คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ไกรทอง ตอนที่10 (แก้ไข)
ยิ่งพอมาตอนนี้จากเส้นร้าวเล็กๆเริ่มขยายรอยร้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเขานึกกลัวว่าถ้าหากตะกรุดเส้นนี้เกิดทนแรงอาคมไม่ไหว แล้วแตกสลายไปร่างกายของเขาคงจะต้องกลับมาถูกครอบงำอีกครั้ง
นับว่ายังโชคดีที่ขุนไกรยังไม่ทันสังเกตเห็น หาไม่แล้วเจ้าเด็กน้อยคงแตกตื่นหาเรื่องทำอะไรเกินตัวอีกเป็นแน่...ข้าล่ะนึกเป็นห่วงจริงๆ ว่าถ้าหากไม่มีข้าแล้วใครจะมาคอยปรามไม่ให้เจ้าใจร้อน หุนหันพลันแล่นอีก
“เราสองคนอยู่ในถ้ำนี้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ายังไงลองว่ายน้ำกลับขึ้นบนฝั่งไปหาหลวงตาที่เป็นเจ้าของตะกรุดขอให้ท่านช่วยเหลือกันเถอะ"
“นั่นสินะ” ขุนไกรนึกเห็นดี เห็นงามด้วยกับความคิดอันรอบคอบของร่างสูง ‘ลืมนึกถึงตรงจุดนี้ไปเลย ดีนะที่โคจรเอ่ยเตือนสติขึ้นมา ถ้างั้นพวกเราคงต้องรีบไปหาหลวงตาให้จัดการกับไอ้ควันดำพวกนี้ให้สิ้นซากไปเลยดีกว่า'
เมื่อมีความคิดตรงกัน โคจรจึงค่อยๆพยุงร่างบอบช้ำของขุนไกรก้าวเดินไปอย่างช้าๆ กันไม่ให้กระเทือนกับบาดแผลตามร่างกายอีกฝ่ายให้มากที่สุด ทั้งๆที่ในตอนแรกโคจรอาสาจะอุ้มให้แทนการเดินเท้า แต่กลับโดนขุนไกรตะคอกใส่ด้วยหน้าแดงกร่ำว่า ‘เสือก!’
เจ็บหนักจนเดินไม่ไหวแท้ๆ ยังจะมาหน้าบางอีกนะพ่อคนเก่ง
พญากุมภีร์แอบมองเสี้ยวหน้าขุนไกรด้วยแววตาดีใจระคนปวดใจ...จากกันนานหลายปีนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าเจ้ายังอยู่สุขสบายดีข้าก็ดีใจ ต่อจากนี้ไปข้าคงไม่มีสิ่งติดค้างในใจให้ต้องห่วงเจ้าอีกแล้ว
และเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าปากทางถ้ำ โคจรก็ได้ตัดสินใจที่จะยุติเรื่องเลวร้ายทั้งหมดด้วยตัวของเขาเอง
“ขุนไกร" เจ้าของชื่อหันหน้ามามองคนเรียกพร้อมกับขมวดคิ้วให้อย่างไม่เข้าใจ...จู่ๆจะมาเรียกชื่อทำไม?
นับว่าช่างเป็นความคิดที่ผิดมหันต์นักที่เขาเผลอเงยหน้าจ้องตากับโคจร ดวงตาสีเขียวงดงามจงใจจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลสุกใส จนมองเห็นกระทั่งเงาสะท้อนได้ในดวงตาคู่นี้...
...อย่าโทษข้าเลยนะ ข้าจำเป็นต้องเช่นนี้จริงๆ ดวงใจของข้า
“ขุนไกร...จงฟังคำสั่งข้า...” ด้วยคำสั่งสั้นๆเพียงแค่ประโยคเดียว ก็สามารถทำให้ชายหนุ่มยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ในอ้อมแขนของโคจร เหมือนกับว่าร่างกายได้ถูกมัดตรึงแน่นจนขยับตัวไม่ได้
“นี่มันอะไรกันโคจร!?” ร่างของข้าเป็นอะไรไป ทำไม? มันถึงไม่ขยับ
ข้อมือหนาชูตะกรุดที่มีรอยร้าวลึกขึ้นมาเพื่อให้ขุนไกรมองเห็นได้ชัดถนัดตา “ตอนนี้อำนาจของตะกรุดใกล้ต้านทานอาคมชั่วร้ายไม่ไหวแล้ว ซึ่งถ้าหากอำนาจพุทธคุณของตะกรุดนี้หมดฤทธิ์ลงเมื่อใด อาคมดำมือนั่นก็จะมีอำนาจกลับเข้ามาควบคุมตัวข้าให้ออกอาละวาดไล่ฆ่าเจ้าและผู้คนบริสุทธิ์อีกครั้ง ข้าจึงจำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
ขุนไกรชักเริ่มสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีกับคำพูดและท่าทีที่เปลี่ยนไปของโคจร…ตัดไฟแต่ต้นลม “เจ้าคิดจะทำอะไร?" เจ้าบอกข้ามาสิ ว่าเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น บอกข้ามาสิ...บอกมา
คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเข้าหากัน ยิ่งทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาดูเคร่งขรึมกว่าที่เคยเป็น ดวงตาเขียวใสทอแสงประกายวาววับเฉกเช่นผีร้ายเยี่ยงนี้มันทำให้บรรยากาศรอบตัวแลดู เย็นชา น่ากลัว
“เจ้าจงชักมีดหมอที่เหน็บอยู่ข้างกายออกมา”
มือข้างหนึ่งชักมีดหมอที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมากระชับให้มั่นถือคอยตามคำสั่ง ใบหน้าของขุนไกรเต็มไปด้วยความสงสัยแกมหวาดกลัว กับการกระทำของคนรักที่ยังคงยืนสงบนิ่ง แสดงสีหน้าที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวชัดเจน
...ถ้าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ผิดจากความคิดของเขาแล้วละก็
“ขุนไกรจงเอามีดหมอของเจ้ามาจ่อตรงหัวใจของข้าบัดเดี๋ยวนี้” ใบหน้าซีดขาวของขุนไกรมองสีหน้าเคร่งขรึมอย่างนึกใจหาย...เจ้าคิดจะปลิดชีพตัวเองจริงๆหรือนี่ เจ้าคงไม่ได้ล้อข้าเล่นหรอกใช่ไหม?
ชายหนุ่มพยายามบังคับไม่ให้จ่อมีดตามคำสั่งของโคจรแต่เขาก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันไม่ยอมทำตามความคิดของเขาเลยสักนิด....ปลายมีดหมอแหลมคมจ่อเข้าตรงที่อกด้านซ้าย ตรงตำแหน่งของหัวใจพญากุมภีร์พอดิบพอดี พร้อมที่จะลงมือแทงเข้าไปได้ทุกเมื่อตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“โคจรพวกเรายังมีหลวงตาที่จะพอช่วยแก้ไขเรื่องนี้อยู่นะอย่าลืมสิ”
พญากุมภีร์ส่ายหน้าปฎิเสธความหวังดีของขุนไกรทิ้งไปโดยไม่ยอมคิดตรึกตรองเลยสักนิด
“เวทย์สะกดใจเป็นอาคมขั้นสูง ถ้าผู้ใดโดนครอบงำหรือสิงสู่จิตใจยากนักที่จะกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมได้ นอกเสียจากผู้สะกดจะถอนออกให้เอง...”
ความจริงอันโหดร้ายจากปากคนรักทำให้ลำคอของเขาแห้งผาก ลิ้นแข็งค้างจนแทบพูดไม่ออก
“ตะกรุด...เรายังมีตะกรุดปกป้องเจ้าอยู่”
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าตะกรุดมีรอยร้าวใกล้แตกสลายเต็มที เหลือแค่รอเวลานับถอยหลังเท่านั้น”
“ถ้า...ถ้าพวกเรารีบขึ้นไปหาหลวงตาตอนนี้ท่านจะต้องหาทางช่วยได้แน่ๆ”
สถานการณ์คับขันแบบนี้ทำให้ความคิดของขุนไกรช่างดูเลอะเลือนจนคิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถ้าเป็นหลวงตาที่เคยเป็นอาจารย์ของเขา ท่านย่อมต้องสามารถแก้เรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้แน่ๆ
“อย่าพยายามดิ้นรนต่อไปอีกเลยขุนไกร...สำหรับข้ามีแค่ความตายเท่านั้นที่จะหยุดยั้งการนองเลือดครั้งนี้ลงได้”
สองมือหนากุมมือที่ถือมีดหมอเตรียมจะแทงเข้าไปตรงก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจ ทั้งสองต่างจ้องตาประสานกัน...สายตาคู่หนึ่งส่องประกายเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งยอมรับความตาย ผิดกับสายตาหนึ่งคู่ที่หวาดกลัวไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องตาย.....แม้จะต่างอารมณ์ ต่างความรู้สึก แต่ทว่าภายในดวงตาของทั้งคู่กลับสะท้อนเงาของกันและกัน
“เชื่อข้าเถอะนะโคจรอย่าได้ทำแบบนี้เลย” ขุนไกรยังพยายามโน้มน้าวความคิดและการกระทำแสนโหดร้ายนี้ทิ้งไป เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องมาเห็นคนรักตายต่อหน้าต่อตาแบบนี้
แต่โคจรก็ยังเป็นโคจร ร่างสูงไม่ยืนกรานไม่ยอมรับข้อเสนอนี้...เพราะทางเลือกที่มีเพียงแค่สองทาง คือถ้าข้าไม่ตายก็ต้องเป็นเจ้าที่ต้องตายจากข้าไป ....ข้าขอเลือกให้เจ้ามีชีวิตรอดจะดีกว่า
พญากุมภีร์กระชับมืออีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก “นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด อย่าเสียใจที่ข้าตายเลยนะขุนไกร ร่างกายของข้าในเวลานี้ยังอ่อนแอเกินไป ย่อมไม่มีทางต้านทานมนต์ดำร้ายแรงเช่นนี้ได้ หากจะให้เลือกข้าก็ขอให้เจ้าเป็นผู้ลงมือสังหาร ดีกว่าที่ข้าจะเป็นผู้ลงมือสังหารเจ้า”
“โคจร...” ผู้ชายคนนี้เพื่อเขาแล้วถึงกับยอมตายเชียวเหรอ...เจ้ารักข้ามากขนาดนี้เลยเหรอโคจร “ฮึก...ถ้าไม่เป็นเพราะข้าไม่มีความกล้าพอที่จะเลือกเจ้า เราสองคนคงไม่ต้องมาเจ็บปวดกันแบบนี้...ฮึกๆ...มันอาจจะช้าเกินไปที่จะมาบอกตอนนี้...โคจร...ข้ารักเจ้า...รักที่มีต่อเจ้าซึ่งไม่เคยเลือนหายไปจากใจของข้าเลยแม้สักครั้งเดียว”
คำสารภาพรักที่เฝ้าคอยมานานแสนนานในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียที ถึงจะช้าสักไปหน่อยแต่ยังดีที่ข้าได้ยินจากปากของคนที่รัก แม้ว่าข้าจะตายไปแล้ว คำว่ารักคำนี้ ก็จะยังคงสลักลึกอยู่ในหัวใจของเขาทุกชาติไป
“ขุนไกร...ข้าขอให้คำสัตย์สาบานต่อหน้าเจ้า ณ ตอนนี้และตรงนี้...ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติขอให้ข้าได้รักเจ้า อยู่เคียงเจ้าตลอดไป ทดแทนที่ในชาตินี้ที่เราทั้งสองไม่ได้อยู่เคียงคู่กัน"
สิ้นคำสาบานโคจรตัดสินใจแทงมีดหมอปักลงบนหัวใจอย่างไม่รอช้า เลือดสีแดงไหลรินออกมาจากหัวใจพญากุมภีร์ผสมปนกับหยาดน้ำตาของขุนไกรที่หลั่งไหลจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
เวรกรรมอันใดกันหนอ...ถึงทำกับพวกเราเช่นนี้เพราะอะไรจึงต้องให้เราสองคนได้มาฆ่ากันเองแบบนี้ โชคชะตาพลัดพรากกันยังไม่พอ เมื่อได้กลับมาพบหน้ากันก็ต้องมาจากกันตลอดกาล
เมื่อเห็นว่าร่างที่มันจะต้องสิงสู่ได้ถูกทำลายลง กลุ่มควันดำที่เคยล้อมอยู่รอบกายพลันสลายหายวับไปในอากาศ...ข้าบอกแล้วตาเฒ่าชั่วเช่นเจ้าไม่มีทางที่ได้ใช้ประโยชน์จากร่างกายข้า ทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์และคนที่ข้ารักได้หรอก
ยิ่งสีสันของเลือดแดงเข้มเปื้อนเต็มสองมือ หัวใจของขุนไกรก็แทบแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ตายตามคนรักไป
'ดีแล้วที่เป็นแบบนี้หาก มนต์ดำเหล่านี้จะควบคุมข้าให้ฆ่าเจ้า...ข้าขอยอมตายดีกว่า'
โคจรส่งยิ้มอ่อนโยนให้ขุนไกรก่อนจะดึงเข้ามาก่อนอย่างแนบแน่นเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้ารักเจ้า...ขุนไกร”
โคจรใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ กลายร่างเป็นจระเข้ยักษ์พาร่างบาดเจ็บของขุนไกรว่ายขึ้นไปด้านบนก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดลง
‘อดทนอีกนิดนะขุนไกร ข้าตายไม่เป็นไรขอเพียงเจ้ารอดก็พอ’
และเมื่อทันทีที่เขาสามารถพาร่างของคนรักโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย พญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือผู้เกรียงไกรก็ได้หมดลมหายใจนอนหลับตาลงอย่างหมดห่วง
' เจ้าปลอดภัยแล้วที่รักของข้า'
โคจร!!!
ขุนไกรไม่รับรู้ถึงหรือได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น ขนาดตอนที่ลูกชายโผเข้ากอดตัวเขาด้วยความดีใจหรือแม้แต่เสียงไชโยโห่ร้องดีใจของชาวบ้านที่สามารถปราบจระเข้ร้ายตัวนี้ลง เขาก็ยังไม่รู้สึก เพราะทุกสิ่งรอบตัวสำหรับเขาในตอนนี้ มันเป็นเพียงแค่ธาตุอากาศ ไม่รู้สึกถึงตัวตน มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ...มีเพียงสิ่งเดียวที่เขารู้คือหัวใจที่เคยเต้น มันได้หยุดเต้นตายตามโคจรไปแล้ว
เหตุใดเจ้าจึงโง่เง่าเช่นนี้ เจ้ามันโง่...มันโง่ โง่จริงๆ
นับตั้งแต่แรกพบจนถึงตอนนี้ เจ้าทำเพื่อข้ามาโดยตลอดทั้งๆที่ข้าไม่เคยทำอะไรเพื่อเจ้าเลยสักอย่าง...ทำไมเจ้าต้องทำเพื่อข้าได้ถึงขนาดนี้ ทำไม ทำไม...เจ้าจึงรักข้าได้มากขนาดนี้โคจร
'เหตุใดเจ้าจึงนอนยิ้มเช่นนั้น...ใยเจ้าไม่โกรธไม่แค้นข้าเลย...ทำไม...เจ้ารักข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ'
สายตาของเขามองไปยังร่างจระเข้ยักษ์ที่นอนหลับตาตายอยู่ตรงริมฝั่งแม่น้ำไม่วางตา.....ข้าเสียใจ เสียใจเสียจนร้องไห้ไม่ออก เมื่อได้มองเจ้าแบบนี้ เจ้าเคยว่าแต่ข้าหุนหัน พลันแล่น ทั้งๆที่เจ้าเองก็ไม่ได้อะไรกับข้าเลยสักนิด
...เจ้าไม่เคยรู้ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าตาย ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้พบเจอเจ้าตลอดชีวิตข้าก็ยอม
อาการบาดเจ็บทั้งกายและใจหนักหนาจนเกินกว่าร่างกายจะรับไหว ขุนไกรจึงมีอาการทรุดหนักลงท่ามกลางความตกใจของชาวบ้านและไกรทอง
แต่ก่อนที่สองตาจะปิดลง ขุนไกรมองเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตาของคนรักส่งมายิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น เป็นนิสัยที่ชอบทำเสมอเมื่ออยู่กับเขา...คนเรายามเมื่อที่อยู่กับคนรัก จะทำสีหน้าบึ้งตึงไปทำไม สู้ยิ้มให้กันบ่อยๆ เพราะถ้าวันหนึ่งที่ต้องจากกัน เราจะได้มีความทรงจำดีๆเก็บไว้ในหัวใจตลอดไป
'ข้ารักเจ้านะขุนไกร'
ยามที่วิญญาณของโคจรได้เดินลับหายจากไป สติทั้งหมดของขุนไกรก็ได้หายไปด้วยเช่นกัน
'โคจร.....'
ไม่มีอีกแล้วพญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือนามว่าโคจร...เขาผู้นั้นไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว...ไม่มีอีกแล้ว...
'โคจรไม่ว่าข้าจะเกิดเป็นอะไรก็ขอให้ข้าเลือกเจ้าและรักเจ้า...ทุกชาติไป'
สายลมพัดโชยโอบอุ้มร่างหมดสติของชายหนุ่มและร่างพญากุมภีร์เอาไว้ ราวกับเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรับรู้ถึงในคำสัตย์สาบานนี้ ซึ่งคำสาบานที่แน่วแน่ของทั้งคู่จะยังคงอยู่ ติดตัวตราบไปชั่วนิจนิรันดร์
ทางด้านพญากุมภีร์หลังจากที่ได้ลาจากคนรักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดวงวิญญาณของโคจรกำลังยืนพินิจถนนสีขาวบริสุทธิ์ที่ทอดแสงเป็นทางยาวไกลลับสุดสายตา…นี้นะรึที่เขาเรียกว่าความตาย
มนุษย์มักจะชอบสงสัยเกี่ยวกับความตาย...ตายแล้วไปไหน...ตายแล้วจะเป็นยังไง...ทำไมคนเราต้องตายและโลกหลังความตายเป็นเช่นไร ซึ่งคำถามพวกนี้คือคำถามที่ไม่มีใครสามารถจะให้คำตอบได้อย่างชัดเจน เพราะคำถามที่ไม่มีคำตอบแบบนี้เลยเป็นเหตุให้ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนต่างหวาดกลัวต่อความตาย
กลัวอะไร...กลัวสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยสัมผัส...กลัวจะต้องสูญเสียและจากลาของรักไป...รวมทั้งกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับคำพิพากษาในโลกหลังความตายตามความเชื่อที่มีมาช้านาน เมื่อความกลัวบังเกิดการตายจึงเป็นเรื่องอัปมงคลไม่ควรนึกถึงและเอ่ยถึงมันอย่างเด็ดขาด
อืม...จะว่าไปข้าเองก็ยังไม่ได้ไปบอกลาท่านพ่อและเจ้าลูกชายของข้าเลยนี่หว่า...คิดไปแล้วก็น่าขำ อุตส่าห์ได้เจอคนรักทั้งทีกลับต้องมาตายจากกัน แถมยังไม่มีเวลาสั่งเสียคนในครอบครัวอีกต่างหาก
เอาไว้ชาติหน้าลูกจะกลับมาทดแทนคุณท่านพ่อ และกลับมาอยู่ดูแลเจ้าใหม่นะชาละวัน....โดยเฉพาะชาละวันหวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจพ่อนะ กับสิ่งที่พ่อได้ทำลงไป อย่าแค้น อย่าโทษใคร เพราะนี่คือชะตาของพ่อเอง
“ถ้าสวรรค์นรกมีจริงจระเข้บาปหนาเช่นข้าจะได้ไปอยู่ที่ใดกันหนอ” นี่แหละสิ่งที่เขาควรจะวิตกในตอนนี้ ว่าเจ้าเส้นทางสีขาวนี้จะพาวิญญาณ์เขาไปที่ไหน...ถ้าเป็นสวรรค์ก็ดี แต่ถ้าเป็นนรกคงต้องรับโทษทัณฑ์หนักสักหน่อยละนะ...ก็เล่นทำบาปเอาไว้เยอะ ไม่ทำก็ไม่ได้ หน้าที่กับความจำเป็นบังคับล้วนๆ
แต่เอาว่ะ ....กลัวอะไรก็แค่นรก ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด นี่แหละถึงจะสมเกิดมาเป็นพญากุมภีร์ผู้เกรียงไกร
“มึงคงไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นไอ้โคจรไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก ถ้ากูไม่อนุญาตให้มึงไป”
ขาทั้งสองที่กำลังจะก้าวเดินพลันหยุดชะงักค้าง เมื่อมองเห็นชายชราร่างผอมเกร็งยืนยิ้มเหี้ยมเกรียมขวางทางด้านหน้า ไม่ให้เขาได้ไป
“นึกแล้วว่าต้องเป็นเจ้า...”
“หืม...ไม่เลวยังจำข้าได้อยู่ นึกว่ามึงจะแกล้งทำเป็นลืมกู ”
“เหตุใดข้าจะกล้าลืมเลือนได้ลงคอ ในเมื่อเจ้าคือ ท่านภามอดีตมหาเสนาบดี ผู้เคยมียศศักดิ์ดำรงตำแหน่งรับใช้ใกล้ชิด จนเปรียบดั่งเป็นมือขวาของอดีตผู้ปกครองคุ้งใต้คนก่อน..”
พญากุมภีร์จ้องมองชายชราอย่างนึกสมเพชเวทนาอยู่ในใจ...เพราะความลุ่มหลงมัวเมาในอดีตแท้ๆ ถึงทำให้ผู้ที่เคยแสนดีน่าเกรงขาม จึงตกต่ำกลายมาเป็นชายใจเหี้ยมน่าอดสูเช่นนี้
ชายชราแหงนคอหัวเราะร่าเสียงดังก้องฟ้า ซึ่งหากฟังจากน้ำเสียงแล้วมันช่างคล้ายเสียงกึ่งเย้ยหยันกึ่งประชดประชัน อย่างคับแค้นใจจนรู้สึกพรรณาออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
“อดีต...หึ หึ อดีตที่มันไม่น่าจดจำแต่ก็จำใจต้องจำฝังลึกลงไปถึงกระดูกดำ เพื่อไม่ให้กูลืมความเจ็บปวดจนแทบอยากตายในครั้งนั้น”
“ท่านจึงแก้แค้นโดยการควบคุมข้าให้ฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ไม่สิชาวบ้านเหล่านั้นเป็นแค่เหยื่อล่อขุนไกรให้มาปราบข้า...ท่านอยากเห็นข้าเจ็บปวดเพราะฆ่าคนรักของตัวเอง”
เฒ่าภามส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจ้องเขม็งมองโคจรด้วยสายตาอยากหักคอให้ตายคามือก็ไม่ปาน
“เออ!แผนกูเกือบสมบูรณ์แล้วแท้ๆ ถ้าไม่มือที่สามยื่นมือเข้ามาสอดจนมึงนึกรู้ทันชิงปลิดชีพตายไปเสียก่อน”
หนอย!ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น อีกนิดเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็จะสำเร็จเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ หากไม่ใช่ไอ้พระหัวโล้นนั่นแท้ๆแผนของกูถึงได้พินาศย่อยยับไปหมด...มันน่าเจ็บใจจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นท่านติดตามดวงวิญญาณเช่นข้ามาด้วยเหตุผลประการใด คงไม่ใช่จะมาขอโทษข้าหรอกกระมั้ง” เขาไม่นึกคาดหวังอะไรดีๆจากคนเช่นนี้หรอก เพราะบางคนต่อให้ความตายมาอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่สำนึกว่าผิดบาปที่เคยได้ทำลงไป เหมือนตาเฒ่านี่ที่เลือกแต่จะจดจำว่าใครทำร้ายตัวเองให้เจ็บช้ำยังไง แต่กลับไม่ยอมจดจำว่าตัวเองทำสิ่งชั่วร้ายอะไรไว้กับใครบ้าง
“ข้าไม่เคยทำสิ่งใดผิดทำไมถึงต้องมาขอโทษ มีแต่มึงที่ต้องชดใช้ให้กับกู!”
“ความอาฆาตมาดร้ายของท่านมันช่างน่าสมเพชยิ่งนัก”
“ไม่ต้องพูดมากยังไงมึงต้องเป็นทาสกู ยิ่งมึงในตอนนี้เป็นแค่วิญญาณธรรมดาไร้ซึ่งฤทธิ์เดชมาขัดขืน แสดงว่าโชคชะตายังเข้าข้างกูให้ได้มีโอกาสแก้แค้นพวกมึง”
...ถึงมึงจะตายกลายเป็นผี กูก็ต้องเอามึงมาไปเป็นทาสรับใช้กูไปชั่วนิรันดร์ ...มือเหี่ยวย่นกางกว้างคล้ายดั่งกรงเล็บหมายขยุ้มดึงเอาดวงวิญญาณของโคจรมาไว้ในอุ้งมือ
แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ชายชาตินักรบไหนเลยจะยอมศิโรราบให้กับผู้ที่ทำความชั่ว ถึงวิญญาณจะต้องแดกดับเขาก็จะไม่ยอมเป็นทาสผู้ใดเด็ดขาด
แต่ทว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ยังไม่ทันเริ่ม จู่ๆก็มีแสงสีขาวปริศนาทรงพลานุภาพพุ่งโจมตีเข้าใส่ จนร่างพ่อมดเฒ่า จนกระเด็นหงายหลังไปไกลหลายวา
เฒ่าภามลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงงสับสน....เมื่อตะกี้มันอะไรกัน? ใครบังอาจมาลอบกัดกูหรือว่าจะเป็นไอ้พระนุ่งเหลืองนั่นอีกแล้ว
ถึงผู้มาใหม่จะไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตดังที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยคาดคิดว่าท่านจะมาอยู่ที่นี่ มายืนมือไขว้หลังอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง
ท่านผู้นี้นุ่งกระโจงเบนสีขาวสะอาดตา มีผมและหนวดเป็นสีขาวล้วน โดยที่ผมนั้นมัดเป็นมวยด้านหลังแบบพราหมณ์ รูปร่างสูงทะนงองอาจคงไว้ซึ่งอำนาจที่เปี่ยมล้น ไม่ได้ดูแก่ชราดั่งเช่นสีผม ส่วนใบหน้าแม้ภายนอกจะดูเคร่งครึมจริงจัง ซึ่งถ้าลองสังเกตมองดูให้ดีแล้ว ภายใต้ความดุดันก็มักจะมีความโอบอ้อมอารีแฝงไว้อยู่
เมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้รอดพ้น พญากุมภีร์ก็รีบทรุดลงนั่งคุกเข่าก้มกราบแทบเท้าท่านด้วยความเคารพยำเกรงทันที ผิดกับเฒ่าภามที่ยังคงยืนกำหมัดแน่น ตัวสั่นเทิ้มทั้งตัวด้วยอารมณ์โทสะและแรงแค้นอยู่กับที่ ไม่ยอมแสดงความเคารพท่าน
...มึงมีดีอะไรไอ้โคจร เหตุฉไนจึงมีแต่คนมาคอยช่วยเหลือให้ต้องหนีรอดกูได้ทุกครั้ง ทั้งที่มึงไม่ให้คนดี มึงมันเป็นเลวชั่วช้า
“ไว้พระเถอะไอ้โคจร...อ้าว! ว่าไงไอ้ภามไม่เห็นหัวมึงตั้งหลายปียังกัดไม่ปล่อยเหมือนหมาไม่มีเปลี่ยนเลยนะ”
คำพูดกระทบกระเทียบแดกดันประโยคหลังยิ่งเพิ่มแรงโกรธในใจจนแทบไหม้เป็นจุณ พ่อมดเฒ่าโกรธชายชราตรงหน้ามาก มาก มากจน.....ลืมนึกถึงฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
“ท่านทำเกินไปแล้วเจ้าพ่อองครักษ์”
อา...ใช่แล้ว...ชายชรานุ่งขาวห่มขาวท่านนี้คือเจ้าพ่อองครักษ์ผู้คอยปกปักษ์คุ้มครองคุ้งใต้ ผู้ที่โคจร เฒ่าภามและใครต่อใครในเผ่าพันธุ์กุมภีร์ หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์อื่นต่างก็รู้จักท่านดี
เจ้าพ่อองครักษ์เอามือไขว้หลังผินหน้าไปมองเฒ่าภามด้วยสายตารู้เท่าทัน
“ข้านะรึทำเกินไป...ข้าเพียงแค่มาช่วยเหลือไอ้โคจรมันเท่านั้นเอง”
เฒ่าชราถลึงตาปูโปนมองอย่างแค้นเคือง จนลืมแล้วสิ้นถึงสถานะต่ำต้อยของตนเองกับสถานะสูงส่งของบุรุษท่านตรงหน้า
“นี่มันเป็นเรื่องความแค้นระหว่างข้ากับไอ้โคจร เจ้าพ่อองครักษ์เช่นท่านไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย”
เมื่อจบคำพูดถือดีของชายร่างผอมเกร็ง จากแววตาอารีของเจ้าพ่อองครักษ์กลับกลายเป็นหน้าเคร่งขรึมลง แล้วเอ่ยด่าสวนตอกหน้ากลับไปว่า
“ไอ้ภาม! มึงมันใจบาปหยาบช้าผู้เขาตายไปแล้ว มึงนั้นยังมาอาฆาตไม่ยอมเลิกราคิดจะรุกรานเขาอีก กูอยากรู้จริงๆว่าจิตใจของมึงมันทำด้วยอะไร”
“แต่เรื่องนี้มันหาเกี่ยวกับท่านไม่”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวในเมื่อกูมีหน้าที่คอยดูแลเหล่าดวงวิญญาณทุกดวงให้ไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง มึงนั่นแหละที่ต้องถอยไปไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน”
ด้วยสายตาเอาจริงประกอบกับท่าทางทรงอำนาจทำให้พ่อมดเฒ่าเริ่มมีทีท่าลังเล...จริงอยู่ว่าเขานั้นมีอิทธิมีอำนาจมากมายแต่ก็มิอาจเทียบชั้นกับท่านผู้นี้ได้ หากฝืนดันทุรังสู้ก็มีแต่จะตายเปล่า เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ถอยไปตั้งหลักก่อนจะดีกว่า
เมื่อนึกคิดคำนวนถึงความเสี่ยงที่จะต่อสู้แพ้อีกฝ่ายนั้นมีมากว่า เฒ่าภามจึงทำได้แค่กัดฟันกรอดที่จำใจต้องปล่อยโคจรให้รอดพ้นก่อนจะลี้หนีหายไป
“ขอบพระคุณเจ้าพ่อองครักษ์มากนะขอรับ ที่ช่วยเหลือมิให้ข้าตกเป็นทาสรับใช้ของคนชั่วเช่นนั้น”
“ไม่เป็นไรเอ็งมันคนดีข้าจึงมาคุ้มครอง แต่ก็หาใช่มาช่วยเพียงอย่างเดียวหรอกนะ...เพราะมีผู้ฝากไหว้วานข้าให้มาพาเอ็งไปพบ”
“ใครรึขอรับ”
ชายชราไม่ตอบแต่พยักหน้าให้อีกฝ่ายลุกเดินตามมา
เจ้าพ่อองครักษ์พาวิญญาณของโคจรล่องลอยลัดเลาะเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ไม่เนิบนาบ จวบจนปรากฏภาพต้นไม้ใหญ่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หนึ่งต้น ปรากฏว่ามีพระภิกษุชราหนึ่งรูปกำลังนั่งสมาธิอยู่ ใต้ต้นไม้นั้น เมื่อได้ลองเพ่งมองดูดีๆแล้วโคจรก็จำได้ทันทีว่าพระรูปนั้นคือผู้ใด
สองตาที่หลับนิ่งค่อยๆลืมขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของโคจรและเจ้าพ่อองครักษ์
วิญญาณพญากุมภีร์ก้มลงกราบภิกษุชราด้วยความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่นึกถือทิฐิอดีตเมื่อครั้งเก่าก่อน
“นมัสการขอรับหลวงตา”
“เจริญพรเถิดโยม”
หลวงตามองดูวิญญาณตรงหน้าด้วยแววตาสงบเยือกเย็น ดั่งเช่นวิญญาณของโคจรที่นั่งพนมมือมองภิกษุชราด้วยดวงจิตอันสงบนิ่งเช่นเดียวกัน โดยมีเจ้าพ่อองครักษ์ที่เฝ้ามองบุคคลทั้งสองอย่างอิ่มเอมใจอยู่เงียบๆ
“นานมากแล้วนะที่อาตมาไม่ได้มานั่งสนทนากับโยมแบบนี้นับตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น”
“ขอรับ...นานมากแล้วจริงๆ”
ภิกษุชรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยวาจาที่ติดค้างอยู่ในใจท่านมาตลอดหลายสิบปีออกมา...
“ถ้าอาตมาจะขอร้องให้โยมอโหสิกรรมกับอดีตที่เคยอาตมาและผู้อื่นที่เคยกระทำสิ่งไม่ดีทั้งหมดไว้กับโยมในอดีต.....โยมจะให้สิ่งที่อาตมาขอได้หรือไม่?”
คราวนี้กลายเป็นฝั่งโคจรบ้างที่ต้องนั่งนิ่งเงียบไป จนทำให้บรรยากาศในป่าที่เงียบสงัดยิ่งกลายเป็นเงียบเข้าไปอีก จนทำให้เจ้าพ่อองครักษ์ที่ยืนมองอยู่ห่างๆยังนึกใจเสีย กลัวว่าโคจรจะไม่ยอมละทิฐิในอดีตยอมอโหสิกรรมตามคำขอของหลวงตาคง
...โคจรเอ๋ยถ้าเจ้าไม่ยอมอโหสิกรรมให้อภัยกับเรื่องราวในอดีต พวกเจ้าทุกคนก็ต้องเกิดมาเวียนว่ายสร้างเวรสร้างกรรมวนเวียนกันไม่มีจบหลายภพหลายชาติเป็นแน่แท้ ข้าขอภาวนาให้เจ้าตัดสินใจได้ถูกต้องด้วยเถอะนะ
“เหตุใดกระผมต้องอโหสิกรรมให้หลวงตาและผู้อื่นด้วยละขอรับ”
โคจรก้มกราบหลวงตาคงเพื่อแสดงถึงความเลื่อมใส ศัทธา ในผ้าเหลืองและผู้ถือศีล ไร้ซึ่งความเกลียด ความชิงชังในหัวใจ
“ในเมื่อกระผมลืมสิ้นเรื่องบาดหมางในอดีตของเราทุกคนไปจนหมดสิ้นนานแล้ว”
ทั้งคำตอบและการกระทำของโคจรที่แสดงออกมา ทำให้เจ้าพ่อองครักษ์ถึงกับเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เชกเช่นเดียวกับหลวงตาคงที่ยิ้มรับคำตอบนี้ด้วยความสบายใจ...เท่านี้บ่าสองข้างที่ถูกถ่วงหนักอยู่ก็ได้ถูกยกออกไปเสียที ช่างเบาสบายเหลือเกิน
“แค่นี้อาตมาก็พอใจแล้ว”
หลวงตาคงกล่าวไว้แค่นี้แล้วเริ่มหลับตานั่งสมาธิแผ่เมตตาให้กับโคจรต่อไป ทำเอากุมภีร์หนุ่มก้มลงกราบลาอย่างรู้สึกปิติยินดีและซาบซึ้งกับการได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับจากจากภิกษุชรา
‘ข้านามโคจรขอตั้งจิตอธิษฐานให้ห่วงโซ่กรรมบ่วงนี้จงสิ้นสุด ณ ที่ตรงนี้เถิดอย่าได้ทักถอ คล้องเป็นบ่วงยาวไปถึงชาติต่อไปเลยเถิด’
...สาธุ...
สาธุด้วยคน ที่เขียนตอนแบบนี้ขึ้นมาเพราะอยากให้ทุกคนบนโลกใบนี้เลิกโกรธ เลิกเกลียดกันจังเลย
เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คนทะเลาะกัน ด่ากัน ไม่พอใจกัน
จนน่าอึดอัดกันไปหมด
ไรเตอร์ก็ชอบโมโห ชอบบ่นนะ แต่แป๊ปเดียวก็หาย ไม่รู้จะโกรธกันนานๆไปทำไม
หนักใจตัวเองด้วย เลยขี้เกียจโกรธนาน
ปล.ขอยืนยันคำเดิม มันค่อยมีมาม่าหรอกเรื่องนี้ แต่จะมีก็แค่คลุกคลิกเล็กน้อย
ให้บีบหัวใจเล่น เพราะไม่ต้องต้มน้ำนะ
ส่วนใครนึกภาพเจ้าพ่อองค์รักษ์ไม่ออก ก็ขอให้ลองไปหาดูละครไทยเก่าดูนะเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์
ที่กบ สุวนันท์เล่นเป็นตัวเอกนะจ๊ะ แล้วจะรู้ว่าปู่โสมเท่และพูดคำคมเจ๋งแค่หน่าย
ความคิดเห็น