ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ▼ oncә in a blue moon | เคียงฝัน △

    ลำดับตอนที่ #1 : ▼ ฝันครั้งที่ -1- △ [COMPLETE]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 23
      0
      13 ม.ค. 59





    ‘ONCE IN A BLUE MOON’

    เคียงฝัน



    ฝันครั้งที่ 1

     

                        ฝนตก...

                    ใช่แล้วตอนนี้ฝนกำลังกระหน่ำตกลงราวกับว่าไม่เคยตกมาก่อน ความอับชื้นและเยือนยะเยือกที่มากับสายฝนทำให้จิตใจของผมในตอนนี้เปล่าเปลี่ยวไม่ใช่น้อย เม็ดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ผลัดเปลี่ยนแวะเวียนกันมาเกาะบานหน้าต่างใหญ่ที่ผมกำลังนั่งมองมันอยู่ สายตาของผมตอนนี้มันว่างเปล่า ก็คงเหมือนกับหัวใจของผมในตอนนี้ที่มันก็ว่างเปล่าเช่นกัน

                     

                      “อืม...” ผมขยับกายไล่ความเมื่อยขบที่กัดกินร่างกายผมอยู่เล็กน้อย และกลับเข้าสู่ทางนั่งเดิม ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้ว อาจจะซักหนึ่งชั่วโมง.. สามชั่วโมง... หรือนานมากกว่านั้น

                      

                      “จะตกไปถึงเมื่อไหร่กันนะ” พึมพำกับตัวเองไม่ดังนัก ผมไม่ได้หลงในเม็ดฝนถึงขั้นต้องมานั่งมองเป็นเวลาหลายชั่วโมงขนาดนั้น เพียงแต่ เม็ดฝนพวกนี้เป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของผมในคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ ความอ้างว้างที่สะสมมานานค่อยๆกัดกินหัวใจผมทีละน้อยทีละน้อย จนตอนนี้ผมแทบจะทนกับมันไม่ไหว

                   

                      เหงา...

                    ความรู้สึกเดี่ยวที่กำลังวิ่งพล่านไปทั่วหัวใจของผมในตอนนี้ ความเจ็บปวดในความรักครั้งก่อน ที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์เอาไว้ลึกจนเกินเยียวยา ในหัวของผมยังมีแต่เรื่องของ เขาวนเวียนอยู่ทุกวินาที ถึงแม้ตอนนี้เราจะกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกันแล้วก็ตาม แต่ไม่มีครั้งตอนไหนที่ผมจะลบเขาออกไปจากใจได้เสียที หรือว่าผมยังเข้มแข็งไม่พอกันนะ....

                    

                    “ฮึก...ฮึก..” ผมพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ให้มากที่สุด สวนทางกับน้ำใสที่ไหลออกมาจากตาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่ต้องการที่จะอ่อนแอเลยสักนิด ผมอยากเข็มแข็ง เป็นคนใหม่ อยากทิ้งทุกอย่างไว้เป็นเพียงอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่กับใครสัก แต่ผมก็ไม่เคยทำมันได้เลยสักครั้ง ทุกๆครั้งที่ผมต้องอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ความอ้างว้าง และความเจ็บปวดก็พร้อมที่จะเข้ามาทำร้ายผมเสมอ

                    




                   “พาย...พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ” ประโยคเพียงประโยคเดียวที่เป็นเหมือนฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตากลมเบิกโตขึ้นอย่างตกใจ

                   

                   “พี่ล้อผมเล่นใช่มั๊ย..”  ผมถามเสียงสั่นเครือ นี่ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า ผมกำลังเข้าข้างตัวเองว่าผมฝันไป หากแต่หยาดน้ำตาอุ่นที่ค่อยๆไหลรินอาบแก้มนั้นเป็นคำตอบได้ดีว่าสิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้นั้นไม่ใช่ความฝัน

                    

                    “พี่...พี่..... พี่ขอโทษจริงๆ แต่เราเลิกกันเถอะ” ถ้อยคำที่แสนโหดร้ายที่ออกมาจากปากของคนที่ผมรักมากที่สุด ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง เหมือนกับโลกใบนี้ที่จู่ๆก็หยุดหมุน สิ่งที่ผมได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแรงจะแทบจะหลุดออกมาจากอกของผม และน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ผมแสนจะหลงรักของ พี่ฟ้าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนผม ผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด

                    

                     “.......”

                    

                    “พี่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง พี่ไม่มีข้อแก้ตัวอะไร พี่มันเลวเอง พี่ขอโทษ พาย.....”

                    

                    “ทำไม...” เพียงแค่การพูดคำไม่กี่คำก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมในตอนนี้ เรี่ยวแรงของผมมันหายไปหมด

                    

                     “พี่....พี่ทำเพื่อนท้อง” สิ้นเสียงของพี่ฟ้าร่างกายของผมก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นปูนแข็งอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นมันเอาไว้ตอนนี้กลับทะลักออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ พี่ฟ้ากับพี่เพื่อนงั้นหรือ พี่เพื่อนเป็นเพื่อนสนิทของพี่ฟ้า เท่าที่ผมคบกับพี่ฟ้ามา พี่เพื่อนดูจะเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของพี่ฟ้าด้วย พี่ฟ้าค่อยๆทรุดตัวลงมานั่งอยู่ตรงหน้าผม สีหน้าพี่ฟ้าเองก็แย่พอๆกันกับผม ผมไม่เข้าใจ ทำไมกัน ทำไม

                    

                     “พี่เพื่อน?... พี่.. พี่โกหกใช่มั๊ย! พี่ตอบผมสิ พี่โกหกใช่มั๊ย!!” ผมโวยวายราวกับคนไร้สติ สองแขนที่อ่อนแรงเหนี่ยวรั้งร่างแกร่งของพี่ฟ้าแล้วเขย่าร่างของพี่ฟ้าอย่างไม่คิดเหน็ดเหนื่อย

                    

                      “พี่พูดสิ!! พูดสิ ทำไมพี่ไม่พูด เรื่องมันเป็นอย่างงี้ได้ยังไง พี่ฟ้า พี่ฟ้า...” ผมเงยหน้าสบตาพี่ฟ้าอย่างพยายามค้นหาคำตอบ ดวงตาคมคู่สวยที่ผมหลงใหลในตอนนี้สะท้อนแววโศกเศร้าไม่ต่างกันจากผม สายตาของพี่ฟ้าที่มองผมยังคงอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าพี่ฟ้ายังรักผมอยู่

                    

                       “มันเป็นความผิดพลาดของพี่ พี่เป็นลูกผู้ชาย พี่ต้องรับผิดชอบ แต่พี่อยากบอกให้พายรู้ไว้ ไม่มีวันไหนที่พี่ไม่รักพาย ไม่เคยเลยแม้สักนาทีเดียว พี่อยากให้พายรู้ว่าคนที่รักตลอดมาคือพาย พี่ก็เจ็บปวดไม่น้อยกว่าพายที่ต้องทำแบบนี้ แต่พี่ไม่สามารถเลือกพายได้จริงๆ พี่ไม่ขออะไรจากพายเลย เพราะพี่รู้ว่าพี่มันเลว แต่สิ่งเดียวที่พี่อยากขอคือ พี่อยากขอให้พายมีความสุข อยากให้ชีวิตของพายที่ไม่มีพี่มีแต่ความสุข พี่ไม่อยากเห็นพายร้องไห้ เพราะฉะนั้น ตัดใจเถอะนะพาย เลิกรักพี่ พี่ขอร้อง” พี่ฟ้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือไม่ต่างจากผม อ้อมแขนแข็งแกร่งที่เคยกกกอดผมมานับครั้งไม่ถ้วนรวบร่างของผมให้จมสู่อ้อมกอดอุ่น พี่ฟ้ากอดผมแน่นมาก ราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้กอดกัน


                   

                        แปะ...แปะ....

                    เม็ดฝนค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากฝนที่ล่ะน้อย ราวกับว่าเทวดาก็ร้องไห้ให้กับพวกเรา ผมยกมือที่สั่นเทาของตัวเองกอดตอบพี่ฟ้าเช่นกัน ผมพยายามจะกอดพี่ฟ้าให้แน่นที่สุด พยายามที่จะสัมผัสไออุ่นสุดท้ายจากร่างกายของคนที่ผมรักที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำอุ่นๆที่หยดลงบนไหล่ของผม แน่นอนว่ามันไม่ใช่น้ำฝนแน่ พี่ฟ้าร้องไห้....

                    

                     “ฮึก...พาย...พายไม่รู้....พายต้องทำยังไงพี่ฟ้า ต้องทำอะไรพี่ฟ้าถึงจะไม่ทิ้งพายไป ฮึก... พาย...พะ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดีริมฝีปากบางที่แสนคุ้นเคยก็ทาบทับลงมากับริมฝีปากของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ความอบอุ่นของมันแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ สายฝนยังคงกระหน่ำตกอย่างบ้าคลั่ง หากแต่เราทั้งสองคนไม่มีฝ่ายใดยอมละริมฝีปากออกจากกันเลย เพราะนี่คือสัมผัสสุดท้าย และครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้จูบกับคนที่ผมรักในฐานะคนรัก น้ำตาของผมยังคงไหลรินไม่ขาดสายเช่นเดียวกับสายฝน รสชาติเค็มปร่าจากหยาดน้ำตาที่ติดอยู่ปลายลิ้นไม่ได้ทำให้สัมผัสในครั้งนี้เบาบางลงแม้แต่น้อย เราจูบกันอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีพี่ฟ้าก็เป็นคนผละผมออกมาจากอ้อมกอดของเขา โลกทั้งใบของผมแทบจะสลายลงมาในทันที ผมรู้ว่าผมต้องปล่อยเขาไป ผมเข้าใจ และผมยอมรับการตัดสินใจของเขา แต่....  



                     การที่ต้องเลิกกันทั้งที่ความรักยังคงอยู่เติมหัวใจ มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน

             

           

                   “พาย ดูแลตัวเองดีดีนะ พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ แต่พี่ต้องไปแล้ว พี่ระ...”

     



     

                    ครืดดดด  ครืดดดดด

                    จู่ๆโทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะกระจกตัวย่อมก็สั่นขึ้นมา ผมหลุดจากภวังค์ทั้งหมดแล้วกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เอื้อมมือไปหยิบเจ้าโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นอย่างต่อเนื่องในขณะที่มืออีกข้างปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหลือบมองดูชื่อของคนที่โทรเข้ามาเล็กน้อยก่อนที่จะกดรับโทรศัพท์

                    

                    “ว่ายังไงไม้”  ผมว่าเสียงเรียบ

                    

                “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่จะโทรมาเช็คสภาพว่ามึงยังอยู่ดีหรือเปล่า” เสียงปลายสายว่ามาอย่างกวนอารมณ์

                    

                “กูไม่ใช่เด็กๆแล้วนะที่จะกลัวฟ้ากลัวฝนน่ะ” ผมเอ่ยพลางกลั้วขำในลำคอกับความกวนประสาทของเพื่อนสนิท

                    

                “ไม่กลัว แต่ทุกครั้งกูก็เห็นมึงร้องไห้” จากน้ำเสียงกวนประสาทที่เคยได้ยินอยู่เป็นประจำกลายเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยให้กับความพยายามของเพื่อนคนนี้ ใช่... ไม้ชอบผม ผมรู้มานานแล้ว ไม้ คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เรารู้จักกันจากการรับน้องในคณะที่ผมไม่ค่อยอยากจะเข้าร่วมเท่าไหร่ แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอจากคนตัวสูงที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานให้ไปเข้าทุกครั้งไป ไม้เป็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ของผมสมกับชื่อของเขา ในวันที่แสงแดดแผดเผาจนร่างกายแทบจะมอดไหม้เขาจะเป็นร่มไม้ให้ความร่มเย็นกับผม วันที่ฝนฟ้ากระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ปราณี เขาจะเป็นต้นไม้ที่คอยบังฝนให้กับผม ในวันที่ผมรู้สึกขาดอากาศหายใจ เขาจะเห็นต้นไม้ที่ให้อากาศบริสุทธิ์กับผม ผมไม่รู้ว่าเราสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็ขาดไม้ไม่ได้เสียแล้ว หากแต่ผมเองก็ไม่สามารถรักไม้ได้เช่นกัน เพราะความรักของผมมันมีไว้ให้สำหรับ เขาเพียงคนเดียว

                    

                “ทำเป็นรู้ดี” ผมแค่นหัวเราะใส่คนปลายสายพร้อมกับยิ้มเยาะให้กับตัวเองเบาๆ ไม้จะเป็นห่วงผมเสมอไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดกับเขาตลอดมา

                    

                “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของมึงกูรู้ดีทุกอย่าง เอาล่ะ! ที่กูโทรมาแค่จะบอกมึงว่าหยุดร้องไห้ได้แล้ว อาบน้ำแล้วเข้านอนซะ พรุ่งนี้กูจะไปรับ”

                    

                “เป็นพ่อกูเหรอถึงได้สั่งมากขนาดนี้” ผมแกล้งหยอกไม้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้น

                    

                “กูไม่ใช่พ่อมึงหรอก แต่กูเป็นเพื่อนรักของมึงต่างหาก” ไม่รู้ว่าไม้เผลอหรือจงใจ ที่เน้นคำว่ารักเสียจนเสียงดังกว่าคำอื่นๆ ผมลอบถอนหายใจเบาๆกับความพยายามของเพื่อนสนิท

                    

                “เออๆ เพื่อนรักก็เพื่อนรัก พรุ่งนี้อย่ามารับกูสายก็แล้วกัน” แต่ถึงอย่างไรแล้วผมก็ไม่เคยตัดขาดไม้ได้เสียที ไม้หัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับคำว่าเพื่อนรักของผม

                    

                “แน่นอนครับ กูไม่เคยทิ้งให้มึงต้องรอ”

                    

                “กูจะคอยดู”

                    

                “งั้นแค่นี้นะ ฝันดีนะพาย”

                    

                “อื้ม ฝันดีเหมือนกัน”  ผมวางสายจากไม้แล้วเอาโทรศัพท์กลับไปวางไว้ที่เดิม ทว่าปลายหางตาเหลือบไปเห็นเหรียญสีทองขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบสักหน่อย บนเหรียญปรากฏลวดลายที่แสนงดงามทว่าดูแปลกตาราวกับมาจากคนล่ะโลก ผมเดินไปหยิบเหรียญนั้นที่ว่างอยู่บนหัวนอนมาสำรวจอีกสักรอบพลางทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยอ่อน

                    

              “สวยจัง คงจะมีราคามากน่าดู” พึมพำออกมาเบาๆ เหรียญนี่ผมเพิ่งเก็บได้มาวันนี้เอง เมื่อช่วงเย็นที่ผมกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะข้างมหาลัย เจ้าเหรียญนี่ก็ตกใส่หัวผมอย่างจัง ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันผมถึงได้เก็บเหรียญหน้าตาประหลาดนี่กลับมาทั้งๆที่ผมควรจะทิ้งมันไว้ตรงนั้น

                   

                “ช่างเถอะ นายควรนอนนะพระพาย นอนได้แล้ว” ผมวางเหรียญนั้นลงที่เดิมพร้อมพูดบอกกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับเอื้อมเอาเหรียญประหลาดนี้ไปวางไว้ที่เดิมของมัน ก่อนจะปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอน โดยที่ไม่รู้เลยว่า เหรียญประหลาดที่เผลอเก็บมาจะทำให้ผมได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด.....

     

     




                    ที่นี่ที่ไหนกัน...

                    ความทรงจำสุดท้ายของผมคือตัวผมที่ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆที่ช่างน่าเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งกว้าง  ผมหันไปมองรอบข้างอย่างสำรวจด้วยความประหลาดใจ

                   

                “ความฝัน.... อย่างงั้นหรือ” เสียงผมแห้งผากราวกับคนที่ขาดน้ำหลายวัน ช่างน่าประหลาด น่าประหลาดเสียจริงๆ

                    

                “ขอโทษนะครับ มีใครอยู่บ้างไหมครับ” ผมตะโกนออกไปสุดเสียงท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า ไม่มีเสียงตอบรับใดๆตอบกลับมาทำเอาผมใจเสียไปเล็กน้อย ขาอันสั่นเทาของผมค่อยๆก้าวออกไปข้างหน้าช้าๆอย่างหวาดระแวง ผมไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนแล้วผมโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร ทุกอย่างดูน่าสับสนไปเสียหมด

                   

                “มีคนอยู่ไหมครับ มีใครได้ยินเสียงผมไหม” ผมยังคงตะโกนต่อไปอย่างไม่ลดละ หวังไว้ในใจว่าจะมีใครสักคนที่ตอบรับผมกลับมาบ้าง แต่ทว่าก็เหมือนเดิมไม่มีเสียงตอบรับใดๆตอบกลับมาเลย


     

                    ฟึ่บ.. ฟึ่บ..

                    เสียงประหลาดที่น่าจะมาจากทิวป่าที่อยู่ห่างไปไกลลิบ น่าแปลกที่ทั้งๆชายป่านั้นไกลจากตรงที่ผมยืนค่อนข้างมาก แต่ผมกลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเสียดสีกันของไม้อย่างชัดเจน

                   

                “นั้นใครน่ะ คุณได้ยินผมใช่ไหม” เสียงผมเริ่มสั่นเครือ พอๆกับหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลองชุด ความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจผมที่ละน้อย ทั้งๆที่ปกติผมไม่ใช่คนขี้กลัว แต่ในตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน ผมอยู่ในฝันของตัวเองจริงหรือเปล่า

                  

                ฟึ่บ! ฟึ่บ!

                    เสียงประหลาดนั้นดังขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของผม ผมรีบหันไปมองอย่างหวาดกลัว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังของผม ผมรีบหันกลับไปมองอย่าตกใจแต่ทว่าตรงหน้าผมตอนนี้กลับว่างเปล่า หัวใจผมเต้นแรงจนผมแทบจะบ้า ผมกลัวมากลัวจนผมเองเริ่มจะรับไม่ไหว นี่ผมกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่

                    

                “ท่านเป็นใครกัน เข้ามาในสวนแห่งนี้ท่านประสงค์สิ่งใด” เสียงทุ่มต่ำดังอยู่ข้างหลังผม ลมหายใจร้อนเป่ารดอยู่ที่ต้นคอของผม ทำให้ผมรู้เลยเข้าอยู่ใกล้กับผมมากขนาดไหน ผมกำลังจะหันกลับไปมองให้เต็มตาว่าที่อยู่ด้านหลังผมเขาเป็นใครกันแน่

                    

                “อย่าขยับ! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าท่านเข้ามาที่นี่ทำไม” ผมชะงักในทันทีไม่ใช่เพราะน้ำเสียงที่น่าเกรงขามนั้นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าอาวุธแหลมคมที่ชายแปลกหน้าจ่อไว้ที่ตรงคอผมต่างหาก ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นคมมีดนั้นสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ ถ้าเขากดแรงลงมามากกว่านี่อีกนิดคงปลิดลมหายใจของผมได้ไม่ยาก

                    

                “ผมชื่อพระพาย ส่วนที่นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเข้ามาได้อย่างไร ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่มันคือที่ไหน” สิ้นคำของผมชายแปลกหน้าก็ค่อยๆลดมีดสั้นนั้นลง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ความกลัวที่มีก่อนหน้านี้ของผมหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะคนข้างหลังผมอย่างงั้นหรือ

                    

                “คำพูดคำจาช่างแปลกหู ท่านมาจากเมืองใดกัน” เขาพูดด้วยคำพูดที่เหมือนกับหลุดมาจากในละครย้อนยุค

                    

                “ผมน่ะพูดปกติ คุณนั้นแหละที่แปลก” ผมหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มนิรนาม แต่แล้วก็เหมือนผมโดนมนต์สะกด เรือนผมสีดำสนิทล้อมรอบใบหน้าคมได้รูป ดวงตาคมเรียวที่มาพร้อมกับนัยน์ตาสีรัตติกาลแสนดุดัน จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับปากริมฝีปากบางที่ติดไปทางซีดนิดๆ และส่วนสูงที่ตัวผมเองนั้นเทียบไม่ติด เกือบถึงร้อยเก้าสิบน่าจะได้ บวกกับการแต่งตัวที่ดูผิดแปลกไปจากสมัยนิยม ชุดดูคล้ายๆกับอัศวินในการ์ตูนที่ผมเคยดู เสื้อแขนยาวคอตั้งสีดำสนิทที่ปักดิ้นลวดลายสีทองดูสง่างามพร้อมกับกางเกงสเลกสีขาวตัดกับสีเสื้อและเรือนผม ด้านข้างก็มีดาบเล่มยาวที่อยู่ในฝักสีดำสนิท ดูดีมาก เมื่อทุกอย่างมารวมกันบนตัวเขาผมยอมรับเลยจริงๆว่าเขาเป็นคนที่ดูดีมากจริงๆ

                    

          “...ท่าน....ท่าน! ได้ยินข้าหรือไม่ ท่าน” น้ำเสียงทุ้มดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์ และหันมาสนใจกับคนตรงหน้าว่าเขานั้นเป็นใครกันแน่

                    

                “เอ่อ.... เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”

                   

                “ข้าถามว่า ท่านเข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างไร”

                    

                “ผม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกะ..” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคดี จู่ๆก็มีแสงประหลาดสาดออกมาจากกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งของผม ผมล้วงมือเข้าไปกระเป๋าข้างนั้นด้วยความสงสัย คนตรงหน้าผมเองก็ไม่ต่างกัน เมื่อผมหยิบมันออกมาคนตรงหน้าผมก็เบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองอย่างงงๆ มันมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

                    เหรียญน่าตาประหลาดที่ผมเพิ่งเก็บมาวันนี้

                   

                    “ท่าน....ท่านคือผู้ถูกรับเลือกงั้นหรือ ข้าต้องขออภัยที่ได้ล่วงเกินท่านไปเมื่อสักครู่” จู่ๆคนตรงหน้าผมก็คุกเข่าลง

                    

                “คุณลุกขึ้นเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมงงไปหมดแล้ว”

                    

                “ท่านคือผู้ถูกรับเลือกจากองค์ราชา” ร่างสูงไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับผมเพียงเท่านั้น

                    

                “ผู้ถูกรับเลือก? เลือกไปทำอะไร” ผมงงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน


     

     

                    “ถูกรับเลือกให้...สมรสกับอัศวินอันดับหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้!!

     







    ▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼▼


    [1st DREAM COMPLETE]


    When you wanna talk about this fiction 
    Please use this hashtag
    #เคียงฝัน


    เมื่อต้องการพูดคุยเกี่ยวกับ
    นิยายเรื่องนี้ 
    ช่วยติดแท็ก #เคียงฝัน

    ^^



    THANK YOU


    ♥ LOVE YOU ALL ♥







     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×