ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memory Lyrics คีตาที่จารจำ

    ลำดับตอนที่ #4 : [Sample] บทเพลงท่อนที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 56


    บทเพลงท่อนที่สอง 

    สระแห่งวิญญาณ

     

    “ตกวิญญาณนี่เหมือนตกปลาไหม” – วิญญาณที่กำลังจะมีบท

    “เอ ข้าว่าก็คล้ายๆ นะขอรับ มีทั้งเบ็ด ทั้งเหยื่อ โอ๊ย ท่านแมรี่ ตีข้าทำไมขอรับ” – แซม

     

    ...ตามหาวิญญาณ 

     

    คำว่า ‘วิญญาณ’ ไม่นับว่าถูกนัก ในสายตาของเหล่าปราชญ์ พวกเขาพึงพอใจจะเรียกรูปลักษณ์ที่ตกค้างของสิ่งมีชีวิตที่สิ้นอายุขัยว่า ‘เจตจำนงแห่งจิตวิญญาณ’ บ้างก็เป็น ‘ตะกอนแห่งความรู้สึกอันแรงกล้า’

     

    สรุปว่า ถึงจะเรียกแบบไหน นั่นก็คือการพูดถึงจิตสำนึกสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตอยู่ดี

     

    ยามสิ้นอายุขัย สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะถือกำเนิดใหม่ บางครั้งอาจอยู่ในภพภูมิเดิม เผ่าพันธุ์เดิม บางครั้งก็ต่างออกไป ทุกชีวิตล้วนเวียนว่ายในวัฏสงสารเพื่อชดใช้กรรมที่ได้เคยก่อ ทว่าเจตจำนงอันแรงกล้าของพวกเขาจะตกตะกอนอยู่ในรูปของร่างอันโปร่งใสที่ถอดแบบมาจากสิ่งมีชีวิตนั้นตอนตาย พลังลึกลับที่ก่อร่างของพวกเขาขึ้นมาส่งผลให้วิญญาณมีความสามารถที่หลากหลาย

     

    วิญญาณจึงไม่ได้หมายความถึงวิญญาณมนุษย์ แต่เป็นวิญญาณอันเกิดจากความปรารถนาอันแรงกล้าของสิ่งที่มี ‘ชีวิต’ ทั้งหมด ตะกอนของความอาวรณ์จะถูกดึงให้ดำดิ่งลงไปในกระแสแห่งความทรงจำ

     

    ทว่าการจะนำความสามารถนี้มาใช้ มีเพียงช่วงเวลาที่วิญญาณตนนั้นทำสัญญากับเผ่ามนุษย์เท่านั้น และที่สำคัญ จะต้องเป็นมนุษย์เพศชายเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมวิญญาณได้ เพราะสำหรับเพศหญิงแล้ว การรับวิญญาณเข้าร่างไม่ต่างอะไรกับการ ‘ตั้งครรภ์’ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ปราศจากร่างเนื้อทำให้วิญญาณของพวกนางเสียหาย และตายในที่สุด

     

    ดังนั้นผู้ใช้วิญญาณจึงมีแต่บุรุษ

     

    และนั่นคือบทบาทของแซม

     

     

     

     

    สิบวันนับตั้งแต่ออกจากโอเอซิสของมาโป

     

    ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงสิบวันมานี้ของแมรี่และแซมขี่อยู่บนคียา ลิมโปโป้ที่เป็นพาหนะนำพวกเขาเดินทางในทะเลทรายที่ร้อนอบอ้าวในเวลากลางวัน และหนาวจัดในเวลากลางคืน นานๆ ครั้งพวกเขาจึงจะพักให้คียาได้นอนหลับหรือกินอาหารบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นเท่าไหร่นัก

     

    ลิมโปโป้เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายอูฐ

     

    อันที่จริงต้องกล่าวว่าแต่เดิมมันก็เคยเป็นอูฐธรรมดา จนกระทั่งนักเวทสายสัตว์อสูรชาวบรัทเชียผสมนั่นผสมนี่จนมันกลายเป็นอูฐยักษ์ที่สามารถบรรทุกคนได้ถึงสามคน โหนกของมันถูกปรับให้มีรูปทรงเหมาะกับสรีระของผู้ขี่ ย่างก้าวนุ่มนวลไม่โคลงเคลง และที่สำคัญ กระเป๋าหน้าท้องของมันยังสามารถจุเสบียงอาหารไปพร้อมกับถนอมความสดได้นานกว่าหนึ่งถึงสามเดือนขึ้นอยู่กับอายุและสายพันธุ์ที่เขาทำการปรับปรุงจนไม่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือและนิ้วเท้าของเขาเอง สุดท้ายเขาก็เลยต้องไปยืมนิ้วมือของเพื่อนบ้านและจบลงด้วยการถูกตบด้วยหนังสือเล่มยักษ์ และจับมัดถ่วงน้ำหายไป... เอ่อ อันที่จริงเรื่องนี้นับว่าไม่เกี่ยวกับหัวข้อว่าด้วยลิมโปโป้เท่าไหร่นัก

     

    ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดล้วนเกิดมาจากความพยายามแก้อาการเมาอูฐของนักเวทผู้นี้เท่านั้นเอง... และเหล่าปราชญ์ผู้เขียนตำราก็จงใจเมินเหตุผลนี้ไปเสีย แต่ถึงพวกเขาจะไม่เมิน ตำราหนาเตอะตบคนตาย ก็ไม่ชวนให้คนนึกอยากอ่านอยู่ดี

     

    อย่าว่างั้นว่างี้เลย แม้แต่หนึ่งในปราชญ์ที่ร่วมกันแต่งตำรายังเอามันมารองขาโต๊ะที่หักไปของเขาด้วยซ้ำ

     

    ซึ่งเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการเดินทางของแซมแม้แต่น้อย

     

     

     

     

     

    จากการเดินทางร่วมกันหลายวัน ทำให้แซมรู้จักเจ้านายใหม่ของเขาเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง

    แมรี่เป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยพูดมากนัก ใบหน้าของเด็กสาวมักราบเรียบราวกับรูปสลักหินไม่สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมา ถึงแซมจะเป็นพวกช่างซักช่างถาม ทว่าเขาก็รู้จักฐานะของตนดีพอที่จะไม่ถามซอกแซกมากจนเกินไป เพียงแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ขาดการอบรมด้านการศึกษา โลกใบเล็กของเขามีเพียงโอเอซิสและคอกลิมโปโป้อับชื้น แซมมีเรื่องมากมายที่สงสัย อย่างเช่นวิญญาณคืออะไร แล้วทำไมต้องไปจับวิญญาณ แต่เขาไม่กล้าถามมันออกมา

     

    ในค่ำคืนหนึ่ง เสียงเพลงหวานหูดังไปทั่วผืนทราย

     

    ((ครั้งหนึ่งยังมี แผ่นดินเขียวขจีกว้างไกล...))

     

    เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา

     

    “นั่นคืออะไรหรือขอรับ ท่านแมรี่” เขานึกแปลกใจที่เห็นสัตว์อสูรร้องเพลงในเวลากลางคืนบนเนินทราย มันมีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวที่มีร่างเปลือยเปล่า เส้นผมสีดำขลับตัดกับผิวขาวซีกไร้สีเลือด ดวงตาเป็นสีอำพันชวนให้คุ้นตา แต่ช่วงล่างคล้ายงู

    เพลงของมันกล่าวถึงผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

     

    “ภูตพิทักษ์แห่งทะเลทราย” แมรี่เอ่ย แซมรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กสาวในยามกลางคืน แสงจันทร์ทำให้เธอดูงดงามและลึกลับราวกับนางพรายที่แซมเคยเห็นเพียงครั้งเดียวในการแสดงโชว์ของคณะละครสัตว์เร่ร่อนที่แวะพักยังโอเอซิสของมาโป

     

    ดวงตาสีเหลืองอำพันของภูติพิทักษ์แห่งทะเลทรายวาวโรจน์ในความมืด มันเหลือบมองพวกแซมเพียงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ให้ความสนใจกับการร้องเพลงของมันต่อ

     

    ((ข้าปรารถนารักจากฟากฟ้า หยาดน้ำตาแทนถ้อยกระซิบสู่แผ่นดิน))

     

    บทเพลงที่ดูราวกับความฝันเลื่อนลอยของผืนทรายที่ปรารถนาความชุ่มชื่น ดินแดนไร้น้ำอ้อนวอนขอฝนจากฟากฟ้าที่มีเพียงดวงตะวันอันร้อนแรง

     

    หากแซมเป็นเด็กหนุ่มผู้ได้รับการศึกษาตามมาตรฐานของสมาคมปราชญ์คงร้องด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพดังกล่าว ภูตพิทักษ์แห่งทะเลทรายแต่เดิมใช้เรียกขานกลุ่มภูตที่คอยปกปักษ์ทะเลทรายซาคามันด์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล ทว่า ตั้งแต่ทะเลทรายแผ่ขยายอาณาเขต เหล่าภูตต่างปฏิเสธดินแดนตะวันตก ภูตพิทักษ์จึงเหลือเพียงตนเดียว...

    ภูตที่เฝ้าร้องเพลงราวกับจะขอความเห็นใจจากผืนฟ้า

     

    กล่าวกันว่ามันจะกลายร่างเป็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ผู้พบเห็นดุจกระจกเงา

     

    “เจ้าเห็นอะไร” แมรี่เอ่ยถามลอยๆ      

     

    แซมอธิบายภาพที่เขาเห็น พร้อมสำทับว่า “ข้าว่าใบหน้าของนางคุ้นตา... บางที... อาจเป็นเพราะดวงตาคู่นั้นคล้ายแม่ของข้าขอรับ”

     

    อนิจจา เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่อาจล่วงรู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ของภูตพิทักษ์

     

    กระจกเงานั้นจะสะท้อนเพียงเงามืดในหัวใจของมนุษย์เท่านั้นเอง

     

    แมรี่ทอดมองร่างที่กู่ร้องใต้แสงจันทรา ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะหลับพริ้ม

     

    เสียงเพลงอันเศร้าสร้อยและหวานหูยังคงขับขาน กล่อมเด็กสาวให้เข้าสู่นิทราในห้วงราตรีอันเย็นยะเยือกของทะเลทราย

    ช่วงเวลากลางวันแซมมักจะผล็อยหลับไปตามความเคยชินเช่นชาวมาทรูชก้าทั่วไปที่นอนหลับในเวลากลางวัน แรกๆ เด็กหนุ่มตกใจจนลนลาน เขาพร่ำขอโทษแมรี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าแมรี่เพียงเอ่ยสั้นๆ “เจ้าเฝ้ายามให้ข้าตอนกลางคืนก็แล้วกัน”

     

    แซมรับปากด้วยความแข็งขัน ยามกลางคืนถือเป็นเวลาที่มักจะมีผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญเช่นโจรทะเลทรายหรือสัตว์ร้ายที่ออกหากิน วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการถือคบเพลิงสมุทร เปลวเพลิงไร้สีและแสง ซึ่งจะปล่อยกลิ่นที่ขับไล่สัตว์ร้ายและทำให้ประสาทสัมผัสของพวกโจรป่าขาดความเฉียบคม

     

    แซมถือคบเพลิงให้กับแมรี่ตลอดทั้งคืน เขาเฝ้ามองเด็กสาวหลับใหล จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

     

    เด็กหนุ่มนึกดีใจที่ได้เจ้านายที่ดี เขานึกหวาดกลัวอนาคตมาโดยตลอด เพราะโดยส่วนใหญ่ ทาสที่เข้าวัยฉกรรจ์ถ้าไม่ถูกมาโปนำไปขายให้ทหารของนครหลวง ก็จะถูกขายให้กับกลุ่มโจรทะเลทราย หรืออย่างดีก็อาจจะถูกมาโปจับไปฝึกเป็นทหารยาม เป็นกรรมกรแบกหาม หรืออย่างเลวร้ายก็จะถูกขายอวัยวะให้กับบรรดาจอมเวทมนต์ดำ

     

    “เป็นโชคดีของข้าจริงๆ” แซมพึมพำ

     

    “เจอแล้ว” แมรี่ลืมตาโพลง

     

    แซมถึงกับผงะไป หน้าของเขาแดงก่ำด้วยความเขินอาย “อะ อะ อะไรหรือขอรับ

     

    เด็กสาวหันมองเขา ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่มุมปาก

     

    “สระแห่งวิญญาณ”

     

     

     

     

    สระแห่งวิญญาณ

     

    มันเป็นสระน้ำที่มักจะผุดขึ้นมาตามสถานที่ต่างๆ โดยส่วนมากจะมีระยะเวลาที่แน่นอนสามารถคำนวณได้โดยพึ่งพาผู้อ่านดาราที่จะอ่านเส้นตัดกันระหว่างกลุ่มดาวชงโคและกลุ่มดาวดรุณีแห่งพงไพร ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของบรรดานักจับวิญญาณจึงเป็นรูปเทพธิดาถือดอกชงโคซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีห้ากลีบและเกสรยาว

     

    หน้าที่ของสระแห่งนี้ก็ตรงตามชื่อ นั่นคือที่สำหรับกักเก็บตะกอนแห่งความทรงจำหรือเจตจำนงอันแรงกล้าของผู้ล่วงลับ ว่ากันว่า ยิ่งมีความรู้สึกที่รุนแรงและเข้มข้นมากแค่ไหน ตะกอนยิ่งขุ่นและนอนก้นมากเท่านั้น

     

    แมรี่อาศัยความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการอ่านเส้นทางของสระแห่งวิญญาณ จนมาถึงเนินทรายที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดแปลกตา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักจับวิญญาณที่มารอให้สระแห่งวิญญาณปรากฏ นักจับเหล่านี้อาศัยการกวนตะกอน คัดเลือก และจับเอาวิญญาณชั้งสูงไปขายให้แก่เหล่าผู้มีอันจะกินจำพวกคหบดีไปจนถึงราชา

     

    การมาของแมรี่และแซมในยามวิกาลเรียกความสนใจจากดวงตาหลายคู่ของนักจับวิญญาณ

     

    แมรี่ลงจากหลังของคียาด้วยท่วงท่าสง่างาม เธอเดินอย่างแช่มช้าไปยังชายร่างสูงผู้หนึ่งที่ประดับตราดอกชงโคสามดอก จากนั้นก็ถอนสายบัว “คารวะท่านผู้นำ”

     

    ที่แท้แล้วชายผู้นี้คือผู้นำทางดวงวิญญาณ ซึ่งหมายถึงตำแหน่งหัวหน้าของสมาคมนักจับวิญญาณ

     

    ฝ่ายนั้นแปลกใจเล็กน้อย “คุณหนู เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าข้าคือผู้นำทาง”

     

    เด็กสาวยิ้มน้อยๆ เธอชี้ไปยังสัญลักษณ์ดอกชงโคของเขา “มีเพียงผู้นำทางจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสามบุปผาได้ และที่สำคัญ ท่านยังดูงามสง่าที่สุดในที่นี้ค่ะ”

     

    คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากผู้นำทาง เขาหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้เด็กสาวที่มองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินอันเยือกเย็น “งั้นมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ คุณหนู”

     

    “ข้าต้องการเข้าร่วมการจับวิญญาณค่ะ”

     

    “มาแล้ว ท่านผู้นำ!” ใครบางคนร้องตะโกน ไม่มีใครให้ความสนใจผู้มาเยือนอีกต่อไป สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องที่แสงเรืองรองบนผืนทรายเบื้องหน้า

     

    เส้นแสงเรืองรองประดุจจะบ่งบอกถึงอาณาเขตของสระแห่งวิญญาณ

     

    เพียงชั่วเวลาที่แซมแค่กะพริบตาครั้งเดียว เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ผิวน้ำสะท้อนสีดำและดวงจันทร์ที่ดูราวกับลูกแก้วสีขาว

     

    สายลมเย็นยะเยือกพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ แซมใช้ร่างของตนเองกันลมให้กับเจ้านายที่ยังคงมีใบหน้าสงบนิ่ง เสียงของแมรี่ราบเรียบและทรงอำนาจคล้ายภาพตรงหน้าไม่ทำให้เธอนึกแปลกใจหรือสงสัย เด็กสาวยังคงเอ่ยกับชายร่างสูงใหญ่อย่างเยือกเย็นและสุภาพในคราเดียวกัน

     

    “ท่านผู้นำ ข้าต้องการเรือของท่านสักลำค่ะ”

     

    ชายหนุ่มร่างใหญ่เบือนหน้ามามองเด็กสาวอย่างคนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าเจ้ามาหาวิญญาณที่เหมาะกับพ่อหนูน้อยด้านหลังของเจ้าน่ะ”

     

    คำพูดนี้เขาหมายถึงแซมซึ่งเมื่อเทียบกับชายร่างใหญ่ผู้นี้แล้ว จะนับว่าเป็นหนูน้อยก็ไม่ผิดนัก

     

    “ถูกต้องค่ะ” แมรี่ตอบโดยไม่ลังเล

     

    เสียงโห่ฮาแสดงความขบขันดังมาจากบรรดานักจับวิญญาณโดยรอบ แซมได้แต่ยิ้มค้าง ดวงตากะพริบปริบๆ เขายังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แมรี่เรียกว่าวิญญาณนัก แม้เขาจะเคยเห็นว่ามาโปเองก็มีสิ่งที่ถูกเรียกขานเช่นนี้ และที่ยิ่งไม่เข้าใจกว่านั้นคือทำไมเจ้านายใหม่ของเขาจึงไม่จับวิญญาณเพื่อตัวเธอเอง

     

    ใบหน้าหล่อเหลาของผู้นำยิ้มอย่างพึงพอใจ “คาชีม! หาเรือให้คุณหนูสักลำสิ!”

     

    “ท่านผู้น้ามมมม” คนสนิทของชายหนุ่มถึงกับร้องเสียงหลง

     

    “เรือจับวิญญาณทุกลำเป็นกรรมสิทธิ์ของข้า เจ้าเงียบไปเลย” ชายหนุ่มผู้ถูกสั่งเลยได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อย่างยอมจำนน เขาหาเรือพร้อมเสื้อคลุมกันน้ำให้แซมและแมรี่พร้อมสอนวิธีใช้ชูชีพ “ห้ามตกลงไปในสระเด็ดขาดรู้ไหม เพราะเจ้าจะถูกละลายทุกอย่างตั้งแต่เลือดเนื้อ กระดูก ไปจนถึงวิญญาณ”

     

    แซมรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังขนลุก

     

    “ต้องการคนพายเรือด้วยไหม คุณหนู” ผู้นำทางดวงวิญญาณเอ่ยถาม แมรี่ส่ายศีรษะ เธอก้มลงกอบดินขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นก็เป่า... ก้อนดินหลอมรวมกันกลายเป็นตุ๊กตาขนาดเกือบเท่าตัวคน มันค่อยๆ ขยับร่างและเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เด็กสาวคลี่ยิ้มงดงามชวนให้ผู้คนขนลุกเกรียว

     

    “ข้าไม่ไว้ใจคนของท่านค่ะ”

     

    ชายร่างใหญ่ผู้นำเหล่านักจับวิญญาณถึงกับผิวปากหวือ เขาหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดี มือหนึ่งยกห้ามลูกน้องอารมณ์ร้อนที่ทำท่าจะพุ่งโจมตีแมรี่ที่หยามพวกเขา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเด็กสาวตวัดมองคนผู้นั้น

     

    “ข้าไม่อยากถูกลอบผลักลงไปในสระแห่งวิญญาณแล้วสลายไม่เหลือแม้แต่กระดูกแบบที่พวกท่านเคยทำกับนักเดินทางคนอื่นหรอกนะคะ”

     

    เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันในหมู่ชาวบ้าน กล่าวกันว่าพวกนักจับวิญญาณมักรังเกียจคนนอกที่จะมาแย่งส่วนแบ่ง บางครั้งพวกเขาจึงลอบผลักคนพวกนั้นให้ลงไปในสระแห่งวิญญาณ ซึ่งผู้นำทางดวงวิญญาณเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ปฏิเสธเรื่องเล่านั้น

     

    ถึงจะฟังดูโหดร้าย แต่บางครั้งการเติม ‘สารอาหาร’ จำพวกร่างและวิญญาณของคนเป็นก็ช่วยให้สระแห่งวิญญาณคงความใสกระจ่างได้ ผู้นำทางดวงวิญญาณอาจจะยินดีให้นักเดินทางหยิบยืมเรือ แต่ไม่เคยหยิบยื่นความปลอดภัยให้

     

    ‘ถ้าจมลงไปก็ถือว่าเจ้าโง่เอง’

     

    ถ้อยคำอันแสนเย็นชานี้เคยหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เมื่อนักเดินทางคนหนึ่งที่ถูกผลักตกสระพยายามจะตะเกียกตะกายเกาะเรือของเขาด้วยมือที่เนื้อหนังลอกจนเหลือเพียงกระดูกขาวโพลน

     

    เด็กสาวยิ้มเย็นๆ ให้เหล่านักจับวิญญาณที่มองมาด้วยสายตาหลากความรู้สึก บ้างนึกนับถือ บ้างนึกรังเกียจ บ้างนึกหวาดกลัว และที่สำคัญเหนืออื่นใด พวกเขารู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งคือเด็กสาวผู้นี้มีอะไรซ่อนอยู่มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก เห็นได้ชัดจากทาสรับใช้หุ่นดินที่ถูกเรียกมา มีเพียงนักเวทอัญเชิญระดับมาสเตอร์คลาสเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้

     

    นักเวทมาสเตอร์คลาส... ระดับที่ทุกคนรู้กันว่าถ้ายังรักชีวิตอยู่ก็อย่าได้เอาคอตัวเองไปพาดเขียงให้ถูกเชือดเล่นเป็นที่น่าขายหน้าเสียเปล่าๆ

     

    ฉะนั้นทุกคนจึงปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าโต้เถียงอีกต่อไป

     

     

     

     

     

    ผู้นำทางดวงวิญญาณมอบพื้นที่ส่วนริมสระฝั่งเหนือให้แมรี่เพื่อใช้สำหรับจับวิญญาณ

     

    เรือลำน้อยที่สร้างโดยไม้ของมาดูกัส ป่าศักดิ์สิทธิ์ทางตอนเหนือของแผ่นดิน กล่าวกันว่ามันเป็นไม้ชนิดเดียวที่การโจมตีใดๆ ทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ก็ไม่สามารถทำลายได้ มันจึงเป็นวัสดุที่เหมาะกับการต่อเรือสำหรับจับวิญญาณมากที่สุด

     

    “ถือนี่เอาไว้” แมรี่ส่งของสิ่งหนึ่งให้แซม มันเป็นตุ๊กตาดินปั้นที่ดูคล้ายสัตว์บางอย่าง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ห้ามปล่อยมือนะ”

    แซมพยักหน้ารับ แมรี่ยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ

     

    เด็กสาวล้วงเอาสร้อยคอยาวเส้นหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระ มันเป็นสร้อยที่ร้อยจากเงินถักเส้นเล็กๆ ความยาวของมันมากพอที่จะพันทบแมรี่ได้ครึ่งตัว จี้ทองคำมีลักษณ์เป็นทรงข้าวหลามตัดที่มีปลายแคบ

     

    แซมมองเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วชวนให้ตาลาย ทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็หันมาหาเขา พร้อมสั่งสั้นๆ “ขอเลือดของเจ้าหน่อย”

     

    “อะ เอ๋”

     

    “ขอมือของเจ้าหน่อย” เด็กสาวถอนใจ แซมส่งมือให้เธอด้วยอาการลนลาน “ขะ ขอรับ”

     

    “เจ็บหน่อยนะ” แซมหลับตาปี๋ แมรี่ลากเอาปลายแหลมของจี้ทองคำไปบนอุ้งมือของแซมเกิดเป็นบาดแผลที่มีเลือดไหลซึม ปลายแหลมของจี้ทองคำสูบเลือดทั้งหมดอย่างรวดเร็วเสียจนไม่ทิ้งร่อยรอยใดๆ ไว้ “ปกติแล้ววิญญาณกับเจ้านายมักจะมีอุปนิสัยใจคอหรือลักษณะเด่นบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน... เขาเรียกอะไรนะ อ้อ ความเข้ากันได้... ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้เลือดเป็นสื่อกลาง”

     

    เดิมทีแซมกำลังจะหัวเราะแห้งๆ แล้วเอ่ยว่าไม่เป็นไร ทว่าประโยคต่อจากคำขอโทษของแมรี่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจ “วิญญาณกับเจ้านายหรือขอรับ”

     

    แล้วทำไมต้องใช้เลือดของเขาด้วยเล่า แซมสงสัย

     

    “ใช่” มือขาวเนียนกุมจี้ทองไว้แนบอก จากนั้นแมรี่ก็เริ่มท่องคาถาบางอย่าง เกิดแสงสีขาวนุ่มนวลโอบล้อมมือของเธอเอาไว้ เด็กสาวแตะริมฝีปากลงบนจี้ทองที่เย็นเฉียบแผ่วเบา “ข้าต้องการให้เจ้าครอบครองดวงวิญญาณ... เพราะข้าเป็นสตรี จึงไม่สามารถครอบครองดวงวิญญาณได้”

     

    แซมนึกอยากถามว่าทำไม แต่อีกฝ่ายชิงตอบขึ้นมาเสียก่อน

     

    “เพราะข้าปรารถนาจะหาคำตอบของคำถามข้อหนึ่ง” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายประหลาด

     

    เด็กหนุ่มผมแดงไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอีก เขาเฝ้ามองแมรี่ร้อยสายสร้อยเข้ากับนิ้วมือและพันทบมันห้าหกทบบนฝ่ามือ จากนั้นก็หย่อนจี้ลงไปในผิวน้ำ

     

    เกิดควันเล็กๆ และเสียงดังฟู่ตอนที่จี้ทองสัมผัสผิวน้ำ แต่เพียงครู่เดียวมันก็รั้งเอาสายสร้อยยาวเหยียดให้คลี่ออกเป็นเส้นตรง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฉุดรั้งมันลงไปยังใต้ผืนน้ำ แรงดึงนั้นรัดฝ่ามือของเด็กสาวให้เป็นรอยลึก

     

    แซมมองภาพนั้นด้วยสีหน้ากังวลใจ หากสีหน้าของเจ้านายทำให้เขารู้ว่าไม่ควรขัดให้เธอเสียสมาธิ

     

    แมรี่ยืนนิ่ง ปล่อยให้เวลานั้นมาถึง สายลมเย็นยะเยือกพัดเอาผ้าคลุมศีรษะหลุด ปล่อยให้เส้นผมสีน้ำเงินปลิวสยายราวกับนางพรายน้ำ เด็กสาวอยู่ในท่าแหงนลำคอ ดวงตาจ้องมองท้องฟ้า

     

    ผู้นำทางที่อยู่บนเรือลำไม่ห่างกันนักนึกชมเด็กสาวร่างเล็กผู้นี้ “ใช้ได้เลยนะนั่น”

     

    “...ถ้าหมายถึงหน้าตาของท่านล่ะก็ ข้าว่าไม่นะขอรับ” คนสนิทของเขาที่กำลังทำสิ่งคล้ายๆ กับแมรี่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ ทำเอาหัวหน้าหันมาค้อนปะหลับปะเหลือก

     

    “ไหงมันโยงเข้าเรื่องหน้าตาของข้าได้ฮะ! ข้ากำลังชมคุณหนูคนนั้นต่างหาก”

     

    คนสนิทผินมองตามคำบอกของหัวหน้าก่อนจะส่งเสียงตอบรับในลำคอ “ก็ปกติข้าเห็นท่านไม่ชมตัวเองก็เอาแต่บังคับให้คนอื่นชื่นชมท่านน่ะสิขอรับ”

     

    หนุ่มคนแจวเรือถึงกับกลั้นหัวเราะเสียจนหน้าแดงก่ำ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงหัวเราะออกไป นิสัยหลงรูปตัวเองถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของหัวหน้าใหญ่ผู้นี้ แถมเรื่องนี้ยังโด่งดังเสียจนเหล่านักเดินทางที่ปรารถนาจะมีวิญญาณเป็นของตัวเองสักตนยังต้องลอบจดจำไว้ว่า ‘คิดจะได้เรือจับวิญญาณ เจ้าต้องชมเจ้าของเรือเข้าไว้’

     

    “ใช่ นับว่าเธอมีความรู้เกี่ยวกับการจับวิญญาณดีทีเดียว” คนเป็นเจ้านายตัดสินใจเออออห่อหมกตอบรับเอาเองหน้าตาเฉยโดยไม่ใส่ใจคำชื่นชมของลูกน้อง เขาแหงนคอมองฟ้าเช่นเดียวกับแมรี่ ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้ม “ใกล้จะได้เวลาที่ดาวจะปรากฏแล้ว”

    “ทำไมดูสนุกจัง เนย์” เสียงใสๆ ถามขึ้น

     

    เงาร่างเลือนรางค่อยๆ รวมกันเป็นเด็กชายตัวน้อยในชุดสีน้ำเงินขลิบส้มที่มีแขนเสื้อยาวรุ่มร่าม ดวงตาสีน้ำเงินโปร่งใสราวกับผลึกน้ำแข็งจ้องมองผู้นำทางดวงวิญญาณด้วยความแปลกใจ

     

    “โอ้ ฟาอิส แปลกจริง ปกติเจ้าเกลียดการจับวิญญาณนี่นา” ฝ่ายนั้นร้องทักเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงสนิทสนม เหล่าคนสนิทของชายหนุ่มพากันปิดปากสนิท ส่วนเด็กน้อยที่ถูกทักทำแก้มป่อง “ฟาฟาไม่ชอบนี่ เนย์สนใจคนอื่นมากกว่า”

     

    เด็กชายตัวน้อยผู้นี้เป็นวิญญาณคุ้มครองแห่งดาวแมงป่องของผู้นำทางวิญญาณซึ่งมีพลังในการอ่านดวงดาวอันแม่นยำ อำนาจที่ถนัดคือคำสาปแช่ง โดยเฉพาะใครก็ตามที่บังอาจมาเกาะแกะเจ้านายสุดที่รัก วิญญาณแห่งดาวแมงป่องตนนี้จะสาปอย่างไม่ลังเล นั่นเป็นสาเหตุให้บรรดาลูกน้องผู้รักชีวิตของผู้นำทางดวงวิญญาณพากันหุบปากสนิท

     

    ฝ่ายที่ถูกตัดพ้อได้แต่ยิ้มแห้งๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนสนิทซึ่งมือถือรอกสาววิญญาณกระตุกหน่อยๆ “งั้นทำไมวันนี้ถึงออกมากันล่ะ”

     

    “ได้กลิ่นล่ะ” เด็กชายเอ่ย

     

    “กลิ่นงั้นรึ?”

     

    “อื้อ กลิ่นของจอมเวท” ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ชอบเลย”

     

    บรรดาลูกสมุนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันขนลุกขนพอง เวลาที่เด็กน้อยพูดว่า ‘ไม่ชอบเลย’ จากสถิติแล้ว อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ไม่ใกล้มีมากที่สุดมักจะตกเป็นลูกหลง และแน่นอนว่าไม่มีใครยินดีเป็นลูกหลงเป็นแน่

     

    สำหรับนิสัยนี้ บางทีเหล่านักจับวิญญาณที่สังกัดสมาคมก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าช่างเหมือนกันทั้งวิญญาณทั้งเจ้านายอะไรเช่นนี้ เพราะหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาเองก็เอาแต่ใจน้อยเสียเมื่อไหร่กันล่ะ บทอารมณ์ไม่ดี พ่อก็ฆ่าทิ้งเอาดื้อๆ เหมือนกันนั่นแหละ

     

    เพราะฉะนั้นปราชญ์หน้าไหนที่บังอาจเถียงว่าทฤษฎี ‘ความเข้ากันของตะกอนแห่งความทรงจำและผู้ทำสัญญา’ เป็นเรื่องไม่จริงล่ะก็ พวกเขาอยากจะอัญเชิญให้มาดูตัวอย่างแถวนี้เสียจริงจรี๊ง

     

    “อ้ะ!” จู่ๆ วิญญาณในคราบเด็กชายก็ตะโกนขึ้นมา ทำเอาเหล่านักจับวิญญาณมุงรอบๆ พากันสะดุ้งโหยง หลายคนเผลอสอดส่องสายตาที่กำบังจากคำสาปที่อาจจะบังเอิญพุ่งเข้าใส่ตนเองอย่างรวดเร็ว

     

    “มีอะไรรึ?” ผู้นำทางดวงวิญญาณที่ลอบขำปฏิกิริยาของพวกลูกน้องมองตามนิ้วของอีกฝ่าย

     

    “กลิ่นของรูนล่ะ” นิ้วป้อมชี้ไปยังเรือที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก

     

    วินาทีที่หัวหน้าใหญ่ของเหล่านักจับวิญญาณหันกลับไปให้ความสนใจเรือที่อยู่ทางทิศเหนือ เขาก็เห็นกระจุกแสงลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบโครงร่างของมนุษย์... “ดูเหมือนคุณหนูจะจับวิญญาณได้แล้วแฮะ โอ๋”

     

    คำอุทานในประโยคเมื่อครู่เป็นการแสดงความประหลาดใจที่ได้เห็นวิญญาณแห่งสายลม ซึ่งเป็นวิญญาณคุ้มครองของลูกน้องคนหนึ่งของเขากำลังตรงดิ่งไปยังเรือลำน้อยที่มีเงาของดวงวิญญาณกำลังขึ้นรูป

     

    ใบหน้าคมสันยักยิ้มเมื่อเห็นปลายนิ้วของแมรี่สะบัดไปบนอากาศ

     

    ก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์นี้ สมควรที่จะย้อนกลับไปทุ่งความสนใจที่เรือของแมรี่และแซมกันเสียก่อน



    บนเรือที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางสระแห่งวิญญาณ

     

    เวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียจนแซมรู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นเอง บริเวณท้องฟ้าสีดำอันว่างเปล่ากลับปรากฏดาวดวงหนึ่ง

     

    เด็กสาวที่รอจังหวะนี้มาเป็นเวลานานหย่อนปลายเชือกที่รัดไว้กับข้อนิ้วกลางให้หย่อนลงไปในน้ำ จี้ที่มีรูปร่างคล้ายลูกข่างหมุนวนไม่หยุด กลุ่มแสงที่ลอยละล่องอยู่ปริ่มน้ำบ้างก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ บ้างก็ถูกผลักให้หายไป

     

    แซมมองปรากฏการณ์นั้นด้วยความตื่นตะลึง น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่แมรี่กำลังทำคือพิธีกรรม ‘หลอมตะกอน’

     

    แมรี่ใช้จี้ศักดิ์สิทธิ์แทนแกนกลาง และเรียกเอาความทรงจำอันแรงกล้าที่กระจัดกระจายอยู่ในสระมารวมกัน ขั้นตอนนี้กินเวลายาวนาน บางครั้ง หากแกนกลางไม่ได้คุณภาพ เหล่าผู้เสาะแสวงหาดวงวิญญาณอาจจะต้องรอถึงสามวันสามคืน บางครั้งสระแห่งวิญญาณอาจจะหายไปพร้อมกับกลืนกินแกนกลางไปแบบดื้อๆ ไม่มีการพ่นคืนก็มีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นทำเอาหนุ่มลูกเศรษฐีระดับกลางที่พ่อสั่งนักสั่งหนาให้จับวิญญาณกลับมาให้ได้ถึงกับร้องไห้โฮ

     

    ทว่าจี้ของแมรี่ถือเป็นสื่อนำชั้นเยี่ยม สิ่งที่ต้องทำจึงมีเพียงแค่รอเวลา

     

    จี้ทองที่หมุนวนไม่หยุดล่อกลุ่มแสงให้พุ่งเข้าหา มันหลอมรวมกันเป็นเงาที่ค่อยๆ มีสีเข้มขึ้น... เข้มขึ้น...

     

    เสี้ยวแห่งแสงก่อตัวเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง แมรี่ไม่แน่ใจว่าเป็นบุรุษหรือสตรี เพราะจะบอกว่าเป็นสตรี เขาก็มีกล้ามเนื้ออันแสดงให้เห็นถึงความแข็งกระด้างของบุรุษ หรือจะกล่าวว่าเป็นบุรุษ โครงหน้านั้นก็งดงามเย้ายวนราวอิสตรี

     

    ร่างนั้นค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่ดูคล้ายกระโปรงยาว ประดับด้วยเสื้อคลุมและอัญมณีงดงาม ไข่มุกสองสายพันทบคล้องลำคอระหงที่มีรอยตีตราบางอย่างประทับอยู่ แมรี่รู้ในทันทีว่านั่นคือตราสัญลักษณ์ที่เรียกกันว่า ‘สลักผู้วายชนม์’

     

    สลักผู้วายชนม์ เป็นสิ่งที่วิญญาณทุกตนจะต้องมี เพื่อให้สามารถแยกระหว่างวิญญาณมนุษย์ซึ่งบางครั้งอาจะเป็นวิญญาณคนเป็นหรือวิญญาณคนตายที่ยังติดในห่วง และวิญญาณอันเป็นเพียงตะกอนแห่งความทรงจำ

     

    เมื่อเงาก่อตัวเป็นรูปร่าง ลำดับต่อมาคือการก่อกำเนิดของสีสัน

     

    สีเขียวเหลือบเงินราวกับสีของปีกอันโปร่งใสของแมลงฉาบย้อมเรือนผมยาวสยายที่ประดับด้วยเครื่องประดับทอง เพียงครู่เดียวเส้นผมก็ค่อยๆ พันเข้าหากันเป็นเปีย แพขนตายาวงอนของเขาค่อยๆ ปรอยปรือขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวอมเทาคล้ายสีสนิม

    เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากที่ไกลๆ ดูเหมือนเหล่านักจับวิญญาณคนอื่นจะเริ่มให้ความสนใจมาที่เรือของแมรี่และแซมเด็กสาวลอบพ่นลมหายใจ

     

    พวกนั้นเร็วกว่าที่เธอคำนวณไปหน่อย

     

    แต่อันที่จริงเธอก็ไม่เคยไว้ใจเหล่านักจับวิญญาณพวกนี้อยู่แล้ว แปดในสิบส่วนเด็กสาวคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องมีพวกชอบฉวยโอกาสพยายามแย่งชิงวิญญาณของพวกเธอไปด้วยเหตุ ‘ขอโทษที บังเอิญมือข้าลื่น’ หรืออะไรทำนองนี้อย่างแน่นอน

    มนุษย์ตุ๊กตาดินที่ทำหน้าที่แจวเรือเปรียบเสมือนตาอีกคู่หนึ่งของแมรี่ซึ่งมองเห็นเรือหนึ่งถึงสองลำกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างน้อยการแสดงพลังในฐานะจอมเวทชั้นมาสเตอร์คลาสก็ช่วยเพิ่มความระแวดระวังให้ฝ่ายนั้นพอสมควร

     

    แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คำว่าจอมเวทชั้นมาสเตอร์คลาสกระเด็นออกไปจากสามัญสำนึกของนักจับวิญญาณผู้ไร้กฎเกณฑ์พวกนี้คือการได้เห็นวิญญาณที่มีตะกอนหนาแน่น ซึ่งยิ่งตะกอนเข้มข้นเท่าไหร่ วิญญาณตนนั้นยิ่งเป็นวิญญาณระดับสูงขึ้นเท่านั้น

    สำหรับเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้าแมรี่ เธอเห็นสีฟ้าเข้มเหมือนสีของไพลิน

     

    แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับให้นักจับวิญญาณสักคนคิดอยากเสี่ยงตายเพื่อแย่งชิง

     

    เรือลำหนึ่งพุ่งตรงมาพร้อมกับวิญญาณแห่งลมที่บินเหนือผืนน้ำจนเกิดรอยแยกราวกับถูกเฉือนด้วยของมีคม

     

    ...มาแล้วรึ

     

    “อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงร้องเกรี้ยวกราดดังขึ้น ผสานกับเสียงลมหวีดหวิวอันแสนเกรี้ยวกราดของวิญญาณแห่งภูตลมที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา แมรี่สะบัดนิ้ว เกิดเป็นรอยกรีดสีขาวประหลาดที่กลางอากาศ แล้วสายลมก็ถูกสะกัดกั้น ร่างของวิญญาณแห่งลมแตกกระจาย

     

    ฝ่ายนักจับวิญญาณคนอื่นๆ ที่เห็นว่าสหายของตนเริ่มเพลี่ยงพล้ำจึงเข้ามา นัยน์ตาของพวกเขาวาวโรจน์ วิญญาณสุนัขป่ากระหายเลือดที่ดำตนหนึ่งกระโจนลงมาบนเรือของแมรี่ แซมร้องด้วยความตกอกตกใจ ดวงตาสีเหลืองทองของสุนัขป่าทอประกายน่าประหลาด

     

    “อย่ามองตาของมัน” แมรี่ร้องเตือน แซมหลับตาปี๋ เขารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

     

    มันคือวิญญาณสุนัขป่ามายา ดวงตาของมันสามารถสะกดผู้ที่มองให้ปฏิบัติตามคำสั่งได้ อย่างเช่นตอนนี้ มันพยายามที่จะสะกดแมรี่ซึ่งไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ มิฉะนั้นอาจทำให้การตกวิญญาณล้มเหลว

     

    ..เร็วเข้าสิ

     

    ...เร็วเข้า

     

    กลุ่มแสงสีน้ำเงินเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ภายในนั้น แก่นกลางสีขาวเต้นตุบๆ ราวกับเสียงของหัวใจ

     

    สุนัขป่ามายาขยับร่างเข้ามาใกล้แมรี่ทีละน้อย เด็กสาวรู้สึกได้ว่าร่างของตัวเองเริ่มชาหนึบ ผู้ใช้วิญญาณซึ่งเป็นลูกน้องของผู้นำทางวิญญาณอีกสองสามคนหันหัวเรือมาทางที่แมรี่อยู่ วิญญาณของพวกเขาล้วนเป็นวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าวิญญาณที่ถูกแมรี่จับได้จะถูกนำไปกินเพื่อเพิ่มพลังมากกว่า

     

    การเพิ่มพลังของวิญญาณมีสองวิธี หนึ่งคือการใช้เวทเสริมพลังซึ่งมีระยะเวลาไม่มาก และสอง... กินวิญญาณตนอื่นเข้าไปเสียเพื่อเพิ่มพูนพลังอำนาจของตนเอง

     

    “เดี๋ยวสิ นี่มันเหยื่อของข้านะ!” เจ้าของวิญญาณสุนัขป่ามายาโวยวาย สุนัขป่าตัวใหญ่หันขวับไปยังทิศทางของเรือที่กำลังมุ่งหน้ามาตามคำสั่งของเจ้านาย ดวงตาของมันวาวโรจน์ สีเหลืองทองยิ่งทอประกายแจ่มจ้า มนตร์สะดทำให้เรือสองลำหันหัวกลับ มีเพียงลำเดียวเท่านั้นที่มีดวงวิญญาณชั้นสูง การสะกดจิตจึงไม่ได้ผล อาชากระดูกที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเปล่งเสียงร้องข่มขู่ให้เจ้าสุนัขป่าถึงกับกลัวหัวหดไม่ยอมทำอะไรต่อทั้งสิ้น

     

    เพราะการขัดแข้งขัดขากันเองในหมู่ผู้จับวิญญาณ ทำให้แมรี่มีเวลามากยิ่งขึ้น เธอมองเงาวิญญาณที่ตัวเองตกได้แล้วเร่งเร้าในใจ

     

    ..เร็วเข้า

     

    ก่อร่างเร็วเข้า

     

    วิญญาณอาชากระดูกเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทุกที ดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำเหมือนเลือด ในจังหวะที่มันกำลังจะกระโจนขึ้นมาบนเรือของแมรี่ กลับมีขนนกสีรุ้งปักอยู่บนร่างของมัน ร่างใหญ่โตของอาชากระเด็นไปนอนพังพาบอยู่บนเรือของผู้เป็นนายซึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นาลูซ เจ้ามันไร้ยางอาย”

     

    ชายชื่อนาลูซซึ่งครอบครองวิหคร้อยสีที่โจมตีอาชากระดูกเมื่อครู่แสยะยิ้ม “ผู้เข้มแข็งอยู่รอด สหายเอ๋ย”

     

    ..เร็วเข้า

     

    ในที่สุดวิญญาณที่ถูกตกขึ้นมาได้ก็เริ่มขึ้นโครงร่างชัดเจน สีสันค่อยๆ ถูกแต้มเข้าไปทีละเล็ก ทีละน้อย

     

    “ส่งวิญญาณนั่นมาให้ข้า!” ผู้ครอบครองวิญญาณวิหคร้อยสีตะโกน นกตัวใหญ่บินตรงมาทางแมรี่ หมายจะพุ่งทะลุร่างวิญญาณเพื่อทำให้ชิ้นส่วนกระจัดกระจายแล้วจึงค่อยสูบกิน ทว่าเจ้านกดังกล่าวกลับถูกสะกัดไว้ได้โดยวิญญาณแห่งลมซึ่งกลับมารวมร่างกันได้อีกครั้ง ใบหน้าของมันโกรธเกรี้ยวเสียจนไม่สนใจแล้วว่าจะแย่งชิงวิญญาณมาได้หรือไม่ ผู้เป็นนายของมันพยายามร้องห้าม แต่วิญญาณไม่ฟัง

     

    ร่างของวิญญาณนกร้อยสีถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ตกสู่สระแห่งวิญญาณ

     

    เกิดเสียงดังซู่ ก่อนที่วิญญาณจะถูกละลายหายไป ความน่าสะพรึงกลัวของสระแห่งวิญญาณนั้น สำหรับโจรในคราบนักจับวิญญาณพวกนี้ การเห็นคนถูกละลายทั้งเป็นในสระล้วนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผิดปกติคือการที่เหยื่อในครานี้กลับเป็นพวกพ้องของตนต่างหาก

    ท่ามกลางความวุ่นวาย แมรี่เป็นคนเดียวที่มีสมาธิกับเรื่องตรงหน้ามากที่สุด หลังจากรอมาเป็นเวลานาน โครงหน้าทั้งหมดก็ครบถ้วน ดวงตาปรอยปรือสั่นไหว ราวกับจะพยายามลืมตาขึ้นให้จงได้

     

    เรียบร้อย!

     

    “แซม! จับข้าไว้” เด็กสาวตะโกนเสียงดังลั่น แซมคว้าแขนของเธออย่างรวดเร็ว

     

    แมรี่ตั้งสมาธิเพียงจุดหมายปลายทางของเธอ มือที่กุมสายสร้อยซึ่งยังเชื่อมอยู่กับวิญญาณตรงหน้ากำแน่นขึ้น เด็กสาวกัดฟันกรอด จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานวาดมือเป็นสัญลักษณ์ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ปลายนิ้วสะบัดขึ้น จากนั้นก็สะบัดลงเป็นรูปฟันเลื่อยตรงกลางและลากปิดท้าย

     

    “เออวอซ์!”

     

    เออวอซ์คือรูนอันเป็นสัญลักษณ์ของอาชา ความหมายของมันคือการเคลื่อนที่ หรือความเร็ว

     

    ทว่าวิญญาณแห่งลมไม่ใช่วิญญาณชั้นต่ำ มันดูดกลืนเอาวิญญาณตนอื่นๆ เข้ามาหลอมหลวมกับแกนของมันเสียจนอำนาจของมันเทียบเท่ากับวิญญาณลมระดับสูง ที่แกนกลางของมันเองก็ได้รับการสลักรูน ‘เออวอซ์’ เช่นเดียวกัน

     

    แต่ปลายนิ้วของแมรี่ยังไม่หยุด เมื่อลากปลายหางของสัญลักษณ์เออวอซ์มาจนสุด เธอก็ตวัดมือขึ้นเฉียงๆ แล้วสะบัดไปมาคล้ายสายฟ้าฟาดกลางอากาศเป็นอักษรรูนอีกตัวหนึ่ง

     

    “ไรโด!”

     

    อักษรรูนเปล่งแสงเจิดจ้ากลางอากาศ

     

    สัญลักษณ์โดยนัยของเออวอซ์คืออาชา ไรโดคือเกวียน... ม้าลากเกวียนคือเวทเคลื่อนย้าย

     

    ก่อนที่แซมจะทันรู้ตัว เขาก็ถูกกลืนหายไป

     

     

     

     

     

     

    ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แซมพบว่าตนเองยืนอยู่บนเนินดินเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า

     

    “สะ สีเขียว” เด็กหนุ่มไม่รู้จักต้นหญ้า เขามองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ที่ผ่านมา นอกจากผืนทรายและต้นไม้ทะเลทรายที่พยายามปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเพื่อความอยู่รอด แซมก็ไม่เคยเห็นทุ่งหญ้ามาก่อน

     

    อันที่จริงต้องบอกว่าเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขามาก่อน ทั้งสิ่งที่ดูนูนสูงคล้ายภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียว น้ำใสสะอาดไหลริน สิ่งมีชีวิตบินได้หลากสีสันอยู่เหนือสิ่งที่ดูคล้ายใบไม้หลากสีที่แกว่งไกวไปตามแรงลม เสียงร้องของนกตัวเล็กๆ ที่แซมไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ดูแปลกตาไปจากต้นไม้ที่แซมเคยเห็นเมื่ออาศัยอยู่ในโอเอซิสของมาโป

     

    ปกติแล้วต้นไม้ที่อาศัยในทะเลทรายจำเป็นจะต้องปรับรูปร่างของใบและลำต้นเพื่อให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาวะอันโหดร้ายได้ ซ้ำน้ำเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงไม่ใช่ฝน จึงทำให้รูปลักษณ์ของมันบิดเบี้ยว... ผิดกับต้นไม้ตรงหน้าของแซมเหลือเกิน

     

    แซมไม่เคยเห็นผืนดินเขียวขจีเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มค่อยๆ แตะมือของตนสัมผัสเจ้าสิ่งที่ดูคล้ายเข็มสีเขียวเล็กๆ ที่แทงขึ้นมาจากพื้นด้วยความตื่นเต้น มันนุ่มกว่าที่เขาคิดและสัมผัสของมันชวนให้จักจี้เล็กน้อย

     

    แมรี่ยันตัวขึ้น เธอมองผลงานของตัวเองด้วยความพึงพอใจ “แซม ตุ๊กตาดินของข้าล่ะ”

     

    “อ่ะ เอ้อ นี่ขอรับ” เพราะแซมกลัวจะทำมันหาย เขาจึงกำมันไว้แน่นเสียจนดินมีรอยยุบเล็กน้อย “วะ หวา ขออภัยขอรับ”

     

    “ไม่เป็นไร แก่นข้างในไม่เสียก็ใช้ได้” แมรี่รับมันมาถือไว้ในมือ เธอค่อยๆ เป่ามันเบาๆ ก้อนดินแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นร่างอันแสนคุ้นเคย

     

    “คียา!” แซมเรียกชื่อของเจ้าลิมโปโป้ด้วยความตื่นเต้น มันยื่นคอยาวๆ มาถูแก้มเข้ากับศีรษะของแซมและเริ่มเลีย

     

    แมรี่หันมาให้ความสนใจกับวิญญาณตนที่เธอตกมาได้ต่อ เธอมองการแต่งกายของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูจากลักษณะของ

    เสื้อผ้าและเครื่องประดับแล้วคงเป็นชนชั้นสูง โดยเฉพาะกำไลที่ต้นแขนซึ่งสลักลวดลายที่แมรี่รู้สึกคุ้นตานัก

     

    วิญญาณตนนั้นคลี่ยิ้มซื่อๆ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้แมรี่สามารถตัดสินใจได้ชัดเจนว่าเขาเป็นบุรุษเพศ

     

    “สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    แซมยิ้มให้เขาแบบเก้อเขิน เด็กหนุ่มตื่นเต้นที่ได้เห็นวิญญาณเป็นครั้งแรก “สะ สวัสดีขอรับ”

     

    ปลายนิ้วเรียวยาวของวิญญาณชี้เข้าหาตัว จากนั้นเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะใสซื่อว่า

     

    “พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” 

     

    “...”

     

    “อ้อ อีกอย่าง ทำไมขาข้าถึงลอย แถมตัวโปร่งๆ ใสๆ แบบนี้ล่ะ”

     

    “...”

     

    แย่ล่ะ แมรี่คิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×