คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ไกรทอง ตอนที่5 (แก้ไข)
ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ไอ้สถานที่น่ากลัววังเวงแบบนี้จะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นได้ยังไงกัน แถมรอบข้างก็มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ทั้งนั้น
“แน่ใจนะว่าใช่ที่นี่”
ไกรทองพยายามเกาะแขนของชาละวันแนบชิดให้มากที่สุดเพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัย
“แค่ถ้ำธรรมดาเท่านั้นเอง อย่านึกกลัวไปเลย”
ถึงจะถูกปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สำหรับเด็กตัวเล็กๆแล้ว ยังไงเสียถ้ำธรรมดาตรงหน้าก็ย่อมจะถูกมองว่าเป็นที่น่าสระพรึงกลัวที่สุดในความคิดอยู่ดี
“มากับข้าเจ้าไม่ต้องกลัว...ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ชาละวันจับมือเล็กมากุมไว้มั่น ชูคบไฟเพิ่มความสว่างแล้วรีบจูงไกรทองให้เดินเข้าไปยังด้านในถ้ำ
ด้วยเส้นทางอันแสนคดเคี้ยวของถ้ำ ประกอบกับด้านบนเพดานนั้นเต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย รูปร่างแปลกๆมากมายประกอบกับภายในถ้ำยังดูมืดสลัวน่ากลัว ยิ่งทำให้ไกรทองต้องรีบเกาะแขนของชาละวันไว้แน่น ราวกับต้องการให้อีกฝ่ายเป็นที่พึ่งพิงและเพื่อข่มความกลัวในใจให้ลดน้อยถอยลง
ในตอนแรกคนถูกกอดไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก นอกจากกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นกว่าเดิมเพื่อประกันความอุ่นใจให้คนขี้กลัว ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อกับบรรยากาศภายใน
“ข้ากลัวจังเลย พี่ชาละวัน”
ชาละวันหยุดชะงักเท้าดังกึก เล่ตามองเด็กน้อยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? พูดใหม่อีกครั้งได้ไหม?”
“ไกรทองกลัว”
“มิใช่ก่อนหน้านี้อีก”
“พี่ชาละวัน...?”
ไกรทองมองหน้าชาละวันอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเขาพูดอะไรผิดอีกฝ่ายถึงต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาละวัน”
ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ยักเคยได้ยินเจ้าตัวเล็กเรียกเราว่าพี่ชาละวันเลยแฮะ ปกติเรียกแต่ พี่ชายหรือไม่ก็เจ้า สงสัยกลัวถ้ำจนเพี้ยนเลยหลุดพูดออกมา
“แล้วมันแปลกตรงไหนในเมื่อท่านแก่กว่า...ข้าเรียกพี่ชาละวันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ชาละวันยิ้มเจ้าเล่ห์ ....ไม่ใช่ว่าแปลกอะไรหรอก แต่ฟังดูจั๊กจี้หัวใจพึลึก
“ก็ใช่ ...หากแต่ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาละวัน เพื่อความเสมอภาคข้าก็จะเรียกเจ้าว่าน้องไกรทอง ดีหรือไม่?...ที่สำคัญเวลาเรียกแทนตัวเองห้ามพูดคำว่า ‘ข้า’ เด็ดขาด ต้องพูดชื่อหรือไม่ก็คำว่าน้อง ส่วนข้าจะเรียกตัวเองว่าพี่ ตกลงไหม?”
ไกรทองเอียงคอ เอียงหน้าขบคิด...พ่อเคยสอนไว้ คนเราถ้าได้มีการนับถือ เรียกพี่ เรียกน้อง ย่อมถือว่ามีความสนิทสนมกัน ถ้างั้นที่พี่ชาละวันจะเรียกเราว่าน้องไกรทอง ก็ถือว่าถูกต้องมีเหตุผล เพราะเราสองคนสนิทกัน
“ตกลง...พี่ชาละวัน”
พี่ชาละวันของน้องไกรทองยิ้มกว้างออกมาจนแก้มปริด้วยความชอบใจ
“ถ้าเช่นนั้นน้องไกรทองช่วยหลับตาเอาไว้จนกว่าพี่ชาละวันจะบอกให้ลืมตา ได้หรือไม่?”
เด็กน้อยยอมหลับตาลง พร้อมกับเอามือเล็กๆมาปิดทับตาเอาไว้อีกชั้นอย่างว่าง่าย
พ่อเคยบอกไว้ คนเป็นพี่สั่งให้ทำอะไร น้องต้องปฏิบัติตาม ห้ามดื้อ...ไกรทองไม่เป็นเด็กดื้อ ไกรทองต้องทำตามที่พี่ชาละวันบอก
ไกรทองยืนปิดตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงชาละวันร้องบอกให้ลืมตา
“น้องไกรทองลืมตาได้แล้ว”
ไกรทองหยีตามองหน้าชาละวัน มองดูรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่ดูผิดปกติไปจากเดิม
“พี่ชาละวันให้ไกรทองหลับตาทำไม”
“ปล่าวไม่มีอะไรพี่แค่กำจัดพวกแมลงน่ารำคาญเท่านั้น...รีบไปกันต่อเถอะ”
แมลง? ในนี้มีแมลงด้วยเหรอ? ทำไมข้าไม่เห็นได้ยินเสียงแมลงเลย มีแต่เสียงหยดน้ำ
การเดินท่ามกลางความมืดและความไม่คุ้นเคยในพื้นที่ ทำให้ชาละวันเลือกจะค่อยๆย่างเท้าด้วยความระมัดระวังถึงสองสามเท่าตัว เพื่อคนตัวเล็กกว่าจะเดินทางได้สะดวกไม่ลำบาก
ทั้งสองคนเดินเท้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนพบกับโพรงถ้ำขนาดย่อมๆทั้งหมดห้าช่องทาง ชาละวันจูงมือไกรทองเดินไปทางโพรงถ้ำริมขวาสุดอย่างผู้ชำนาญทาง
“ตอนพี่อายุได้เพียงสิบขวบ พี่เคยหลงเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีสำรวจเส้นทางเดินภายในถ้ำ และยังรวมไปถึงโพรงถ้ำทั้งห้า ด้วยเพราะฉะนั้นทางที่พี่พาเดินเข้ามาย่อมถูกทางแน่นอน”
“แล้วอีกสี่ทางที่เหลือล่ะพี่ชาละวัน”
“เส้นทางแรกริมซ้ายสุดพี่เรียกเส้นทางอสรพิษ ในนั้นล้วนแต่มีสัตว์มีพิษมากมายเช่น แมงม่อง ตะขาบ งูพิษ แมงมุมพิษ หรือแม้แต่มดก็ยังมีพิษชนิดที่กัดแล้วตาย...เส้นทางที่สองในนั้นจะมีบ่อน้ำ ซึ่งดูเผินๆอาจจะดูเหมือนบ่อน้ำร้อนธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันเป็นน้ำกรด สิ่งใดตกลงไปจะละลายเพียงชั่วพริบตา หรือแม้กระทั่งยามเมื่อสิ่งมีชีวิตเฉียดเข้าไปใกล้ น้ำในบ่อจะผุดเน้นฟองปล่อยไอน้ำพิษออกมาครอบคลุมพื้นที่ หากเผลอสูดดมไอน้ำชนิดนี้เข้าไปจะขาดใจตายเฉียบพลัน...เส้นทางที่สามเป็นแหล่งที่อยู่ของเหล่าพืชกินสัตว์ขนาดใหญ่จำนวนมาก สิ่งมีชีวิตใดหลงเข้าไปไม่เคยรอดกลับมาซักราย...เส้นทางที่สี่อีกฟากหนึ่งจะเป็นป่าดงดิบมีแต่สัตว์ขนาดใหญ่และดุร้ายชุกชุม”
ชาละวันหยุดอธิบายเพียงแค่นี้เมื่อเห็นว่าคนข้างกายนั้นไม่ยอมก้าวเท้าเดินตามมา เด็กหนุ่มจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของไกรทองซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด
“อย่ากลัวไปเลยน้องไกรทองถ้าเราไม่เดินเข้าไปในอาณาเขตของมันเราก็จะไม่มีอันตราย”
“ตะ...แต่ว่า”
น้ำตาคลอเอ่อในดวงตาช่างดูน่าสงสารนัก...ชาละวันกัดปากแน่นอย่างสำนึกผิด...ไม่น่าปากเปราะเผลอเล่าเรื่องเส้นทางที่เหลือออกไปเลย เพราะถึงยังไงน้องไกรทองก็ยังเด็กนักไม่สมควรจะมาได้ยินเรื่องน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
ความหวาดกลัวเข้ามามีอำนาจครอบงำจิตใจของเด็กน้อยจนทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนหน้าซีดตัวสั่นไปทั้งตัว ในหัวจินตนาการถึงภาพสัตว์น่ากลัว และสิ่งน่ากลัวในแบบต่างๆ ถ้าตัวเองหลงทางเข้าไปในที่แบบนั้น
“น้องไกรทองมองหน้าพี่นะ พี่จะเป็นผู้ปกป้องน้องไกรทองเอง ไม่มีสิ่งใดมาทำอันตรายน้องได้เด็ดขาด!”
ไกรทองประสานสายตาเข้ากับดวงตาที่มั่นคง เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ส่งผลให้ความอบอุ่นและเชื่อใจผุดขึ้นมา
“ไกรทองเชื่อพี่ชาละวัน”
“เก่งมากเด็กดี”
เสียงเอ่ยชมของชาละวันและมืออันอบอุ่นที่ลูบหัวอยู่นั้น ทำให้ไกรทองถึงกับยิ้มกว้างน่ารัก เล่นเอาคนมองทนอดใจไม่ไหวฉวยโอกาสย่อตัวลงมาขโมยหอมแก้มนิ่ม
“ถือว่าเป็นรางวัลที่น้องไกรทองทำตัวเข้มแข็ง”
“หือ???...”
“ใช่!รางวัลและยังเป็นเครื่องลางขจัดความกลัวด้วย”
ไกรทองลูบแก้มตรงที่ถูกหอม สีหน้าครุ่นคิด
“จริงเหรอพี่ชาละวัน”
“จริงสิ”
...อย่ามาทำตาใสกับพี่จะได้ไหม แค่เห็นก็อยากจะจูบปากเล็กๆ หอมแก้มยุ้ยๆอีกสักทีสองทีให้ชื่นใจ
“ถ้างั้นไกรทองให้รางวัลแบบนี้กับคนอื่นได้งั้นสิ?”
คนฉวยโอกาสถึงกับยิ้มค้างเมื่อเจอคำถามพาซื่อแบบนี้จากเจ้าตัวเล็ก
“ไม่ได้!รางวัลนี้ใช้ได้แค่พี่กับไกรทองเท่านั้น” แม้คำพูดจะฟังดูเรียบเฉยแต่ทว่าน้ำเสียงกับแฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
เพียงแค่นึกภาพไกรทองจะไปหอมแก้มใครหรือมีผู้ใดมาสัมผัสแก้มนิ่มนอกจากเขา หัวใจก็เต้นรัวด้วยอารมณ์โกรธจนแทบระงับไว้ไม่อยู่จะแสดงออกมาก็ไม่สมควร ชาละวันจึงทำได้เพียงเอ่ยห้าม
“น้องไกรทองฟังคำของพี่นะ พี่ขอห้ามให้น้องไปให้รางวัลแบบนี้กับใครนอกจากพี่ชาละวันคนเดียว ตกลงไหม?”
ถึงจะไม่เข้าใจในคำพูดเท่าไร แต่ไกรทองก็เลือกพยักหน้าตกลง เพราะถือคติน้องต้องเชื่อฟังพี่
“ไกรทองสัญญาว่า จะไม่ให้รางวัลแบบนี้กับใครนอกจากพี่ชาละวันคนเดียว”
เมื่อได้คำสัญญาแล้วชาละวันถึงกลับมาอารมณ์แจ่มใสยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง จูงมือไกรทองออกทางเดินอีกครั้ง
ชาละวันและไกรทอง ค่อยๆเดินเลียบข้างผนังถ้ำไปอย่างเชื่องช้า ระมัดระวัง เพราะบริเวณนี้มีตะไคร้น้ำขึ้นเต็มไปหมด ทำให้ทางเดินแถวนี้จะลื่นมากเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเดินลำบากแต่ทว่าเจ้าตัวเล็กกลับสู้ไม่ถอย ยอมเดินไปถึงไหนถึงกัน
เด็กชายแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเด็กตัวเล็กอายุเพียงแค่หก เจ็ดขวบปี จะมีจิตใจอันแข็งแกร่งและทรหดบึกบึน เทียบเท่ากับผู้ใหญ่ตัวโตๆหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อนน้องไกรทอง น้องช่วยอมว่านนี้ไว้ใต้ลิ้นทีนะ เพราะเรายังต้องผ่านด่านสำคัญอีกหนึ่งด่าน พวกเราถึงจะเข้าไปถึงยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย”
ไกรทองยืนมองว่านชิ้นบางในมือ และชาละวันที่เอาว่านอมไว้ใต้ลิ้นเป็นตัวอย่างให้ดู เด็กน้อยจึงทำตามบ้าง รสชาติขมปนฝาดแล่นริ้วขึ้นมาจนถึงขนาดต้องหลับตาปี๋ แต่พอผ่านไปสักพักเมื่อลิ้นเริ่มคุ้นชินความขมและฝาดจึงหายไปรวมถึงดวงตาเริ่มสว่างกระจ่างชัดเจน ความอ่อนเพลียหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ทันใดนั้นเองเส้นทางที่มืดทึมในถ้ำลึก ก็บังเกิดสายหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนขาวโพลน หมอกนี้หนาทึบมากจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงคบไฟ เด็กหนุ่มกระตุกมือเตือนให้ผู้ร่วมทางเดินตามมา
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ชาละวันกับไกรทองก็สามารถเดินฝ่าสายหมอกหนาทึบ ออกมาได้อย่างปลอดภัย และเมื่อผ่านพ้นมาได้ สิ่งที่ปรากฎในสายตาของเด็กน้อย ณ ตอนนี้ คือถ้ำที่มีลักษณะเหมือนห้องเล็กๆหนึ่งห้อง ประดับประดาไปด้วยหินงอกหินย้อยและโขดหินตามผนังประปราย
มองเช่นไรมันก็แค่ห้องหนึ่งห้อง ไม่เห็นมีอะไรแปลกประหลาด
“เรามาถึงแล้วเหรอพี่ชาละวัน?”
ชาละวันไม่ตอบอะไร นอกจากยิ้มและก้าวเดินไปใกล้ผนังถ้ำด้านในสุด จากนั้นมือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือบนผนัง ออกแรงดึงจับหมุนบิดไปทางซ้ายสามรอบและทางขวาอีกสองรอบ ก่อนจะดันก้อนหินกลับเข้าไปที่ตำแหน่งเดิม
จากนั้นผนังถ้ำธรรมดาก็เริ่มมีเคลื่อนย้ายแยกออกเป็นประตูทางเข้าขนาดย่อมๆ สามารถให้คนเดินผ่านเข้าไปได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ไกรทองที่กำลังยืนอ้าปากค้าง
“ลองเข้าไปข้างในดูสิ รับรองน้องไกรทองจะต้องชอบแน่ๆ”
ไกรทองชะโงกหน้าเมียงมองประตูทางเข้าอย่างกล้าๆกลัวๆ ครั้นพอแอบเหลือบตาไปมองคนข้างตัว พี่ชาละวันของน้องไกรทองก็แค่พยักหน้ายิ้มๆให้เดินเข้าไปโดยไม่ต้องกลัว เจ้าตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมความกล้า
แต่เท้าเล็กๆที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปกับหยุดชะงักนิ่ง เหลียวหน้าเหลียวหลังมองรอบตัว
“มองหาอะไรรึน้องไกรทอง?”
“ไกรทองเหมือนได้ยินเสียงคนร้องแว่วๆ”
ชาละวันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย...หูไวดีจริงๆ
“ภายในถ้ำแห่งนี้นอกจากพี่แล้วไม่เคยมีใครย่ำกรายเข้ามาแม้ซักคนเดียว สงสัยน้องไกรทองคงจะหูฝาด...อย่ารอช้าเลยรีบเดินเข้าไปด้านในเถอะ”
ไกรทองมองรอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้า หันหลังกลับเข้าไปด้านใน โดยไม่ทันได้เห็นแววตาที่ซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ของชาละวัน
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาถึงข้างใน ไกรทองก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงอีกครั้งกับความน่าตื่นตะลึง ที่เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้นั้นจะมีอยู่จริง ไม่ใช่แค่ในนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง
ชาละวันที่เดินมาตามหลังชี้ชวนให้ดูสถานที่แห่งนี้โดยรอบ ทั้งสระน้ำขนาดใหญ่ โดยพื้นสระเป็นแผ่นดินกายสิทธิ์บ ริเวณดินก็เป็นดินกายสิทธิ์สามารถใช้ถูตัวได้ ส่วนตัวสระนั้นมีความกว้างลึกรอบเท่ากัน กว้าง432,000 วา ลึกประมาณ 432,000วา น้ำในสระใสสะอาดประดุจผลึกแก้ว
อาจเป็นเพราะมีเขาสี่เขาล้อมรอบ รูปทรงโค้งตามแนวสระ ปลายยอดมีสันฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระไว้ ทำให้แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ไม่สามารถส่องให้โดนน้ำได้ตรงๆ และไม่ต้องกลัวว่าน้ำในสระจะแห้งเหือดไปเพราะมีธารน้ำทุกสารทิศจากเขาเหล่านี้ไหลรวมลงสู่สระนี้ตลอด
จากนั้นชาละวันก็จูงมือพาไกรทองเข้าไปใกล้ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งพอมองดีๆแล้วมันก็คือต้นหว้าขนาดใหญ่ประมาณ 10 คนโอบ ตั้งแต่พื้นดินไปถึงคาคบสูงได้ 50 โยชน์ ตั้งแต่คาคบขึ้นไปถึงยอดได้ 50 โยชน์ คาคบตะวันตะวันออกถึงตะวันตกมีระยะไกล 1,000 โยชน์ คาคบเหนือจรดใต้ไกลถึง 800,000 วา ปริมาณคาคบโดยรอบปริมณฑลได้ 2,400,000 วา ดอกของต้นหว้าที่หล่นกระจายตามพื้นมีลักษณะงาม กลิ่นหอมยิ่งนัก
ชาละวันก้มหยิบผลหว้าขนาดใหญ่ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้ไกรทองได้ลองชิม ปรากฎว่ามีรสหวานอร่อยเหมือนน้ำผึ้ง ถูกใจเจ้าตัวเล็กไม่น้อย เท่านั้นยังไม่พอชาละวันชี้ชวนให้มองดูตรงจุดนี้โดยรอบ
“ในพื้นที่แห่งนี้ ทุกอย่างล้วนอุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์ ทั้งรากไม้หอม ไม้แก่นหอม ไม้กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ไม้ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ...ตรงนั้นเป็นต้นมะขามป้อมรสอร่อย ถัดไปจากตรงนั้นก็มีไม้สมอ รสหวานปานน้ำผึ้ง ...รวมถึงพรรณไม้แปลกๆมากมาย กินหวานอร่อยทุกอย่าง ที่สำคัญกว่านั้นนะ... น้องมองไปรอบๆสิ ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยนกสีสวยนานาชนิดที่ล้วนแต่แปลกประหลาดไม่เคยพบเห็นจากข้างนอกเลยใช่ไหม?”
จริงดังชาละวันว่าไว้ นกน้อยที่เกาะอยู่บริเวณใกล้ๆกันล้วนมีต่างก็ลักษณะแปลกตา อย่างเช่นเจ้านกน้อยตัวนั้น ถึงรูปร่างจะคล้ายกับนกขมิ้นแต่กับมีสีสันแปลกตา ปากและหน้าท้องของมันเป็นสีดั่งทองคำ ช่วงหัวตลอดทั้งตัวเป็นสีเงินดูสวยงาม ...นกบางชนิดก็เป็นสีแดงไล่สลับกับเหลืองออกเป็นสีส้มจัด
ในป่าแห่งนี้มีดอกไม้บานสะพรั่งทั้งในน้ำและบนบก มีสายลมคอยพัดเอาดอกไม้ลอยไปทั่วบริเวณ ทุกอย่างช่างดูสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ทั้งคู่ต่างพากันเดินและห้อยโหนเก็บผลไม้ชิม เก็บดอกไม้ทั่วทั้งป่า ว่ายน้ำเล่นในสระ นั่งชี้ชวนดูนก ชมปลาแปลกๆที่แหวกว่ายในสระน้ำใสสะอาด หัวเราะสนุกสนานเพลิดเพลินกันจนลืมเวลา
จากแสงแดดอ่อนในช่วงเช้าตรู่กลายเป็นสีแดงจัด ถึงได้ปรากฎร่างเด็กหนุ่มพายเรือเทียบเข้าฝั่งตรงต้นดอกบีป
“เป็นเช่นไรบ้างน้องไกรทองสนุกหรือปล่าววันนี้”
“อื้อ!สนุกที่สุดเลยพี่ชาละวัน”
รอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบ แก้มทั้งสองแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายบ่งบอกถึงความสุขและความสนุก ทำให้ชาละวันพอใจมากไม่เสียแรงที่พาไปสถานที่ลับของเขา
“ถ้าเช่นนั้นวันหลังพี่จะพาไปอีกดีมั้ย?”
“จริงนะ พี่ชาละวันห้ามโกหกไกรทองนะ?” ไกรทองเขย่าแขนชาละวันด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปที่แสนวิเศษนั้นอีกครั้ง
“จริงสิพี่ไม่โกหกหรอก”
ยิ่งได้ยินคำรับปากจากเด็กชาย เจ้าตัวเล็กยิ่งกระตือรือล้นอยากจะไปเสียเดี๋ยวนี้เลย
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ไกรทองจะมาเล่นกับพี่ชาละวันอีกนะ?”
ชาละวันชะงักนิ่ง สีหน้าแสดงความยุ่งยากใจ
“เห็นทีจะไม่ได้หรอกน้องไกรทอง”
“ทำไม?”
ไกรทองถามอย่างฉงนสงสัย
“พี่มีธุระสำคัญมากที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ คงมาเล่นกับน้องไม่ได้”
“งั้นรึ”
ท่าทางเหงาหงอยของไกรทอง ทำเอาหัวใจของชาละวันรู้สึกปวดหนึบ
“แต่ถ้าเป็นอีกสองวันข้างหน้า พี่พอจะเล่นเป็นเพื่อนน้องได้ ดีมั้ย?”
“ได้เหรอ?”
“ได้สิเพื่อน้องไกรทองซะอย่าง”
ชาละวันหยิกแก้มนิ่มเบาๆอย่างนึกหมั่นเขี้ยว
“สัญญานะพี่ชาละวัน”
ชาละวันมองนิ้วก้อยเล็กๆที่ชูขึ้นมาเพื่อรอคำตอบก่อนจะเกี่ยวก้อยตอบเป็นการตกลง
นิ้วเล็กๆสองนิ้วไขว้เกี่ยวกัน เหมือนกับหัวใจของทั้งคู่ที่เริ่มผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว
ณ อีกสถานที่แห่งหนึ่ง
“ขณะนี้อาการบาดเจ็บของท้าวโคจรมีอาการสาหัสมาก คงเป็นเพราะอาวุธของท้าวพันตาและท้าวพันวัง นั้นมีอาคมกำกับไว้จึงทำให้ลดพลังการฟื้นตัวของอีกฝ่ายลง”
เจ้าของร่างกำยำ สูงใหญ่ แววตาเจ้าเล่ห์ ที่กำลังรับฟังรายงานอยู่มิใช่ใครอื่น เขาคือด่างเกยชัย หนึ่งในอดีตราชองค์รักษ์ของราชวงศ์คุ้งใต้ ด้านข้างกันนั้นคือ พ่อมดจระเข้ดำผู้มีอาคมไสยศาสตร์เก่งกล้า
กุมภีร์ทั้งสองมีความใฝ่ฝันอยากรวมสองน่านน้ำเหนือใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อความยิ่งใหญ่เหนือจระเข้ทั้งปวง แต่เพราะมีท้าวรำไพและท้าวโคจร พญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือเป็นกว้างขวางคอชิ้นใหญ่ ด่างเกยชัยจึงแอบยุยงให้ท้าวพันตาและท้าวพันวังสองพี่น้องประกาศสงคราม ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถกำจัดพญากุมภีร์คุ้งเหนือได้ หนำซ้ำยังมาถูกฆ่าตายทั้งคู่เสียอีก สร้างความผิดหวัง อาฆาตแค้นแก่ด่างเกยชัยเป็นอย่างมาก
“ฮึ!แล้วไอ้สายสืบที่ข้าให้คอยสะกดรอยตามไอ้ชาละวันมันส่งข่าวมารึยัง?”
ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เหตุฉไนพวกมันถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ขนาดไอ้สองพี่น้องโง่นั้นก็ยังปราบไอ้โคจรไม่ได้...เจ็บใจจริงๆ
“เอ่อ...มันถูกเก็บไปแล้วขอรับ”
“ห๊า!ถูกเก็บไปแล้ว”
อะไรนะ!นั้นมันทหารที่ฝีมือดีที่สุดของข้าเชียวนะ...ไอ้เด็กนั้นมันเก่งกล้าจนสามารถโค่นล้มลูกน้องข้าได้เชียวรึ
“ขอรับ...ไม่รู้ว่าทำได้เช่นไร แต่เพราะไม่สามารถติดต่อทางจิตได้ย่อมแสดงว่า สายที่ส่งไปได้ตายลงแล้วขอรับ”
“อะไรกันวะเนี่ย!!! แล้วพวกเราจะทำเช่นไรกันดีพ่อหมอ”
ชายชราอายุประมาณแปดสิบ ผมหงอกขาวทั้งหัว นุ่งห่มแบบพราหมณ์แต่เป็นสีดำ ดวงหน้าแหลมยาว ไว้เครายาวถึงอก ดวงตารียาวเจ้าเล่ห์
“ไอ้สายที่ส่งไป มันถูกไอ้ชาละวันลวงไปตายที่บ่อน้ำพิษ ปานนี้คงโดนกัดกร่อนจนไม่เหลือแม้กระดูก”
มันฉลาดเป็นกรดถึงขนาดนี้เลยรึ!? เห็นทีต่อไปคงต้องระวังเจ้าลูกจระเข้ตัวนี้ให้ดีกว่านี้ซะแล้ว
“แต่เรื่องไอ้ลูกจระเข้น้อยเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราต้องอาศัยช่วงเวลาไอ้โคจรมันบาดเจ็บ รีบลงอาคมสะกดใจใส่มันทีละน้อย แค่สามวันอาคมที่ลงไว้จะครอบคลุมจิตของมันให้ทำตามคำสั่งโดยไม่สามารถขัดขืนได้”
“แล้วจะเริ่มลงมือได้เมื่อใดกันพ่อหมอ” ด่างเกยชัยเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ข้าจะเริ่มลงนี้ในวันนี้ เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดเหมาะจะร่ายคาถาที่สุด แต่จงจำเอาไว้ระหว่างกำลังทำพิธีขอข้าอยู่คนเดียวห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่มย่ามเด็ดขาด”
พ่อมดเฒ่าเอ่ยกำชับด่างเกยชัย ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...โอกาสอันแสนหายากมาอยู่ในมือทั้งที ข้าย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆเด็ดขาด
“ข้าเข้าใจแล้ว...ส่วนเจ้ารับกลับไปคุ้งเหนือและคอยรายงานมาให้ข้าฟังเป็นระยะ”
“ขอรับท่านเกยชัย”
“หึหึ...ทีนี้ล่ะไอ้โคจรมันก็จะกลายเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด...ฮ่าฮ่าฮ่า”
ความคิดเห็น