คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ไกรทอง ตอนที่14 (แก้ไข)
เพราะเรื่องราวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในวัดเมื่อคราวนั้นทำให้เศรษฐีคำไม่ยอมยกโทษให้สองคนพี่น้องเพลิงกับไม้อย่างเด็ดขาด ถึงขนาดจะเพ่นกบาลเอาเลือดหัวพวกมันออกท่าเดียว เลยเป็นเหตุให้หลวงตาคงต้องเข้ามาขอบิณฑบาตด้วยตนเองชายกลางคนจึงยอมความให้เรื่องราวจึงจบลงด้วยดี แต่ก็ยังไม่วายด่าพวกมันเสียยกใหญ่โดยที่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าห้าม เมื่อด่าจนพอใจแล้วพ่อของเจ้าสองพี่น้องถึงค่อยให้บ่าวรับใช้เก็บศพลูกชายกลับบ้านไปแต่โดยดีไม่กล้าด่ากลับ
ส่วนเจ้าคนแปลกหน้าที่เข้ามามีเรื่องในวัด เศรษฐีคำก็ทำการสืบเท้าราวเรื่องโดยละเอียดจึงพอทราบว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นคนพเนจรไม่มีหลักแหล่ง อาศัยอพยพย้ายถิ่นฐานหางานทำไปเรื่อยจนมาถึงที่หมู่บ้านดงเศรษฐีแห่งนี้
รูปร่างหน้าตาเจ้าหนุ่มคนนี้ดูหน่วยก้านดี โครงหน้าเรียวได้รูป ผิวสีทองแดงทองคล้ายหม้อปั้นใหม่ หน้าตาก็คมเข้มห้าวหาญเอาเรื่อง ช่างเหมาะเจาะกับร่างกายของมันที่หนากำยำแข็งแรงดั่งชายชาติทหาร.....เจ้านี่ดูท่าจะทำงานแข็งขัน ได้ยินว่ามาหางานทำเพื่อเก็บเงินงั้นก็ให้มาทำงานกับข้าแล้วกัน
เศรษฐีคำเล็งเห็นว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นคนดีเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกสาวและหลานชายของตนเอง ประกอบกับเป็นคนดีมีฝีมือจึงได้อุปการะให้เข้ามาทำงานรับใช้ในบ้าน
ซึ่งเจ้าคนแปลกหน้าก็ยินดีอย่างยิ่งได้งาน แต่ทว่าชายหนุ่มกับขอทำงานแบบไปเช้าเย็นกลับ ด้วยเหตุผลที่ว่าตนเองชอบอยู่แบบสันโดษเลยต้องการความเป็นส่วนตัวจึงไม่ค่อยอยากพักอยู่รวมกับคนหมู่มากเท่าใดนัก
เศรษฐีคำก็เข้าใจว่าคนเรามีนิสัยแตกต่างกันไป จึงตกลงตามคำขอชายหนุ่มและยกกระต๊อบท้ายหมู่บ้านให้เจ้าตัวได้อยู่อาศัย แม้จะฟังดูไม่ค่อยน่าอยู่เสียเท่าไรแต่ตัวบ้านทำจากไม้เนื้อดีเลยยังคงแข็งแรงไม่ผุพัง แค่ทำความสะอาดเสียหน่อยก็ใช้เป็นที่หลับนอนได้แล้ว
เมื่อได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายแปลกหน้าจึงค่อยบอกชื่อเสียงเรียงนามให้ชายกลางคนได้รับรู้ไว้แค่สั้นๆว่า...นัน...แค่นั้นไม่ยอมบอกประวัติเพิ่มเติมอีก
....เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างเป็นคนที่มีแต่ปริศนามากมายนัก เอาเถอะคนเราล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นไรขอแค่เป็นคนดีก็พอ
“มีสิ่งใดรึจ๊ะพี่คำ ถึงได้มานั่งถอนหายใจแรงถึงเพียงนี้” นางทองมาที่นั่งจีบหมากจีบพลูอยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นผัวจิบชาไปถอนหายใจไป ช่างดูแปลกวิสัยจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“อืม...มันก็ไม่ค่อยมีอันใดสำคัญนักหรอกจ๊ะแม่ แค่พ่อรู้สึกว่าเจ้านันชื่อมันสั้นดูแปลกพิกล จนหาความหมายของมันไม่ได้เลยสักนิด”
นางทองมานึกยิ้มขำกับความคิดอ่านของผัว ที่เอาชื่อคนมาเป็นหัวข้อให้ขบคิด
“ชื่อนั้นอยู่ที่คนเขาตั้ง ครั้นมันจะมีความหมายใดแฝงก็อยู่ที่คนนั้นตั้ง เราไม่รู้สิจึงไม่แปลก”
“เออ มันก็จริงอย่างที่แม่ว่าชื่อมันอยู่ที่คนเขาตั้ง เฮ้อ!ไอ้คำดันบ้านั่งนึกไปตีความเข้าเนอะแม่เนอะ”
เมียได้ยินคำผัวว่า นางถึงกับเอามือป้องปากหัวเราะกิ๊กจนชายกลางคนรู้สึกเขินเล็กน้อย ส่งเสริมให้บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเองระหว่างผัวเมีย ทำให้บ่าวรับใช้โดยรอบพากันแอบยิ้มกับการหยอกล้อกันของเจ้าบ้านทั้งสองคน จวบจนชายกลางคนเอ่ยถามหาลูกสาวเพราะมองไม่เห็นสองคนพี่น้องมานวดขา นวดแขนให้พ่ออย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“ฉันให้ลูกแก้วกับลูกทองไปฝึกปั้นขลิบอยู่ในครัวกับพวกบ่าวไพร่ ตั้งแต่เกิดเรื่องราวในวัดคราวนั้น ฉันยังไม่กล้าให้ลูกลงจากเรือนเลยจ๊ะ ขนาดแค่สวนในบ้านฉันก็ยังไม่กล้าให้ลูกลงไปเดินเล่น เพราะแค่นึกถึงใจมันก็สั่นไปหมดเลยจ๊ะพี่คำ”
“อย่าว่าแต่แม่เลย ฉันเองก็ยังหวาดผวาไม่หาย นี่ขนาดพวกเราและผู้หลักผู้ใหญ่นั่งกันเต็มอยู่บนศาลา พวกมันสองพี่น้องยังกล้ากำเหงล้วงคองูเห่า.....คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย”
ยิ่งคิดเศรษฐีคำยิ่งนึกเจ็บใจ แต่จะให้ตะโกนโวยวายก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ชายกลางคนจึงยกชาขึ้นมาดื่มเพื่อให้อารมณ์เย็นลง โดยมีเมียนั่งพัดให้อย่างรู้ใจ
“นั่นสิจ๊ะถ้าไม่มีพ่อนันยื่นมือเข้ามาปกป้อง ป่านฉะนี้ลูกสาวของเราคงจะขวัญเสียกันน่าดู ดีไม่ดีเด็กหนุ่มสองคนนั้นอาจจะถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสก็ได้”
“อืม... จะว่าไปแล้ว เจ้าสองนั่นมันเป็นยังไงบ้างจ๊ะแม่ ยังอยู่สบายกันดีใช่ไหม? ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งหลายวัน ไม่รู้ป่านนี้ไปนึกคะนองกันอยู่เสียที่ไหนก็ไม่รู้ ”
นางทองมามองดูแววตาของผัวแล้วอดนึกอมยิ้มไม่ได้...นางไม่แปลกใจเลยที่ผัวจะนึกเอ็นเด็กหนุ่มสองคนนี้ หนึ่งอาจเป็นเพราะว่าไกรทองนั้นเป็นลูกของเพื่อนรักผู้ห่างหายไปนานหลายปีกว่าจะได้กลับมาพานพบกันอีกครั้ง ส่วนทองดำก็เป็นเด็กมีน้ำใจคอยช่วยเหลือเล่นหัวกับหลานชายคนนี้มาโดยตลอด ไม่สนใจขี้ปากและคำนินทาว่าร้ายจากคนขี้อิจฉาทั้งหลาย
“สบายดีจ๊ะพ่อไกรกับพ่อทองดำก็ยังหมั่นคอยช่วยงานหลวงตาที่วัดตามปกติ เห็นส่งข่าวมาบอกว่าจะรอเข้ามาทำงานพร้อมกันกับพ่อนันนะจ๊ะ เผื่อจะได้ช่วยสอนงานกันให้คล่อง”
เศรษฐีคำพยักหน้ารับรู้ เพราะแต่เดิมเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ไม่ใช่คนทำงานในบ้านของตน นอกจากจะมาช่วยงานเป็นครั้งคราวแล้วแต่จะจ้าง หรือไม่ก็มาช่วยงานกันเฉยๆโดยไม่เอาค่าแรงจนหลายครั้งที่คนเป็นลุงกับคนเป็นป้า ต้องคอยหาเหตุผลให้ทั้งสองรับเงินค่าแรงเก็บไว้ ...ทั้งช่วยงานที่วัด ทั้งคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน ทั้งยังมาช่วยงานในบ้านตนอีก ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ขยันกันเสียจริงๆ
ถึงจะคิดชื่นชมลูกชายของเพื่อนด้วยความภาคภูมิใจแต่ก็ยังไม่วายแอบถอนใจออกมา ซึ่งนางทองมาก็เข้าใจดีรีบรินน้ำชาให้พร้อมเอ่ยกล่าวปลอบใจในความทุกข์ของผัว
“อย่าคิดมากเลยนะพี่คำคนเรามันก็อีหรอบนี้แหละ เห็นใครโดนรักใครเอ็นดูไม่ได้ ก็พาลแต่จะเกลียดขี้หน้าเขาไปทั่ว สักวันนะพี่คำเรื่องราวทุกอย่างมันคงจะดีขึ้นเอง”
“ฉันไม่นึกคิดอย่างนั้นนะสิ เจ้าเพลิงกับเจ้าไม้มันถอดนิสัยพ่อมันมาทุกกระเบียดนิ้ว เล่นจงเกลียดจงชังกันจนถึงขนาดไอ้ขุนตาย มันก็ยังยุส่งให้ลูกของมันมาเกลียดไอ้ไกร แล้วยังไม่จบพวกมันสองพี่น้องดันเสือกมายุงแยงพวกหนุ่มๆในหมู่บ้านให้ตั้งข้อรังเกียจไอ้ไกรอีกทอด...ข้าห่วงนะแม่ถ้าสิ้นหลวงตา สิ้นพวกเราไปไอ้ไกรมันมีใครคอยช่วยเหลือค้ำจุนมันอีก...ข้าไม่อยากเห็นมันต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่วแค่นึกถึงข้าแทบนอนตายตาไม่หลับ”
เรื่องราวความบาดหมางทั้งหมดในหมู่บ้านเหตุใดผู้ใหญ่เช่นเขาจะไม่รู้...และไม่มีใครในหมู่บ้านหรอกที่จะไม่รู้ความจริง...ยิ่งของเจ้าไกรเป็นที่นึกรักเอ็นดูของคนในหมู่บ้านมันอยู่แล้ว เลยเป็นที่ขวางหูขวางตาหนักเข้าไปอีก หรือจะเป็นเพราะเขาที่นึกเอ็นดูมันออกนอกหน้านอกตาจนถึงขนาดให้มันได้อยู่ใกล้ชิดลูกสาวทั้งสองได้โดยไม่รู้สึกหวง พวกหนุ่มๆรุ่นราวคราวเดียวกันเลยพากันจงเกลียดจงชังหนักกว่าตอนสมัยเด็กเสียอีก
เอ็งจะเกลียดลูกไอ้ขุนไปถึงไหน....ถ้าเอ็งจะเกลียดมันเพราะเรื่องความรักในอดีต เห็นทีคงจะไม่ใช่ ข้ารู้ว่าเอ็งตัดใจจากแม่ผกาได้นานแล้ว.....ถ้าฉะนั้นเป็นเพราะเหตุใด เอ็งถึงต้องการขับไล่ไสส่งเจ้าไกรนัก
“ดูผิวเหลืองเรืองรองทองอุไร งามวิไลแลเล่ห์เทวดา
ขนงเนตรเกศกรรณและกรแก้ม แลแฉล้มน่ารักเป็นนักหนา
พิศวงหลงลืมกระพริบตา เสน่หาปั่นป่วนรัญจวนใจ
แม่เห็นหน้าพ่อไกรทีไรเป็นต้องนึกนึกกลอนบทชมโฉมศรีสุวรรณทุกที ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อไกรถึงได้ความรักความเอ็นดูจากสาวน้อยสาวใหญ่และผู้เฒ่าผู้แก่มากมายในหมู่บ้าน” แม้จะรู้ว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากความเอาการงานของหลานชาย แต่นางทองมาก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าความนิยมที่หลานชายได้รับนั้นมาจากหน้าตาและนิสัยที่สุภาพ
“เอ...ถ้าเจ้าไกรเปรียบเหมือนศรีสุวรรณ แล้วเจ้าทองดำละจ๊ะ แม่จะเปรียบให้มันเหมือนกับนิทานวรรณคดีเรื่องไหน”
“ดำเป็นเมี่ยงท่าทางบ้าบอปานนั้นคงไม่แคล้วเป็นเจ้าเงาะป่านะสิจ๊ะพี่คำ”
ไอ้เงาะป่าบ้าใบ้ ผมหยิก หน้ากร้อ คอสั้น ฟันขาว
“หึหึ...เจ้านั่นคงผิดแค่ผมไม่หยิก หน้าไม่กร้อ คอมันไม่สั้น มีแค่สีผิวเท่านั้นที่เหมือน ไม่อย่างนั้นข้าคงนึกว่ามันเป็นเจ้าเงาะป่าในสังข์ทองเสียอีก”
“พี่คำก็ว่าพ่อทองดำเกินไปนะจ๊ะ”
ทองดำเอ๊ย! ขอข้าให้เอ็งอยู่เคียงข้างเจ้าไกร เป็นเพื่อนรัก เพื่อนแท้ เพื่อนตาย ไม่มีทอดทิ้งกันไป ตราบจนชั่วชีวิตของพวกเจ้าทั้งสองคนเถิดนะ
จะว่าไปแล้ว นับแต่เจ้านันย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในกระต๊อบท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนก็ยังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติมีไม่มีใครมาใส่ใจมันมากมายเท่าใดนัก ถึงแม้จะสาวๆชะม้อยชม้ายตาหวานให้เป็นพักๆ แต่ด้วยกระต๊อบมันแยกมาอยู่ท้ายหมู่บ้านและไม่ค่อยสุงสิงกับผู้คนมากนัก ทำให้ไม่มีใครมาวุ่นวายให้รำคาญใจ ซึ่งจะยกเว้นอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสนใจมันไม่ยอมเปลี่ยน
...ไกรทอง...
ปกตินิสัยของเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่คนชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องราวของชาวบ้านเท่าใดมากนัก มีแค่รับรู้บ้างเป็นบางเรื่องแล้วแต่คนจะมาเล่าให้ฟัง ก็แค่รับฟังเท่านั้นไม่ได้นึกสนใจอยากรู้ต่อ ด้วยเพราะคำสอนของหลวงตาคงที่เคยบอกสอนมาแต่เล็กเกี่ยวกับการนินทา
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แค่องค์พระปฎิมายังราคิน
คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา
กลอนสุนทรภู่ บางตอนจาก "พระอภัยมณี"
แต่มีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่เด็กหนุ่มขอละเลยคำสั่งสอนของหลวงตา เที่ยวทำตัวสอดแนมด้วยความอยากรู้เรื่องชายหนุ่มปริศนาให้มากกว่านี้...ว่าเป็นใคร มาจากที่ไหนกันแน่ เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มผู้จะสามารถเฉลยในข้อสงสัยที่เขาอยากรู้และสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานานให้กระจ่างได้แน่นอน.....ซึ่งก็อยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะยอมพูดออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง
ทุกวันยามพอมีเวลาว่างจากการทำงาน ไกรทองมักจะชอบมาแอบอยู่ใกล้ๆกระต๊อบของชายหนุ่ม ซึ่งวันๆหนึ่งของนันนอกจากตื่นเช้าขึ้นมาหุงหาอาหาร ตกปลา เก็บผักผลไม้มากินแล้ว ยามเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่สานสุ่มไก่ สานตะกร้า ก็สานแหไว้จับปลาไปตามเรื่องตามราวแล้วแต่ชายหนุ่มจะทำ
ถึงอย่างนั้นไกรทองก็ยังคงหมั่นเพียรพยายามมาคอยแอบเมียงๆมองๆนันอยู่ตลอดทุกวัน เผื่อว่าสักวันเขาจะสืบรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้จากชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ จนวันนี้คนถูกแอบมองนึกทนไม่ไหววางมือจากการสานตะกร้า กวักมือเรียกไกรทองที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้หยอยๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็พาซื่อยอมเดินออกมาจากที่ซ่อนเข้าไปหาชายหนุ่มแต่โดยดี
เจ้านันตบแคร่ว่างข้างตัวเป็นการบอกนัยๆว่าให้เด็กหนุ่มนั่งลง
“เอ็งมีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือปล่าวน้องชาย”
“ฉัน...เอ่อ...”
“อ้ำ ๆอึ้ง ๆอยู่ได้มีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆ”
อาจเป็นเพราะนันเป็นคนตรง นิยมพูดจาฉาดฉานตรงไปตรงมา พอมาเจอท่าทางลังเลไม่กล้าพูดของไกรทอง คงจะทำชายหนุ่มรู้สึกขัดหูขัดตากับพฤติกรรมเช่นนี้
สุดท้ายไกรทองก็รวมความกล้าสลัดความเกรงใจออกจากหัว ยอมปริปากถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ “พี่ชายเป็นคนที่ไหนเหรอจ๊ะ”
“ข้าจำได้ว่าข้าบอกทุกคนแล้วนะ ว่าข้าเป็นคนพเนจรไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรอกนะ”
“ระ...เหรอ”
ไกรทองจึงนิ่งเงียบไปสักพักจนเจ้านันนึกว่ามันกลายเป็นใบ้ไปเสียแล้ว
“เอ็งมาเพื่อถามข้าแค่นี้?”
“คือว่า...พี่ชายเคยมาที่หมู่บ้านนี้หรือปล่าว”
“หึ!ข้าไม่เคยมาที่หมู่บ้านนี้หรอก...เพิ่งมาครั้งนี้ครั้งแรก”
“งั้นรึ”
ท่าทางผิดหวังที่ถูกแสดงออกมาสร้างความแปลกใจให้เจ้านัน...มันพูดเหมือนเคยรู้จัก...หรือว่า “น้องชาย...”
“กูมาคิดบัญชีกับมึงไอ้คนแปลกถิ่น”
ยังไม่ทันถามให้รู้ความ ไอ้พวกใจหมาพวกนี้ดันเสือกทะลึ่งมาเสนอหน้าให้เห็นอีก...ขัดจังหวะกูจริงๆนะพวกมึง สงสัยยังไม่เข็ดกับฝ่าตีนของข้า วันนี้เลยวิ่งโร่หาหาถึงที่เพื่อจะได้กินยำตีนอีกรอบ...ได้ ข้าจะจัดให้สมใจอยาก คราวนี้จะให้นอนหยอดข้าวต้มกันเลยแหละ จะได้เลิกมาวุ่นวายกับข้าเสียที!
เมื่อเห็นว่ามีแขกมาเยือนทั้งทีเจ้าบ้านที่ดีอย่างนัน จึงละจากเด็กหนุ่มข้างกายเพื่อเตรียมตัวออกโรง ต้อนรับขับสู้ให้เป็นอย่างดี...ชนิดที่พวกมันจะต้องจดจำไปจนวันตาย
หือ? ครั้งนี้เตรียมตัวมาขนาดนี้เลยเรอะ สงสัยเมื่อคราวที่แล้วตอนมีเรื่องกันครั้งแรก พวกมันมีหมาหมู่สี่ห้าตัว มาครั้งนี้เลยเล่นขนสมัครพรรคพวกมากันสิบกว่าคนเพื่อมาล้อมกันเอาไว้...สงสัยจะกลัวแพ้จัด
...หมาหมู่ก็ยังคงเป็นหมาหมู่วันยังค่ำ นิยมใช้คนจำนวนมากกว่าเข้าสู้พร้อมอาวุธครบมือเยี่ยงนี้ เขาไม่เรียกว่านักเลงหรอก ใจไม่ถึงกลัวตายแบบนี้มันต้องเรียกว่าอันธพาลถึงจะถูกกว่า
“น้องชายเอ็งกลับบ้านกลับช่องไปก่อนไป วันหลังค่อยมาเล่นกับข้าใหม่”
“ไม่ได้หรอกคราวนี้พวกมันเยอะกว่า พี่ชายคนเดียวสู้หมาหมู่ไม่ได้หรอกให้ฉันอยู่ช่วยด้วยดีกว่า”
ท่าทางพร้อมสู้ช่างผิดกับนิสัยขี้เกรงใจเมื่อครู่นี้อย่างกับคนละคน เล่นเอานันรู้สึกแปลกใจเป็นครั้งที่สอง...เออ ไอ้เด็กคนนี้มันแปลกดีบทจะเงียบก็สงบเสงี่ยมเป็นสนิมสร้อย พอบทจะสู้ก็พองขนเตรียมพร้อมสู้ไม่ถอยอย่างกับไก่ชนเจนสนาม
“ไม่ต้องน้องชายแค่ข้าคนเดียวเหลือก็แหล่ พวกมันทุกตัวไม่คนามือ คนาตีนข้าหรอกอย่าห่วง”
คำอวดตัวที่ไม่เบานักของชายหนุ่ม ดังเข้าไปในหูและแทงทะลุเข้าไปในใจของหมาหมู่ทุกตัว โดยเฉพาะตัวหัวหน้าสองตัว ที่ถึงกับโกรธจัดในคำสบประมาณของศัตรู
หนอย! มึงสองคนดันเสือกสะเออะยืนคุยเล่นกันไม่สนใจพวกกู แค่มึงคนเดียวก็สามารถจัดการพวกกูได้งั้นเรอะ มันจะหยามน้ำหน้ากันเกินไปแล้ว...ดีพวกกูจะได้พวกมึงทีเดียวพร้อมกันสองคน
“ถ้ามึงมั่นใจว่าจะชนะ ...ถ้างั้น... พวกเราลุย! ”
เมื่อลูกพี่ใหญ่เอ่ยประกาศศึกแล้ว พวกลูกสมุนทุกคนไม่รอช้ารีบกรูเข้าไปล้อมกรอบนันกับไกรทองเอาไว้ ป้องกันไม่ใครใครเล็ดลอดหนีออกไปได้
“ดูท่าเอ็งจะกลับบ้านไม่ได้แล้วว่ะน้องชาย”
นันมองดูพวกหมาหมู่ด้วยสีหน้าสบายๆไร้กังวลกับจำนวนศัตรู...จุ๊จุ๊ ดูหน้าแต่ละคนสิกระเหี้ยนกระหือซะ...หน้าตลกชะมัด
“ไม่เป็นไรพี่ชายเพราะข้าจะได้สะสางบัญชีแค้นเหมือนกัน”
พอเจ้าตัวพูดจบแค่นั้นชายทางขวามือก็กระโจนพรวดมาทางไกรทองพอดี ฝ่าตีนหนักๆกำลังดีจัดการถีบเข้าไปที่หน้าหมอนั่นเสียเต็มแรงจนกระเด็นลากเอาคนสามสี่คนลงไปนอนเล่นคลุกดินเป็นเพื่อนด้วยกัน
เมื่อเห็นเพื่อนในกลุ่มถูกทำร้ายพรรคพวกที่เหลือคงไม่ต้องว่ากล่าวอะไรมากมายนัก นอกจากจะ รีบเฮโลเข้าไปตะลุมบอนกับสองหนุ่มจนชุลมุนกันไปหมด
และเนื่องจากจำนวนคนที่เยอะกว่าเลยทำให้ไกรทองต้องพลาดท่าเสียทีโดนหมัดเสยบ้างไปสองสามหมัด แต่ส่วนใหญ่แล้วฝ่ายศัตรูมักจะโดนเด็กหนุ่มเล่นงานเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น เตะก้านคอ เข่า ศอกต่อย เจาะยาง และกระทืบ จนต้องนอนสลบเมือดกองเป็นศพไปแล้วหลายราย
ฝ่ายนันไม่ต้องพูดถึง ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนให้เห็นสักขีดเดียวเพราะชายหนุ่มเล่นเอาแต่เตะก้านคอ ถีบศัตรูตลอดไม่ยอมออกหมัดจัดการให้เสียเหงื่อ เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์....ช่วงขายาวก็อย่างงี้แหละได้เปรียบตลอดไม่มีเสีย
ลูกน้องที่รวบรวมมาถูกเล่นงานเสียจนยับเยิน จำนวนคนที่เริ่มน้อยลงจนเหลือเพียงแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่ยังคงพอต่อสู้ได้...จากความฮึกเหิมที่มีมาแต่แรกได้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว คนที่เหลือรอดมีท่าทางลังเลไม่กล้าเข้าสู้ให้เจ็บตัว เดือดร้อนต้องให้เพลิงกับไม้ออกหน้าต่อสู้แทน...เพื่อรักษาเกีรยติในฐานะลูกพี่
เพลิงเลือกเข้าไปท้าดวลกับไกรทอง ในขณะที่ไม้เลือกเดินหน้าท้าสู้กับนันแทน
มวยคู่เอกสองคู่เริ่มวางท่าหมัดหยั่งเชิงคู่ต่อสู้พร้อมลุย
เริ่มจากไม้ที่รีบจู่โจมเข้าถีบก่อนแต่นันก็ยังสามารถหลบหลีกได้ แถมยังมีการโยกตัวซ้ายขวาเป็นเชิงหยอกเย้าคู่ต่อสู้ให้เสียสมาธิ และได้ผลเมื่อไม้เริ่มคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ปล่อยหมัด ต่อย เตะชนิดไม่อยากให้ศัตรูได้มีโอกาสตั้งตัว ซึ่งน่าเสียดายที่เจ้านันดันอ่านทางมวยออก ชายหนุ่มโยกหลบหมัดไปทางนี้ที ทางโน้นที เพื่อให้ศัตรูเหนื่อยแรงเล่น
ทางไกรทองไม่น้อยหน้าถึงแม้ว่าขนาดลำตัวจะดูด้อยกว่าเพลิงเล็กน้อย แต่เจ้าตัวกลับฉวยจุดด้วยให้เป็นจุดแข็งแสดงความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวหลอกล่อคู่ต่อสู้อย่างมีชั้นเชิง คอยอาศัยจังหวะอีกฝ่ายพลั้งเผลอจัดการปล่อยหมัด ปล่อยอาวุธใส่แบบเน้นๆไม่มีการออมมือ ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งกว่าแค่ไหนก็ต้องมีหมดแรงเป็นธรรมดา...ท้ายที่สุดเพลิงถึงกับล้มหงายนอนกองกับพื้นเสียงดังสนั่น เมื่อเจอกับท่าเถรกวาดลานวัดของไกรทองเข้าไป
ปั๊ก!
“เอ็งแพ้ข้าแล้วไอ้เพลิง”
ไม่!...คนที่ต้องยืนเยาะเย้ยมันต้องไม่ใช่มึงแต่เป็นกู
มือหนึ่งของเพลิงกำเศษดินเอาไว้แล้วปาเข้าใส่หน้าไกรทอง เมื่อสบโอกาสมันไม่รอช้ารีบกระโจนถีบใส่ร่างเด็กหนุ่มทันที โดยมีลูกสมุนอีกสองคนเข้าไปช่วยรุมซ้ำ ส่วนที่เหลือไปคอยช่วยไม้อีกทางหนึ่ง
“มึงต่างหากที่แพ้กูไอ้ไกร...เฮ้ย!พวกมึงสองจับไว้ให้ดีๆอย่าให้มันดิ้นหลุดไปได้”
หมัดหนึ่งต่อยเข้าทางแก้มขวาอีกหมัดต่อยเข้าทางแก้มซ้าย ต่อยสลับกันอยู่อย่างนี้จนหน้าไกรทองมีเลือดไหลเต็มหน้า แต่เพลิงยังไม่สะใจมัน.....
“กูโดนเศรษฐีคำทำกูเจ็บไว้เช่นไร มึงต้องหนักกว่ากูเป็นร้อยเท่า”
....เป็นช่วงจังหวะเดี่ยวกับที่นันต่อยหมัดใส่ไม้เต็มแรงจนมันตาเหลือกล้มลงไปพร้อมกับลูกสมุนอีกสามคนที่นอนสลบอยู่ก่อนหน้า...เพลิงถือกระชับท่อนไม้ขนาดใหญ่ไว้ในมือให้มั่นแล้วเงื้อขึ้นสุดแขนหวังฟาดใส่กบาลไอ้ไกรสุดกำลัง
...จังหวะเพียงเสี้ยวเดียวที่กบาลไอ้ไกรกำลังจะเลือดหัวออก ฝ่าตีนหนักของใครคนอีกคนกระโดดถีบใส่สีข้างเพลิงเสียเต็มรักจนตัวมันปลิวกระเด็นไปจบทางตีนนันพอดิบพอดี ซึ่งคงไม่ต้องพูดถึงชะตากรรมของไอ้คนขี้โกงหรอกว่าเป็นเช่นไร เพราะมันได้ตายคาฝ่าตีนยักษ์ของชายหนุ่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไอ้ทองดำ”
หลังจากจัดการพวกคนที่เหลือเสร็จ เด็กหนุ่มผิวดำรีบปรี่เดินเข้ามาดูอาการเพื่อนรักทันที...สภาพเลือดกบปาก คิ้วแตก รอยช้ำม่วงรอบตา เล่นเอาทองดำอดจุ๊ปากไม่ได้
“คราวหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกข้าด้วย เอ็งรู้ทั้งรู้ว่าไอ้สองตัวนั่นเป็นคนยังไงดันเสือกทะลึ่งมาที่นี่คนเดียวอีก...ดีนะว่าข้าสังหรณ์ใจเลยตามมาช่วยเอ็งเกือบไม่ทัน”
มุมปากที่เริ่มเจ็บเลยทำให้ไกรทองพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากกุมมุมปากเอาไว้
“น้องชายรีบพยุงเพื่อนไปนั่งตรงแคร่นั่นก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหายูกหายามาทำแผลให้”
ทองดำช่วยพยุงปีกเพื่อนรักไปนั่งพักที่แคร่ตามที่นันสั่ง โดยไม่สนใจพวกที่นอนสลบอยู่ตรงแถวนั้นแม้แต่นิดเดียว...ปล่อยๆให้พวกมันนอนตายกันอยู่ตรงนั่นแหละ เดี๋ยวทำแผลให้ไอ้ไกรเสร็จค่อยไปหารถลากมาสักสองคัน ใส่ศพพวกมันไปส่งที่บ้านให้ก็แล้วกัน นี่ยังถือว่าข้าใจดีให้แล้วนะ
สุดท้ายวันนี้นอกจากจะไม่ได้รู้ในเรื่องที่อยากรู้อะไรแล้ว ไกรทองยังต้องมานั่งโอดโอยภายใต้ฝ่ามือหนักๆของคนสองคนที่พร้อมใจกันช่วยทำแผลให้เขาอย่างหนักมือ
“กูเพื่อนมึงนะเว้ยไอ้ทองดำเบาๆมือหน่อยสิว่ะ!” ไกรทองร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นเมื่อเจอกับการป้ายยาแบบไม่ยั้งมือของเพื่อนรัก และการพอกยาแบบไม่ออมมือจากชายหนุ่ม
“หาเรื่องเจ็บตัวเองช่วยไม่ได้” ทองดำหยักไหล่ไม่แยแสกดแผลหนักกว่าเดิมอีกเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ยๆน้องชายอย่าขยับตัวสิ ข้าทำแผลลำบาก” เพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งขยับทั้งตะโกนไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มเลยจัดการยึดแขนข้างหนึ่งเอาไว้ก่อนจะลงมือทำแผลให้
มือคนรึมือควายว่ะเนี่ยมือหนักชิบหาย...โอ๊ย!!!...เบา...เบ๊า!
ความคิดเห็น