คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ไกรทอง ตอนที่ 4 (แก้ไข)
“วันลอยกระทง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ถ้านับตามปฏิทินจันทรคติ เพราะช่วงเดือน 12 เป็นฤดูน้ำหลาก มีน้ำขึ้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำได้ชัดเจน แต่เดิมเราเรียกว่า พิธีจองเหรียญ หรือการลอยประทีปหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่าลอยกระทง”
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเย็บกระทงในมือไป ปากก็บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของประเพณีลอยกระทง ให้ลูกมือจำเป็นนั่งฟังไปเรื่อยๆ
“มีอะไรอยากรู้อีกไหมพ่อชาละวัน”
“จ๊ะยาย...แล้วกระทง เป็นแบบนี้มาแต่โบราณเลยหรือปล่าวจ๊ะ”
“ปล่าวหรอก...กระทงรูปร่างคล้ายดอกบัวแบบนี้ เริ่มมีขึ้นเมื่อสมัยพระนางท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือเรียกง่ายๆว่านางนพมาศ สนมเอกของพระร่วง เป็นผู้คิดค้นและประดิษฐ์เป็นคนแรกแทนการลอยโคม ฝ่ายพระร่วงเมื่อได้เสด็จทางชลมารค ทอดพระเนตรเห็นกระทงของพระนาง ก็ทรงพอพระทัยจึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่างและจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี”
“ยายจ๊ะ...แล้วกระทงใบตองมันมีแค่แบบนี้แบบเดียวหรือจ๊ะ”
หญิงชราละกระทงในมือมาหยิบเศษใบตองใกล้ตัวพับ เป็นรูปร่างต่างๆ ตามความทรงจำที่เคยเล่าเรียนมาให้ดู พร้อมอธิบายประกอบ
“กระทงนะเราสามารถดัดแปลงได้หลายรูปแบบ.....ดูตัวอย่างนะ เราเอาใบตองมาเหยียดตามความยาวแล้วพับริมซ้ายขวาให้เข้าหากันแล้วพับทบทั้งสองเข้าหากัน ตลบสันทบกลับมาทางขวาให้เป็นโค้งทะแยง...ดูตามมือยายนะ หัวแม่มือซ้ายแตะสันทบส่วนบนไว้ให้อยู่ตัว ส่วนอีกข้างก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นค่อยเอาเรียงซ้อนกันโดยให้ยอดของกลีบเสมอตรงกันแล้วเย็บใบตองให้ติดกันไปเรื่อยๆจนรอบตัวกระทง เรียกว่า กลีบกุหลาบแย้ม....สวยใช่ไหมล่ะจ๊ะ.........พ่อชาละวันเอ๊ย ยายจะบอกให้นะว่างานฝีมือแบบนี้มันสามารถพลิกแพลงกันได้ไม่มีตายตัวอยู่ที่ว่าฝีมือของเรานั้นมีแค่ไหนเข้าใจหรือไม่”
หญิงชรารับใบตองที่ชาละวันเช็ดสะอาดแล้ว มาฉีกออกพับเป็นกลีบคล้ายดอกบัว จากนั้นก็นำมาจดวางเรียงกันบนต้นกล้วยที่หั่นเป็นแว่น ให้มีระยะห่างพองามโดยให้ยอดของกลีบตรงเสมอเป็นแนวเดียว จากนั้นจึงใช้ไม้เล็กๆที่ถูกเหลาเตรียมไว้ตรึงใบตองไว้กับฐานของกระทงจนกระทั่งกลีบใบตองทั้งหมดหุ้มรอบฐานโดยมีธูปเทียนปักไว้กลางกระทง
ในสายตาของเขาถึงแม้กระทงจะดูเรียบๆไม่มีดอกไม้ประดับ กระทงก็ยังดูประณีตงดงาม บ่งบอกถึงฝีไม้ลายมือของผู้ทำได้เป็นอย่างดีว่าเก่งกาจเพียงใด
ชาละวันนั่งมองดูกระทงทั้งสองใบตรงหน้าอย่างนึกประหลาดใจ และดูเหมือนหญิงชราจะนึกรู้จึงเอ่ยขึ้นมาเพื่อให้ไขข้อข้องใจ
“ยายอยากขอบใจหลานชายที่มาช่วย ยายหาบน้ำ แบกต้นกล้วยและยังมาเป็นลูกมือช่วยทำกระทงอีก ยายเองนั้นยากจนไม่มีอะไรจะตอบแทน นอกจากกระทงสองใบนี้ให้หลานเอาไปลอยในคืนนี้”
“ไม่เป็นไรจ๊ะยายฉันช่วยด้วยความเต็มใจ” ชาละวันพยายามบอกปัดด้วยความเกรงอกเกรงใจ
“เอาไปเถอะน่าเผื่อหลานจะได้ใช้”
“ถ้างั้นฉันก็ขอขอบใจยายมากนะจ๊ะ”
ชาละวันยกมือไหว้หญิงชรา ก่อนจะเดินลงกระท่อมไปพร้อมกับกระทงน้อยสองใบ แต่หญิงชราเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรออก จึงรีบเรียกเด็กชายเอาไว้
“เดี๋ยวๆพ่อชาละวันยายลืมบอกอีกอย่าง”
“อะไรหรือจ๊ะยาย?”
“กระทงในมือของหลานยังไม่ได้ประดับดอกไม้ หลานจงหาดอกไม้ประดับมาเสียนะไม่ต้องเน้นและสนใจว่าดอกไม้นั้นจะงดงามหรือหายากแค่ไหน มันอยู่ที่จิตใจของหลานเองว่าดอกไม้ดอกใดจะงดงามเหมาะสมจะประดับบนกระทงสองใบนี้ถึงแม้จะมีเพียงแค่ดอกเดียวก็ตาม”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดแฝงของหญิงชราแต่ชาละวันก็ยังยิ้มขอบคุณกับคำกล่าวนี้
เมื่อลับสายตาของเด็กชายไป จากกระท่อมไม้ทรุดโทรมได้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีสิ่งใดปลูกสร้างอยู่บนพื้นดินแห่งนี้มาก่อนพร้อมกับหญิงชรา
ในค่ำคืนนี้พระจันทร์ดวงกลมโตสาดส่องแสงสว่างสีเหลืองนวล บริเวณริมแม่น้ำต่างคราคร่ำไปด้วยชาวบ้านที่พากันเดินเที่ยวชมงานเทศกาลลอยกระทง ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นคนหนุ่ม คนสาวที่ออกมาร่วมงาน
ด้วยในยุคสมัยและประเพณี ชายหนุ่มหญิงสาวไม่อาจพบปะหรือแม้แต่พูดคุยสนทนากันได้ตามปกติ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ แต่ถ้าหากมีงานบุญหรืองานรื่นเริ่ง หนุ่มๆสาวๆก็สามารถออกมาร่วมสนุกสนาน พูดคุย พบปะหากันได้โดยที่พวกผู้ใหญ่ไม่ว่า
เหล่าชายหนุ่มเลยต้องรีบฉวยโอกาสนี้เกี้ยวพาราสีหญิงสาวที่หมายปองเอาไว้ ด้วยดวงตาเจ้าชู้ กรุ้มกริ่ม และน้ำเสียงหวานหู ขอร่วมลอยกระทงเคียงข้างนางเป็นความนัยว่าอยากได้หญิงสาวนางนั้นเป็นคู่ปอง
บรรยากาศแห่งความรักและความรื่นเริงอบอวลไปทั่วทั้งงาน รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏอยู่ทุกใบหน้า ยกเว้นไว้เพียงแค่หนึ่ง
เฮ้อ! มาลอยกระทงก็มาลอยคนเดียวแต่ยังอุตส่าห์ได้กระทงมาตั้งสองใบ.....จะลอยคนเดียวสองใบมันช่างกระไรอยู่...ดีไม่ดีชาวบ้านคนอื่นจะหาว่าบ้าเอาได้
เด็กชายนั่งนิ่งมองกระทงน้อยที่ได้รับมาด้วยสีหน้าท่าทางคิดหนักหาทางแก้ไม่ออก
อืม.....ถ้างั้นก็ยกกระทงให้คนอื่นไปใบหนึ่ง.....จะยกให้ใครดีล่ะ? เราไม่รู้จักใครบนนี้เลยซักคน
จนสายตาบังเอิญเหลือบมองไปเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งสะดุดหกล้มอยู่ไม่ไกลจากเขา เด็กหญิงคนนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บและเสียใจ เมื่อกระทงแสนสวยหล่นเปื้อนดินโคลน
เด็กชายจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเด็กหญิงลุกขึ้นยืน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับช่วยปัดเศษดินตามเสื้อผ้าให้สะอาด
"เป็นเช่นไรบ้าง? บาดเจ็บตรงไหนหรือปล่าว?"
เด็กหญิงตัวน้อยเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะรีบก้มหน้างุดๆไม่ยอมตอบคำถาม ชาละวันจึงเดาเอาว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน
"ช่างเถอะไม่ตอบก็ไม่เป็นไร...ยังดีที่เสื้อผ้าของเจ้าไม่เลอะดินเท่าไร"
"แต่กระทงของฉัน....."
เด็กหญิงหันไปมองกระทงของตนด้วยความเสียดาย ชาละวันเลยยื่นกระทงให้ไปหนึ่งใบ
"ถึงแม้กระทงของข้าจะไม่สวยงามเท่ากับกระทงของเจ้า แต่หวังว่ามันจะสามารถทดแทนให้เจ้าได้นะ"
เด็กหญิงยืนมองกระทงในมืออีกฝ่ายด้วยความลังเลใจ...คงเป็นเพราะรอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นช่างแสนอ่อนโยนเหลือเกินเธอจึงยินยอมยื่นมือออกไปรับกระทงใบน้อยจากมือของเขามาถือเอาไว้แนบอกทันที
"ขอบใจจ๊ะ"
ชาละวันไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มให้ แล้วเดินจากไปท่ามกลางฝูงชน
"น้องทอง!"
ตระเภาแก้วพี่สาวฝาแฝดวิ่งมาหาน้องสาวอย่างอารมณ์ดีพร้อมกระทงในมือ
"รีบไปท่าน้ำกันเถอะ.....เร็ว!..."
พี่สาวไม่รอช้าจับมือน้องสาวลากเดินไปด้วยกัน พลันสายตาได้สะดุดเข้ากับกระทงน้อยในมือของน้องสาวเเละกระทงอีกใบที่หล่นอยู่บนดิน
"อ้าว! น้องทองไปได้กระทงใบนี้มาจากไหน เเล้วเหตุใดกระทงของน้องจึงไปหล่นอยู่บนพื้นดินได้ล่ะจ๊ะ?"
ตะเภาทองมองกระทงในมือ เอ่ยเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ออกมาด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน
"บังเอิญข้าหกล้มกระทงเลยหลุดมือไปเปรอะเปื้อนดินโคลน เเล้วจู่ๆก็มีพี่ชายใจดีคนหนึ่งมาช่วยพยุงข้าขึ้นมาพร้อมกับมอบกระทงใบนี้ให้เพื่อทดเเทนกระทงที่เสียไป"
"เเต่กระทงของน้องเปรอะเเค่เศษดินเท่านั้นนี่ เอาไปล้างน้ำออกเเล้วประดับดอกไม้เสียใหม่ก็สิ้นเรื่องไม่เห็นจำเป็นต้องไปรบกวนพี่ชายคนนั้นเลยนะ"
ตะเภาทองตวัดสายตามองพี่สาวอย่างขุ่นเคืองในอารมณ์
"ข้าไม่ยอมเอากระทงเปื้อนดินใบนี้ไปลอยเเม่น้ำเด็ดขาด.....มันสกปรก!"
ว่าเเล้วเท้าเล็กๆของเด็กหญิงก็รีบจ้ำเดินกลับไปที่บ้าน โดยมีตะเภาแก้วมองตามหลังด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวถึงต้องแสดงท่าทางโกรธเคืองเเละขึ้นเสียงใส่ตน
นี่เราพูดอะไรผิดไปงั้นรึ
ตะเภาทองประคองตระกองกอดกระทงของชาละวันเอาไว้อย่างหวงแหนราวกับสมบัติอันมีค่า
ใช่! ข้าไม่ยอมเอากระทงเปื้อนดินนั่นมาใช้อีกเด็ดขาด นอกจากกระทงใบนี้.....ข้าจะไม่ยอมใช้กระทงใบไหนทั้งสิ้น
เรือชายชมมิ่งไม้ ริมท่าไสวหลากหลายพรรณ
เพล็ดดอกออกแกมกัน ส่งกลิ่นเกลี้ยงเพียงกลิ่นสมร
ชมดวงพวงนางแย้ม บานแสล้มแย้มเกสร
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม
จำปาหนาแน่นเนื่อง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคะนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
ประยงค์ทรงพวงร้อย ระย้าย้อยห้อยพวงกรอง
เหมือนอุบะนวลละออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม
พุดจีบกลีบแสล้ม พิกุลแกมแซมสุกรม
หอมชวยรวยตามลม เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ
สาวหยุดพุทธชาด บานเกลื่อนกลาดดาษดาไป
นึกน้องกรองมาลัย วางให้พี่ข้างที่นอน
พิกุลบุนนาคบาน กลิ่นหอมหวานซ่านขจร
แม้นนุชสุดสายสมร เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย
เต็งแต้วแก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่ไม่รู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตาตรู
มะลิวัลย์พันจิกจวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
หอมมาน่าเอ็นดู ชูชื่นจิตคิดวนิดา
ลำดวนหวนหอมตรลบ กลิ่นอายอบสบนาสา
นึกถวิลกลิ่นบุหงา รำไปเจ้าเศร้าถึงนาง
รวยรินกลิ่นรำเพย คิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง
นั่งแนบแอบเอวบาง ห่อนแหห่างว่างเว้นวัน
ชมดวงพวงมาลี ศรีเสาวภาคย์หลากหลายพรรณ
วนิดามาด้วยกัน จะอ้อนพี่ชี้ชมเชย
(กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร)
ชาละวันเดินตระเวณไปทั่วทั้งหมู่บ้านเพื่อหาดอกไม้มาประดับกระทง แต่กลับไม่พบดอกไม้ที่ถูกใจเลยซักดอกเดียว พญากุมภีร์น้อยเยื้องย่างเลียบข้างแม่น้ำและมองกระทงในมืออย่างเลื่อนลอย
เห็นทีงานลอยกระทงปีนี้ข้าคงจะต้องลอยกระทงโดยไม่มีดอกไม้ซะแล้วสิ...ลอยคนเดียวไม่พอ กระทงยังว่างปล่าวอีกน่าอนาจตัวเองเสียเหลือเกิน
ทันใดนั้นราวกับเทพยดาเห็นใจ บังเกิดสายลมพัดวูบหนึ่งนำพาหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่ไม่น่าจะมีในฤดูนี้ ดลใจให้เด็กชายเดินตามไปจนกระทั่งได้พบกับต้นบีปสูงใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น บ้างก็ร่วงหล่นโปรยปรายลงมาไม่ขาดจนเต็มบริเวณใต้ร่มไม้ แต่สิ่งที่สะกดสายตาชาละวันนั้นมีเพียงเด็กน้อยตัวเล็กคนหนึ่งที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นดอกบีป ความงามของสีขาวบริสุทธิ์ช่วยส่งเสริมให้น่าสงสารยิ่งนัก
ราวกับต้องมนต์ชาละวันค่อยๆก้าวขาทั้งสองข้างเข้าไปหาทรุดตังลงนั่งข้างกายเด็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
"เจ้าเป็นใครกัน...เหตุใดจึงมานั่งร้องห่มร้องไห้เเต่เพียงผู้เดียวกันเล่า?"
ด้วยน้ำเสียงอันแสนอ่อนโยน เด็กน้อยจึงยอมเงยหน้าขึ้นมองดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตานั้น ยิ่งสะกดใจของเด็กชายดวงใจกระตุกวูบ
น้ำตาที่คล้ายจะเหือดแห้งไปกลับกลิ้งไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ริมฝีปากเล็กๆค่อยๆเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
"ฮะ...ฮึก...ข้าออก...ออกมาเดิน...ฮึก...เล่น...ข้าฮะ...ฮึกๆจึงหลงทาง...กะ...กลับบ้าน...ไม่...ฮือ...ได้"
ทั้งๆที่คำพูดของเด็กน้อยนั้น ช่างแสนจะตะกุกตะกักปนกับเสียงร้องไห้ซึ่งถ้าไม่ตั้งใจฟังให้ดีๆก็ไม่สามารถจะจับใจความได้เลย แต่ถึงกระนั้นชาละวันกับไม่รู้สึกรำคาญเลยซักนิด กลับยิ่งเพิ่มความน่าสงสารและความน่ารักแกมเอ็นดูเข้ามาแทน
"โอ๋ๆหยุดร้องซะนะ...ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรละ? ข้าชื่อชาละวัน"
"ฮือๆๆๆๆ...กะ...ไกรทะ...ทอง"
"เอ่อ...ไกรทองเจ้าหยุดร้องเถอะนะ...อย่าร้องเลย...นิ่งซะ"
ดวงกลมโตกับแก้มแดงเต็มไปด้วยคราบน้ำตาช่างน่ารักเสียนี้กระไร เหมือนได้ยินเสียงหัวใจเรียกร้อง
ชาละวันค่อยๆโน้มใบหน้าก้มเลียน้ำตาที่กำลังจะล่วงหล่น เลื่อนริมฝีปากขึ้นไปจูบซับตรงเปลือกตาอย่างปลอบใจให้หยุดร้อง ซึ่งถ้ายังไม่หยุดร้องชาละวันก็หมายใจจะจูบปลอบขวัญที่ริมฝีปากน้อยนั่นแทน แต่เด็กน้อยกลับดันตัวห่างอย่างตกใจ
ไกรทองจ้องมองพี่ชายแปลกหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาใสบริสุทธิ์คู่นี้ทำให้ชาละวันเกิดนึกละอายใจขึ้นมาที่ฉวยโอกาสกับเจ้าตัวเล็ก
...ข้าทำไปได้เช่นไรกัน นี่ยังเป็นแค่เด็กนะแถมยังเป็นเด็กผู้ชายเสียด้วย ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
ไกรทองจ้องมองพี่ชายตรงหน้า เอ...ดูจากหน้าตาหวานๆ ผมยาวๆแบบนี้ เขาต้องเรียกว่าพี่สาวหรือปล่าวนะ แต่พี่เขาแต่งชุดผู้ชายอยู่นิ...อืม ผู้หญิงแต่งชุดผู้ชายมีถมไป
"ท่าน... "
"มี...มีอะไรรึ?" เสียงเรียกจากไกรทองทำเอาคนที่ทำผิดถึงกับผวาใจเกือบล่วงไปอยู่ตาตุ่ม
"ท่านเป็นพี่ชายหรือว่าพี่สาว?"
"หะ หา! ทำไมเจ้าถึงถามข้าแบบนี้ล่ะ ข้าแต่งชุดผู้ชายก็ต้องเรียกข้าว่าพี่ชายสิ"
ไกรทองเขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆชาละวัน สองมือจับหน้าอีกฝ่ายมาจ้องให้เต็มสองตา แล้วค่อยเลื่อนมือมาจับหน้าอกและ...
"เฮ้ย!?..." ชาละวันสะดุ้งตกใจที่เจ้าเด็กน้อย จู่ๆก็เอามือมาวางแหมะตรงจุดสำคัญของร่างกาย
เด็กน้อยมองมือของตัวเองสลับกับมองใบหน้าหวานปานนบอ้อย เอียงคอครุ่นคิด "พี่ชายจริงด้วย"
เออ...ก็พี่ชายนะสิ ถึงข้าจะหน้าตาเหมือนผู้หญิงแต่ข้าเป็นผู้ชายอกสามศอกนะโว้ย!...ข้าล่ะอยากเห็นหน้าพ่อแม่ของเจ้าจริงๆ เลี้ยงลูกมายังไงให้มาจับของคนอื่นเขาแบบนี้
"แล้วทำไมพี่ถึงมาหอมแก้มข้าล่ะ? ในเมื่อเป็นผู้ชายด้วยกัน"
เอาล่ะสิ... ตอบไงดีเนี่ย...เล่นเจอคำถามเสยคางกันแบบนี้ เล่นเอาข้ามึนตอบไม่ถูกเลยวุ้ย
"ปลอบใจไงล่ะ...ใช่ๆ ข้ากำลังปลอบใจเจ้าไม่ให้ร้องไห้ พ่อแม่เจ้าก็ปลอบเจ้าคล้ายๆกับข้าใช่ไหม?"
ไกรทองขมวดคิ้วครุ่นคิด... "พ่อกอดแล้วลูบหัว อืม...มีหอมหน้าผากด้วย"
"ใช่ๆแบบนั้นแหละ นี่เป็นการปลอบใจในแบบของข้า " ไม่กล้าสบเจ้าหนูนี่เลยแฮะ.....ดูสิมองข้าตาใสแป๋วเลย
"เอ่อ...ไกรทองเจ้าอยากลอยกระทงหรือปล่าว?"
อยากลอยสิแต่ว่าเขาไม่ได้ตระเตรียมกระทงเอาไว้ แถมอีกฝ่ายก็ยังมีเพียงแค่กระทงน้อยใบเดียวแล้วจะลอยกันยังไรล่ะเนี่ย?
"มาลอยกระทงด้วยกันนะ"
"ลอยด้วยกัน!?"
"ใช่!อยากลอยไหม?"
ร่างเล็กพยักหน้า
"แต่กระทงมันไม่มีดอกไม้ประดับ"
ชาละวันก้มมองกระทงในมือ ‘ตายละหวา มัวแต่ปลอบเด็กเพลินเลยลืมหาดอกไม้มาประดับกระทงเลยแหะ...อืม...เอาดอกอะไรดี ว่าแต่เจ้าดอกปีบพวกนี้ก็สวยดีนะ เห็นพ่อเคยบอกว่าท่านย่าชอบดอกปีบมากจนเอามาถวายพระบ่อยๆ’
ดอกไม้นั้นจะงดงามหรือหายากแค่ไหน มันอยู่ที่จิตใจของหลานเองว่าดอกไม้ดอกใดจะงดงามเหมาะสมจะประดับบนกระทงสองใบนี้ถึงแม้จะเพียงแค่ดอกเดียวก็ตาม
ในที่สุดเขาก็เข้าใจในสิ่งที่หญิงชราบอก...กระทงจะงดงามหรือไม่ นั้นอยู่ที่จิตใจหาใช่ความงามเพียงแค่ภายนอก
ชาละวันเงยหน้าขึ้นไปมองต้นดอกบีป ลำต้นสูงใหญ่เกินเอื้อมจริงๆ ... สูงเกินไป งั้นเก็บเอาจากดอกที่ร่วงแล้วนี่แหละ เพิ่งจะหล่นมาใหม่ๆด้วย
"สำหรับข้าถ้าเอาดอกไม้มาประดับเยอะเกินไปมันจะไม่สวย ถ้าเช่นนั้นข้าจะเอาดอกปีบสองดอกนี้มาเป็นแทนตัวข้ากับเจ้าแล้วกันนะดีไหม?....ดอกหนึ่งแทนตัวข้าส่วนอีกดอกหนึ่งแทนตัวเจ้า เท่านี้กระทงใบนี้ก็ถือเสียว่าเป็นกระทงของเรา"
เด็กชายไม่พูดพล่ามทำเพลงรีบคว้าข้อมือไกรทองเดินไปยังริมแม่น้ำ
"เจ้าอธิษฐานก่อน"
เด็กน้อยรับกระทงมาอธิษฐานอย่างว่าง่ายแล้วค่อยส่งกลับคืนให้ชาละวันได้อธิษฐานบ้าง
"เรียบร้อย ลอยกันเถอะ"
วันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ยามเมื่อแสงจันทร์ส่องกระทบลงมาบนแสงเทียนในกระทงที่เด็กชายสองคนช่วยประคองปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ ทำให้แม่น้ำในคืนนี้ช่างดูงดงามเป็นประกายตรึงใจจริงๆ
ทั้งที่จะเพิ่งเคยได้พบหน้ากันแค่ครั้งแรกแต่ความอบอุ่นในใจนี้มันคืออะไร?.....ความรู้สึกนี้มันคืออะไร?
ชาละวันและไกรทอง พากันเฝ้ายืนมองดูกระทงใบน้อยที่ค่อยๆลอยไปเรื่อยๆ คล้ายกับกาลเวลาถูกหยุดอยู่แค่ตรงนี้...หยุดอยู่ตรงแค่เราสองคน
"ไกรทอง!ลูกอยู่ไหน?"
เด็กชายตัวน้อยหันขวับไปตามเสียงตะโกนร้องเรียกที่ดังมาแต่ไกลด้วยความดีใจ "เสียงของพ่อนี่"
ร่างเล็กดีใจกำลังจะวิ่งไปหาพ่อ แต่ก็หยุดชะงักละล้าละหลังไม่กล้าขยับตัว
"เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปหาพ่อของเจ้าล่ะ?" ชาละวันทักถามอย่างไม่เข้าใจ...
"ขะ...ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่ชายอีก"
ชาละวันคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจในคำตอบ
"ไม่ต้องกลัวไป...พรุ่งนี้ข้าจะมารอเจ้าที่นี่แล้วกัน"
"จริงเหรอ?"
"อื้อ!ข้าสัญญา"
นิ้วก้อยสองนิ้วเกี่ยวกันเอาไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งคำสัญญา
เมื่อมั่นใจว่าจะได้เจอกับเด็กชายอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ไกรทองเลยรู้สึกสบาย รีบวิ่งไปหาพ่อที่ร้องเรียกอยู่ทันที แต่ก็ยังไม่วายหันมาโบกมือให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางเริงร่า
"พ่อ!" เด็กชายตัวน้อยโผวิ่งเข้ากอดคนเป็นพ่อด้วยความดีใจ
"ไกรทอง!"
ขุนไกรอุ้มลูกน้อยขึ้นมากอดดีใจที่เห็นว่าลูกชายปลอดภัยดี...เจ้าลูกตัวแสบเอ๊ย! บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าค่ำๆมืดๆอย่าออกจากบ้าน เป็นไงล่ะหลงทางเลยเห็นไหม ดีนะที่ไม่เป็นอะไร
"ลูกหายไปไหนมารู้รึไม่ว่าพ่อเป็นห่วงเสียแทบแย่"
ไกรทองก้มหน้ายอมรับผิดไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้น แต่ผู้เป็นพ่อไม่ว่ากล่าวอะไรอีกนอกจากลูบหัวเบาๆเป็นเชิงให้อภัย
"แล้วลูกเป็นอะไรหรือปล่าว?"
"ปล่าวจ๊ะ"
"ถ้างั้นก็กลับบ้านกันเถอะ"
ขุนไกรอุ้มลูกกลับบ้าน โดยมีไกรทองกอดคอพ่อมองไปทางด้านหลัง ถึงแม้ตอนนี้เด็กผู้ชายคนนั้นจะหายไปแล้วแต่ความอบอุ่นในหัวใจก็ยังคงอยู่ไม่จางหายไปไหน เช่นเดียวกับชาละวันที่ยังนึกถึงเหตุการณ์วันลอยกระทงในวันนี้ใบหน้าหวานก็เอาแต่ยิ้มไม่ยอมหุบ
พรุ่งนี้สินะที่เราสองคนจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง ไกรทอง.....ชาละวัน
ความคิดเห็น