คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [Sample] บทเพลงท่อนแรก
บทเพลงท่อนแรก
ผู้มาเยือนจากตะวันออก
“เฮ้ ไหงเนื้อเรื่องมันจริงจังแบบนี้ล่ะ” – วิญญาณที่ยังไม่มีบท
“อันที่จริงความจริงจังมันป่นปี้หมดก็ตอนเจ้าโผล่มานั่นแหละ” – เด็กสาวชาวตะวันออก
นานมาแล้ว ‘โลก’ ถูกแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง แบ่งแยกโดยการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์ เป็นดินแดนฝั่งตะวันออก และดินแดนฝั่งตะวันตก กล่าวกันว่าดินแดนตะวันออกนั้นอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพืชพรรณธรรญาหาร ส่วนดินแดนตะวันตกนั้นกลับตรงข้ามกัน
แผ่นดินสองฟากฝั่งถูกคั่นด้วยผืนทรายกว้างไกลสุดลุกหูลุกตา
เหนือเนินทรายที่มองลงไปเห็นแนวสันทรายสวยงามอันเกิดจากฝีมือรังสรรค์ของจิตรกรผู้มีนามว่าธรรมชาติ โอเอซิสขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมป้ายหินทรายปักอาณาเขต
‘มาทรูชก้า’ คือสิ่งที่ถูกจารึกลงบนแผ่นหินดังกล่าว
ดินแดนทางตะวันตกมีแคว้นใหญ่เพียงแคว้นเดียวคือมาทรูชก้า ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยกระจุกตัวกันอยู่บริเวณเมืองหลวง บางส่วนอยู่ในรูปกึ่งชนเผ่าเร่ร่อนอาศัยกันอย่างกระจัดกระจายในบริเวณทะเลทรายซาคามันด์ซึ่งเป็นพรมแดนทางธรรมชาติที่กั้นกลางระหว่างดินแดนตะวันออกและตะวันตก
หากล่วงเข้าอาณาเขตเบื้องหลังศิลาบอกอาณาเขตนี้ไป ก็จะเข้าสู่แคว้นมาทรูชก้าโดยสมบูรณ์
มาทรูชก้าคือดินแดนไร้สายฝนซึ่งเหล่าภูตปฏิเสธที่จะย่างกราย
ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสไร้หมู่เมฆ ทำให้แสงแดดแรงกล้าสามารถสาดส่องลงมาได้อย่างเต็มที่
นั่นเป็นเวลาหลับใหลของชาวมาทรูชก้า
ในโลกที่มีเพียงผืนทราย ชาวมาทรูชก้าเลือกที่จะเข้านอนในยามกลางวัน และใช้ชีวิตของตนในยามค่ำคืนท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ ทว่ามีระยะเวลาที่สั้นกว่า
ในช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเข้าสู่นิทรารมย์ สายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังโอเอซิสขนาดใหญ่ที่อยู่เลยหลักบอกเขตแดนไปเล็กน้อย ร่างในชุดคุลมที่ปิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพื่อป้องกันความร้อนแรงของเปลวแดดยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นปาล์ม
ฝูงกิ้งก่าทะเลทรายซึ่งผ่านวันเวลาแห่งความโหดร้ายได้วิวัฒนาการเป็นสัตว์กินเนื้อมองผู้มาเยือนด้วยดวงตาลุกวาวที่ซ่อนอยู่ใต้เนินทราย เนื้ออันหอมหวานเย้ายวนของร่างนั้นมีกลิ่นอายของสายน้ำชุ่มฉ่ำที่พวกมันไม่ได้ประสบมาเป็นเวลานานนับไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ฝูงกิ้งก่าที่หิวกระหายบุกจู่โจมเหยื่อของมันอย่างรวดเร็วและเงียบงัน ทว่า ในวินาทีที่นักล่าแห่งทะเลทรายจะสัมผัสถูกร่างนั้น ฝุ่นทรายรอบๆ ก็ตลบเอาร่างของฝูงกิ้งก่าไปจนสิ้น ราวกับมีสายลมที่มองไม่เห็น
การมาของบุคคลนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
ผู้คนเรียกขานเขาว่า ‘แซมผมแดง’
เส้นผมของเด็กหนุ่มเป็นสีแดงเหมือนสีของพระอาทิตย์ยามโผล่พ้นขอบฟ้า อันเป็นเวลาเข้านอนของชาวมาทรูชก้า ดวงตาเป็นสีส้มอมเหลืองเช่นเดียวกับสีของผลึกอำพันที่ร้อยอยู่ที่คอ
บนผลึกสลักหมายเลขสามชุดเอาไว้
ตัวแรกหมายถึงมาโป ตัวที่สองหมายถึงรุ่นในตระกูล และตัวที่สามหมายถึงหมายเลขประจำตัว
เลขสามชุดนี้ติดตัวเขามาตั้งแต่ถือกำเนิด
แซมเป็นทาส
ชื่อของแซมได้มาจากทาสหนุ่มคนหนึ่งที่มีนามเดียวกัน เขาตั้งชื่อแซมด้วยชื่อของตัวเอง เช่นเดียวกับปู่ ทวด ปู่ทวด สืบสายขึ้นไปยังต้นตระกูลของเขา เด็กผู้ชายล้วนชื่อแซม
แต่แซมกับทาสคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย แม้แต่ใบหน้าของเขา แซมเองยังจำได้เลือนราง เขานึกออกเพียงรอยยิ้มอันสดใสราวกับโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดๆ ทำให้เศร้าหมอง
ชายผู้นั้นตาย เพราะถูกโบย ส่วนสาเหตุที่ถูกโบย ไม่มีใครสนใจจะจดจำ หรือหากพูดให้ถูกต้อง ไม่มีใครจำได้ด้วยซ้ำว่าทาสหนุ่มที่มีรอยสักเต็มตัวผู้นั้นมีชื่อว่าอะไร
ทาสถือกำเนิด ทำงาน ให้กำเนิดทาสรุ่นต่อๆ มา แล้วก็ตายจาก... เช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดให้ความใส่สนใจกับทาสคนหนึ่งที่ตายไป
เพราะชื่อนั้นไม่มีความสลักสำคัญอันใด
คำเรียกขาน ‘แซมผมแดง’ มีขึ้นหลังจากนั้น เพราะในหมู่ทาสมีแซมหลายคนเหลือเกิน
เขาเป็นหนึ่งในบรรดาทาสของมาโป นายทาสชาวมาทรูชก้า นอกจากเส้นผมสีแดงแล้ว แซมไม่มีอะไรโดดเด่นนัก เขามีร่างกายเช่นเดียวกับทาสในวัยเดียวกัน ผอมแห้งจนเห็นกระดูกปูดโปนออกมาจากเนื้อ ผิวของเขาขาวจัดเช่นเดียวกับชาวมาทรูชก้าทั้งหลายที่แทบไม่เคยต้องแสงแดดมานานนับศตวรรษ นับตั้งแต่จักรวรรดิในอดีตล่มสลายไปพร้อมกับพายุทราย
ทว่า ในยามที่แสงแดดแรงกล้ากำลังแผดเผาผิวกายของเด็กหนุ่ม เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น
ดวงตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ทาสเช่นแซมไม่ได้รับอนุญาตให้นอนหลับจนกว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ งานในวันนี้คือการลำเลียงน้ำใส่ภาชนะบรรจุและปิดผนึกด้วยตราสัญลักษณ์ของมาโป
นอกเหนือจากการค้าทาส แท้จริงแล้วความร่ำรวยของมาโปเกิดจากการเป็นนายหน้าค้าน้ำ
น้ำเป็นสิ่งสำคัญของบรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย
โอเอซิสแห่งนี้มีศิลาเวทก้อนหนึ่งที่เรียกว่า ‘พยุหวารี’ กล่าวกันว่ามันถูกฝังมาเป็นเวลานานด้วยวิทยาการของคนโบราณเพื่อให้มีที่พักสำหรับนักเดินทางที่ต้องการข้ามทะเลทรายซาคามันด์ ในสมัยก่อน ทะเลทรายซาคามันด์กินอาณาเขตเพียงแค่หนึ่งในสิบของปัจจุบัน การเดินทางข้ามทะเลทราย ขอแค่มีน้ำเพียงพอและตัวอูฐเป็นพาหนะสักตัวก็สามารถทำได้ไม่ยาก
เดิมทีบรรพบุรุษของมาโปเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่ปักหลักอาศัยอยู่ในโอเอซิสแห่งนี้ พวกเขาไม่เคยใส่สนใจในคุณค่าของศิลาเวทในครอบครอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสายน้ำยังคงไหลให้ความชุ่มชื่นแก่ดินแดนทางตะวันตกของผืนทราย
ผู้ที่ประดิษฐ์มันขึ้นมาคือเจ้าชายมาทรูช จอมเวทสายวารีแห่งแคว้นฮาเดย์
ทว่าวันหนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดพายุทรายก็เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
เม็ดทรายอันกราดเกรี้ยวถมเอานครหลวงและเมืองสำคัญๆ ไปจนสิ้น รวมถึงแหล่งน้ำ ผืนแผ่นดินฝั่งตะวันตกของทะเลทรายซาคามันด์ทั้งหมดถูกพายุทรายอันเกรี้ยวกราดทำลายล้างจนเหลือเพียงซากปรักหักพัก ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์เล่มใดเหลือรอดจากการถูกกลบฝังในพายุทราย ผู้คนเรือนแสนล้มตาย เริ่มจากความร้อน ขาดน้ำ
เกิดความเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของหลายแคว้น บ้างล่มสลาย บ้างลดบทบาทกลายเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ เมื่อซาคามันด์ขยายอาณาเขตเพราะพายุทราย ทำให้การแบ่งเขตแดนและโอเอซิสของแต่ละแคว้นเป็นเรื่องยากลำบาก กลายเป็นชนวนของสงครามขึ้นมา จนกระทั่งสงครามสงบลงเพราะเหล่าทหารเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรบต่อ พายุทรายกลบฝังแหล่งน้ำ ผู้คนล้มตาย เกิดโรคระบาด...
เจ้าชายมาทรูชทรงสร้างพยุหวารีขึ้นอีกครั้ง ด้วยการหยิบยืมศิลาก้อนต้นแบบจากโอเอซิสของบรรพบุรุษของมาโป ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้รับการสถาปนาให้เป็นราชาแห่งมาทรูชก้า แคว้นซึ่งตั้งตามพระนาม แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบซึ่งของพยุหวารีซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยมีเพียงพอที่จะเป็นแหล่งกำเนิดน้ำในปริมาณสำหรับเมืองใหญ่ๆ เพียงแค่เมืองเดียว
ท้ายที่สุด ประชาชนที่เหลือรอดทั้งหมดจึงรวมตัวกัน ร่วมแรงร่วมใจสร้างเมืองขึ้นมาอีกครั้งบนผืนทราย เกิดเป็นแคว้นมาทรูชก้าเช่นในปัจจุบัน
มีนักเวทมากมายพยายามจะเลียนแบบ บ้างก็ทำสำเร็จเป็นศิลา วารีจำแลง ซึ่งสามารถผลิตน้ำได้ในปริมาณที่น้อย และบางครั้งอาจเป็นยาพิษหากใช้ส่วนผสมที่ผิดพลาดในขั้นตอนการสร้าง
ฝ่ายบรรพบุรุษของมาโปเอง เพราะให้ความช่วยเหลือในการสร้างพยุหวารี พวกเขาจึงได้รับปูนบำเหน็จมากมาย หัวหน้าตระกูลผู้มีหัวคิดกว้างไกลทูลขอพระราชานุญาตครอบครองพยุหวารีก้อนต้นแบบ และสิทธิ์ในการค้าขายน้ำ ที่เกิดจากอำนาจของพยุหวารีก้อนขนาดเท่าไข่ไก่ในครอบครอง ซึ่งพระราชาก็อนุญาตตามนั้น
ศิลาเวทลึกลับสามารถสร้างน้ำขึ้นมาได้ด้วยพิธีกรรมบางอย่างที่มาโปไม่เคยบอกใคร มันเคยถูกขโมยออกจากโอเอซิสแห่งนี้หลายครั้ง ทว่าผู้ที่ได้มันไปไม่เคยมีใครเข้าถึงความลับเช่นเดียวกับคนในตระกูลของมาโป
ในปัจจุบัน มันถูกเก็บรักษาไว้ยังถ้ำวงกตใต้ดินซึ่งไม่มีใครสามารถหาพบ ลือกันว่าบรรพบุรุษของมาโปลงทุนหาอสุรกายหลายตนมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กและให้มันเฝ้าถ้ำวงกตไว้ ส่วนแผนที่นำทางอยู่บนแผ่นอกของมาโปซึ่งเมื่อยังเยาว์ถูกบิดาใช้เหล็กนาบไฟแนบจนเกิดเป็นรอยที่ไม่มีวันลบเลือน
แซมซึ่งเป็นเพียงทาสต่ำต้อยก็ไม่รู้เรื่องของพิธีกรรมเช่นกัน เขารู้เพียงว่าตนเองทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว เมื่อเสร็จงาน ทาสเช่นเขาจะได้รับอนุญาตให้ทำอะไรตามใจชอบจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นสูงที่สุด หรือเป็นเวลาเที่ยงวัน
เด็กหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงกำลังนั่งยองๆ เบื้องหน้าชายผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวปิดตั้งแต่ศีรษะ ไล่ลงมาจรดปลายเท้า ซ้ำยังสวมหมวกปีกกว้างประดับรูปดาวสีทองเล็กๆ ที่ปีกหมวก ดวงหน้าสวมทับด้วยหน้ากากสีเงินมันปลาบมองเห็นเพียงดวงตาวับวาว
กล่าวกันว่าสีขาวเป็นสีของกวี กวีไม่นับถือจันทราเทวี ไม่นับถือสุริยเทพ พวกเขาเพียงเชื่อแต่ดาราลิขิต... กวีจะเดินไปตามเส้นทางแห่งดวงดาวเพื่อตามหาเรื่องเล่าใหม่ๆ จากนั้นก็นำมันมาถ่ายทอด
...ตามประสงค์แห่งดวงดารา คือสิ่งที่กวีมักเอ่ย
กวีแห่งดินแดนตะวันออกเริ่มเล่าขานนิทานก่อนนอนให้บรรดาชาวมาทรูชก้าในโอเอซิสแห่งนี้ แซมนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เขารักเรื่องเล่า รักโลกภายนอกที่ไม่เคยได้มีโอกาสพบเห็น เด็กหนุ่มเจียดเงินเก็บที่ได้รับจากมาโปส่วนหนึ่งมอบให้กวีเร่ร่อนผู้นี้ทุกครั้งที่เขาเดินทางผ่านมา
เด็กหนุ่มหลายคนที่รู้เรื่องนี้หัวเราะเยาะแซม แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังคงเลือกจะทำในสิ่งที่ปรารถนา
“ท่านกวีขอรับ วันนี้เป็นเรื่องอะไรขอรับ”
“ราชาเสี้ยววงเดือนดำ”
ปลายนิ้วของกวีขยับอย่างรวดเร็วไปบนเครื่องสาย เสียงของเขาทุ้มต่ำ กังวานชวนฟัง
กวีชาวตะวันออกเล่าถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของราชาผู้สังหารผู้คนนับหมื่น หากไม่อาจหลั่งน้ำตาเพื่อนางอันเป็นที่รักในยามที่นางจากเขาไปตลอดกาลได้ เขาได้แต่คุกเข่ากุมมืออันบอบบางของนางไว้ จากนั้นก็จุมพิตแผ่วเบา...
เพื่อย้ำคำมั่นสัญญาว่าเขาจะรักนางไปตลอดกาล
“วันนี้มีแค่นี้หรือขอรับ” แซมมองเขาตาแป๋ว นิทานเพลงเรื่องนี้เขาได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้น แซมก็ยังยินดีที่จะฟังมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
กวีมีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพรมนิ้วลงบนเครื่องดนตรี และเริ่มขับขานบทเพลง
เขาเล่าถึงเจ้าหญิงสามองค์แห่งดินแดนตะวันออก
ว่ากันว่าดินแดนตะวันออกอุดมสมบูรณ์ มีดอกไม้ มีทุ่งหญ้าเขียวขจี มีสายน้ำ มีขุนเขา
เจ้าหญิงองค์โตมีเส้นผมสีดำเข้มดุจขนนกกาน้ำ ดวงตาสีน้ำเงินดุจสีของแพรไหม นางถูกเรียกขานเป็น ‘ธิดาเพลิงหิมะ’ เพราะนางมีผิวขาวผ่องดุจหิมะ หากนิยมแต่งกายด้วยสีแดงเข้มดุจสีของเปลวเพลิง
“หิมะเป็นแบบไหนหรือขอรับ” แซมถาม เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นหิมะมาก่อน
“มันขาวและเย็น” กวีเอ่ย
“เย็นขนาดไหนหรือขอรับ เท่ากับอากาศตอนกลางคืนหรือเปล่า”
“เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก”
แซมคิดว่าคงคล้ายกับเวลาในยามราตรีกาลของดินแดนแห่งทะเลทราย เขาจึงพยักหน้า
จากนั้นกวีจึงเริ่มเล่าต่อ เจ้าหญิงองค์ที่สอง นางมีเส้นผมสีเขียวอ่อน ดวงตาสีเหลืองทองคมราวกับตาของแมว ผู้คนเรียกขานนางว่า ‘ธิดาวิฬารแห่งความแช่มชื่น’ เพราะนางสามารถบังคับพืชพรรณได้ตามชอบใจ
“แล้วเจ้าหญิงองค์สุดท้องล่ะขอรับ นางถูกเรียกว่าอะไร” แซมถาม
“ศิลาฟ้าครามไร้ใจ” กวีเอ่ย
ว่าแล้วเขาก็เล่าถึงธิดาองค์สุดท้ายของราชาแห่งแดนตะวันออก เจ้าหญิงที่มักจะนั่งเงียบๆ เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นปล่อยให้เกศาสีน้ำเงินเข้มปกคลุมใบหน้า นั่งแข็งทื่อราวกับก้อนศิลาก้อนหนึ่ง
“ทำไมถึงเป็นก้อนหินล่ะขอรับ”
“เพราะหินนั้นแข็งกระด้าง และเย็นเยียบ”
กวีรูดปลายนิ้วไปบนสายพิณ เขาเล่าถึงบททดสอบแห่งราชบัลลังก์ของดินแดนตะวันออก ราชาจะต้องเป็นผู้ครอบครอง ‘ความอาวรณ์’ คือมั่นคงที่สุด...
“ความอาวรณ์คืออะไรขอรับ”
“ความทรงจำที่มีต่อความปรารถนาอันแรงกล้า” กวีตอบ “เป็นความปรารถนาที่เข้มข้นยิ่งกว่าเลือด ใสกระจ่างยิ่งกว่าผืนน้ำ แล้วก็... มั่นคงยิ่งกว่าภูผา”
“แล้วการที่เป็นพระราชา ต่างจากเป็นคนธรรมดาอย่างไรหรือขอรับ” แซมรู้เพียงว่า หากเป็นราชา ย่อมมีราชินีผู้งดงามอยู่เคียงกัน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น... เจ้าหญิงทั้งสามจะเป็นราชาไปทำไมเล่า?
“ราชาคือ ‘นาย’ แห่งปวงชน” กวีเริ่มร้องเพลงอีกครั้งหนึ่ง เขาเล่าถึงสิทธิ์ในบัลลังก์แห่งราชา นอกจากจะหมายถึงการเป็นเจ้าเหนือแผ่นดินทั้งปวงแล้ว สำหรับธิดาทั้งสามแห่งราชาแล้ว ต่างมีความหมายต่างกันออกไป หนึ่งเพื่อครอบครองอำนาจ สองเพื่อความมั่นคงของวงตระกูล... แต่สาม... ธิดาองค์ที่สามไร้ซึ่งความปรารถนา
“ทำไมล่ะขอรับ”
“เพราะศิลาย่อมไร้ซึ่งความปรารถนาใด”
ทันใดนั้นเอง กล่าวถึงศิลา ศิลาก็มา...
ในตอนที่แซมกำลังจะเอ่ยถามเรื่องราวของเจ้าหญิงองค์สุดท้องให้มากขึ้น อะไรบางอย่างก็ลอยหวือมาจากที่ไกลๆ
ศิลาก้อนหนึ่งตกใส่หัวของแซม “โอ๋”
เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาด้วยความงุนงง เขาก้มลงเก็บศิลาขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา มันมีน้ำหนักเบากว่าที่เขาคิด บนหินสีขาวสลักลวดลายที่แซมอ่านไม่ออก
นั่นคืออักษรรูน... อักขระเวทมนตร์ที่มักใช้ในการทำนายทายทัก หรือสลักไว้แทนคำอวยพร หรือคำสาป
“ศิลาแห่งคำทำนาย” กวีเอ่ยชื่อของมัน เขายื่นหน้าเข้าใกล้ศิลาในอุ้งมือของเด็กหนุ่มด้วยความสนอกสนใจ
ในเวลานั้น ดวงตะวันอยู่เหนือศีรษะของเด็กหนุ่ม เงาร่างของใครบางคนหยุดยืนตรงหน้าของแซม บดบังเอาแสงอาทิตย์เบื้องบนท้องฟ้าไปจนสิ้น เสียงอันไพเราะเอ่ยถาม
“เจ้าน่ะหรือ คือชะตาลิขิตของข้า”
แซมไม่เข้าใจในคำถาม เขาจึงไม่อาจตอบ
ส่วนกวีเข้าใจคำถาม เพียงแต่เขาไม่ใช่ผู้สมควรตอบ
เช่นนั้นแล้ว คำตอบจึงไม่เคยถูกเอื้อนเอ่ย...
ภายในเรือนรับรองของพ่อค้าทาส
มาโปถูมือที่พราวไปด้วยแหวนไปมาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำระหว่างต่อรองซื้อขาย แม้ชายร่างอ้วนจะตั้งกฎไว้ว่าเขายินดีที่จะตื่นมารับรองลูกค้าได้ทุกเมื่อ แต่การที่ได้เห็นคู่ค้าเป็นเพียงเด็กสาวร่างเล็กทำให้พื้นอารมณ์ของนายหน้าค้าทาสไม่สู้ดีนัก
แซมนั่งตัวลีบอยู่ข้างกายของมาโป นางบำเรอคนหนึ่งของเขาลอบหลิ่วตาให้เด็กหนุ่มที่หน้าแดงก่ำเมื่อเห็นอาภรณ์อันบางเบาของเหล่าสตรีข้างกายมาโป
“ข้าขอซื้อเขา” เด็กสาวเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงของเธอทรงพลังอำนาจผิดกับร่างเล็กที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม
มือที่โผล่พ้นจากผ้าคลุมแม้จะขาวกระจ่างแต่ก็ยังนับว่าคล้ำกว่าชาวมาทรูชก้าทั่วไปนัก ทำให้ทุกคนที่จ้องมองรู้ในทันทีว่าผู้มาเยือนเป็นชาวตะวันออก... ดินแดนแห่งความเขียวขจี
นั่นทำให้สีหน้าของพ่อค้าทาสดีขึ้นเล็กน้อย แผ่นดินของชาวตะวันออกเป็นเพียงส่วนเดียวที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้อยู่ นั่นทำให้ผู้มาเยือนชาวตะวันออกมีภาษีกว่าสำหรับมาโป
เด็กสาวเทถุงผ้าที่แขวนข้างเอว ปล่อยให้สิ่งของภายในไหลออกมา
เหรียญทองจำนวนมหาศาลถูกเทลงบนพื้น นายทาสตาโตด้วยความตื่นตะลึง เขาค่อยๆ หยิบเหรียญขึ้นลูบ ตัวอักษรที่นูนขึ้นมาจากขอบเหรียญแสดงให้เห็นว่ามันเป็นของแท้
“เช่นนี้ ข้าน้อยสามารถหาทาสที่ดีกว่านี้ให้ท่านได้นะขอรับ” มาโปเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที หากจะกล่าวกันแล้ว การเจรจาครั้งนี้นับเป็นโชคอย่างหนึ่งของเด็กสาว อย่างน้อยนายหน้าผู้นี้ก็ยังรักษาสัจจะพอที่จะไม่ฆ่าเพื่อชิงเงิน
ทองจากเด็กสาวแปลกหน้าผู้ร่ำรวยเช่นเดียวกับพ่อค้าทาสคนอื่นๆ ที่ยินดีจะกระทำโดยไม่ลังเล
‘จงอย่าโลภเกินตัว’ คือคติของชายร่างอ้วนที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลของมาโปจึงสามารถรักษาฐานลูกค้าของตนมาได้ยาวนานนับร้อยๆ ปี
ดวงตาสีน้ำเงินเย็นเยียบชวนให้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองปรายตามองแซม เด็กหนุ่มยิ้มให้เธอ ในใจนึกเสียดายเล็กน้อยที่เธอคงจะยอมรับข้อเสนอของมาโป ทว่าคำตอบของเด็กสาวทำให้ดวงตาสีอำพันของเขาเบิกกว้าง
“ข้าต้องการแค่เขา”
แซมนึกงุนงง ที่ผ่านมา แม้แต่หญิงผู้เป็นมารดายังเอ่ยปฏิเสธการมีอยู่ของเขา เดิมทีนางเป็นชนชั้นสูงของมาทรูชก้าที่บังเอิญขบวนถูกปล้นสะดมโดยกลุ่มโจรแห่งทะเลทราย และถูกบังคับให้เป็นนางบำเรอ สุดท้ายก็ถูกขายทิ้งให้มาเป็นทาส
มีชนชั้นสูงคนหนึ่งบังเอิญต้องตาต้องใจนาง เขายื่นข้อเสนอว่าหากนางสามารถให้กำเนิดธิดาแก่เขาได้ เขายินดีจะจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวนาง แซมถือกำเนิดเพราะเหตุนี้ และถูกผู้เป็นมารดาโยนเขาในวัยทารกทิ้งอย่างไม่ไยดี ก็ด้วยเหตุผลนี้เช่นเดียวกัน
ทาสหนุ่มที่ชื่อแซมเก็บทารกน้อยมาดูแล เด็กชายเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมีชีวิตรอดจากการถูกโยนทิ้งราวกับสิ่งของ น้องชายของเขาอีกหลายคนสิ้นใจภายในอ้อมแขนของเด็กชายตัวน้อยโดยที่ดวงตาของพวกเขายังไม่เคยได้มองดูโลกใบเล็กนิดเดียวที่ถูกโอบล้อมด้วยผืนทราย
จนกระทั่งวันหนึ่ง นางได้ให้กำเนิดบุตรสาวสมใจ
แซมเห็นใบหน้าอันบึ้งตึงของมารดาเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของนาง
นางยกบุตรสาวตัวน้อยให้ชนชั้นสูงคนนั้นหรือบิดาโดยสายเลือดของแซม เขามอบเงินจำนวนหนึ่งให้นางเพื่อใช้เป็นค่าไถ่ตัวซึ่งหญิงสาวยอมรับด้วยความยินดี จากนั้นนางก็จากไป ทิ้งแซมไว้ในคอกลิมโปโป้แคบๆ
น่าแปลกที่เด็กหนุ่มจดจำแม่ของเขาได้ดีกว่าที่คิด โดยเฉพาะดวงตาสีเหลืองอำพันของมารดาจ้องมองแซมด้วยความเกลียดชังนับตั้งแต่เขาถือกำเนิดจนวินาทีที่นางเดินจากไป แซมไม่เคยได้ข่าวคราวของนาง
ลึกลงไป เด็กหนุ่มเคยหวังว่าแม่จะกลับมา
แต่นางไม่เคยแม้แต่จะส่งข่าว
สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น แซมไม่เคยรู้ว่าชนชั้นสูงผู้มีศักดิ์เป็นบิดาของเขามอบเงินค่าไถ่ที่มากพอจะไถ่ตัวเขาไปด้วยให้กับนางพร้อมทุนรอนสำหรับเดินทาง แต่มารดาของแซมไม่เคยคิดที่จะนำเขาซึ่งเป็นรอยแผลในอดีตของนางกลับไปด้วย แต่เรื่องบางเรื่อง การไม่รู้ ย่อมเจ็บปวดน้อยกว่า...
แซมจึงไม่เคยได้รู้เรื่องนี้ ตราบจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ
“ชะ เช่นนั้นก็ได้ขอรับ ตามที่ท่านปรารถนา” มืออวบอ้วนปรบมือครั้งหนึ่ง “เด็กๆ พาสินค้าของเราไปขัดสีฉวีวรรณหน่อย”
เพราะน้ำเป็นสิ่งล้ำค่า ทาสอย่างแซมจึงไม่ค่อยได้อาบน้ำบ่อยนัก เนื้อตัวของเขามีแต่ทรายและคราบเหงื่อไคล เด็กสาวผิวพรรณผุดผาดสองคนตักน้ำที่มีกลิ่นหอมแปลกๆ ราดลงไปบนเนื้อตัวเปลือยเปล่าของแซม
เด็กหนุ่มผอม... ผอมเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าติดกระดูก
ทั่วทั่งร่างของเขามีแต่รอยแผลเป็นเต็มไปหมด บ้างก็ถูกตี บ้างก็ถูกโบย บ้างก็ถูกรังแก
ทว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงมีแต่รอยยิ้ม เช่นเดียวกับบุรุษที่มอบชื่อแซมให้เขา
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่แซมได้ยินใครสักคนบอกว่าต้องการในตัวเขา
เด็กหนุ่มจึงสาบานกับตนเอง ณ วินาทีนั้น
...หากท่านต้องการข้า ข้าก็จะคงอยู่เพื่อท่าน
นั่นเป็นคำสาบานที่งดงาม และจะคงอยู่ตราบเท่าจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดในผืนทะเลทราย
หลายคนเรียกช่วงเวลาเช่นนั้นว่า ‘นิรันดร์กาล’
ตะวันเริ่มคล้อย เข้าสู่ยามบ่าย ย่างเข้ายามราตรีกาลอีกครั้ง ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยผืนผ้าห่มสีดำ
กลางผืนทรายที่อากาศเริ่มเย็นลง ร่างของคนสองคนยืนอยู่ใต้ร่มเงาอันเกิดจากแสงจันทร์สาดกระทบหินผาซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโอเอซิสของมาโปนัก หินผาเหล่านี้เป็นภูเขาหินเตี้ยๆ ที่โผล่พ้นทะเลทราย ครึ่งล่างของมันเคลือบด้วยทองคำซึ่งไม่มีใครสามารถลอกหรือขูดออกมาได้ หลายคนใช้เจ้าสิ่งนี้แทนจุดนำทางสู่โอเอซิสของมาโป
พวกเขากำลังจะออกเดินทาง
หากจุดหมายปลายทางของพวกเขามีเพียงเด็กสาวที่รู้
แซมถูกจับหวีผมให้เรียบร้อย สวมเสื้อใหม่ที่นุ่มและอุ่นสบาย เขาได้รับอนุญาตให้เก็บข้าวของ ซึ่งเด็กหนุ่มมีเพียงผ้าคลุมทอมือเก่าๆ สีน้ำตาล และย่ามใบหนึ่ง
เด็กหนุ่มเพิ่งเคยออกมานอกอาณาเขตเป็นครั้งแรก
ภายในคอกลิมโปโป้แคบๆ เด็กหนุ่มเฝ้าใฝ่ฝันมาเป็นเวลานานที่จะได้เห็นโลกภายนอก เขารู้ดีว่ามันเป็นเพียงผืนทรายอันว่างเปล่า ถึงกระนั้น เขาก็อยากที่จะได้เห็น
เขารู้สึกลำคอเบาหวิวเมื่อผลึกอำพันอันเป็นทั้งตรวนและสัญลักษณ์ของการเป็นทาสถูกปลดออก เขานึกสงสัยเล็กน้อยว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาจะใส่อะไรให้เขา เด็กหนุ่มได้แต่หวังว่าคงไม่โดนสักบนใบหน้าเช่นทาสบางคนของพ่อค้าทาสที่เป็นเพื่อนสนิทของมาโป
เด็กสาวปลดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับสีของดวงตา
“นายท่านขอรับ” แซมค้อมศีรษะให้เธออย่างนอบน้อม
“ข้าชื่อแมรี่” เด็กสาวเอ่ยสั้นๆ “เรียกข้าว่าแมรี่เถอะ”
“ท่านแมรี่” แซมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แมรี่นึกเกลียดรอยยิ้มนั้น
ลมหนาวยามราตรีพัดมาวูบหนึ่ง ไหล่ของแมรี่ห่อลงเล็กน้อยด้วยความหนาว แซมรีบปลดผ้าคลุมเก่ามอซอของเขาให้เธอในทันที “ใช้ผ้าคลุมของข้าเถอะขอรับ”
ดวงตาสีน้ำเงินตวัดมองเขาวูบหนึ่ง “ไม่จำเป็น”
เด็กหนุ่มชักมือกลับไปอย่างเก้อเขิน เขามองสภาพของผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายของตนแล้วนึกละอายใจที่จะนำของเช่นนั้นคลุมร่างผู้เป็นนาย หากแมรี่เอ่ยต่อ “ให้ข้าหมด เจ้าจะหนาวแย่”
ก่อนจะดึงนกหวีดเหล็กที่ห้อยคอ จากนั้นก็เป่า
เมื่อได้ยินเสียงของนกหวีด ร่างหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่ การวิ่งของมันแม้จะรวดเร็วแต่ก็ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นทรายอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างของสัตว์ที่ดูคล้ายกับอูฐยักษ์หากหนอกทั้งสองสูงกว่าและมีขนดกหนาที่ใต้ท้องคล้ายกำลังอุ้มอะไรบางอย่างไว้ด้านในก็พุ่งตรงเข้ามา
มันคือลิมโปโป้ตัวหนึ่ง
เด็กหนุ่มพุ่งตัวเข้าไปกำบังร่างของเจ้านายทันทีตามสัญชาตญาณ หากแมรี่แตะไหล่ของเขาอย่างเบามือ “นี่คือคียา”
เจ้าลิมโปโป้ร้องรับราวกับเข้าใจคำพูดของแมรี่
“คียา?” แซมมองสัตว์พาหนะที่ยืนมองตนด้วยดวงตาสนอกสนใจ จากนั้นเขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบคู้ตัวลงทันที “กรุณาใช้ข้าเถอะขอรับ”
เด็กหนุ่มเห็นทาสของมาโปทำเช่นนี้ พวกเขาจะคู้ตัวลงเป็นแท่นให้เจ้านายเหยียบ แซมยังตัวเล็กเกินไปสำหรับหน้าที่นี้ เขาจึงไม่เคยทำมาก่อน
ถึงกระนั้น การทำให้เจ้านายพึงพอใจย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทาสเช่นเขา
ทว่าแมรี่เพียงร้องเรียกชื่อของมันเบาๆ แล้วเจ้าลิมโปโป้ก็ค้อมตัวลงในทันที แซมตกใจเล็กน้อยที่มันเอี้ยวคอมาเลียใบหน้าของเขา น้ำลายของมันให้กลิ่นหอมเย็นๆ ชวนให้รู้สึกขนลุกวาบ
เด็กสาวเดินผ่านร่างของแซมและขึ้นนั่ง ร่างในเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตวัดผืนผ้ามาคลุมหน้าคลุมตาอีกครั้ง เสียงอู้อี้ดังผ่านผืนผ้า “เจ้าก็ขึ้นมาสิ”
“ขะ ข้าไม่บังอาจขนาดนั้นหรอกขอรับ”
“แล้วเจ้าจะเดินตามข้าหรือไง เราต้องเดินทางอีกไกลนะ ขึ้นมาเถอะ”
เพราะท้ายประโยคมีหางเสียงคล้ายคำสั่ง เด็กหนุ่มจึงปีนขึ้นบนตัวของลิมโปโป้ในทันที ขนของมันนุ่มลื่นชวนให้สัมผัสผิดกับลิมโปโป้ของมาโปที่เขาอาศัยคอกของมัน คียาร้องในลำคออย่างมีความสุข มันเริ่มออกวิ่งไปบนผืนทรายที่กว้างใหญ่สุดลุกหูลุกตา
ผืนทรายกว้างใหญ่ พวกเขาออกมาไกลจากเขาหินประหลาดลูกนั้นทุกที... ทุกที
เด็กสาวชาวตะวันออกแหงนมองผืนฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพรายระยิบระยับ
“ขะ ขออนุญาตถามนะขอรับ คะ คือ เราจะไปไหนกันหรือขอรับ” แซมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความกล้าๆ กลัวๆ
แมรี่หันมามองเขา คงเพราะย้อนแสงจากดวงจันทร์กลมโตที่อยู่ด้านหลังทำให้ใบหน้าของเธอปกคลุมด้วยเงาดำชวนให้แซมรู้สึก
เยือกในอก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคล้ายเรืองรองในความมืด
“ตามหาวิญญาณ”
ความคิดเห็น