับอยู่บนโซฟา เขาอ้าปากจะเอ่ยเรียกชื่อของอีกคนแต่เสียงกลับเหมือนหายไปหมด ความแสบในลำคอทำให้เขาต้องไอออกมาเบาๆ
“ตื่นแล้วเหรอ เยซอง”
เยซองหันไปมองคนเรียกก่อนจะยิ้มออกมา แม่ของเขาเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น เขามองออกแต่แค่ไม่อยากจะพูดออกไป เขาส่งยิ้มหวานไปให้แม่ของตน
“อื้ม”
รับคำเบาๆพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลเอาไว้ แม่ของเขาเดินไปหยิบแก้วน้ำก่อนจะเทน้ำลงไปจนเกือบเต็มแล้วยื่นให้เยซอง เยซองรับมาแล้วค่อยๆดื่มลงไป
“ผมหลับไปกี่วันครับ”
เขามองคนเป็นแม่ที่เงียบไป ดวงตาของท่านเศร้าลงและไหววูบชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นสดใสดังเดิม เยซองเตรียมใจยอมรับกับเรื่องที่เกิดมานานแล้ว แต่พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้เขาเองก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้
“หนึ่งอาทิตย์เต็มๆเลยจ้ะที่ลูกหลับไป แม่ตกใจมากแค่ไหนที่ลูกยังไม่ฟื้นขึ้นมาลูกรู้หรือเปล่า แม่ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกของแม่ตื่นขึ้นมายิ้มให้แม่อีกครั้ง”
มือที่แสนอ่อนนุ่มลูบหัวของลูกชายคนเดียวของเธออย่างเบาใจและรักใคร่ เธอค่อยๆปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มช้าๆ เธอโผเข้ากอดเยซองด้วยความรักเต็มอก เสียงสะอื้นไห้ของผู้เป็นแม่และลูกชายดังระงมทั่วทั้งห้อง ปลุกให้อีกคนที่อยู่ด้วยตื่นขึ้นมาหรืออาจจะเรียกว่าตื่นนานแล้วแต่ไม่ยอมลืมตาก็อาจจะได้
ซีวอนนอนมองภาพความรักของแม่ลูกที่ไม่มีอะไรมาคั่นกลางได้ น้ำตาที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันให้ใครเห็นอีกแล้วค่อยๆไหลลงมาช้าๆ ดวงตาคมปิดเข้าหากันแน่น มือหนากำหมัดทั้งสองข้างพยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมา แต่ก็ไม่อาจะทำได้ ความสุขที่เคยมีแม่อยู่ข้างกายทำให้เขาไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
แม่ครับ....ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน ผมอยากไปหาแม่....
“เยซอง แม่ขอโทษนะลูก ทั้งๆที่เคยสัญญาเอาไว้แล้วว่าแม่จะไม่ร้องไห้แต่แม่ก็ยังร้องให้ลูกเห็น”
เยซองส่ายหน้าไปมาร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม เขายกมือขึ้นจับมืออุ่นที่โอบอุ้มเขามาตลอดเวลาที่เขาล้ม ดูแลเขามาอย่างดีตลอดเก้าเดือนและจนทุกวันนี้ เขาจ้องมองดวงตาคู่สวยที่มองเขาอย่างอ่อนโยนเสมอ
“ผมรักแม่นะครับ ผมรักแม่เลยไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ แต่ผมรู้ครับว่าเรื่องแบบนี้มันทำใจลำบาก ขอโทษนะครับที่ผมเกิดมาเป็นตัวปัญหา”
คุณนายคิมส่ายหน้ารัวๆให้กับลูกชายแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอใช้มืออีกข้างกุมมือลูกรักเอาไว้
“ไม่ลูก แค่ลูกเกิดมาเป็นลูกของพวกเรานี่มันก็เป็นของขวัญที่พิเศษสำหรับพวกเราแล้ว ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้าได้ประทานมาให้ ลูกคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตองพวกเรา ลูกไม่เคยเป็นตัวปัญหาเลยนะ อย่าพูดอย่างนี้อีกนะลูก”
เยซองพยักหน้าแล้วกัดริมฝีปากเอาไว้ เขาไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็นอีกแล้ว แต่ทำไมร่างกายของเขามันไม่ยอมฟังในสิ่งที่เขาต้องการ
“ผมรักแม่นะครับ ผมรักแม่”
“แม่ก็รักลูกจ้ะ”
- - - - - - - - >
เฮเรียวจูบกันไปแล้ว โว้เย!!!(ดีใจอะไรของมัน=___=^)
แต่ตอนจบนี่แต่งออกมาแล้วแทบร้องไห้ เศร้าเกินกับชีวิตของเย่
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นและกำลังใจครับ^^
ความคิดเห็น