T I M E L E S S ...
คุณแน่ใจหรือว่าสิ่งที่คุณเห็นมันเป็นอย่างที่คุณคิด ?
ผู้เข้าชมรวม
160
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่แต่งส่งอาจารย์ค่ะ ตอนแต่งอยากแต่งให้ออกมาดูแบบแอบจิตนิดๆ
พอแต่งเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่ามันจิตพอหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอะไรยังไงก็แล้วแต่ถึงจะจิตหรือไม่จิตยังไงก็เถอะค่ะ
ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าอ่านเรื่องนี้ขณะที่คุณกำลังกินข้าวนะคะ :)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เสียงทะเลาะและเสียงข้าวของหล่นโครมคราม ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในคืนเดือนมืด ต้นเหตุของเสียงดังมาจากบ้านหลังใหญ่สองชั้นสีขาว ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง บ้านแห่งนี้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรก็จริง แต่เพราะหมูบ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านของคนมีฐานะ บ้านแต่ละหลังจึงอยู่ไม่ติดกัน นอกจากนั้นขอบเขตและพื้นที่ของบ้านแต่ละหลังก็มีมากพอที่จะทำให้คนในบ้านแต่ละหลังไม่เคยสุงสิงกันเลย แม้ว่าบ้านจะอยู่ใกล้กันก็ตาม เพราะเหตุนี้ เวลาที่หนุ่มสาวคู่นี้ทะเลาะกันจึงไม่เคยมีใครได้ยินเลย
บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคู่รักคู่หนึ่งซึ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันแม้ว่าจะยังไม่ได้แต่งงานก็ตาม แต่บ้านหลังนี้ก็คล้ายเรือนหออยู่กลายๆ ฝ่ายหญิงพ่อแม่เสียชีวิตไปนานหลายปี ส่วนฝ่ายชายนั้น พ่อแม่เพิ่งเสียชีวิตไปได้เพียงปีกว่า ๆ ด้วยเหตุนี้ การที่ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการตบแต่งเสียก่อน จึงไม่มีใครเอ่ยคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย
เสียงคนตะโกนโต้ตอบกันไปมาดังขึ้นไม่นานนัก ก่อนที่เสียงทุกเสียงจะเงียบสงบลง ราวกับว่าคนทั้งคู่คืนดีกันแล้ว แต่นั่นอาจเป็นเพียงความเข้าใจโดยผิวเผิน เพราะหากลองสังเกตดี ๆ ทุกคนจะเห็นว่า หลังจากนั้น... ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงผู้หญิงจากบ้านหลังนี้อีกเลย...
‘ตึก ตึก’ เสียงรองเท้าหนังสีดำแวววาวดังกระทบพื้นทางเดินเป็นจังหวะ เรียกสายตาสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่ดึงดูดให้หลาย ๆ คน ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ก็เห็นจะเป็นใบหน้าเรียวที่รับกับองค์ประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างเข้ารูป ไม่ว่าจะเป็นยามที่สายตาคมทอดมองหรือเวลาที่เรียวปากอิ่มแย้มยิ้มให้ก็ดูดีไปเสียหมด ไหนจะรูปร่างสูงใหญ่อย่างคนออกกำลังกาย แล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบนร่างของเจ้าตัวมีเสื้อกาวน์สีขาวสวมทับอยู่ ก็ยิ่งเสริมให้เขาดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ถ้าหากพูดกันตามจริง ก็บอกได้เลยว่า ไม่ว่าจะมุมไหน เขาก็ดึงดูดสายตาให้มองตามได้ตลอด
“สวัสดีค่ะคุณหมอ วันนี้ยิ้มสดใสมาเชียวนะคะ” เสียงทักทายหยอกเย้าดังขึ้นจากนางพยาบาลประจำหน้าห้องตรวจของเขา
“เช้า ๆ แบบนี้ เราก็ควรจะสดใสไม่ใช่หรือครับคุณริน” เสียงทุ้มก้องกังวานที่ตอบกลับมา พาเอาหัวใจเธอเต้นตึกตักราวกับสาวน้อยแรกรุ่นเริ่มริลองรัก เหมือนว่าได้ย้อนวัยกลับไปตอนอายุ๑๔อีกครั้ง แม้จะห่างหายจากอาการแบบนี้มานานพอสมควร แต่เธอก็ยังจำความรู้สึกยามใจเต้นแรงเวลาที่ได้คุยกับคนที่เธอแอบปลื้มได้อย่างชัดเจน
“วันนี้แฟนคุณหมอคงจะทำอะไรดี ๆ ให้อีกสินะคะ” พอคิดถึงความจริงข้อนี้ หัวใจที่ฟูฟ่องอยู่ในอกก็แฟบลงอย่างกะทันหัน คุณหมอที่เธอปลื้มนักปลื้มหนามีคนรักอยู่แล้ว.. และดูเหมือนทั้งคู่จะรักกันมากเสียด้วย เมื่อก่อนแฟนคุณหมอยังมาหาคุณหมอให้เธอได้อิจฉาเล่นอยู่บ่อย ๆ จะมีก็เพียงแต่พักนี้ที่ไม่ได้มาเลย เธอก็คิดว่าทั้งคู่จะเลิกรากันแล้วเสียอีก แต่ที่ไหนได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่าจะดีขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะคุณหมอมาตรวจด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทุกวัน พอถามว่าทำไมถึงอารมณ์ดีได้ขนาดนี้ คำตอบที่ได้ก็มีเหตุมาจากคนรักของหมอคนนั้นทั้งสิ้น
“ครับ เรียกคนไข้เข้าห้องมาเลยก็ได้นะครับคุณริน” เรียวปากยิ้มกว้างพลางตอบรับกลับไป และก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องตรวจก็ไม่ลืมที่จะบอกคนรับหน้าที่หน้าห้องว่าตนพร้อมแล้ว เพราะเขาได้กำลังใจดีมาจากบ้านทุกเช้า พอมาถึงโรงพยาบาลจึงมีพลังที่จะตรวจคนไข้อย่างเต็มเปี่ยม
สายตาของนางพยาบาลสาวได้แต่มองหมอหนุ่มจนเขาลับสายตาไป มองแล้วก็ได้แต่ถอดถอนใจกับตัวเอง เธอรู้ตัวดีว่ายังไงเธอก็คงหมดสิทธิ์ อย่างเธอก็คงจะทำได้เพียงแค่แอบ ๆ ปลื้มเขาเท่านั้น อิจฉาก็แต่คนรักของคุณหมอเท่านั้น เธอคงทำบุญมาเยอะมากเลยทีเดียว ทั้งได้แฟนหล่อชนิดที่ว่าใคร ๆ ก็ไม่อาจละสายตา นิสัยก็ดีพอที่จะให้คนไข้ติดใจจนมาหาเขาบ่อย ๆ แถมยังไม่เคยเหลียวมองสาวที่แวะเวียนมาขายขนมจีบเสียด้วย ไม่รู้ว่าเธอต้องทำบุญอีกกี่ชาติถึงจะหาแฟนได้แบบนี้
หมอหนุ่มลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เมื่อคนไข้รายสุดท้ายของช่วงเช้าเพิ่งออก เหลือบมองนาฬิกาเข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ตรงกันที่เลขสิบสองพอดี มือเรียวหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ก่อนต่อสายไปหาใครบางคน คนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา...
ไม่มีเสียงพูดคุยใด ๆ ออกจากปากคนต้นสาย เขาทำเพียงยกโทรศัพท์แนบกับหูอยู่สักพักก่อนจะกดวาง เรียวปากอิ่มยกยิ้มขึ้นมาอย่างพออกพอใจ พร้อมกับเก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กลงกระเป๋าตามเดิม แล้วจึงเดินออกจากห้องตรวจเพื่อทานอาหารกลางวัน
“อ้าวคุณริน ยังไม่ไปทานอาหารกลางวันอีกหรอครับ” หมอหนุ่มเอ่ยทักพยาบาลสาวหน้าห้องด้วยความแปลกใจ เพราะยังเห็นเธอขะมักเขม้นจัดการกับแฟ้มประวัติคนไข้ในช่วงบ่ายไม่เสร็จเสียที
“ยังเลยค่ะคุณหมอ รินอยากจัดแฟ้มคนไข้ตรงนี้ให้เสร็จก่อนค่ะแล้วค่อยไป”
“ไปทานก่อนแล้วค่อยกลับมาจัดก็ได้นี่ครับคุณริน ไปกับผมเลยก็ได้นะครับ ผมก็นัดกับเจ้ากรไว้” พยาบาลสาวขมวดคิ้วพลางคิดหนัก ถ้ามีเพียงคุณหมอคนเดียวเธอคงรีบวางมือจากงานตรงนี้ทันทีอย่างไม่ต้องคิด แต่นี่ยังมีเพื่อนคุณหมอคนนั้นไปด้วยอีกคน เธอคงต้องคิดหนักเป็นพิเศษ ไปกินข้าวกับคนที่แอบปลื้มแต่ต้องไปเจอคน ๆ นั้นเนี่ยนะ
“เอ่อ...งั้นรินไม่รบกวนคุณหมอกับเพื่อนดีกว่าค่ะ รินขอจัดแฟ้มประวัติพวกนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่าค่ะ” เมื่อไตร่ตรองดูแล้วว่ามันไม่คุ้มกัน เธอจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป
“ความจริงก็ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกครับคุณริน ถ้าคุณรินไปผมว่าเจ้ากรคงจะดีใจเสียด้วยซ้ำ” หมอหนุ่มเอ่ยเชิงหยอกเย้า เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองแวะเวียนมาขายขนมจีบให้พยาบาลหน้าห้องของเขาอยู่บ่อย ๆ แต่ดูเหมือนนอกจากเธอจะไม่ค่อยชอบแล้ว ยังออกแนวจะรำคาญเพื่อนของเขาเสียด้วยซ้ำ เขาเลยเอาเรื่องนี้มาแซวพยาบาลคนสวยหน้าห้องของเขาบ่อย ๆ
“งั้นผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับคุณริน ผมขี้เกียจฟังเจ้ากรมันบ่นน่ะครับ แค่ต้องมาฟังมันเพ้อเรื่องคุณริน ผมก็เบื่อจะฟังแล้ว” ก่อนจะขอตัวออกไป เขาก็ไม่ลืมกระเซ้าเย้าแหย่พยาบาลสาวอีกครั้ง เรียกค้อนวงโตจากใบหน้านวลได้เป็นอย่างดี
พอเห็นสีหน้ากระเง้ากระงอดแบบนี้แล้ว ก็ทำให้ใจนึกไปถึงอีกคน คนรักของเขาเวลางอนก็ดูน่าเอ็นดูไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่ ยิ่งพอคิดถึงก็ยิ่งอยากให้ถึงเวลาเย็นไว ๆ เพื่อที่เขาจะได้กลับหาคนที่เขาคิดถึงได้สักที เพียงแค่ฟังเสียงเธอตอนที่เข้าโทรไปเมื่อกี้ มันไม่พอให้เขาหายคิดถึงเธอได้หรอก
“มาช้านะไอ้หมอ” ยังไม่ทันที่หมอหนุ่มจะนั่งเก้าอี้ดี คนตรงข้ามก็เอ่ยปากทักออกมาอย่างรวดเร็ว
“ใครจะไปว่างแบบนักธุรกิจหนุ่มอย่างแกล่ะ วัน ๆ ไม่เคยทำงาน เอาแต่มาส่งขนมจีบให้พยาบาลฉันได้ทุกวี่ทุกวัน ป่านนี้ลูกน้องคงได้นินทากันสนุกปาก” หมอหนุ่มก็ตอบกลับได้รวดเร็วทันใจ สมกับที่ทั้งคู่คบกันมานาน คนหนึ่งแขวะ อีกคนก็ต้องแขวะกลับอย่างไม่ยอมแพ้กัน
“คนเราก็ต้องมีเวลาว่างกันบ้างสิวะ แล้วอีกอย่างพยาบาลของแกสวยขนาดนั้น ไม่จีบยังไงไหวล่ะ นี่ถ้าแกไม่มีแฟนอยู่แล้วฉันคงหึงแกแน่ ๆ พยาบาลสวย ๆ กับหมอหล่อ ๆ ” ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ก็ดีแล้วที่มันไม่หึง เพราะยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ สายตาของเขาไม่ได้มีไว้มองคนอื่นอีกต่อไป
“เออ พูดถึงแฟนแก.. เดี๋ยวนี้ทำไมฉันไม่ค่อยเห็นคุณเหมียวไปไหนมาไหนกับแกเลยวะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” นักธุรกิจหนุ่มมองคนตรงข้ามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทุกทีเห็นตัวติดกันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ธรรมดาเวลาเขานัดเพื่อนเขามาทานข้าวกลางวัน คุณเหมียวก็ติดสอยห้อยตามมาด้วยตลอด แต่ช่วงนี้เขาแทบไม่เคยได้เจอเธอเลย เขาเลยอดแปลกใจไม่ได้
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ช่วงนี้เหมียวเขาไม่ค่อยอยากออกไปไหนน่ะ ป่านนี้ก็คงหลับสบายอยู่ที่บ้านโน่นแหละ” มุมปากที่จะอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ยามนึกถึงคนรักที่คงรอคอยตนอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหน ไม่สิ..เธออาจจะอยากไปแต่ก็คงไปไม่ได้มากกว่า หึ..
“เออ ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันก็ดีแล้ว ฉันก็เห็นว่าช่วงที่ผ่านมามีคนมาจีบคุณเหมียว นึกว่าแกจะหึงจนหน้ามืดทะเลาะกันไปแล้วเสียอีก” นักธุรกิจหนุ่มมองเพื่อนตัวเองอย่างโล่งใจเมื่อได้ยินว่าเพื่อนกับคนรักยังคบกันดีอยู่
ข้อดีของเพื่อนเขามีอยู่มากมายก็จริง แต่ข้อเสียหลัก ๆ ของเพื่อนเขาเลยก็คือ ขี้หึงเกินไป เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันคบกับคุณเหมียวมาตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย ทั้งคู่แทบไม่เคยทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ เท่าที่เห็นก็จะมีเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้นที่ทั้งคู่ทะเลาะจนแทบเลิกกันไป เหตุผลก็เพราะความขี้หึงของเพื่อนเขานี่แหละ
เมื่อก่อน ถ้าเพื่อนเขารู้ว่ามีใครเข้ามาจีบคุณเหมียว เพื่อนของเขามันจะพาลทะเลาะด้วยทั้งผู้ชายคนนั้นและทั้งคุณเหมียว บางครั้งถ้าเกิดมันไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนั้นจริง ๆ มันก็แอบพาคนไปหาเรื่องผู้ชายที่เข้ามาจีบ โดยที่เขาและคุณเหมียวไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อคุณเหมียวมารู้ทีหลังนี่แหละที่เป็นเรื่อง เพราะมันทำรุนแรงเกินไป เรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ทั้งคู่ทะเลาะกันจนจะเลิกกันอยู่หลายครั้ง บางทีคุณเหมียวก็ชอบที่จะหนีไปอยู่ที่ ๆ มันไม่รู้ เพื่อให้มันใช้เวลาที่ห่างกันคิดได้สักที และเรื่องนี้ก็พาเขาเดือดร้อนต้องช่วยมันตามหาแฟนมันอีก พอเจอกันมันก็หายขี้หึงได้พักหนึ่ง แล้วก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกทุกที
“เรื่องนั้นฉันจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” สายตาที่จ้องไปข้างหน้าด้วยความว่างเปล่ากับมุมปากที่แสยะยิ้มแบบแปลก ๆ ทำให้เขามองเพื่อนตัวเองอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะคาดว่าที่เพื่อนบอกว่า ‘จัดการ’ คงจะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก เพราะเมื่อวานเขาก็ยังเห็นคนที่มาจีบคุณเหมียวคนล่าสุดอยู่เลย แถมตามเนื้อตัวก็ไม่ได้มีรอยบอบช้ำหรือบุบสลายใด ๆ
“สงสัยเพราะเป็นหมอแล้วแกเลยไม่ไปทำร้ายใครเหมือนแต่ก่อนสินะ การรักษาคนก็ทำให้แกคิดได้เหมือนกันนี่หว่า เออดี เรื่องจบแล้วก็ดีแล้ว
”
“อืม.. เรื่องมันจบแล้ว เหมียวไม่มีทางหนีฉันไปได้อีกแล้ว..”
“เย็นนี้จะทานอะไรดีครับเหมียว” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนปลายสาย วันนี้เรียวปากอิ่มยกยิ้มเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่แน่ใจ เมื่อได้ยินเสียงคนปลายสาย
“...”
“ทำไมไม่ตอบผมล่ะครับเหมียวว่าอยากทานอะไร งั้นเอาเป็นว่า ถ้าผมซื้ออะไรไป เหมียวต้องทานให้หมดเลยนะครับ” แววตาฉายแววแข็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา ก่อนที่แสร้งยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาในห้องตรวจ พร้อมกับวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงาน
“ช่วงนี้มีโอกาสพิเศษอะไรกันหรือคะคุณหมอ เห็นคุณหมอซื้ออาหารเย็นเข้าบ้านตลอดเลย สงสัยต้องมีฉลองอะไรกันสองคนแน่เลยสินะคะ” พยาบาลสาวที่เดินเอาของเข้ามาเก็บเอ่ยแซวคุณหมอหนุ่มเบา ๆ เห็นแต่ก่อนคนรักของคุณหมอเป็นคนคอยโทรมาถามตลอดว่าคุณหมออยากทานอะไร เดี๋ยวจะทำให้ทาน แต่เห็นมีพักนี้ที่คุณหมอจะเป็นคนเอ่ยปากถามเอง เธอเลยอดที่จะแซวไม่ได้
หางตาของหมอหนุ่มเหลือบมองคนที่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ใบหน้านิ่งไปเมื่อนึกถึงคำหยอกของนางพยาบาล ก่อนที่เขาจะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มราวกับสวมหน้ากาก “ไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไรหรอกครับคุณริน ” พูดแค่นั้นแล้วจึงเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องตรวจ เพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากงานที่ทำมาทั้งวัน
เมื่อลับหลังหมอหนุ่มไป พยาบาลสาวก็อดที่จะเหลือบดูโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะไม่ได้ หน้าโทรศัพท์ยังไม่ได้ถูกล็อคไว้ มันเปิดค้างอยู่หน้าแสดงข้อมูลการโทร เบอร์ที่โทรออกล่าสุดในโทรศัพท์คุณหมอแสดงเวลา ๑๒.๑๕ น.
เธอได้แต่คิดด้วยความฉงนในใจแม้เธอจะเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วก็ตาม เมื่อกี้ตอนเธอเดินเข้าไปในห้องตรวจก็เกือบ ๆ สี่โมงเย็นได้แล้ว พอเข้าไปก็เห็นว่าคุณหมอคุยโทรศัพท์กับแฟนคุณหมออยู่ แต่เบอร์ที่โทรออกล่าสุดกลับเป็นเวลาเที่ยงกว่า ๆ ด้วยเหตุนี้เธอจึงขบคิดด้วยความสงสัยว่า เมื่อสักครู่ คุณหมอคุยกับใคร...
กว่าที่หมอหนุ่มจะออกจากโรงพยาบาล กว่าที่เขาจะไปซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็น แล้วไหนจะเดินทางฝ่ารถติดมาได้อีก พอมาถึงบ้านเวลาจึงล่วงเลยจนเกือบเย็นขนาดนี้ อากาศยามนี้กำลังโพล้เพล้ได้ที่ พระอาทิตย์ที่ส่งแสงแรงกล้ามาทั้งวัน กลายเป็นสีส้มอ่อนทั่วท้องฟ้า นกที่ออกหากินตั้งแต่เช้าทั้งหลาย ก็พากันกลับรังที่มันอยู่ ในหมู่บ้านจัดสรรที่คนแทบจะไม่รู้จักกัน ในตอนกลางวันที่ว่าเงียบเหงาแล้ว เมื่อมาเจอบรรยากาศยามเย็นแบบนี้ ยิ่งทำให้บ้านทุกหลังแลดูเงียบเหงามากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
ถึงแม้บรรยากาศจะพาให้รู้สึกเศร้าในใจสักแค่ไหน แต่เมื่อเขานึกถึงคนที่รออยู่ในบ้าน ใบหน้าก็ไม่อาจซ่อนความดีใจได้มิดชิด
มือเรียวคว้ากุญแจมาเปิดประตูหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว ลมที่ตีพัดออกมาจากบ้านยามที่หมอหนุ่มเปิดประตู พากลิ่นเน่าเหม็นของอะไรสักอย่างออกมาด้วย ถึงแม้กลิ่นเน่าหืนจะลอยตลบอบอวลอยู่ในบ้านแต่นั่นก็ไม่ได้เรียกความสนใจของเขาไปได้ เขาเดินไปเปิดไฟในบ้านด้วยความเคยชิน ก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปหาจุดหมายที่พาใจเขาให้คิดถึงมาตลอดทั้งวัน
เขาวางถุงอาหารลงบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ ข้าง ๆ ถุงอาหารมีขวดฟอร์มาลีนที่ถูกเปิดไปใช้จนหมด ข้างล่างโต๊ะมีกระบอกฉีดยาที่ถูกใช้ไปแล้วหล่นอยู่ด้วย
หมอหนุ่มหันมากอดแฟนสาวด้วยความคิดถึง จมูกโด่งกดลงบนแก้มซูบผอม ก่อนจะผละออกไป ปลายจมูกมีน้ำเหนียวสีเหลืองติดตามไปด้วย เขาทำเพียงปาดมันออกช้า ๆ พร้อมกับเดินหายเข้าไปในครัว
เขาจัดแจงอาหารลงจานชามบนโต๊ะ จานข้าวถูกเตรียมไว้สองจาน จานหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา ส่วนอีกจานอยู่ตรงหน้าสาวคนรัก จัดอาหารไปพร้อม ๆ กับเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เจอในวันนี้ให้คนรักฟังตามความเคยชิน
“ทานปลานะครับเหมียว ช่วงนี้เหมียวดูผอมไปเยอะเลย” พูดไปพร้อมกับตักเนื้อปลาใส่จานของหญิงสาวข้าง ๆ
หมอหนุ่มเพียรตักกับข้าวลงในจานของคนข้าง ๆ ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน จนจานนั้นพูนไปด้วยกับข้าวมากมาย เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนตักให้ไม่ลดลงเลย เขาก็อารมณ์ขึ้นไม่น้อย
“ทานสิเหมียว! ทานสิ! ผอมจะแย่อยู่แล้วนะ” ไม่รู้ว่าเพราะเผลอกระชากแขนคนข้าง ๆ แรงไปหรือเปล่า เนื้อที่เริ่มเปื่อยยุ่ยจึงหลุดติดมือมาด้วย สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังก็หลุดตามเนื้อมา สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชาขึ้นมาทันที
เขาเอื้อมไปหยิบกระดาษเช็ดมือสองสามแผ่น ก่อนที่เช็ดมือที่เปื้อนด้วยใบหน้านิ่งขรึมเช่นเดิม
“เริ่มเปื่อยแล้วนะเหมียว ผมควรดองคุณดีไหมนะ หรือผมจะรอให้คุณเปื่อยไปจนเหลือแต่กระดูกดีนะ...” ใบหน้านิ่ง ๆ เอ่ยขึ้นช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ
“แต่ผมอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีคุณไม่ได้หรอก ผมรอเป็นปีสองปีเพื่อดองคุณไว้ไม่ไหวหรอกนะเหมียว..” สายตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าโดยไม่มีจุดหมาย มือใหญ่กอบกุมมือเหี่ยวแห้งของคนข้าง ๆ ไว้ระหว่างพูด ถึงแม้เขาจะรู้สึกได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นไปดิ้นมาใต้ฝ่ามือ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก
“ผมคงต้องปล่อยให้คุณเปื่อยไปเองสินะ หึ”
“ขอบคุณนะครับเหมียว ขอบคุณที่คุณยอมอยู่กับผมตลอดไป... การที่คุณออกไปไหนไม่ได้แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับเหมียว อย่างน้อยผมก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาจีบคุณอีก แล้วเราจะได้ไม่ทะเลาะจนคุณอยากจะหนีผมไป” เขาค่อย ๆ ล้มตัวลงนอนบนตักของหญิงสาวคนรัก มือใหญ่กอบกุมมือเหี่ยวแห้งมาแนบแก้มของตนอย่างไม่นึกรังเกียจ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ร่วงหล่นมาตามมือเหี่ยว...
เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่คนรักของตนจะไม่หนีหายไปไหนอีกต่อไปแล้ว...
เพียงแค่นี้เราทั้งคู่ก็จะมีความสุขกันได้จริง ๆ เสียทีนะครับ ไม่มีใครที่จะพรากคุณไปจากผมได้อีก คุณจะต้องอยู่กับผมตลอดไป...
‘กริ๊ง กริ๊ง’ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมา ก่อนที่เครื่องตอบรับอัตโนมัติจะดังในเวลาใกล้ ๆ กัน ‘สวัสดีค่ะ ตอนนี้คุณหมอไม่ว่างรับสาย กรุณาโทรกลับมาใหม่อีกครั้งนะคะ’
เขาหลับตาลงอย่างสงบเมื่อไม่ต้องกังวลต่อเรื่องใดอีกแล้ว จากนี้...จะมีเพียงเขาและเธอตลอดไป...
ผลงานอื่นๆ ของ ☆ o r a n g i ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ☆ o r a n g i
ความคิดเห็น