คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ▼ ฝันครั้งที่ -1- △ [COMPLETE]
‘ONCE IN A BLUE MOON’
‘เคียงฝัน’
ฝันครั้งที่ 1
ฝนตก...
ใช่แล้วตอนนี้ฝนกำลังกระหน่ำตกลงราวกับว่าไม่เคยตกมาก่อน
ความอับชื้นและเยือนยะเยือกที่มากับสายฝนทำให้จิตใจของผมในตอนนี้เปล่าเปลี่ยวไม่ใช่น้อย
เม็ดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ผลัดเปลี่ยนแวะเวียนกันมาเกาะบานหน้าต่างใหญ่ที่ผมกำลังนั่งมองมันอยู่
สายตาของผมตอนนี้มันว่างเปล่า
ก็คงเหมือนกับหัวใจของผมในตอนนี้ที่มันก็ว่างเปล่าเช่นกัน
“อืม...” ผมขยับกายไล่ความเมื่อยขบที่กัดกินร่างกายผมอยู่เล็กน้อย และกลับเข้าสู่ทางนั่งเดิม ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว อาจจะซักหนึ่งชั่วโมง.. สามชั่วโมง... หรือนานมากกว่านั้น
“จะตกไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” พึมพำกับตัวเองไม่ดังนัก ผมไม่ได้หลงในเม็ดฝนถึงขั้นต้องมานั่งมองเป็นเวลาหลายชั่วโมงขนาดนั้น เพียงแต่ เม็ดฝนพวกนี้เป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของผมในคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ ความอ้างว้างที่สะสมมานานค่อยๆกัดกินหัวใจผมทีละน้อยทีละน้อย จนตอนนี้ผมแทบจะทนกับมันไม่ไหว
เหงา...
ความรู้สึกเดี่ยวที่กำลังวิ่งพล่านไปทั่วหัวใจของผมในตอนนี้
ความเจ็บปวดในความรักครั้งก่อน ที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์เอาไว้ลึกจนเกินเยียวยา ในหัวของผมยังมีแต่เรื่องของ
‘เขา’ วนเวียนอยู่ทุกวินาที
ถึงแม้ตอนนี้เราจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกันแล้วก็ตาม
แต่ไม่มีครั้งตอนไหนที่ผมจะลบเขาออกไปจากใจได้เสียที
หรือว่าผมยังเข้มแข็งไม่พอกันนะ....
“ฮึก...ฮึก..” ผมพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ให้มากที่สุด สวนทางกับน้ำใสที่ไหลออกมาจากตาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่ต้องการที่จะอ่อนแอเลยสักนิด ผมอยากเข็มแข็ง เป็นคนใหม่ อยากทิ้งทุกอย่างไว้เป็นเพียงอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่กับใครสัก แต่ผมก็ไม่เคยทำมันได้เลยสักครั้ง ทุกๆครั้งที่ผมต้องอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ความอ้างว้าง และความเจ็บปวดก็พร้อมที่จะเข้ามาทำร้ายผมเสมอ
“พาย...พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ” ประโยคเพียงประโยคเดียวที่เป็นเหมือนฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตากลมเบิกโตขึ้นอย่างตกใจ
“พี่ล้อผมเล่นใช่มั๊ย..” ผมถามเสียงสั่นเครือ นี่ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า ผมกำลังเข้าข้างตัวเองว่าผมฝันไป หากแต่หยาดน้ำตาอุ่นที่ค่อยๆไหลรินอาบแก้มนั้นเป็นคำตอบได้ดีว่าสิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้นั้นไม่ใช่ความฝัน
“พี่...พี่..... พี่ขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะ” ถ้อยคำที่แสนโหดร้ายที่ออกมาจากปากของคนที่ผมรักมากที่สุด ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง เหมือนกับโลกใบนี้ที่จู่ๆก็หยุดหมุน สิ่งที่ผมได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงจะแทบจะหลุดออกมาจากอกของผม และน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ผมแสนจะหลงรักของ ‘พี่ฟ้า’ ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผม ผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด
“.......”
“พี่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
พี่ไม่มีข้อแก้ตัวอะไร พี่มันเลวเอง พี่ขอโทษ พาย.....”
“ทำไม...”
เพียงแค่การพูดคำไม่กี่คำก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมในตอนนี้
เรี่ยวแรงของผมมันหายไปหมด
“พี่....พี่ทำ ‘เพื่อน’ ท้อง” สิ้นเสียงของพี่ฟ้าร่างกายของผมก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นปูนแข็งอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นมันเอาไว้ตอนนี้กลับทะลักออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ พี่ฟ้ากับพี่เพื่อนงั้นหรือ พี่เพื่อนเป็นเพื่อนสนิทของพี่ฟ้า เท่าที่ผมคบกับพี่ฟ้ามา พี่เพื่อนดูจะเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของพี่ฟ้าด้วย พี่ฟ้าค่อยๆทรุดตัวลงมานั่งอยู่ตรงหน้าผม สีหน้าพี่ฟ้าเองก็แย่พอๆกันกับผม ผมไม่เข้าใจ ทำไมกัน ทำไม
“พี่เพื่อน?...
พี่.. พี่โกหกใช่มั๊ย!
พี่ตอบผมสิ พี่โกหกใช่มั๊ย!!” ผมโวยวายราวกับคนไร้สติ
สองแขนที่อ่อนแรงเหนี่ยวรั้งร่างแกร่งของพี่ฟ้าแล้วเขย่าร่างของพี่ฟ้าอย่างไม่คิดเหน็ดเหนื่อย
“พี่พูดสิ!! พูดสิ ทำไมพี่ไม่พูด เรื่องมันเป็นอย่างงี้ได้ยังไง
พี่ฟ้า พี่ฟ้า...” ผมเงยหน้าสบตาพี่ฟ้าอย่างพยายามค้นหาคำตอบ
ดวงตาคมคู่สวยที่ผมหลงใหลในตอนนี้สะท้อนแววโศกเศร้าไม่ต่างกันจากผม
สายตาของพี่ฟ้าที่มองผมยังคงอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าพี่ฟ้ายังรักผมอยู่
“มันเป็นความผิดพลาดของพี่
พี่เป็นลูกผู้ชาย พี่ต้องรับผิดชอบ แต่พี่อยากบอกให้พายรู้ไว้
ไม่มีวันไหนที่พี่ไม่รักพาย ไม่เคยเลยแม้สักนาทีเดียว
พี่อยากให้พายรู้ว่าคนที่รักตลอดมาคือพาย
พี่ก็เจ็บปวดไม่น้อยกว่าพายที่ต้องทำแบบนี้ แต่พี่ไม่สามารถเลือกพายได้จริงๆ
พี่ไม่ขออะไรจากพายเลย เพราะพี่รู้ว่าพี่มันเลว แต่สิ่งเดียวที่พี่อยากขอคือ
พี่อยากขอให้พายมีความสุข อยากให้ชีวิตของพายที่ไม่มีพี่มีแต่ความสุข
พี่ไม่อยากเห็นพายร้องไห้ เพราะฉะนั้น ตัดใจเถอะนะพาย เลิกรักพี่ พี่ขอร้อง”
พี่ฟ้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือไม่ต่างจากผม
อ้อมแขนแข็งแกร่งที่เคยกกกอดผมมานับครั้งไม่ถ้วนรวบร่างของผมให้จมสู่อ้อมกอดอุ่น
พี่ฟ้ากอดผมแน่นมาก ราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้กอดกัน
แปะ...แปะ....
เม็ดฝนค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากฝนที่ล่ะน้อย
ราวกับว่าเทวดาก็ร้องไห้ให้กับพวกเรา
ผมยกมือที่สั่นเทาของตัวเองกอดตอบพี่ฟ้าเช่นกัน ผมพยายามจะกอดพี่ฟ้าให้แน่นที่สุด
พยายามที่จะสัมผัสไออุ่นสุดท้ายจากร่างกายของคนที่ผมรักที่สุด
ผมสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำอุ่นๆที่หยดลงบนไหล่ของผม แน่นอนว่ามันไม่ใช่น้ำฝนแน่
พี่ฟ้าร้องไห้....
“ฮึก...พาย...พายไม่รู้....พายต้องทำยังไงพี่ฟ้า ต้องทำอะไรพี่ฟ้าถึงจะไม่ทิ้งพายไป ฮึก... พาย...พะ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดีริมฝีปากบางที่แสนคุ้นเคยก็ทาบทับลงมากับริมฝีปากของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความอบอุ่นของมันแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ สายฝนยังคงกระหน่ำตกอย่างบ้าคลั่ง หากแต่เราทั้งสองคนไม่มีฝ่ายใดยอมละริมฝีปากออกจากกันเลย เพราะนี่คือสัมผัสสุดท้าย และครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้จูบกับคนที่ผมรักในฐานะคนรัก น้ำตาของผมยังคงไหลรินไม่ขาดสายเช่นเดียวกับสายฝน รสชาติเค็มปร่าจากหยาดน้ำตาที่ติดอยู่ปลายลิ้นไม่ได้ทำให้สัมผัสในครั้งนี้เบาบางลงแม้แต่น้อย เราจูบกันอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีพี่ฟ้าก็เป็นคนผละผมออกมาจากอ้อมกอดของเขา โลกทั้งใบของผมแทบจะสลายลงมาในทันที ผมรู้ว่าผมต้องปล่อยเขาไป ผมเข้าใจ และผมยอมรับการตัดสินใจของเขา แต่....
การที่ต้องเลิกกันทั้งที่ความรักยังคงอยู่เติมหัวใจ
มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน
“พาย ดูแลตัวเองดีดีนะ พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ แต่พี่ต้องไปแล้ว พี่ระ...”
ครืดดดด ครืดดดดด
จู่ๆโทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะกระจกตัวย่อมก็สั่นขึ้นมา
ผมหลุดจากภวังค์ทั้งหมดแล้วกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เอื้อมมือไปหยิบเจ้าโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นอย่างต่อเนื่องในขณะที่มืออีกข้างปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เหลือบมองดูชื่อของคนที่โทรเข้ามาเล็กน้อยก่อนที่จะกดรับโทรศัพท์
“ว่ายังไงไม้” ผมว่าเสียงเรียบ
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะโทรมาเช็คสภาพว่ามึงยังอยู่ดีหรือเปล่า” เสียงปลายสายว่ามาอย่างกวนอารมณ์
“กูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะที่จะกลัวฟ้ากลัวฝนน่ะ” ผมเอ่ยพลางกลั้วขำในลำคอกับความกวนประสาทของเพื่อนสนิท
“ไม่กลัว แต่ทุกครั้งกูก็เห็นมึงร้องไห้” จากน้ำเสียงกวนประสาทที่เคยได้ยินอยู่เป็นประจำกลายเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยให้กับความพยายามของเพื่อนคนนี้ ใช่... ไม้ชอบผม ผมรู้มานานแล้ว ไม้ คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เรารู้จักกันจากการรับน้องในคณะที่ผมไม่ค่อยอยากจะเข้าร่วมเท่าไหร่ แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอจากคนตัวสูงที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานให้ไปเข้าทุกครั้งไป ไม้เป็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ของผมสมกับชื่อของเขา ในวันที่แสงแดดแผดเผาจนร่างกายแทบจะมอดไหม้เขาจะเป็นร่มไม้ให้ความร่มเย็นกับผม วันที่ฝนฟ้ากระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ปราณี เขาจะเป็นต้นไม้ที่คอยบังฝนให้กับผม ในวันที่ผมรู้สึกขาดอากาศหายใจ เขาจะเห็นต้นไม้ที่ให้อากาศบริสุทธิ์กับผม ผมไม่รู้ว่าเราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็ขาดไม้ไม่ได้เสียแล้ว หากแต่ผมเองก็ไม่สามารถรักไม้ได้เช่นกัน เพราะความรักของผมมันมีไว้ให้สำหรับ ‘เขา’ เพียงคนเดียว
“ทำเป็นรู้ดี” ผมแค่นหัวเราะใส่คนปลายสายพร้อมกับยิ้มเยาะให้กับตัวเองเบาๆ ไม้จะเป็นห่วงผมเสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดกับเขาตลอดมา
“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของมึงกูรู้ดีทุกอย่าง เอาล่ะ! ที่กูโทรมาแค่จะบอกมึงว่าหยุดร้องไห้ได้แล้ว อาบน้ำแล้วเข้านอนซะ พรุ่งนี้กูจะไปรับ”
“เป็นพ่อกูเหรอถึงได้สั่งมากขนาดนี้” ผมแกล้งหยอกไม้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้น
“กูไม่ใช่พ่อมึงหรอก แต่กูเป็นเพื่อน‘รัก’ของมึงต่างหาก” ไม่รู้ว่าไม้เผลอหรือจงใจ ที่เน้นคำว่ารักเสียจนเสียงดังกว่าคำอื่นๆ ผมลอบถอนหายใจเบาๆกับความพยายามของเพื่อนสนิท
“เออๆ เพื่อนรักก็เพื่อนรัก พรุ่งนี้อย่ามารับกูสายก็แล้วกัน” แต่ถึงอย่างไรแล้วผมก็ไม่เคยตัดขาดไม้ได้เสียที ไม้หัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับคำว่าเพื่อนรักของผม
“แน่นอนครับ กูไม่เคยทิ้งให้มึงต้องรอ”
“กูจะคอยดู”
“งั้นแค่นี้นะ ฝันดีนะพาย”
“อื้ม ฝันดีเหมือนกัน” ผมวางสายจากไม้แล้วเอาโทรศัพท์กลับไปวางไว้ที่เดิม ทว่าปลายหางตาเหลือบไปเห็นเหรียญสีทองขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบสักหน่อย บนเหรียญปรากฏลวดลายที่แสนงดงามทว่าดูแปลกตาราวกับมาจากคนล่ะโลก ผมเดินไปหยิบเหรียญนั้นที่ว่างอยู่บนหัวนอนมาสำรวจอีกสักรอบพลางทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยอ่อน
“สวยจัง
คงจะมีราคามากน่าดู” พึมพำออกมาเบาๆ เหรียญนี่ผมเพิ่งเก็บได้มาวันนี้เอง
เมื่อช่วงเย็นที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะข้างมหาลัย
เจ้าเหรียญนี่ก็ตกใส่หัวผมอย่างจัง
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันผมถึงได้เก็บเหรียญหน้าตาประหลาดนี่กลับมาทั้งๆที่ผมควรจะทิ้งมันไว้ตรงนั้น
“ช่างเถอะ นายควรนอนนะพระพาย นอนได้แล้ว” ผมวางเหรียญนั้นลงที่เดิมพร้อมพูดบอกกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับเอื้อมเอาเหรียญประหลาดนี้ไปวางไว้ที่เดิมของมัน ก่อนจะปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน โดยที่ไม่รู้เลยว่า เหรียญประหลาดที่เผลอเก็บมาจะทำให้ผมได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด.....
ที่นี่ที่ไหนกัน...
ความทรงจำสุดท้ายของผมคือตัวผมที่ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆที่ช่างน่าเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
แต่ตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ผมหันไปมองรอบข้างอย่างสำรวจด้วยความประหลาดใจ
“ความฝัน.... อย่างงั้นหรือ” เสียงผมแห้งผากราวกับคนที่ขาดน้ำหลายวัน ช่างน่าประหลาด น่าประหลาดเสียจริงๆ
“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่บ้างไหมครับ” ผมตะโกนออกไปสุดเสียงท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีเสียงตอบรับใดๆตอบกลับมาทำเอาผมใจเสียไปเล็กน้อย ขาอันสั่นเทาของผมค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้าช้าๆอย่างหวาดระแวง ผมไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วผมโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ทุกอย่างดูน่าสับสนไปเสียหมด
“มีคนอยู่ไหมครับ มีใครได้ยินเสียงผมไหม” ผมยังคงตะโกนต่อไปอย่างไม่ลดละ หวังไว้ในใจว่าจะมีใครสักคนที่ตอบรับผมกลับมาบ้าง แต่ทว่าก็เหมือนเดิมไม่มีเสียงตอบรับใดๆตอบกลับมาเลย
ฟึ่บ.. ฟึ่บ..
เสียงประหลาดที่น่าจะมาจากทิวป่าที่อยู่ห่างไปไกลลิบ
น่าแปลกที่ทั้งๆชายป่านั้นไกลจากตรงที่ผมยืนค่อนข้างมาก
แต่ผมกลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเสียดสีกันของไม้อย่างชัดเจน
“นั้นใครน่ะ คุณได้ยินผมใช่ไหม” เสียงผมเริ่มสั่นเครือ พอๆกับหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลองชุด ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจผมที่ละน้อย ทั้งๆที่ปกติผมไม่ใช่คนขี้กลัว แต่ในตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน ผมอยู่ในฝันของตัวเองจริงหรือเปล่า
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงประหลาดนั้นดังขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของผม ผมรีบหันไปมองอย่างหวาดกลัว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังของผม ผมรีบหันกลับไปมองอย่าตกใจแต่ทว่าตรงหน้าผมตอนนี้กลับว่างเปล่า หัวใจผมเต้นแรงจนผมแทบจะบ้า ผมกลัวมากลัวจนผมเองเริ่มจะรับไม่ไหว นี่ผมกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่
“ท่านเป็นใครกัน เข้ามาในสวนแห่งนี้ท่านประสงค์สิ่งใด” เสียงทุ่มต่ำดังอยู่ข้างหลังผม ลมหายใจร้อนเป่ารดอยู่ที่ต้นคอของผม ทำให้ผมรู้เลยเข้าอยู่ใกล้กับผมมากขนาดไหน ผมกำลังจะหันกลับไปมองให้เต็มตาว่าที่อยู่ด้านหลังผมเขาเป็นใครกันแน่
“อย่าขยับ! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าท่านเข้ามาที่นี่ทำไม” ผมชะงักในทันทีไม่ใช่เพราะน้ำเสียงที่น่าเกรงขามนั้นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าอาวุธแหลมคมที่ชายแปลกหน้าจ่อไว้ที่ตรงคอผมต่างหาก ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นคมมีดนั้นสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ ถ้าเขากดแรงลงมามากกว่านี่อีกนิดคงปลิดลมหายใจของผมได้ไม่ยาก
“ผมชื่อพระพาย ส่วนที่นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเข้ามาได้อย่างไร ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มันคือที่ไหน” สิ้นคำของผมชายแปลกหน้าก็ค่อยๆลดมีดสั้นนั้นลง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ความกลัวที่มีก่อนหน้านี้ของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะคนข้างหลังผมอย่างงั้นหรือ
“คำพูดคำจาช่างแปลกหู ท่านมาจากเมืองใดกัน” เขาพูดด้วยคำพูดที่เหมือนกับหลุดมาจากในละครย้อนยุค
“ผมน่ะพูดปกติ คุณนั้นแหละที่แปลก” ผมหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มนิรนาม แต่แล้วก็เหมือนผมโดนมนต์สะกด เรือนผมสีดำสนิทล้อมรอบใบหน้าคมได้รูป ดวงตาคมเรียวที่มาพร้อมกับนัยน์ตาสีรัตติกาลแสนดุดัน จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับปากริมฝีปากบางที่ติดไปทางซีดนิดๆ และส่วนสูงที่ตัวผมเองนั้นเทียบไม่ติด เกือบถึงร้อยเก้าสิบน่าจะได้ บวกกับการแต่งตัวที่ดูผิดแปลกไปจากสมัยนิยม ชุดดูคล้ายๆกับอัศวินในการ์ตูนที่ผมเคยดู เสื้อแขนยาวคอตั้งสีดำสนิทที่ปักดิ้นลวดลายสีทองดูสง่างามพร้อมกับกางเกงสเลกสีขาวตัดกับสีเสื้อและเรือนผม ด้านข้างก็มีดาบเล่มยาวที่อยู่ในฝักสีดำสนิท ดูดีมาก เมื่อทุกอย่างมารวมกันบนตัวเขาผมยอมรับเลยจริงๆว่าเขาเป็นคนที่ดูดีมากจริงๆ
“...ท่าน....ท่าน! ได้ยินข้าหรือไม่ ท่าน”
น้ำเสียงทุ้มดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์
และหันมาสนใจกับคนตรงหน้าว่าเขานั้นเป็นใครกันแน่
“เอ่อ.... เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”
“ข้าถามว่า ท่านเข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างไร”
“ผม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกะ..” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคดี จู่ๆก็มีแสงประหลาดสาดออกมาจากกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งของผม ผมล้วงมือเข้าไปกระเป๋าข้างนั้นด้วยความสงสัย คนตรงหน้าผมเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อผมหยิบมันออกมาคนตรงหน้าผมก็เบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองอย่างงงๆ มันมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เหรียญน่าตาประหลาดที่ผมเพิ่งเก็บมาวันนี้
“ท่าน....ท่านคือผู้ถูกรับเลือกงั้นหรือ
ข้าต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินท่านไปเมื่อสักครู่” จู่ๆคนตรงหน้าผมก็คุกเข่าลง
“คุณลุกขึ้นเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว”
“ท่านคือผู้ถูกรับเลือกจากองค์ราชา” ร่างสูงไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับผมเพียงเท่านั้น
“ผู้ถูกรับเลือก? เลือกไปทำอะไร” ผมงงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน
“ถูกรับเลือกให้...สมรสกับอัศวินอันดับหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้!!”
ความคิดเห็น