คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ไกรทอง ตอนที่19 (แก้ไข)
“ไอ้ไกร!ข่าวใหญ่โว้ย!ข่าวใหญ่!”
เสียงตะโกนดังลั่นชนิดได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านของทองดำ ทำเอาไกรทองที่นั่งถักแหอยู่แคร่หน้าบ้านถึงกับตกอกตกใจจนสะดุ้งโหยง พอหันไปมองตามเสียงก็เห็นร่างดำๆคุ้นตาวิ่งโกยอ้าวมาแต่ไกล...ไอ้เพื่อนบ้า ร้องแร่แห่กระเชิงแต่เช้ายังกะญาติเสีย เล่นเอากูตกอกตกใจขวัญเกือบบินหนี จะมาแบบดีๆไม่ได้เลยใช่ไหม?
ซึ่งไม่ใช่แค่ไกรทองเท่านั้นที่ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของเด็กหนุ่มผิวเข้ม ทั้งชาละวันและนันที่กำลังนั่งคุยกันอยู่บนชานบ้านก็ต่างพาชะโงกหน้าออกมาดู
“เสียงโหวกเหวกดังลั่นทุ่งแบบนี้ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าใคร”
ชาละวันพยักหน้าเห็นด้วยด้วยกับเพื่อนร่างหนา “จริง...ดูสิทองดำวิ่งหน้าเริ่ดมาแต่ไกลเชียว”
สองสหายยืนมองเด็กหนุ่มตัวดำวิ่งไปหาเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ตรงแคร่หน้าบ้าน พร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบการเล่าเรื่องอะไรสักอย่างไปด้วย ดูท่าทางน่าสนใจดี
“ป่ะ !ลงไปดูกันหน่อยเถอะว่าอีกามันคาบข่าวอันใดมาบอกให้ฟังอีก”
ชาละวันเพ่งมองสีหน้าตื่นเต้นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินตามหลังเพื่อนลงไปฟังข่าวจากปากอีกาด้วยอีกคน...หึ! ถ้าเดาไม่ผิดเรื่องที่ทองดำเอามาเล่าคงจะเป็นเรื่องนั้นสินะ
“แล้วยังไงข้าฟังๆดูแล้วไม่เห็นจะแปลกตรงไหน กะอีแค่มันกลับมาแค่เนี่ย” ไกรทองถอนหายใจ ไม่สนใจฟังข่าวที่เพื่อนรักเอามาเล่าให้ฟังอีกต่อไป.....หลงนั่งฟังไอ้ทองดำบ้าพล่ามน้ำลายอยู่นานสองนาน...ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระ... เสียเวลาซ่อมแหข้าจริงๆ
“เออ!มันกลับมานะไม่แปลก แต่ที่ข้ากำลังจะว่ามันแปลก ก็คือท่าทางของมันตังหากเล่าที่ผิดปกติ” ทองดำยังไม่ยอมแพ้ พยามดึงดันให้เจ้าคนเอาแต่นั่งสานแห หันมาสนใจฟังให้จบไม่ยอมให้เมินหน้าหนีไปไหนทั้งสิ้น จนไกรทองจวนจะเขกหัวมันมะลำมะล่ออยู่แล้วถ้าขืนยังก่อกวนเขาไม่ยอมเลิกรา
“ใครแปลกวะทองดำ”
ทองดำละมือจากการก่อกวนเพื่อนรัก รีบหันมายกมือไหว้ทักทายทันทีเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินมาสมทบตามประสาคนรักนับถือกัน แล้วรีบถลากายมาจูงไม้จูงมือพี่ชายทั้งสองให้มาร่วมฟังข่าวที่เขาอุตส่าห์คาบมาด้วยกันเสียทีเดียว
ไกรทองเพ่งมองพฤติกรรมที่สนิทสนมกันแบบถึงเนื้อถึงตัวของเพื่อนที่มีต่อพี่ชาละวันด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย....หนอย ไอ้ทองดำเรียกพวกพี่ๆให้เขามาฟังดีๆก็ได้ ทำไมต้องไปจูงมือมาด้วยวะ โดยเฉพาะพี่ชาละวันของข้าเผลอเป็นไม่ได้เชียวนะเอ็ง
หือ!?...ของข้า? เฮ้ย!? นับวันยิ่งอยู่ด้วยกันข้ายิ่งแปลกขึ้นทุกที ...เริ่มแรกก็ใจเต้นกับพี่ชาละวัน ตอนนี้ก็มาเกิดหวงพี่เขาอีก.....มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าสมควรควรคิด สมควรกระทำเลยสักนิด
เฮ้อ! สงสัยเพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไปข้าถึงเกิดอาการผิดแปลกเช่นนี้... หรือข้าควรจะหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลให้พี่ชาละวันไปอยู่กับพี่นันแทนดีไหม เผื่อว่าอะไร อะไรที่มันผิดปกติจะได้หายไปสักที
“มาฟังด้วยกันเลยนะ...เมื่อตะกี้ฉันเห็นไอ้ไม้แล้วมันมีพฤติกรรมแปลกๆ”
จบประโยค นัน ชาละวัน ยืนมองหน้าทองดำกันตาปริบๆ
“แค่นี้ เสียเวลาพวกข้าจริงๆไปชาละวันเราไปนั่งคุยกันต่อดีกว่า”
พอเห็นว่าพี่ชายที่เคารพทั้งสองทำท่าจะเดินหนีไป ส่วนไกรทองก็ถักแหต่อเลิกสนใจไปนานแล้ว เพื่อกอบกู้วิกฤตหาคนมานั่งร่วมวง ทองดำจึงต้องเลิกอำพะนำรีบเล่าสาธยายสิ่งที่ได้ไปเห็นมาให้ฟังทันที
“เดี๋ยวๆฟังกันให้จบก่อนสิ ท่าทีของไอ้ไม้มันไม่ใช่แปลกธรรมดาๆนะ เพราะมันเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะ”
ได้ผล...หลังจากที่พูดออกไปแล้ว ทองดำก็สามารถดึงความสนใจจากทั้งสามคนกลับมาอยู่ที่เขาจนได้ เด็กหนุ่มถึงกับยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
“เปลี่ยนไป? ไหนเอ็งลองเล่ามาให้ข้า พี่ชาละวัน พี่นันฟังสิว่ามันต่างจากเดิมไปยังไง...เล่าให้ดีนะมึง อย่ากระบิดกระบวนอีกไม่อย่างนั้นข้าจะจับเอ็งโยนลงไปเป็นเพื่อนพวกปลาในน้ำโน่น”
“ไอ้ไกร ไอ้เพื่อนมหาจำเริญมาคาดโทษกันได้ลงคอ...เออๆไม่ต้องมาทำตาคว่ำตาค้อนใส่เลยมึง นึกว่าดูน่ารักหรือยังไงวะ”
ทองดำทำเสียงกระแอมกระไอในคอทีนึงเพื่อให้คอโปร่ง
“ถ้าจะเล่าก็รีบเล่ามา อย่ามาลีลาท่ามาก”
จะว่าตลกก็ตลกดีอยู่หรอกที่เห็นผู้ชายสองคนมานั่งหยอกยืนเถียงกันให้ดูเหมือนพวกจำอวดก่อนเปิดม่าน ทั้งที่ควรจะดูตลกขบขันชวนให้หัวเราะอย่างที่เพื่อนร่างหนาทำ แต่ทว่าสำหรับชาละวันแล้วไม่รู้ทำไม เขากับมีความรู้สึกขุ่นเคืองใจมากกว่า ที่เห็นไกรทองยิ้มหยอกเย้าอยู่กับผู้ชายคนอื่น ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทมาแต่เด็กก็ตามที...เห็นแล้วมันขัดนัยน์ตาเสียจริง จนอยากเข้าไปกระชากให้ถอยห่างออกมา ไม่อยากให้ใครมาชิดใกล้นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
“ปกตินิสัยไอ้ไม้เอ็งก็รู้ดี มันนะชอบเดินกร่างเหมือนกับตัวใหญ่คับฟ้า แถมยังชอบทำหน้าชวนให้อยากเอาตีนไปประทับอยู่บนหน้าตลอดเวลา แต่สิ่งที่ข้าเห็นเมื่อเย็นวานนี้ มันตรงกันข้ามกับนิสัยเดิมๆของมันหมดเลย...ไอ้ไม้นะมันเดินทื่อๆซึมๆเหมือนคนไม่มีวิญญาณก็ไม่ปานที่ สำคัญขนาดมันเห็นข้า มันก็ยังไม่พูดหรือแสดงอารมณ์อะไรออกมาสักกะอย่าง...ถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้าคิดว่ามันแปลกหรือไงวะ”
“จริงของไอ้ทองดำ พวกเรารู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะปกติแล้วมันไม่มีทางปล่อยให้เอ็งยืนมองดูหน้ามันเฉยๆแน่ๆ...หรือจะเป็นเพราะอกหักจากน้องทองไอ้ไม้ถึงได้นิสัยเปลี่ยนไป...พวกพี่สองคนคิดว่ายังไง? เห็นด้วยกับความคิดฉันไหม?”
นันยกมือลูบคางแล้วคิดตาม
“ก็ถูกนะ ถึงข้าจะรู้จักกับมันได้ไม่นานแต่ก็พอจะเดาสันดานกันออก.....ถูกสาวด่าแถมยังตัดบัวไม่เหลือใยจนต้องหนีเตลิดไปเลียแผลใจ ...ตามปกติแล้วถ้าคนมันเจ็บกลับมาสิ่งแรกที่ควรจะทำคือมาคิดบัญชีกับพวกเราทุกคนสิ แต่นี่เรื่องกลับเงียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ...ว่าไงชาละวันคิดอยากเดียวกับข้าไหม?”
“ไม่รู้สิเพิ่งกันแค่วันนั้นครั้งเดียว ฉะนั้นข้าไม่ขอเดาดีกว่า”
ถึงรอยยิ้มของชาละวันจะดูเป็นมิตรอ่อนโยน แต่เบื้องหลังของรอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยความสะใจที่คนของตนเองทำงานสำเร็จลุล่วง จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจเขายิ่งนัก
“หายไปเกือบสามเดือน มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันน้าอยากรู้จริงๆ ขนาดไอ้เพลิงเร่งส่งคนออกตามหาทั่วทุกที่แล้วก็ยังหาไม่เจอ จนมันมาอาละวาดกับพวกเราตั้งหลายครั้ง...หาว่าขังน้องมันไว้บ้างล่ะ แอบฆ่าถ่วงน้ำเพื่อแก้แค้นบ้างล่ะ จนน่ารำคาญอยากตบปากมันทุกครั้งที่มาหาเรื่อง...อย่างว่าละนะน้องชายหายไปทั้งคนเป็นใคร ใครก็ร้อนใจกันทั้งนั้น แต่แล้วจู่ๆวันนี้ไอ้ไม้ที่หายไปก็โผล่กลับบ้านมาให้เห็นยังกับผี ท่าทีก็เปลี่ยนไปมากโขดูน่ากลั๊ว น่ากลัวพิลึก”
เมื่อพอได้ฟังทองดำเล่าวิเคราะห์แล้ว ไกรทองก็คิดตามในสิ่งที่เพื่อนรักพูด ...ทำไมเขาถึงได้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยวะ อย่างกับมีใครสักคนที่หลบซุ่มอยู่ในเงามืด รอคอยจังหวะเล่นงานมันก็ไม่ปาน
และไม่ใช่แค่ไกรทองเท่านั้นที่สงสัย คนที่บ้านของไม้ก็สงสัยไม่ต่างกันโดยเฉพาะเพลิงที่ในตอนนี้กำลังกลุ้มใจและว้าวุ่นใจหนักกว่าใครเพื่อน
เด็กหนุ่มคนพี่เที่ยวมาเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนของน้องชายยกมือทำท่าจะเคาะเรียกแล้วเกิดเปลี่ยนใจไม่เคาะ วกเดินกลับมานั่งตรวจบัญชีที่โต๊ะ ปากคอยสั่งงานลูกน้องแต่สักพักก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยืนที่จุดเดิม ทำท่าจะเคาะเหมือนเดิมแล้วเปลี่ยนใจกลับมานั่ง วกไปกลับมาอยู่เช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน
จนกระทั่งเศรษฐีขวานกลับมาจากตรวจนา ตรวจไร่ นั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อย คลายร้อน จากนั้นก็นั่งตรวจดูสมุดบัญชีฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ...ถึงจะรู้สึกรำคาญบ้างที่ลูกชายคนโตเดินกลับไปกลับมาไม่ยอมหยุด แต่ช่างมันเถอะมันห่วงของมัน...เดี๋ยวพอเหนื่อยก็คงจะหยุดเดินเอง
“พ่อว่าฉันควรจะเรียกน้องออกมาคุยกันหน่อยดีไหม?”
นั่นไง...พูดยังไม่ทันขาดคำ
“หือ? นึกว่าเอ็งลืมพ่อไปเสียแล้วนะเนี่ย”
“โธ่พ่อ!”
เพลิงรีบนั่งข้างพ่อยกมือบีบนวดหัวไหล่ประจบเอาใจ จนเศรษฐีขวานนึกอยากเอาไม้ตะพดข้างตัวเพ่นกระบาลลูกชายคนนี้ให้หัวแบะดูสักที...ชิชะ ทียังงี้ล่ะมาทำเรียกพ่อเสียงอ่อนเสียงหวาน ทั้งๆที่เมื่อตะกี้ยังเอาแต่ห่วงน้องจนมองข้าเป็นหัวหลักหัวตอ
“สรุปว่าเอายังไงดีละพ่อ น้องมันยังไม่ยอมออกมาจากห้องเลยนะพอไปเคาะเรียกก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาให้ได้ยิน...ลูกห่วงกลัวไม้จะเป็นอะไรหรือปล่าว? กลัวมันไม่สบาย กลัวไปหมดเลยนะพ่อ”
เศรษฐีขวานถอนหายใจเฮือกใหญ่วางสมุดบัญชีลง เพลิงเลยรีบกุลีกุจอรินชาให้พ่อประจบเอาใจเต็มที่ เผื่อว่าพ่อคนนี้จะมีความคิดดีๆมาแนะนำให้เขา
“ปล่อยไปก่อน”
“หา!? ปล่อยไปก่อน แต่ว่า.....” เพลิงถามเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหู...นี่พ่อไม่ห่วงเจ้าไม้เลยรึไง มันเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องนะ ไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้าเลยสักครั้งตั้งแต่ที่มันกลับมาบ้าน
ผู้เป็นพ่อยกมือปรามลูกชายเลยจำใจต้องหุบปากลงเพื่อคอยฟังเหตุผล
“อย่าเพิ่งรีบร้อนให้เวลาน้องหน่อยเถอะ เพราะถ้าขืนเราไปยุ่มย่ามกับมันมากเข้า กดดันมากเข้า น้องอาจจะเตลิดหนีไปอีกก็ได้”
“แต่พ่อ...เจ้าไม้ดูแปลกไปจากเดิมถึงขนาดนี้จะไม่ให้ลูกไปคาดคั้นถามความจริงมันได้เรอะ”
เศรษฐีขวานมองบานประตูห้องนอนของลูกชายคนเล็กด้วยความนึกหนักใจ...ใช่ว่าจะไม่ห่วงลูกแต่จะทำยังไงได้เล่า ถ้าลูกไม่พร้อมที่จะพูด ถ้าไปคาดคั้นให้มันพูดจนเกิดไปสะกิดแผลมันเข้า.....ไม่อยากจะคิดเลย...ฉะนั้นทางที่ดี
“ให้เวลาน้องอีกหน่อย”
“พ่อ!?”
“เอาบัญชีนี้ไปตรวจอีกรอบแล้วพยายามอย่าคิดฟุ้งซ่าน”
เมื่อเจอประกาศิตของพ่อ เพลิงเลยจำใจต้องรับสมุดบัญชีมาตรวจทานอีกรอบ แต่ถึงกระนั้นสายตาก็ยังเหลือบมองไปที่ประตูห้องนอนของน้องอย่างเป็นห่วง
เอาวะ! ลองเชื่อพ่ออีกสักครั้งก็ได้ แต่ถ้าผ่านไปอีกหลายวันแล้วเจ้าไม้มันยังไม่ดีขึ้น ต่อให้ต้องบังคับลากมันออกมาคุยเขาก็ต้องทำ
ความคิดเห็น