คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Sample] บทเพลงท่อนที่สอง
บทเพลงท่อนที่สอง
สระแห่งวิญญาณ
“ตกวิญญาณนี่เหมือนตกปลาไหม” – วิญญาณที่กำลังจะมีบท
“เอ ข้าว่าก็คล้ายๆ นะขอรับ มีทั้งเบ็ด ทั้งเหยื่อ โอ๊ย ท่านแมรี่ ตีข้าทำไมขอรับ” – แซม
...ตามหาวิญญาณ
คำว่า ‘วิญญาณ’ ไม่นับว่าถูกนัก ในสายตาของเหล่าปราชญ์ พวกเขาพึงพอใจจะเรียกรูปลักษณ์ที่ตกค้างของสิ่งมีชีวิตที่สิ้นอายุขัยว่า ‘เจตจำนงแห่งจิตวิญญาณ’ บ้างก็เป็น ‘ตะกอนแห่งความรู้สึกอันแรงกล้า’
สรุปว่า ถึงจะเรียกแบบไหน นั่นก็คือการพูดถึงจิตสำนึกสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตอยู่ดี
ยามสิ้นอายุขัย สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะถือกำเนิดใหม่ บางครั้งอาจอยู่ในภพภูมิเดิม เผ่าพันธุ์เดิม บางครั้งก็ต่างออกไป ทุกชีวิตล้วนเวียนว่ายในวัฏสงสารเพื่อชดใช้กรรมที่ได้เคยก่อ ทว่าเจตจำนงอันแรงกล้าของพวกเขาจะตกตะกอนอยู่ในรูปของร่างอันโปร่งใสที่ถอดแบบมาจากสิ่งมีชีวิตนั้นตอนตาย พลังลึกลับที่ก่อร่างของพวกเขาขึ้นมาส่งผลให้วิญญาณมีความสามารถที่หลากหลาย
วิญญาณจึงไม่ได้หมายความถึงวิญญาณมนุษย์ แต่เป็นวิญญาณอันเกิดจากความปรารถนาอันแรงกล้าของสิ่งที่มี ‘ชีวิต’ ทั้งหมด ตะกอนของความอาวรณ์จะถูกดึงให้ดำดิ่งลงไปในกระแสแห่งความทรงจำ
ทว่าการจะนำความสามารถนี้มาใช้ มีเพียงช่วงเวลาที่วิญญาณตนนั้นทำสัญญากับเผ่ามนุษย์เท่านั้น และที่สำคัญ จะต้องเป็นมนุษย์เพศชายเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมวิญญาณได้ เพราะสำหรับเพศหญิงแล้ว การรับวิญญาณเข้าร่างไม่ต่างอะไรกับการ ‘ตั้งครรภ์’ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่ปราศจากร่างเนื้อทำให้วิญญาณของพวกนางเสียหาย และตายในที่สุด
ดังนั้นผู้ใช้วิญญาณจึงมีแต่บุรุษ
และนั่นคือบทบาทของแซม
สิบวันนับตั้งแต่ออกจากโอเอซิสของมาโป
ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงสิบวันมานี้ของแมรี่และแซมขี่อยู่บนคียา ลิมโปโป้ที่เป็นพาหนะนำพวกเขาเดินทางในทะเลทรายที่ร้อนอบอ้าวในเวลากลางวัน และหนาวจัดในเวลากลางคืน นานๆ ครั้งพวกเขาจึงจะพักให้คียาได้นอนหลับหรือกินอาหารบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นเท่าไหร่นัก
ลิมโปโป้เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายอูฐ
อันที่จริงต้องกล่าวว่าแต่เดิมมันก็เคยเป็นอูฐธรรมดา จนกระทั่งนักเวทสายสัตว์อสูรชาวบรัทเชียผสมนั่นผสมนี่จนมันกลายเป็นอูฐยักษ์ที่สามารถบรรทุกคนได้ถึงสามคน โหนกของมันถูกปรับให้มีรูปทรงเหมาะกับสรีระของผู้ขี่ ย่างก้าวนุ่มนวลไม่โคลงเคลง และที่สำคัญ กระเป๋าหน้าท้องของมันยังสามารถจุเสบียงอาหารไปพร้อมกับถนอมความสดได้นานกว่าหนึ่งถึงสามเดือนขึ้นอยู่กับอายุและสายพันธุ์ที่เขาทำการปรับปรุงจนไม่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือและนิ้วเท้าของเขาเอง สุดท้ายเขาก็เลยต้องไปยืมนิ้วมือของเพื่อนบ้านและจบลงด้วยการถูกตบด้วยหนังสือเล่มยักษ์ และจับมัดถ่วงน้ำหายไป... เอ่อ อันที่จริงเรื่องนี้นับว่าไม่เกี่ยวกับหัวข้อว่าด้วยลิมโปโป้เท่าไหร่นัก
ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดล้วนเกิดมาจากความพยายามแก้อาการเมาอูฐของนักเวทผู้นี้เท่านั้นเอง... และเหล่าปราชญ์ผู้เขียนตำราก็จงใจเมินเหตุผลนี้ไปเสีย แต่ถึงพวกเขาจะไม่เมิน ตำราหนาเตอะตบคนตาย ก็ไม่ชวนให้คนนึกอยากอ่านอยู่ดี
อย่าว่างั้นว่างี้เลย แม้แต่หนึ่งในปราชญ์ที่ร่วมกันแต่งตำรายังเอามันมารองขาโต๊ะที่หักไปของเขาด้วยซ้ำ
ซึ่งเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการเดินทางของแซมแม้แต่น้อย
จากการเดินทางร่วมกันหลายวัน ทำให้แซมรู้จักเจ้านายใหม่ของเขาเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง
แมรี่เป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยพูดมากนัก ใบหน้าของเด็กสาวมักราบเรียบราวกับรูปสลักหินไม่สะท้อนถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกมา ถึงแซมจะเป็นพวกช่างซักช่างถาม ทว่าเขาก็รู้จักฐานะของตนดีพอที่จะไม่ถามซอกแซกมากจนเกินไป เพียงแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ขาดการอบรมด้านการศึกษา โลกใบเล็กของเขามีเพียงโอเอซิสและคอกลิมโปโป้อับชื้น แซมมีเรื่องมากมายที่สงสัย อย่างเช่นวิญญาณคืออะไร แล้วทำไมต้องไปจับวิญญาณ แต่เขาไม่กล้าถามมันออกมา
ในค่ำคืนหนึ่ง เสียงเพลงหวานหูดังไปทั่วผืนทราย
((ครั้งหนึ่งยังมี แผ่นดินเขียวขจีกว้างไกล...))
เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“นั่นคืออะไรหรือขอรับ ท่านแมรี่” เขานึกแปลกใจที่เห็นสัตว์อสูรร้องเพลงในเวลากลางคืนบนเนินทราย มันมีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวที่มีร่างเปลือยเปล่า เส้นผมสีดำขลับตัดกับผิวขาวซีกไร้สีเลือด ดวงตาเป็นสีอำพันชวนให้คุ้นตา แต่ช่วงล่างคล้ายงู
เพลงของมันกล่าวถึงผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ภูตพิทักษ์แห่งทะเลทราย” แมรี่เอ่ย แซมรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กสาวในยามกลางคืน แสงจันทร์ทำให้เธอดูงดงามและลึกลับราวกับนางพรายที่แซมเคยเห็นเพียงครั้งเดียวในการแสดงโชว์ของคณะละครสัตว์เร่ร่อนที่แวะพักยังโอเอซิสของมาโป
ดวงตาสีเหลืองอำพันของภูติพิทักษ์แห่งทะเลทรายวาวโรจน์ในความมืด มันเหลือบมองพวกแซมเพียงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ให้ความสนใจกับการร้องเพลงของมันต่อ
((ข้าปรารถนารักจากฟากฟ้า หยาดน้ำตาแทนถ้อยกระซิบสู่แผ่นดิน))
บทเพลงที่ดูราวกับความฝันเลื่อนลอยของผืนทรายที่ปรารถนาความชุ่มชื่น ดินแดนไร้น้ำอ้อนวอนขอฝนจากฟากฟ้าที่มีเพียงดวงตะวันอันร้อนแรง
หากแซมเป็นเด็กหนุ่มผู้ได้รับการศึกษาตามมาตรฐานของสมาคมปราชญ์คงร้องด้วยความตื่นเต้นที่ได้เห็นภาพดังกล่าว ภูตพิทักษ์แห่งทะเลทรายแต่เดิมใช้เรียกขานกลุ่มภูตที่คอยปกปักษ์ทะเลทรายซาคามันด์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล ทว่า ตั้งแต่ทะเลทรายแผ่ขยายอาณาเขต เหล่าภูตต่างปฏิเสธดินแดนตะวันตก ภูตพิทักษ์จึงเหลือเพียงตนเดียว...
ภูตที่เฝ้าร้องเพลงราวกับจะขอความเห็นใจจากผืนฟ้า
กล่าวกันว่ามันจะกลายร่างเป็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ผู้พบเห็นดุจกระจกเงา
“เจ้าเห็นอะไร” แมรี่เอ่ยถามลอยๆ
แซมอธิบายภาพที่เขาเห็น พร้อมสำทับว่า “ข้าว่าใบหน้าของนางคุ้นตา... บางที... อาจเป็นเพราะดวงตาคู่นั้นคล้ายแม่ของข้าขอรับ”
อนิจจา เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่อาจล่วงรู้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ของภูตพิทักษ์
กระจกเงานั้นจะสะท้อนเพียงเงามืดในหัวใจของมนุษย์เท่านั้นเอง
แมรี่ทอดมองร่างที่กู่ร้องใต้แสงจันทรา ดวงตาสีน้ำเงินฉายแววเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะหลับพริ้ม
เสียงเพลงอันเศร้าสร้อยและหวานหูยังคงขับขาน กล่อมเด็กสาวให้เข้าสู่นิทราในห้วงราตรีอันเย็นยะเยือกของทะเลทราย
ช่วงเวลากลางวันแซมมักจะผล็อยหลับไปตามความเคยชินเช่นชาวมาทรูชก้าทั่วไปที่นอนหลับในเวลากลางวัน แรกๆ เด็กหนุ่มตกใจจนลนลาน เขาพร่ำขอโทษแมรี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าแมรี่เพียงเอ่ยสั้นๆ “เจ้าเฝ้ายามให้ข้าตอนกลางคืนก็แล้วกัน”
แซมรับปากด้วยความแข็งขัน ยามกลางคืนถือเป็นเวลาที่มักจะมีผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญเช่นโจรทะเลทรายหรือสัตว์ร้ายที่ออกหากิน วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการถือคบเพลิงสมุทร เปลวเพลิงไร้สีและแสง ซึ่งจะปล่อยกลิ่นที่ขับไล่สัตว์ร้ายและทำให้ประสาทสัมผัสของพวกโจรป่าขาดความเฉียบคม
แซมถือคบเพลิงให้กับแมรี่ตลอดทั้งคืน เขาเฝ้ามองเด็กสาวหลับใหล จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เด็กหนุ่มนึกดีใจที่ได้เจ้านายที่ดี เขานึกหวาดกลัวอนาคตมาโดยตลอด เพราะโดยส่วนใหญ่ ทาสที่เข้าวัยฉกรรจ์ถ้าไม่ถูกมาโปนำไปขายให้ทหารของนครหลวง ก็จะถูกขายให้กับกลุ่มโจรทะเลทราย หรืออย่างดีก็อาจจะถูกมาโปจับไปฝึกเป็นทหารยาม เป็นกรรมกรแบกหาม หรืออย่างเลวร้ายก็จะถูกขายอวัยวะให้กับบรรดาจอมเวทมนต์ดำ
“เป็นโชคดีของข้าจริงๆ” แซมพึมพำ
“เจอแล้ว” แมรี่ลืมตาโพลง
แซมถึงกับผงะไป หน้าของเขาแดงก่ำด้วยความเขินอาย “อะ อะ อะไรหรือขอรับ
เด็กสาวหันมองเขา ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่มุมปาก
“สระแห่งวิญญาณ”
สระแห่งวิญญาณ
มันเป็นสระน้ำที่มักจะผุดขึ้นมาตามสถานที่ต่างๆ โดยส่วนมากจะมีระยะเวลาที่แน่นอนสามารถคำนวณได้โดยพึ่งพาผู้อ่านดาราที่จะอ่านเส้นตัดกันระหว่างกลุ่มดาวชงโคและกลุ่มดาวดรุณีแห่งพงไพร ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของบรรดานักจับวิญญาณจึงเป็นรูปเทพธิดาถือดอกชงโคซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีห้ากลีบและเกสรยาว
หน้าที่ของสระแห่งนี้ก็ตรงตามชื่อ นั่นคือที่สำหรับกักเก็บตะกอนแห่งความทรงจำหรือเจตจำนงอันแรงกล้าของผู้ล่วงลับ ว่ากันว่า ยิ่งมีความรู้สึกที่รุนแรงและเข้มข้นมากแค่ไหน ตะกอนยิ่งขุ่นและนอนก้นมากเท่านั้น
แมรี่อาศัยความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการอ่านเส้นทางของสระแห่งวิญญาณ จนมาถึงเนินทรายที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดแปลกตา พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นนักจับวิญญาณที่มารอให้สระแห่งวิญญาณปรากฏ นักจับเหล่านี้อาศัยการกวนตะกอน คัดเลือก และจับเอาวิญญาณชั้งสูงไปขายให้แก่เหล่าผู้มีอันจะกินจำพวกคหบดีไปจนถึงราชา
การมาของแมรี่และแซมในยามวิกาลเรียกความสนใจจากดวงตาหลายคู่ของนักจับวิญญาณ
แมรี่ลงจากหลังของคียาด้วยท่วงท่าสง่างาม เธอเดินอย่างแช่มช้าไปยังชายร่างสูงผู้หนึ่งที่ประดับตราดอกชงโคสามดอก จากนั้นก็ถอนสายบัว “คารวะท่านผู้นำ”
ที่แท้แล้วชายผู้นี้คือผู้นำทางดวงวิญญาณ ซึ่งหมายถึงตำแหน่งหัวหน้าของสมาคมนักจับวิญญาณ
ฝ่ายนั้นแปลกใจเล็กน้อย “คุณหนู เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าข้าคือผู้นำทาง”
เด็กสาวยิ้มน้อยๆ เธอชี้ไปยังสัญลักษณ์ดอกชงโคของเขา “มีเพียงผู้นำทางจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสามบุปผาได้ และที่สำคัญ ท่านยังดูงามสง่าที่สุดในที่นี้ค่ะ”
คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากผู้นำทาง เขาหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้เด็กสาวที่มองเขาด้วยดวงตาสีน้ำเงินอันเยือกเย็น “งั้นมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ คุณหนู”
“ข้าต้องการเข้าร่วมการจับวิญญาณค่ะ”
“มาแล้ว ท่านผู้นำ!” ใครบางคนร้องตะโกน ไม่มีใครให้ความสนใจผู้มาเยือนอีกต่อไป สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องที่แสงเรืองรองบนผืนทรายเบื้องหน้า
เส้นแสงเรืองรองประดุจจะบ่งบอกถึงอาณาเขตของสระแห่งวิญญาณ
เพียงชั่วเวลาที่แซมแค่กะพริบตาครั้งเดียว เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ผิวน้ำสะท้อนสีดำและดวงจันทร์ที่ดูราวกับลูกแก้วสีขาว
สายลมเย็นยะเยือกพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ แซมใช้ร่างของตนเองกันลมให้กับเจ้านายที่ยังคงมีใบหน้าสงบนิ่ง เสียงของแมรี่ราบเรียบและทรงอำนาจคล้ายภาพตรงหน้าไม่ทำให้เธอนึกแปลกใจหรือสงสัย เด็กสาวยังคงเอ่ยกับชายร่างสูงใหญ่อย่างเยือกเย็นและสุภาพในคราเดียวกัน
“ท่านผู้นำ ข้าต้องการเรือของท่านสักลำค่ะ”
ชายหนุ่มร่างใหญ่เบือนหน้ามามองเด็กสาวอย่างคนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าเจ้ามาหาวิญญาณที่เหมาะกับพ่อหนูน้อยด้านหลังของเจ้าน่ะ”
คำพูดนี้เขาหมายถึงแซมซึ่งเมื่อเทียบกับชายร่างใหญ่ผู้นี้แล้ว จะนับว่าเป็นหนูน้อยก็ไม่ผิดนัก
“ถูกต้องค่ะ” แมรี่ตอบโดยไม่ลังเล
เสียงโห่ฮาแสดงความขบขันดังมาจากบรรดานักจับวิญญาณโดยรอบ แซมได้แต่ยิ้มค้าง ดวงตากะพริบปริบๆ เขายังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แมรี่เรียกว่าวิญญาณนัก แม้เขาจะเคยเห็นว่ามาโปเองก็มีสิ่งที่ถูกเรียกขานเช่นนี้ และที่ยิ่งไม่เข้าใจกว่านั้นคือทำไมเจ้านายใหม่ของเขาจึงไม่จับวิญญาณเพื่อตัวเธอเอง
ใบหน้าหล่อเหลาของผู้นำยิ้มอย่างพึงพอใจ “คาชีม! หาเรือให้คุณหนูสักลำสิ!”
“ท่านผู้น้ามมมม” คนสนิทของชายหนุ่มถึงกับร้องเสียงหลง
“เรือจับวิญญาณทุกลำเป็นกรรมสิทธิ์ของข้า เจ้าเงียบไปเลย” ชายหนุ่มผู้ถูกสั่งเลยได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อย่างยอมจำนน เขาหาเรือพร้อมเสื้อคลุมกันน้ำให้แซมและแมรี่พร้อมสอนวิธีใช้ชูชีพ “ห้ามตกลงไปในสระเด็ดขาดรู้ไหม เพราะเจ้าจะถูกละลายทุกอย่างตั้งแต่เลือดเนื้อ กระดูก ไปจนถึงวิญญาณ”
แซมรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังขนลุก
“ต้องการคนพายเรือด้วยไหม คุณหนู” ผู้นำทางดวงวิญญาณเอ่ยถาม แมรี่ส่ายศีรษะ เธอก้มลงกอบดินขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นก็เป่า... ก้อนดินหลอมรวมกันกลายเป็นตุ๊กตาขนาดเกือบเท่าตัวคน มันค่อยๆ ขยับร่างและเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เด็กสาวคลี่ยิ้มงดงามชวนให้ผู้คนขนลุกเกรียว
“ข้าไม่ไว้ใจคนของท่านค่ะ”
ชายร่างใหญ่ผู้นำเหล่านักจับวิญญาณถึงกับผิวปากหวือ เขาหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดี มือหนึ่งยกห้ามลูกน้องอารมณ์ร้อนที่ทำท่าจะพุ่งโจมตีแมรี่ที่หยามพวกเขา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเด็กสาวตวัดมองคนผู้นั้น
“ข้าไม่อยากถูกลอบผลักลงไปในสระแห่งวิญญาณแล้วสลายไม่เหลือแม้แต่กระดูกแบบที่พวกท่านเคยทำกับนักเดินทางคนอื่นหรอกนะคะ”
เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันในหมู่ชาวบ้าน กล่าวกันว่าพวกนักจับวิญญาณมักรังเกียจคนนอกที่จะมาแย่งส่วนแบ่ง บางครั้งพวกเขาจึงลอบผลักคนพวกนั้นให้ลงไปในสระแห่งวิญญาณ ซึ่งผู้นำทางดวงวิญญาณเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ปฏิเสธเรื่องเล่านั้น
ถึงจะฟังดูโหดร้าย แต่บางครั้งการเติม ‘สารอาหาร’ จำพวกร่างและวิญญาณของคนเป็นก็ช่วยให้สระแห่งวิญญาณคงความใสกระจ่างได้ ผู้นำทางดวงวิญญาณอาจจะยินดีให้นักเดินทางหยิบยืมเรือ แต่ไม่เคยหยิบยื่นความปลอดภัยให้
‘ถ้าจมลงไปก็ถือว่าเจ้าโง่เอง’
ถ้อยคำอันแสนเย็นชานี้เคยหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เมื่อนักเดินทางคนหนึ่งที่ถูกผลักตกสระพยายามจะตะเกียกตะกายเกาะเรือของเขาด้วยมือที่เนื้อหนังลอกจนเหลือเพียงกระดูกขาวโพลน
เด็กสาวยิ้มเย็นๆ ให้เหล่านักจับวิญญาณที่มองมาด้วยสายตาหลากความรู้สึก บ้างนึกนับถือ บ้างนึกรังเกียจ บ้างนึกหวาดกลัว และที่สำคัญเหนืออื่นใด พวกเขารู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งคือเด็กสาวผู้นี้มีอะไรซ่อนอยู่มากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก เห็นได้ชัดจากทาสรับใช้หุ่นดินที่ถูกเรียกมา มีเพียงนักเวทอัญเชิญระดับมาสเตอร์คลาสเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
นักเวทมาสเตอร์คลาส... ระดับที่ทุกคนรู้กันว่าถ้ายังรักชีวิตอยู่ก็อย่าได้เอาคอตัวเองไปพาดเขียงให้ถูกเชือดเล่นเป็นที่น่าขายหน้าเสียเปล่าๆ
ฉะนั้นทุกคนจึงปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าโต้เถียงอีกต่อไป
ผู้นำทางดวงวิญญาณมอบพื้นที่ส่วนริมสระฝั่งเหนือให้แมรี่เพื่อใช้สำหรับจับวิญญาณ
เรือลำน้อยที่สร้างโดยไม้ของมาดูกัส ป่าศักดิ์สิทธิ์ทางตอนเหนือของแผ่นดิน กล่าวกันว่ามันเป็นไม้ชนิดเดียวที่การโจมตีใดๆ ทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ก็ไม่สามารถทำลายได้ มันจึงเป็นวัสดุที่เหมาะกับการต่อเรือสำหรับจับวิญญาณมากที่สุด
“ถือนี่เอาไว้” แมรี่ส่งของสิ่งหนึ่งให้แซม มันเป็นตุ๊กตาดินปั้นที่ดูคล้ายสัตว์บางอย่าง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ห้ามปล่อยมือนะ”
แซมพยักหน้ารับ แมรี่ยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ
เด็กสาวล้วงเอาสร้อยคอยาวเส้นหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระ มันเป็นสร้อยที่ร้อยจากเงินถักเส้นเล็กๆ ความยาวของมันมากพอที่จะพันทบแมรี่ได้ครึ่งตัว จี้ทองคำมีลักษณ์เป็นทรงข้าวหลามตัดที่มีปลายแคบ
แซมมองเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วชวนให้ตาลาย ทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็หันมาหาเขา พร้อมสั่งสั้นๆ “ขอเลือดของเจ้าหน่อย”
“อะ เอ๋”
“ขอมือของเจ้าหน่อย” เด็กสาวถอนใจ แซมส่งมือให้เธอด้วยอาการลนลาน “ขะ ขอรับ”
“เจ็บหน่อยนะ” แซมหลับตาปี๋ แมรี่ลากเอาปลายแหลมของจี้ทองคำไปบนอุ้งมือของแซมเกิดเป็นบาดแผลที่มีเลือดไหลซึม ปลายแหลมของจี้ทองคำสูบเลือดทั้งหมดอย่างรวดเร็วเสียจนไม่ทิ้งร่อยรอยใดๆ ไว้ “ปกติแล้ววิญญาณกับเจ้านายมักจะมีอุปนิสัยใจคอหรือลักษณะเด่นบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน... เขาเรียกอะไรนะ อ้อ ความเข้ากันได้... ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องใช้เลือดเป็นสื่อกลาง”
เดิมทีแซมกำลังจะหัวเราะแห้งๆ แล้วเอ่ยว่าไม่เป็นไร ทว่าประโยคต่อจากคำขอโทษของแมรี่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจ “วิญญาณกับเจ้านายหรือขอรับ”
แล้วทำไมต้องใช้เลือดของเขาด้วยเล่า แซมสงสัย
“ใช่” มือขาวเนียนกุมจี้ทองไว้แนบอก จากนั้นแมรี่ก็เริ่มท่องคาถาบางอย่าง เกิดแสงสีขาวนุ่มนวลโอบล้อมมือของเธอเอาไว้ เด็กสาวแตะริมฝีปากลงบนจี้ทองที่เย็นเฉียบแผ่วเบา “ข้าต้องการให้เจ้าครอบครองดวงวิญญาณ... เพราะข้าเป็นสตรี จึงไม่สามารถครอบครองดวงวิญญาณได้”
แซมนึกอยากถามว่าทำไม แต่อีกฝ่ายชิงตอบขึ้นมาเสียก่อน
“เพราะข้าปรารถนาจะหาคำตอบของคำถามข้อหนึ่ง” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มทอประกายประหลาด
เด็กหนุ่มผมแดงไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอีก เขาเฝ้ามองแมรี่ร้อยสายสร้อยเข้ากับนิ้วมือและพันทบมันห้าหกทบบนฝ่ามือ จากนั้นก็หย่อนจี้ลงไปในผิวน้ำ
เกิดควันเล็กๆ และเสียงดังฟู่ตอนที่จี้ทองสัมผัสผิวน้ำ แต่เพียงครู่เดียวมันก็รั้งเอาสายสร้อยยาวเหยียดให้คลี่ออกเป็นเส้นตรง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นฉุดรั้งมันลงไปยังใต้ผืนน้ำ แรงดึงนั้นรัดฝ่ามือของเด็กสาวให้เป็นรอยลึก
แซมมองภาพนั้นด้วยสีหน้ากังวลใจ หากสีหน้าของเจ้านายทำให้เขารู้ว่าไม่ควรขัดให้เธอเสียสมาธิ
แมรี่ยืนนิ่ง ปล่อยให้เวลานั้นมาถึง สายลมเย็นยะเยือกพัดเอาผ้าคลุมศีรษะหลุด ปล่อยให้เส้นผมสีน้ำเงินปลิวสยายราวกับนางพรายน้ำ เด็กสาวอยู่ในท่าแหงนลำคอ ดวงตาจ้องมองท้องฟ้า
ผู้นำทางที่อยู่บนเรือลำไม่ห่างกันนักนึกชมเด็กสาวร่างเล็กผู้นี้ “ใช้ได้เลยนะนั่น”
“...ถ้าหมายถึงหน้าตาของท่านล่ะก็ ข้าว่าไม่นะขอรับ” คนสนิทของเขาที่กำลังทำสิ่งคล้ายๆ กับแมรี่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ ทำเอาหัวหน้าหันมาค้อนปะหลับปะเหลือก
“ไหงมันโยงเข้าเรื่องหน้าตาของข้าได้ฮะ! ข้ากำลังชมคุณหนูคนนั้นต่างหาก”
คนสนิทผินมองตามคำบอกของหัวหน้าก่อนจะส่งเสียงตอบรับในลำคอ “ก็ปกติข้าเห็นท่านไม่ชมตัวเองก็เอาแต่บังคับให้คนอื่นชื่นชมท่านน่ะสิขอรับ”
หนุ่มคนแจวเรือถึงกับกลั้นหัวเราะเสียจนหน้าแดงก่ำ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงหัวเราะออกไป นิสัยหลงรูปตัวเองถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของหัวหน้าใหญ่ผู้นี้ แถมเรื่องนี้ยังโด่งดังเสียจนเหล่านักเดินทางที่ปรารถนาจะมีวิญญาณเป็นของตัวเองสักตนยังต้องลอบจดจำไว้ว่า ‘คิดจะได้เรือจับวิญญาณ เจ้าต้องชมเจ้าของเรือเข้าไว้’
“ใช่ นับว่าเธอมีความรู้เกี่ยวกับการจับวิญญาณดีทีเดียว” คนเป็นเจ้านายตัดสินใจเออออห่อหมกตอบรับเอาเองหน้าตาเฉยโดยไม่ใส่ใจคำชื่นชมของลูกน้อง เขาแหงนคอมองฟ้าเช่นเดียวกับแมรี่ ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้ม “ใกล้จะได้เวลาที่ดาวจะปรากฏแล้ว”
“ทำไมดูสนุกจัง เนย์” เสียงใสๆ ถามขึ้น
เงาร่างเลือนรางค่อยๆ รวมกันเป็นเด็กชายตัวน้อยในชุดสีน้ำเงินขลิบส้มที่มีแขนเสื้อยาวรุ่มร่าม ดวงตาสีน้ำเงินโปร่งใสราวกับผลึกน้ำแข็งจ้องมองผู้นำทางดวงวิญญาณด้วยความแปลกใจ
“โอ้ ฟาอิส แปลกจริง ปกติเจ้าเกลียดการจับวิญญาณนี่นา” ฝ่ายนั้นร้องทักเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงสนิทสนม เหล่าคนสนิทของชายหนุ่มพากันปิดปากสนิท ส่วนเด็กน้อยที่ถูกทักทำแก้มป่อง “ฟาฟาไม่ชอบนี่ เนย์สนใจคนอื่นมากกว่า”
เด็กชายตัวน้อยผู้นี้เป็นวิญญาณคุ้มครองแห่งดาวแมงป่องของผู้นำทางวิญญาณซึ่งมีพลังในการอ่านดวงดาวอันแม่นยำ อำนาจที่ถนัดคือคำสาปแช่ง โดยเฉพาะใครก็ตามที่บังอาจมาเกาะแกะเจ้านายสุดที่รัก วิญญาณแห่งดาวแมงป่องตนนี้จะสาปอย่างไม่ลังเล นั่นเป็นสาเหตุให้บรรดาลูกน้องผู้รักชีวิตของผู้นำทางดวงวิญญาณพากันหุบปากสนิท
ฝ่ายที่ถูกตัดพ้อได้แต่ยิ้มแห้งๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นคนสนิทซึ่งมือถือรอกสาววิญญาณกระตุกหน่อยๆ “งั้นทำไมวันนี้ถึงออกมากันล่ะ”
“ได้กลิ่นล่ะ” เด็กชายเอ่ย
“กลิ่นงั้นรึ?”
“อื้อ กลิ่นของจอมเวท” ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อย “ไม่ชอบเลย”
บรรดาลูกสมุนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันขนลุกขนพอง เวลาที่เด็กน้อยพูดว่า ‘ไม่ชอบเลย’ จากสถิติแล้ว อะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ไม่ใกล้มีมากที่สุดมักจะตกเป็นลูกหลง และแน่นอนว่าไม่มีใครยินดีเป็นลูกหลงเป็นแน่
สำหรับนิสัยนี้ บางทีเหล่านักจับวิญญาณที่สังกัดสมาคมก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าช่างเหมือนกันทั้งวิญญาณทั้งเจ้านายอะไรเช่นนี้ เพราะหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาเองก็เอาแต่ใจน้อยเสียเมื่อไหร่กันล่ะ บทอารมณ์ไม่ดี พ่อก็ฆ่าทิ้งเอาดื้อๆ เหมือนกันนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นปราชญ์หน้าไหนที่บังอาจเถียงว่าทฤษฎี ‘ความเข้ากันของตะกอนแห่งความทรงจำและผู้ทำสัญญา’ เป็นเรื่องไม่จริงล่ะก็ พวกเขาอยากจะอัญเชิญให้มาดูตัวอย่างแถวนี้เสียจริงจรี๊ง
“อ้ะ!” จู่ๆ วิญญาณในคราบเด็กชายก็ตะโกนขึ้นมา ทำเอาเหล่านักจับวิญญาณมุงรอบๆ พากันสะดุ้งโหยง หลายคนเผลอสอดส่องสายตาที่กำบังจากคำสาปที่อาจจะบังเอิญพุ่งเข้าใส่ตนเองอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรรึ?” ผู้นำทางดวงวิญญาณที่ลอบขำปฏิกิริยาของพวกลูกน้องมองตามนิ้วของอีกฝ่าย
“กลิ่นของรูนล่ะ” นิ้วป้อมชี้ไปยังเรือที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก
วินาทีที่หัวหน้าใหญ่ของเหล่านักจับวิญญาณหันกลับไปให้ความสนใจเรือที่อยู่ทางทิศเหนือ เขาก็เห็นกระจุกแสงลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบโครงร่างของมนุษย์... “ดูเหมือนคุณหนูจะจับวิญญาณได้แล้วแฮะ โอ๋”
คำอุทานในประโยคเมื่อครู่เป็นการแสดงความประหลาดใจที่ได้เห็นวิญญาณแห่งสายลม ซึ่งเป็นวิญญาณคุ้มครองของลูกน้องคนหนึ่งของเขากำลังตรงดิ่งไปยังเรือลำน้อยที่มีเงาของดวงวิญญาณกำลังขึ้นรูป
ใบหน้าคมสันยักยิ้มเมื่อเห็นปลายนิ้วของแมรี่สะบัดไปบนอากาศ
ก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์นี้ สมควรที่จะย้อนกลับไปทุ่งความสนใจที่เรือของแมรี่และแซมกันเสียก่อน
บนเรือที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางสระแห่งวิญญาณ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียจนแซมรู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นเอง บริเวณท้องฟ้าสีดำอันว่างเปล่ากลับปรากฏดาวดวงหนึ่ง
เด็กสาวที่รอจังหวะนี้มาเป็นเวลานานหย่อนปลายเชือกที่รัดไว้กับข้อนิ้วกลางให้หย่อนลงไปในน้ำ จี้ที่มีรูปร่างคล้ายลูกข่างหมุนวนไม่หยุด กลุ่มแสงที่ลอยละล่องอยู่ปริ่มน้ำบ้างก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ บ้างก็ถูกผลักให้หายไป
แซมมองปรากฏการณ์นั้นด้วยความตื่นตะลึง น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่แมรี่กำลังทำคือพิธีกรรม ‘หลอมตะกอน’
แมรี่ใช้จี้ศักดิ์สิทธิ์แทนแกนกลาง และเรียกเอาความทรงจำอันแรงกล้าที่กระจัดกระจายอยู่ในสระมารวมกัน ขั้นตอนนี้กินเวลายาวนาน บางครั้ง หากแกนกลางไม่ได้คุณภาพ เหล่าผู้เสาะแสวงหาดวงวิญญาณอาจจะต้องรอถึงสามวันสามคืน บางครั้งสระแห่งวิญญาณอาจจะหายไปพร้อมกับกลืนกินแกนกลางไปแบบดื้อๆ ไม่มีการพ่นคืนก็มีตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นทำเอาหนุ่มลูกเศรษฐีระดับกลางที่พ่อสั่งนักสั่งหนาให้จับวิญญาณกลับมาให้ได้ถึงกับร้องไห้โฮ
ทว่าจี้ของแมรี่ถือเป็นสื่อนำชั้นเยี่ยม สิ่งที่ต้องทำจึงมีเพียงแค่รอเวลา
จี้ทองที่หมุนวนไม่หยุดล่อกลุ่มแสงให้พุ่งเข้าหา มันหลอมรวมกันเป็นเงาที่ค่อยๆ มีสีเข้มขึ้น... เข้มขึ้น...
เสี้ยวแห่งแสงก่อตัวเป็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง แมรี่ไม่แน่ใจว่าเป็นบุรุษหรือสตรี เพราะจะบอกว่าเป็นสตรี เขาก็มีกล้ามเนื้ออันแสดงให้เห็นถึงความแข็งกระด้างของบุรุษ หรือจะกล่าวว่าเป็นบุรุษ โครงหน้านั้นก็งดงามเย้ายวนราวอิสตรี
ร่างนั้นค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยอาภรณ์ที่ดูคล้ายกระโปรงยาว ประดับด้วยเสื้อคลุมและอัญมณีงดงาม ไข่มุกสองสายพันทบคล้องลำคอระหงที่มีรอยตีตราบางอย่างประทับอยู่ แมรี่รู้ในทันทีว่านั่นคือตราสัญลักษณ์ที่เรียกกันว่า ‘สลักผู้วายชนม์’
สลักผู้วายชนม์ เป็นสิ่งที่วิญญาณทุกตนจะต้องมี เพื่อให้สามารถแยกระหว่างวิญญาณมนุษย์ซึ่งบางครั้งอาจะเป็นวิญญาณคนเป็นหรือวิญญาณคนตายที่ยังติดในห่วง และวิญญาณอันเป็นเพียงตะกอนแห่งความทรงจำ
เมื่อเงาก่อตัวเป็นรูปร่าง ลำดับต่อมาคือการก่อกำเนิดของสีสัน
สีเขียวเหลือบเงินราวกับสีของปีกอันโปร่งใสของแมลงฉาบย้อมเรือนผมยาวสยายที่ประดับด้วยเครื่องประดับทอง เพียงครู่เดียวเส้นผมก็ค่อยๆ พันเข้าหากันเป็นเปีย แพขนตายาวงอนของเขาค่อยๆ ปรอยปรือขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวอมเทาคล้ายสีสนิม
เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากที่ไกลๆ ดูเหมือนเหล่านักจับวิญญาณคนอื่นจะเริ่มให้ความสนใจมาที่เรือของแมรี่และแซมเด็กสาวลอบพ่นลมหายใจ
พวกนั้นเร็วกว่าที่เธอคำนวณไปหน่อย
แต่อันที่จริงเธอก็ไม่เคยไว้ใจเหล่านักจับวิญญาณพวกนี้อยู่แล้ว แปดในสิบส่วนเด็กสาวคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องมีพวกชอบฉวยโอกาสพยายามแย่งชิงวิญญาณของพวกเธอไปด้วยเหตุ ‘ขอโทษที บังเอิญมือข้าลื่น’ หรืออะไรทำนองนี้อย่างแน่นอน
มนุษย์ตุ๊กตาดินที่ทำหน้าที่แจวเรือเปรียบเสมือนตาอีกคู่หนึ่งของแมรี่ซึ่งมองเห็นเรือหนึ่งถึงสองลำกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างน้อยการแสดงพลังในฐานะจอมเวทชั้นมาสเตอร์คลาสก็ช่วยเพิ่มความระแวดระวังให้ฝ่ายนั้นพอสมควร
แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คำว่าจอมเวทชั้นมาสเตอร์คลาสกระเด็นออกไปจากสามัญสำนึกของนักจับวิญญาณผู้ไร้กฎเกณฑ์พวกนี้คือการได้เห็นวิญญาณที่มีตะกอนหนาแน่น ซึ่งยิ่งตะกอนเข้มข้นเท่าไหร่ วิญญาณตนนั้นยิ่งเป็นวิญญาณระดับสูงขึ้นเท่านั้น
สำหรับเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้าแมรี่ เธอเห็นสีฟ้าเข้มเหมือนสีของไพลิน
แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับให้นักจับวิญญาณสักคนคิดอยากเสี่ยงตายเพื่อแย่งชิง
เรือลำหนึ่งพุ่งตรงมาพร้อมกับวิญญาณแห่งลมที่บินเหนือผืนน้ำจนเกิดรอยแยกราวกับถูกเฉือนด้วยของมีคม
...มาแล้วรึ
“อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงร้องเกรี้ยวกราดดังขึ้น ผสานกับเสียงลมหวีดหวิวอันแสนเกรี้ยวกราดของวิญญาณแห่งภูตลมที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา แมรี่สะบัดนิ้ว เกิดเป็นรอยกรีดสีขาวประหลาดที่กลางอากาศ แล้วสายลมก็ถูกสะกัดกั้น ร่างของวิญญาณแห่งลมแตกกระจาย
ฝ่ายนักจับวิญญาณคนอื่นๆ ที่เห็นว่าสหายของตนเริ่มเพลี่ยงพล้ำจึงเข้ามา นัยน์ตาของพวกเขาวาวโรจน์ วิญญาณสุนัขป่ากระหายเลือดที่ดำตนหนึ่งกระโจนลงมาบนเรือของแมรี่ แซมร้องด้วยความตกอกตกใจ ดวงตาสีเหลืองทองของสุนัขป่าทอประกายน่าประหลาด
“อย่ามองตาของมัน” แมรี่ร้องเตือน แซมหลับตาปี๋ เขารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
มันคือวิญญาณสุนัขป่ามายา ดวงตาของมันสามารถสะกดผู้ที่มองให้ปฏิบัติตามคำสั่งได้ อย่างเช่นตอนนี้ มันพยายามที่จะสะกดแมรี่ซึ่งไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้ มิฉะนั้นอาจทำให้การตกวิญญาณล้มเหลว
..เร็วเข้าสิ
...เร็วเข้า
กลุ่มแสงสีน้ำเงินเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ภายในนั้น แก่นกลางสีขาวเต้นตุบๆ ราวกับเสียงของหัวใจ
สุนัขป่ามายาขยับร่างเข้ามาใกล้แมรี่ทีละน้อย เด็กสาวรู้สึกได้ว่าร่างของตัวเองเริ่มชาหนึบ ผู้ใช้วิญญาณซึ่งเป็นลูกน้องของผู้นำทางวิญญาณอีกสองสามคนหันหัวเรือมาทางที่แมรี่อยู่ วิญญาณของพวกเขาล้วนเป็นวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าวิญญาณที่ถูกแมรี่จับได้จะถูกนำไปกินเพื่อเพิ่มพลังมากกว่า
การเพิ่มพลังของวิญญาณมีสองวิธี หนึ่งคือการใช้เวทเสริมพลังซึ่งมีระยะเวลาไม่มาก และสอง... กินวิญญาณตนอื่นเข้าไปเสียเพื่อเพิ่มพูนพลังอำนาจของตนเอง
“เดี๋ยวสิ นี่มันเหยื่อของข้านะ!” เจ้าของวิญญาณสุนัขป่ามายาโวยวาย สุนัขป่าตัวใหญ่หันขวับไปยังทิศทางของเรือที่กำลังมุ่งหน้ามาตามคำสั่งของเจ้านาย ดวงตาของมันวาวโรจน์ สีเหลืองทองยิ่งทอประกายแจ่มจ้า มนตร์สะดทำให้เรือสองลำหันหัวกลับ มีเพียงลำเดียวเท่านั้นที่มีดวงวิญญาณชั้นสูง การสะกดจิตจึงไม่ได้ผล อาชากระดูกที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเปล่งเสียงร้องข่มขู่ให้เจ้าสุนัขป่าถึงกับกลัวหัวหดไม่ยอมทำอะไรต่อทั้งสิ้น
เพราะการขัดแข้งขัดขากันเองในหมู่ผู้จับวิญญาณ ทำให้แมรี่มีเวลามากยิ่งขึ้น เธอมองเงาวิญญาณที่ตัวเองตกได้แล้วเร่งเร้าในใจ
..เร็วเข้า
ก่อร่างเร็วเข้า
วิญญาณอาชากระดูกเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทุกที ดวงตาของมันเป็นสีแดงก่ำเหมือนเลือด ในจังหวะที่มันกำลังจะกระโจนขึ้นมาบนเรือของแมรี่ กลับมีขนนกสีรุ้งปักอยู่บนร่างของมัน ร่างใหญ่โตของอาชากระเด็นไปนอนพังพาบอยู่บนเรือของผู้เป็นนายซึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นาลูซ เจ้ามันไร้ยางอาย”
ชายชื่อนาลูซซึ่งครอบครองวิหคร้อยสีที่โจมตีอาชากระดูกเมื่อครู่แสยะยิ้ม “ผู้เข้มแข็งอยู่รอด สหายเอ๋ย”
..เร็วเข้า
ในที่สุดวิญญาณที่ถูกตกขึ้นมาได้ก็เริ่มขึ้นโครงร่างชัดเจน สีสันค่อยๆ ถูกแต้มเข้าไปทีละเล็ก ทีละน้อย
“ส่งวิญญาณนั่นมาให้ข้า!” ผู้ครอบครองวิญญาณวิหคร้อยสีตะโกน นกตัวใหญ่บินตรงมาทางแมรี่ หมายจะพุ่งทะลุร่างวิญญาณเพื่อทำให้ชิ้นส่วนกระจัดกระจายแล้วจึงค่อยสูบกิน ทว่าเจ้านกดังกล่าวกลับถูกสะกัดไว้ได้โดยวิญญาณแห่งลมซึ่งกลับมารวมร่างกันได้อีกครั้ง ใบหน้าของมันโกรธเกรี้ยวเสียจนไม่สนใจแล้วว่าจะแย่งชิงวิญญาณมาได้หรือไม่ ผู้เป็นนายของมันพยายามร้องห้าม แต่วิญญาณไม่ฟัง
ร่างของวิญญาณนกร้อยสีถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ตกสู่สระแห่งวิญญาณ
เกิดเสียงดังซู่ ก่อนที่วิญญาณจะถูกละลายหายไป ความน่าสะพรึงกลัวของสระแห่งวิญญาณนั้น สำหรับโจรในคราบนักจับวิญญาณพวกนี้ การเห็นคนถูกละลายทั้งเป็นในสระล้วนเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ผิดปกติคือการที่เหยื่อในครานี้กลับเป็นพวกพ้องของตนต่างหาก
ท่ามกลางความวุ่นวาย แมรี่เป็นคนเดียวที่มีสมาธิกับเรื่องตรงหน้ามากที่สุด หลังจากรอมาเป็นเวลานาน โครงหน้าทั้งหมดก็ครบถ้วน ดวงตาปรอยปรือสั่นไหว ราวกับจะพยายามลืมตาขึ้นให้จงได้
เรียบร้อย!
“แซม! จับข้าไว้” เด็กสาวตะโกนเสียงดังลั่น แซมคว้าแขนของเธออย่างรวดเร็ว
แมรี่ตั้งสมาธิเพียงจุดหมายปลายทางของเธอ มือที่กุมสายสร้อยซึ่งยังเชื่อมอยู่กับวิญญาณตรงหน้ากำแน่นขึ้น เด็กสาวกัดฟันกรอด จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมมาเป็นเวลานานวาดมือเป็นสัญลักษณ์ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ปลายนิ้วสะบัดขึ้น จากนั้นก็สะบัดลงเป็นรูปฟันเลื่อยตรงกลางและลากปิดท้าย
“เออวอซ์!”
เออวอซ์คือรูนอันเป็นสัญลักษณ์ของอาชา ความหมายของมันคือการเคลื่อนที่ หรือความเร็ว
ทว่าวิญญาณแห่งลมไม่ใช่วิญญาณชั้นต่ำ มันดูดกลืนเอาวิญญาณตนอื่นๆ เข้ามาหลอมหลวมกับแกนของมันเสียจนอำนาจของมันเทียบเท่ากับวิญญาณลมระดับสูง ที่แกนกลางของมันเองก็ได้รับการสลักรูน ‘เออวอซ์’ เช่นเดียวกัน
แต่ปลายนิ้วของแมรี่ยังไม่หยุด เมื่อลากปลายหางของสัญลักษณ์เออวอซ์มาจนสุด เธอก็ตวัดมือขึ้นเฉียงๆ แล้วสะบัดไปมาคล้ายสายฟ้าฟาดกลางอากาศเป็นอักษรรูนอีกตัวหนึ่ง
“ไรโด!”
อักษรรูนเปล่งแสงเจิดจ้ากลางอากาศ
สัญลักษณ์โดยนัยของเออวอซ์คืออาชา ไรโดคือเกวียน... ม้าลากเกวียนคือเวทเคลื่อนย้าย
ก่อนที่แซมจะทันรู้ตัว เขาก็ถูกกลืนหายไป
ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แซมพบว่าตนเองยืนอยู่บนเนินดินเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า
“สะ สีเขียว” เด็กหนุ่มไม่รู้จักต้นหญ้า เขามองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ที่ผ่านมา นอกจากผืนทรายและต้นไม้ทะเลทรายที่พยายามปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเพื่อความอยู่รอด แซมก็ไม่เคยเห็นทุ่งหญ้ามาก่อน
อันที่จริงต้องบอกว่าเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขามาก่อน ทั้งสิ่งที่ดูนูนสูงคล้ายภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียว น้ำใสสะอาดไหลริน สิ่งมีชีวิตบินได้หลากสีสันอยู่เหนือสิ่งที่ดูคล้ายใบไม้หลากสีที่แกว่งไกวไปตามแรงลม เสียงร้องของนกตัวเล็กๆ ที่แซมไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ดูแปลกตาไปจากต้นไม้ที่แซมเคยเห็นเมื่ออาศัยอยู่ในโอเอซิสของมาโป
ปกติแล้วต้นไม้ที่อาศัยในทะเลทรายจำเป็นจะต้องปรับรูปร่างของใบและลำต้นเพื่อให้สามารถอยู่รอดท่ามกลางสภาวะอันโหดร้ายได้ ซ้ำน้ำเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงไม่ใช่ฝน จึงทำให้รูปลักษณ์ของมันบิดเบี้ยว... ผิดกับต้นไม้ตรงหน้าของแซมเหลือเกิน
แซมไม่เคยเห็นผืนดินเขียวขจีเช่นนี้มาก่อน เด็กหนุ่มค่อยๆ แตะมือของตนสัมผัสเจ้าสิ่งที่ดูคล้ายเข็มสีเขียวเล็กๆ ที่แทงขึ้นมาจากพื้นด้วยความตื่นเต้น มันนุ่มกว่าที่เขาคิดและสัมผัสของมันชวนให้จักจี้เล็กน้อย
แมรี่ยันตัวขึ้น เธอมองผลงานของตัวเองด้วยความพึงพอใจ “แซม ตุ๊กตาดินของข้าล่ะ”
“อ่ะ เอ้อ นี่ขอรับ” เพราะแซมกลัวจะทำมันหาย เขาจึงกำมันไว้แน่นเสียจนดินมีรอยยุบเล็กน้อย “วะ หวา ขออภัยขอรับ”
“ไม่เป็นไร แก่นข้างในไม่เสียก็ใช้ได้” แมรี่รับมันมาถือไว้ในมือ เธอค่อยๆ เป่ามันเบาๆ ก้อนดินแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นร่างอันแสนคุ้นเคย
“คียา!” แซมเรียกชื่อของเจ้าลิมโปโป้ด้วยความตื่นเต้น มันยื่นคอยาวๆ มาถูแก้มเข้ากับศีรษะของแซมและเริ่มเลีย
แมรี่หันมาให้ความสนใจกับวิญญาณตนที่เธอตกมาได้ต่อ เธอมองการแต่งกายของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูจากลักษณะของ
เสื้อผ้าและเครื่องประดับแล้วคงเป็นชนชั้นสูง โดยเฉพาะกำไลที่ต้นแขนซึ่งสลักลวดลายที่แมรี่รู้สึกคุ้นตานัก
วิญญาณตนนั้นคลี่ยิ้มซื่อๆ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้แมรี่สามารถตัดสินใจได้ชัดเจนว่าเขาเป็นบุรุษเพศ
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก”
แซมยิ้มให้เขาแบบเก้อเขิน เด็กหนุ่มตื่นเต้นที่ได้เห็นวิญญาณเป็นครั้งแรก “สะ สวัสดีขอรับ”
ปลายนิ้วเรียวยาวของวิญญาณชี้เข้าหาตัว จากนั้นเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะใสซื่อว่า
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”
“...”
“อ้อ อีกอย่าง ทำไมขาข้าถึงลอย แถมตัวโปร่งๆ ใสๆ แบบนี้ล่ะ”
“...”
แย่ล่ะ แมรี่คิด
ความคิดเห็น