คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ไกรทอง ตอนที่9 (แก้ไข)
หลังจากที่ร่างสูงแกร่งนอนดิ้นทุรยทุรายอยู่ได้ไม่นาน ก็นอนแน่นิ่งเกร็งสั่นไปทั้งตัว ดวงตาเหลือกค้างก่อนที่ร่างกายจะมีอาการสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างรุนแรง จนขุนไกรต้องเอาแรงอันน้อยนิดกดร่างสูงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง... ‘อดทนไว้โคจร เจ้าต้องทำได้ อดทนไว้’
ทันใดนั้นเองจู่ๆก็มีควันสีดำกลุ่มใหญ่พวยพุ่งออกมาจากทางปากของโคจร แล้วหายวับไปในอากาศท่ามกลางสายตาตกตะลึงของขุนไกร ที่ไม่เคยเห็นความน่าสะพรึงอะไรเช่นนี้
“อ๊ากกก!!!”
ควันดำกลุ่มใหญ่พุ่งใส่เจ้าพ่อมดเฒ่าเสียเต็มแรงจนร่างผอมเกร็งกระเด็นหงายหลังหล่นลงจากแท่นนั่งทำพิธี ซึ่งกลุ่มควันดำเหล่านี้มันก็คือมนต์ดำที่ถูกสะท้อนกลับมาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของที่ร่ายออกไปทำร้ายผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นเจ้าพ่อมดเฒ่าก็หาได้ไม่เป็นอันตรายสาหัสจนถึงแก่ชีวิตไม่ นอกจากจะได้เพียงแค่แผลฟกช้ำภายในร่างกายเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง
แม้ร่างกายจะไม่บาดเจ็บเกือบตายแต่กับจิตใจ เจ้าพ่อมดเฒ่ากลับรู้สึกแค้นจนแทบกระอักเลือด ที่โดนเจ้ามนุษย์อ่อนแอหยามศักดิ์ศรีด้วยการหักล้างมนต์ดำแสนสูงส่งของตนเอง
“หนอย! ไอ้ห่า! มึงคิดว่าไอ้ตระกรุดกระจอกนั่นจะช่วยเหลือพวกมึงจากมนต์ของข้าไปได้ตลอดรึ...โอม....”
พ่อมดเฒ่ากลับมานั่งพนมมือบริกรรมคาถาใหม่ด้วยสมาธิแน่วแน่ อาฆาตแค้นกว่าเก่า เพื่อหวังให้ศัตรูทั้งสองต้องเจ็บปวดและตายตกไปตามกัน ...พวกมึงทุกคนต้องตาย! ตาย! ตายไปด้วยกันทั้งหมด กูจะไม่ยอมปล่อยพวกมึงไป กูไม่ยอม!
ทางด้านขุนไกรเองเมื่อเห็นกลุ่มควันดำลึกลับลอยหายวับไปกับตา ร่างที่เคยนอนชักกระตุกของโคจรได้เปลี่ยนมาเป็นนอนหลับนิ่งไม่ไหวติงแทน จนเขาต้องยื่นนิ้วมาจ่อปลายจมูกเพื่อพิสูจณ์ลมหายใจ ถึงค่อยโล่งใจที่อีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย
“เฮ้อ...นึกว่าเจ้าจิ้งเหลนน้ำตัวนี้จะใจเสาะขาดใจตายไปก่อนเสียอีก”
ขุนไกรค่อยๆใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าคมสวยด้วยความสิเน่หา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเหมือนอย่างที่คนรักมักชอบเอ่ยปากชมเขาอยู่เสมอว่าเป็น 'รอยยิ้มใสบริสุทธิ์เห็นแล้วชื่นใจ' จนทำให้เขามักจะตวาดใส่ด้วยความไม่ชอบใจทุกครั้งที่ได้ยินคำชมนี้.....ก็แหม ข้านะมันผู้ชายอกสามศอกหาได้ดูน่าทะนุทะนอมเหมือนสตรีไม่ ไอ้ครั้นจะให้มายืดอกรับคำชมเช่นนี้เขาทำใจยอมรับไม่ได้ มันเสียศักดิ์ศรีโว้ย! เจ้าเข้าใจไหม?
ชายหนุ่มมองร่างที่นอนหลับเหยียดยามตรงหน้า ด้วยอารมณ์ที่ทั้งโศกเศร้าอาลัยอยากตัดใจ ทั้งดีใจยามเมื่อได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง แต่ที่เห็นจะชัดเจนมากที่สุดคงจะเป็นอารมณ์รักที่ไม่เคยจางหายจากใจของเขา แม้กาลเวลาจะแยกพวกเราทั้งสองออกจากกันหลายสิบปีแล้วก็ตาม
เมื่อดวงใจได้เฉลยเอ่ยคำรัก ใจก็มักมั่นคงไซร้ไม่เหหน
ไม่เปลี่ยนแปรใจแท้แม้ใจดล ทรชนเล่ห์ลวงหลอกลวงใจ
ใจเพียงหนึ่งดื้อดึงถือรักเถิด แม้รักเกิดก่อทุกข์ไร้สุขไฉน
ใจยังฝังหยั่งรักล้ำประจำใจ โอ้ว่าใจใจหนอใจไยมั่นคง
กุลทรัพย์ รุ่งฤดี (ที่จริงใจ)
กระแสความรักและความอาวรณ์คล้ายจะส่งไปถึงผู้รับ เพราะอยู่ๆสองตาคมก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาทีละนิด ที่ละนิด ก่อนจะกระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับสายตาให้เข้าที่เข้าทาง
“อื้อ...ปวดหัวชะมัดเลย”
โคจรค้ำตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับประคองศีรษะที่ยังมีอาการปวดแปร๊บๆปนมึนงงเล็กน้อย เหมือนกับคนที่นอนหลับมานานแล้วเพิ่งตื่นจากฝันสติจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางดี แต่ยังไม่ทันหาคำตอบให้กับตัวเองให้ชัดเจนกับอาการที่เป็น ก็มีสิ่งที่ทำให้ร่างสูงต้องตกใจขึ้นมาเสียก่อน
“เอ๊ะ!?...ขุนไกร?”
ชายหนุ่มหน้าตาคมสันโผเข้ากอดคนรักทั้งๆน้ำตา เอาชนิดที่ว่าซัดร้องไห้โฮอย่างเดียวชนิดไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จนคนถูกกอดต้องกลายเป็นฝ่ายปลอบประโลมลูบหัวคนขี้แยด้วยอารมณ์ง.งูวิ่งพล่านอยู่ภายในหัว
...ว่าแต่ที่นี้คือที่ไหนกัน? และเหตุฉไนขุนไกรถึงมาอยู่กับเขาได้? นี่ข้ายังนอนฝันอยู่ใช่หรือไม่? หรือข้านอนหลับนานเกินไปจนเวลาไหลย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน? โอ๊ย!ใครก็ได้ช่วยบอกข้าที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่คำถามที่แล่นพล่านอยู่ในหัวทั้งหมดมีอันต้องหยุดชะงักลง เพราะขุนไกรยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นซบหน้าลงกับอกของเขาคล้ายกับอัดอั้นมานานจนอยากระบายออกมาให้เขาได้รับรู้
“โอ๋ๆ...ขุนไกรเจ้าหยุดร้องเถิด...นิ่งเสีย...โอ๋ๆ” .....หน้าตาออกจะหล่อเหลาแท้ๆ แต่ฉไนเจ้าถึงได้ค่อนข้างบ่อน้ำตาตื้นนัก ตั้งแต่เล็กจนโตนิสัยยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยน้า...เจ้าเด็กน้อยของข้า
โคจรใช้มือเช็ดคราบน้ำตาให้เจ้าเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยกิริยาอ่อนโยน แต่แทนที่น้ำตาจะแห้งเหือดไปกลับกลายเป็นว่ายิ่งไปกระตุ้นให้ขุนไกรร้องไห้หนักกว่าเก่า เล่นเอาคนปลอบเริ่มเกิดอาการลนลานจนนึกทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“ฮือๆ...โคจร...ฮือๆ” พญากุมภีร์โอบกอดร่างคนรักแนบแน่นกว่าเดิม เพราะน้ำตาทุกหยดที่ไหลออกมามักจะชอบทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอยู่เสมอ น้ำตาของขุนไกรช่างเปรียบเสมือนน้ำกรดกัดเซาะหัวใจหินของเขาให้เป็นรูโหว่.....เจ้าเด็กน้อยเอ้ย! ทั้งๆที่ปกติจะนิสัยเข้มแข็ง นิ่งเฉยดั่งหินผาแท้ๆ แต่ทำไมเวลาร้องไห้เจ้าถึงมักจะชอบซัดโฮร้องไม่หยุดเป็นเด็กเล็กแบบนี้อยู่เรื่อย จนข้าต้องคอยหาวิธีปลอบเจ้าอยู่บ่อยๆ
ภายนอกแม้ดูเข้มแข็งทะนงองอาจ ภายในกลับแตกต่าง...เจ้านั้นดูอ่อนโยนและไร้เดียงสา มักชอบแสดงนิสัยเด็กๆออกมาให้ข้าแปลกใจได้เสมอ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ข้าหยุดรักเจ้าได้เช่นไรขุนไกร
“โคจร...ฮือๆ...ฮือๆ...พรืด!...”
โคจรก้มมองดูผลงานที่มีคนอาจหาญสั่งน้ำมูกใส่ผ้าคลุมของเขาจนเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง ทำให้เจ้าของผ้าทั้งขันทั้งฉิว .....ชายหนุ่มวางคางบนศีรษะของขุนไกรพร้อมกับโยกตัวเบาๆคล้ายกำลังปลอบโยนเด็กน้อยให้หยุดร้องไห้
“โอ๋ๆ...นิ่งซะนะเด็กดี”
ถึงอย่างนั้นขุนไกรก็ยังไม่ยอมหยุดร้องไห้และไม่มีทีท่าจะหยุดได้ง่ายๆ โคจรจึงจำต้องใช้งัดกลยุทธที่ง่ายที่สุด...และเขาก็มักจะชอบใช้ปลอบมากที่สุดออกมาใช้ ด้วยการโน้มใบหน้าตัวเองเข้าไปจูบซับน้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะก้มหน้าลงไปประกบริมฝีปากคู่นั้นเบาๆแต่แนบแน่น
ริมฝีปากถูกจุมพิตช่างมีรสสัมผัสที่แผ่วเบานุ่มนวล สามารถเปลี่ยนความตื่นกลัวของขุนไกรให้เป็นความร้อนแรงและเคลิบเคลิ้มตามได้โดยง่ายไม่เปลืองแรง
ความอ่อนโยนที่ถูกหยิบยื่นมาทำให้ขุนไกรสะท้านกายเล็กน้อย เสียงครางวะหวิวที่เปล่งออกมาก็เปรียบดังน้ำมันที่ถูกราดลงบนกองไฟ เป็นเหตุให้เชื้อไฟปราถนาเริ่มโหมแรงจนแทบเผาไหม้ทั้งคู่ให้กลายป็นเถ้าถ่าน ปลายลิ้นอุ่นร้อนตวัดเก็บเกี่ยวความหอมหวานในโพรงปากอย่างเร่าร้อนไม่ใช่การสัมผัสผิวเผินเหมือนครั้งแรกที่ทำ
สองมือของโคจรลูบไล้ผิวเนื้อตึงแน่นตามจุดต่างๆอย่างชำนิชำนาญ สองมือที่กำแน่นค่อยๆเปลี่ยนมาโอบลำคอหนาแล้วบดเบียดร่างกายตนเองเข้าหาอกกว้างเพื่อดูดซับกลิ่นกายอีกฝ่ายด้วยท่าทางลืมตัว
จากที่เคยเงอะๆงะๆ ขุนไกรก็เริ่มเรียนรู้ที่จะจูบตอบโต้กลับไปแบบไม่ยอมแพ้ สองลิ้นกระหวัดพันเกี่ยวกันอย่างดุดันและร้อนแรงไม่มีใครยอมถอยหนี ยิ่งสองมือสากลูบไล่ไปตามกล้ามเนื้อสวยงามของโคจร ยิ่งทำให้เชื้อไฟปราถนาลุกโหมกระหน่ำ จนพญากุมภีร์เผลอคำรามต่ำๆในลำคอเหมือนเช่นสัตว์ป่า
อุนณหภูมิรอบกายเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนแทบหลอมละลายทั้งสองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...ลืมสิ้นแล้วทุกๆสิ่งบนโลกใบนี้ จนเหลือเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ยังคงโอบกอดกันตราบนานเท่านาน
ในขณะที่ทั้งสองยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความรักและเพลิงปราถนากันอยู่นั้น คงเป็นเพราะโคจรกอดขุนไกรแรงเกินไปจนสะเทือนถึงแผลหรือไม่ก็เป็นเพราะขุนไกรได้สติกลับคืนมาเสียก่อน จึงทำให้ชายต้องห้ามใจฝืนออกแรงทั้งหมดที่มีผลักไสอกแกร่งให้ออกห่าง ไม่ยอมเคลิ้มตามสัมผัสของอีกฝ่ายอีกต่อไป
แต่มีหรือที่โคจรจะยอม ริมฝีปากอิ่มสวยคอยเฝ้าวนเวียนจูบไล่ทั่วใบหน้าไม่หยุด ขนาดขุนไกรเบี่ยงหน้าไปทางซ้ายก็จะโดนหอมแก้มขวา พอเบี่ยงหน้าไปทางขวาก็จะโดนหอมแก้มซ้าย แต่ถ้าเลี่ยงก้มหน้าหนีก็จะโดนงับใบหูเล่น และพอเผลอเงยหน้าขึ้นมาก็โดนจูบปิดปากอีกรอบนึง
จนทำให้ขุนไกรตัดสินใจเลือกต่อยอกแกร่งแรงๆหนึ่งหมัด เป็นเชิงประท้วงทั้งๆที่ใจจริงแล้วเขาเองก็ไม่อยากจะแยกห่างจากอ้อมกอดอบอุ่นนี้นักหรอกนะ แต่เพราะว่าตอนนี้พวกเขายังตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่แท้ๆจะให้มามีกระจิตกระใจสร้างโลกส่วนตัวกันเรอะ.....ข้าไม่ได้ลามกจกเปรตเท่าไอ้จิ้งเหลนนี่นะเว้ย
เสียงแหบพร่าในลำคอออกอาการกระเง้ากระงอดอย่างแสนเสียดายไม่ใช่เพราะเจ็บจากการโดนต่อย แต่เป็นเพราะโคจรนั้นรู้ดีว่าขุนไกรจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ๆถึงได้ขัดความสุขกล้าถีบเขาลงเหวแบบนี้.....ขนมหวานน่ากินอยู่ตรงแต่ยังเคี้ยวกินไม่ได้มันช่างทำร้ายกันยิ่งกว่าฝังทั้งเป็น.....เอาเถอะเดี๋ยวค่อยกินทีหลังก็ได้ คราวนี้พ่อจะจับกลืนกินเคี้ยวให้แหลกเลย
'ว่าแต่ขุนไกรมาอยู่กับเราได้เช่นไรหนอ?'
เหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออกโคจรผละตัวขุนไกรออกห่างจากตัวประมาณหนึ่งช่วงแขน เพื่อสำรวจร่างโปร่งให้เต็มตา เมื่อทันทีที่มองเห็นทุกอย่างชัดเจนดวงตาคมก็เบิกกว้างตกใจสถาพของคนตรงหน้า
เขารู้สึกปวดใจเหมือนโดนคมมีดกรีดหัวใจเสียจนยับเยินและรู้สึกโกรธจนแทบเผาไหม้ทุกอย่างให้พินาศเสียสิ้น ใบหน้าสวยปานรูปสลักแลดูบิดเบี้ยวน่ากลัว ร่างสูงโกรธมากเสียจนมือสองข้างเกิดอาการสั่นระริกจนขุนไกรรู้สึกตัวสั่นตามไปด้วย
“ใคร”
“ใคร? อะไร?” ไม่ใช่กำลังเล่นลิ้นหรือเสแสร้งแต่ขุนไกรไม่เข้าใจในคำถามของโคจรจริงๆ...จู่ๆก็มาพูดว่า ‘ใคร’ หมาที่ไหนจะเข้าใจด้วยว่ะ
โคจรจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วปล่อยลมหายใจออกมายาวๆพยายามระงับโทสะ โมหะบ้าคลั่งในตัวให้สงบลงชั่วคราว...ชั่วคราวจริงๆ
“ขุนไกร” ใบหน้าคนถามดูผ่อนคลายลงช่างดูขัดกับไอรังสีแปลกๆที่แผ่ขยายออกมาจากทางด้านหลัง จนคนถูกถามถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกตกใจ
“บาดแผลพวกนี้เจ้าได้มาเช่นไร?”
ขุนไกรมองลึกเข้าไปในแววตาเขียวอ่อนแล้วพบว่ามีเปลวไฟสีจางลุกพรึ่บ เหงื่อเย็นๆผุดออกเต็มหน้าผาก...รู้ว่าจะต้องโดนคาดคั้นแบบนี้ ข้ายอมให้เจ้านี่หาเศษหาเลยต่อไปดีกว่า ....จะบอกยังไงดีหนอ
“ใคร - เป็น - คน - ทำ ” ใบหน้างามยังคงรักษาสีหน้าอ่อนโยนเอาไว้ ผิดด้านกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการคุกคามจนคนฟังผวาเป็นคำรบสอง
“เอ่อ...ถ้าข้าบอกว่าซุ่มซ่ามสะดุดก้อนหินจนได้แผลพวกนี้มา เจ้าจะเชื่อข้าไหม?”
ขุนไกรทำเป็นใจกล้าลองโยนหินถามทางดูเผื่อจะมีทางรอด
“อืม...ข้าเชื่อเจ้า”
“จริงเหรอ?” ขุนไกรทำตาลุกวาวจ้องมองโคจรอย่างนึกแปลกใจ 'เชื่อด้วยเรอะ?'
“เจ้าคิดว่างั้นรึ?”
“อุ.....” ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว ถึงแม้ว่าใบหน้าของโคจรในยามนี้จะประดับด้วยรอยยิ้มหวานแลดูอบอุ่นเอาไว้ แต่รังสีที่ขยายแผ่ปกคลุมอยู่ด้านหลังนั้นช่างทะมึนน่ากลัว จนทำให้ขุนไกรแทบอยากลืมอาการเจ็บสะบัดตัววิ่งหนีจากอ้อมกอดนี้ไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียว...ถ้ามีกำลังพอนะตอนนี้แค่สะบัดตัวหนียังไม่มีปัญญาเลย
ทั้งคู่ต่างหุบปากเงียบโดยมีขุนไกรที่อาศัยความสามารถเฉพาะตัวแกล้งทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่องราว จ้องตาประสานกับใบหน้าที่เสแสร้งคลี่ยิ้มแลดูอ่อนโยน ทั้งสองต่างพยายามลองเชิงกันและกันอยู่นานจนในที่สุดก็มีฝ่ายหนึ่งยอมปราชัย
น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งไหลออกมาจากดวงตาคมสวยจนขอบตาแดงกร่ำ พร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือที่พูดออกมา ช่างดูน่าสงสาร น่าเห็นใจไม่น้อย
“เจ้าเจ็บหนักถึงเพียงนี้ยังปกปิดข้าได้ลงอีกหรือ”
ขุนไกรมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าตกตะลึงนึกไม่ถึงเลยว่าพญากุมภีร์ผู้น่าเกรงขามตนนี้จะหลั่งน้ำตาเพื่อเขา
'โธ่! เพื่อข้าเจ้าถึงกับเจ็บแค้นจนต้องหลั่งน้ำตาเชียวรึเนี่ย?'
พญากุมภีร์ก้มหน้าลงข่มกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆเป็นระยะๆ ประกายดวงตาของขุนไกรเผยแววตาเศร้าโศกนึกเจ็บใจตนเอง ชายหนุ่มขยุ้มอกด้านซ้ายเพื่อจะข่มอาการทรมาณในหัวใจให้บรรเทาเบาบางลงแต่ก็ไม่อาจทำได้
สุดท้ายขุนไกรก็ไม่สามารถทนมองเห็นความเศร้าของคนรักได้อีกต่อไป “โคจร...ข้ายอมบอกคามจริงแก่เจ้าแล้ว”
“จริงเหรอ? ”
“อืม...” ข้ายอมแพ้เจ้าแล้วจริงๆ
โคจรเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นถึงใบหน้าและแววตาของนายพรานที่ดักเหยื่อสำเร็จ ยิ่งเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะที่หลุดออกมาจากปากด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ถึงกับขุนไกรอ้าปากค้าง เสียงในใจร่ำร้องว่าซวยแล้วไง...บ้าจริงหาเหาใส่หัวตัวเองแท้ๆ ทำไมข้าถึงไม่ทันคิดนะว่าเมื่อกี้น่าจะเป็นแค่การแสดงของเจ้านี่...เรื่องแบบนี้มันถนัดนักแล
จากที่เคยปวดใจกับน้ำตาของคนรักจู่ๆขุนไกรก็เกิดหน้ามืดตาลายนึกอยากเป็นลมขึ้นมาเสียดื้อๆกับความเจ้าเล่ห์แสนกล
'สลบไปเลยดีไหมเรา? อย่าดีกว่าอารมณ์โกรธของเจ้านี่กำลังคุกรุ่นอยู่ต่อให้สลบไปจริงๆ น่ากลัวว่ามันคงเขย่าให้ตื่นขึ้นมาตอบคำถามมันอยู่ดี'
“ว่ายังไงล่ะขุนไกร”
“เอ่อ...” ชายหนุ่มเกิดอาการน้ำท่วมปากไม่กล้าบอกความจริงให้คนรักรับรู้
'เอาละสิจะตอบยังไงดี...อ๋อ!ไอ้สภาพจะตายแหล่มิตายแหล่ของข้านะเหรอล้วนเกิดจากฝีมือของเจ้าทั้นนั้นนั่นแหละโคจร...เฮ้อ!ขืนตอบแบบนี้ออกไปมีหวังเจ้านี่คงได้ตัดคอตัวเองทิ้งแล้วหิ้วหัวยื่นมาให้ข้าแน่ๆ'
ขุนไกรแอบชำเลืองมองสีหน้าของโคจรแล้วรู้สึกเสียววูบไปถึงกระดูกไขสันหลัง
“ตอบมาได้แล้ว”
คนถูกคาดคั้นสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เรียกขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยมพร้อมลุย 'เอาว่ะตายเป็นตาย'
“เจ้าเห็นใครอยู่ในถ้ำแห่งนี้กับพวกเราหรือไม่?”
“ไม่มี”
ขุนไกรใช้มือสั่นๆเช็ดเหงื่อเย็นๆตามหน้าผาก มองแววตาขุ่นมัวที่จ้องเขม็งมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ
“เอ่อ...ใครอยู่กับข้าตรงนี้ มะ...มันก็คนนั้นนั่นแหละ” ฟู่ ในที่สุดข้าก็พูดออกไปเสียที
“ขุนไกรไหนลองพูดใหม่อีกทีสิ!”
โคจรร่างโปร่งเอ่ยถามอีกครั้งอย่างร้อนใจ ภาวนาขอให้สิ่งที่ได้ยินนั้นผิดไปจนเผลอบีบแขนอีกฝ่ายจนเนื้อแทบช้ำ ซึ่งการกระทำรุนแรงเช่นนี้มันย่อมสะเทือนแผลจนขุนไกรเบ้ปากด้วยความเจ็บ
“ในถ้ำนี้มีแค่เราสองคนข้าเจ็บเจ้าไม่เจ็บ คงไม่ต้องพูดก็คงรู้แล้วนะว่าเป็นใคร”
โคจรสำรวจมองสภาพของคนรักอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งและถ้าพิจารณาดีๆแล้วตำแหน่งที่ขุนไกรโดนโจมตีล้วนเป็นจุดอันตรายซึ่งเขาเองถนัดใช้ในการต่อสู้มาโดยตลอด มือข้างหนึ่งของเขาที่เปื้อนเลือดอยู่นั้นได้ตอกย้ำถึงความโหดเหี้ยมในสิ่งที่เขาได้กระทำเอาไว้หลงเหลืออยู่เป็นหลักฐานชั้นดีจนไม่อาจให้ดิ้นหลุดไปได้
“นี่.....ข้า.....”
โคจรก้มมองเลือดสีแดงเข้มตรงฝ่ามือ กลิ่นคาวของมันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว...มันร้าว มันเจ็บเสียจนคล้ายมีใครเอามีดมาเฉือดแล้วเอาเกลือมาถูแผลซ้ำรอยอีกทีจนปวดแสบปวดร้อน...ในตอนนี้ตัวเขาเองรู้สึกโมโหในสิ่งที่ตัวเองกระทำเอาไว้มากขึ้น...มากขึ้นเสียจน
“โคจร!!!”
การกระทำอาจหาญของร่างสูงทำให้ขุนไกรต้องรีบเข้าหยุดยั้งด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ...ภาพโคจรกำลังจะลงมือควักหัวใจของตัวเองออกมาเล่นเอาหัวใจเขาล่วงหล่นไปอยู่แถวตาตุ่ม 'โอย ผิดคาด...มันไม่คิดตัดหัวส่งมาให้เขาในการชดเชยความผิดแต่จะควักหัวใจยื่นมาให้แทน มันคิดได้ยังไง พ่อพญากุมภีร์ ไอ้กระรอกแทะ ไอ้จิ้งเหลนน้ำ ไอ้กินแกลบกินรำ...ไอ้ๆๆๆๆๆ...จะด่ามันยังไงดีวะเนี่ยมันถึงจะสำนึก'
"ห้ามข้าทำไม...ข้าทำร้ายเจ้านะขุนไกร" ร่างสูงขึงตามองไม่ชอบใจและไม่เข้าใจที่ขุนไกรเข้ามาขวาง หากเมื่อมองเห็นสายตาเว้าวอน เขาก็ใจอ่อนยวบลงทันที
"โคจรเจ้าไม่ได้ทำร้ายข้า"
"เหตุใดจึงไม่ใช่ในเมื่อหลักฐานก็เห็นชัดอยู่"
ขุนไกรพูดอะไรไม่ออกทำได้เพียงส่ายหน้าปฎิเสธ
"ร่างกายนะใช่แต่หัวใจไม่ใช่"
"เจ้าพูดอะไรขุนไกรข้าไม่เห็นเข้าใจ"
ขุนไกรรู้สึกหนักใจยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาได้เห็นมาทั้งหมด
"ข้าไม่แน่ใจ....."
"บอกข้ามาตามตรงเถิด อย่าได้ปิดบังข้า"
ขุนไกรสบตากับโคจรก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไรกับเหตุการณ์ที่ได้พบเห็น
"ข้าคิดว่าเจ้ากำลังถูกควบคุม"
"ควบคุม?จากอะไร?"
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฎิเสธอย่างจนใจในคำถามเพราะไม่อาจล่วงรู้ถึงสาเหตุได้มากถึงขนาดนั้น
"ความจริงคือข้าทำร้ายเจ้าจนเกือบตาย"
"ข้าบอกว่าไม่ใช่เจ้า!หูแตกหรือไงโคจร"
ไอ้เวรนี่ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วชอบสำนึกผิดด้วยความตายอยู่เรื่อย ต่อให้พูดจนปากฉีกถึงรูหูมันก็ยังทำเหมือนพูดเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาอยู่ร่ำไป ขนาดแก่จนปูนนี้แล้วยังไม่ยอมปรับปรุงนิสัยด้านนี้สักที
'ถ้าไม่ติดสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานแบบนี้ละข้าจะจับมันมัดไว้กับเสา แล้วด่าบ่มสันดานมันเอาให้มันหูชาหรือหูหนวกไปเลย...พับผ่าสิ...ลองมันเถียงมาอีกคำเดี๋ยวได้มีหลังแหวนใส่แน่'
แต่ยังไม่ทันที่โคจรจะอ้าปากเถียงกลับ จู่ๆกลุ่มควันกลุ่มเดิมได้พุ่งพรวดจู่โจมใส่ทั้งคู่โดยที่ไม่ทันตั้งตัว...ยังไม่ทันที่พวกมันจะเข้าถึงตัว กลุ่มควันดำเหล่านั้นก็ได้ถูกอำนาจพุทธคุณของตะกรุดต้านทานไว้เสมือนมีกำแพงกั้นขวางห่อหุ้มคนทั้งสองเอาไว้
"นี่ละโคจรไอ้สิ่งที่ข้าพูดถึง"
ทางด้านพ่อมดเฒ่าเจ้าเล่ห์หลังจากได้ปล่อยมนต์ดำแล้วก็นึกกระยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
"ป่านนี้ไอ้โคจรคงได้ตกเป็นทาสรับใช้ข้าแล้วเป็นแน่"
พ่อมดเฒ่าหยิบขันน้ำขึ้นมาร่ายคาถาตาทิพย์เพื่อส่งดูว่าได้เหตุการณ์ดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ภาพที่ปรากฏกับเป็นสิ่งตรงข้ามดังใจหวัง มนต์ดำที่ถูกร่ายออกไปใหม่ไม่ได้เข้าไปสิงสู่บงการโคจรอย่างที่ควรจะเป็น ในทางกลับกันรอบกายของโคจรและขุนไกรกลับมีแสงเหลืองทองประกายโอบล้อมทั้งสองเป็นวงกว้างและมีกลุ่มควันดำล้อมรอบอยู่ด้านนอกของแสง
"ตะกรุด...มันต้องเป็นฝีมือของตะกรุดนั่นแน่...ใคร?ใครมันกล้ามาลองดีกับกู"
ความทะนงในอำนาจเวทย์มนต์ที่เคยมีต้องมาพังทลายลงเพียงเพราะตะกรุดเล็กๆแค่อันเดียว...มันน่าเจ็บใจจริงๆมันคือใครถึงได้มีอิทธิฤทธิ์เทียมกู
"ถึงมนต์ดำกูจะทำสิ่งใดพวกมึงไม่ได้แต่ก็อย่านึกว่ากูจะยอมถอย" ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ตะโกนร้องลั่นไม่ยอมรับว่าอาคมและวิชาที่มี จะเป็นรองให้กับผู้ใด หน้าไหนทั้งสิ้น
"หยุดเสียเถิดกุมภีร์เฒ่าอย่าได้ก่อกรรมทำเวรทำกรรมต่อไปอีกเลย"
ร่างของหลวงตาคงยืนสงบนิ่งอยู่ตรงมุมผนังถ้ำอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับแท่นพิธีที่พ่อมดเฒ่านั่งอยู่พอดิบพอดี...เหมือนเสือเผชิญหน้าสิงห์ก็ไม่ปาน
"อาตมาขอบิณฑบาตจากโยมได้หรือไม่"
นี่นะเหรอเจ้าของตะกรุดที่ไอ้โคจรสวมใส่อยู่ กูนึกว่าจะเป็นผู้มีอาคมที่ไหนที่แท้ก็เป็นแค่ไอ้พระถือศีล
"มันไม่ใช่กิจของสงฆ์...เอ็งอย่ามาเสือก"
"ถึงมันจะไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่อาตมาก็ไม่อยากเห็นผู้ใดสร้างบาปกรรมเพิ่มขึ้นไปอีก"
เมื่อความชั่วบดบังสติจนหน้ามืดตามัวมองไม่เห็นว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด แม้พระจะมาโปรดก็ยังกล้าชี้หน้าด่าใส่อย่างไม่นึกละอายใจหรือเกรงกลัวแก่บาปที่ได้กระทำลงไป
"ไอ้พระหัวโล้นมึงอย่านึกว่าเป็นพระแล้วกูจะกลัว...เรื่องนี้มันเป็นบัญชีแค้นของกูกับไอ้โคจรและไอ้ขุนไกรเท่านั้นมึงไม่ต้องมายุ่ง...ไสหัวไป!"
แม้หลวงตาคงจะโดนกระทำการหยาบช้าใส่ต่อหน้า ท่านก็ยังคงยืนสงบนิ่งเฉยไม่ถืออารมณ์โทสะ โมหะเหล่านั้น
"โยม...อาตมารู้ว่าบัญชีแค้นของโยมนั้นคือเรื่องใด แต่ว่าเรื่องราวในอดีตนั้นมันผ่านพ้นมาเนิ่นนานมากแล้ว พวกเราเองก็ควรให้มันหยุดอยู่แค่ตรงนั้นเถิด"
"กูไม่จบ! พวกมันทำกับกูเอาไว้แสนสาหัสพวกมันต้องรับผิดชอบ!"
"แต่ผู้ที่โดนกระทำเขาจากไปแล้วและอโหสิกรรมแล้ว ฉะนั้นโยมจงอย่าได้สร้างเวรกรรมให้เป็นห่วงโซ่ไม่รู้จักจบสิ้นต่อไปอีกเลย"
หลวงตาคงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบด้วยหวังว่าไฟแห่งความแค้นจะมอดดับลง แต่กลายเป็นว่าน้ำเย็นของท่านกลับเป็นน้ำมันที่ซัดเข้ากลางกองไฟให้กระพือโหมแรงขึ้นกว่าเดิมหลายพันเท่า
"กูไม่ให้เรื่องนี้มันจบ! กูจะฆ่าพวกมันทั้งสองให้ตายตกตามกันให้หายแค้น รวมทั้งมึงด้วยถ้าขืนยังกล้าเสนอหน้ายื่นมือเข้ามาขวางกูอีกไอ้พระแก่ "
พระพุทธเจ้าเคยสั่งสอนไว้ว่าบัวมีอยู่ด้วยกันสี่เหล่า บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ และบัวจมอยู่ใต้โคลนตม ...ช่างน่าเสียดายเหลือเกินถึงแม้เจ้าจะเกิดมาเป็นสัตว์เดรฉานแต่หากได้มีสติปัญญาเทียมเท่ามนุษย์...แล้วแทนที่จะเสริมสร้างทานบารมีให้ยิ่งใหญ่ เจ้ากับเลือกเดินทางผิดมหันต์ทำตัวเป็นบัวใต้เลนตมเช่นนี้
"ยังไงเสียอาตมาก็ต้องยื่นมือเข้ามาขัดขวางการทำบาปของโยมอยู่ดี"
เมื่อขอบิณฑบาตรแล้วไม่ได้ผล ท่านขอยอมทำผิดกฎของสงฆ์เข้าต่อสู้เพื่อปกป้องผู้มีคุณความดีทั้งสองให้รอดพ้นจากการฆ่าฟันกันเองตามประสงค์ของอีกฝ่าย...แม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากแต่ท่านก็จะลองทำดู เผื่อว่าจะสามารถแก้ไขจากร้ายกลายเป็นดี
“ในเมื่อมึงอยากแส่กูก็จะสงเคราะห์ให้”
พายุลมแรงหอบใหญ่พุ่งเข้าหาหลวงตาคงอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน มันพยายามจะหอบร่างของภิกษุชราให้ปลิวกระเด็นไปตามแรงลม แต่กับไร้ประโยชน์เพราะหลวงตาคงยังยืนนิ่งเฉยอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนมั่นคงดังขุนเขาลูกใหญ่ไม่สะเทือนเมื่อเจอกับพายุแรงกล้า
พ่อมดเฒ่าแยกเขี้ยวร้องคำรามลั่นด้วยความคับแค้นใจ ....จากพายุแรงได้เปลี่ยนเป็นพายุร้ายลูกใหญ่ที่รุนแรงและมีกำลังทำลายล้างมากกว่าเดิมหลายร้อยเท่าพุ่งเข้าจู่โจมท่านอีกครั้ง
หลวงตาคงยืนหลับตารวมสมาธิทั้งหมดให้แน่วแน่ปากท่องบ่นบริกรรมคาถาเบาๆ เมื่อพายุลูกใหญ่เคลื่อนกายเข้าปะทะก็บังเกิดแสงสีแดงเหลืองโอบล้อมปกป้องหลวงตาเอาไว้ทำให้พายุกลายเป็นเพียงแค่สายลมพัดยอดข้าวพัดผ่านร่างไป
“พอแค่นี้เถิดนะโยม”
“หุบปาก! ในเมื่อลมทำอะไรไม่ได้งั้นมึงต้องเจอกับนี่”
พ่อมดเฒ่าเป่าปากพ่นลมหายใจไปที่หลวงตาคงพลันเปลวไฟร้อนแรงก็ลุกวาบล้อมท่านเอาไว้รอบด้านไร้ซึ่งทางออก......แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางกองไฟลุกโชนสูงท่วมศีรษะ แต่ท่านยังคงยืนหลับตาสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนถึงความร้อนของไฟแม้มันจะลุกโชนโหมไหม้เพียงใด......ซึ่งถ้าเจ้าพ่อมดเฒ่าลองสังเกตุดูให้ดีๆ ว่าไฟอาคมหาได้สัมผัสถึงชายจีวรของหลวงตาคงไม่
และจู่ๆรอบกายของพระชราได้เกิดสายลมแผ่วเบาพัดผ่านและตามด้วยฝนโปรยปรายลงมา ก่อนจะเริ่มพัดกระหน่ำใส่เปลวไฟอาคมให้มอดดับลงไปอย่างง่ายดาย
“ไอ้หัวโล้น!อย่าคิดนะว่ามึงจะแน่กว่ากู”
คราวนี้พ่อมดเฒ่าพนมมือท่องบริกรรมคาถาปล่อยลำแสงสีดำมืดเข้าหา เป็นเหตุให้หลวงตาคงจำใจต้องยื่นมือข้างหนึ่งออกไปปล่อยลำแสงสีเหลืองทองเข้าปะทะ
พลังอาคมของทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ จนพ่อมดเฒ่าเริ่มปล่อยลำแสงสีดำออกมาให้รุนแรงเพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเพื่อหวังให้พลังอาคมชั่วร้ายของตนฆ่าศัตรูให้ดับดิ้นไป หลวงตาคงจึงตั้งสมาธิปล่อยลำแสงมายันเอาไว้
เมื่อต่างฝ่ายต่างยันกันอยู่เช่นนั้น เนิ่นนานเข้า....ลำแสงสีเหลืองทองเริ่มมีแสงเปล่งประกายเรืองรองดันอาคมของพ่อมดเฒ่าค่อยร่นถอยไปเรื่อยๆ จนหดเข้าไปใกล้ทุกที จนในที่สุดร่างเหี่ยวย่นผอมเกร็งก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาณ
ร่างเจ้าพ่อมดเฒ่าโดนพลังของหลวงตาปลิวกระเด็นไปปะทะกับผนังถ้ำด้านหนึ่งเสียงดังโครมใหญ่ แต่กุมภีร์เฒ่าก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้รวบรวมพลังขึ้นใหม่แล้วผลักออกไปคราวนี้ไม่ใช่อาคมสีดำเท่านั้น หากแต่เป็นลำแสงสีแดงดำเข้มพุ่งเข้าใส่ ซึ่งท่านก็ได้ใช้มือข้างเดิมยันเอาไว้ด้วยสีหน้านิ่งสงบก่อนจะปล่อยลำแสงสีเหลืองทองดันกลับออกไปเช่นกัน
ทั้งสองต่างต่อสู้กันอย่างเต็มที่จนเวลาผ่านไปชั่วอึดใจเดียวพลังของพ่อมดเฒ่าได้พ่ายแพ้ให้กับพลังของหลวงตาคงเป็นคำรบสอง ลำแสงสีแดงดำเข้มถอยร่นเข้าหาตัวเองอย่างช้าๆถึงแม้จะพยายามเร่งพลังจนตาเหลือกปูดโปนจนน่าเกลียดแต่กลับต้านทานได้เพียงไม่นาน พ่อมดเฒ่าก็กระเด็นหวือไปปะทะกับผนังถ้ำอีกครั้งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนถ้ำสั่นสะเทือนเลือนลั่น จนกระอักเลือดออกมากองใหญ่เนื่องจากอาการบอบช้ำภายในอย่างหนัก
‘หนอย...ไอ้พระหัวโล้นนี่มันเป็นใครทำไมมันถึงได้มีวิชาแก่กล้าเหนือกู’
พ่อมดเฒ่านิ่งมองภิกษุชราไม่กล้าใจร้อนผลีผลามต่อสู้เหมือนครั้งแรก เพราะตอนนี้มันรู้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่แค่พระธรรมดาอย่างที่เคยคิดไว้
จากรอยสักตรงแขนข้างขวาที่โผล่พ้นออกมานอกจีวร ทำให้มันเริ่มสงสัยว่าภิกษุชราตรงหน้าคงจะเป็นพวกไสยขาวที่เน้นการใช้เวทย์ไปในทางที่ดีผิดกับตนที่เน้นพวกไสยดำอวิชชาชั่วร้ายมากกว่า...ยิ่งเป็นพวกพระด้วยแล้วไสยขาวอย่างมันคงจะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าเราหลายเท่าเป็นแน่แท้...มิน่าถึงเอาชนะมันไม่ได้เสียที
ความปรามาส รอยยิ้มเย้ยหยันที่เคยมีหายจากไปเสียสิ้นเมื่อศัตรูที่เหนือชั้นกว่าได้ปรากฏกายขึ้นมา
“หึหึ...ดูท่ามึงกับกูจะอยู่ร่วมโลกด้วยกันไม่ได้เสียแล้ว...ไอ้พระแก่”
‘............’
พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า ‘สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม’ เพราะถึงแม้หลวงตาคงจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสุดกำลังแต่หากเมื่อดวงชะตาได้ถึงคราวต้องดับสูญต่อให้พยายามดึงดันเพียงใดมันก็ยังต้องดับสูญอยู่ดี
“ไอ้กลุ่มควันดำพวกนี้นะหรือ ที่เจ้าเอ่ยถึงขุนไกร”
“อืม...ข้าเห็นพวกมันออกมาจากร่างของเจ้าทันทีที่โดนตะกรุดของหลวงตา”
โคจรก้มมองตะกรุดที่ส่องประกายตรงข้อมือสลับกับหันไปมองกลุ่มควันดำที่ล้อมรอบอยู่ด้านนอกสุดของแสงอย่างครุ่นคิด
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงรู้แล้วว่าพวกมันคือสิ่งใด”
ขุนไกรเบิกตากว้างด้วยความสนใจใคร่รู้
“เห็นแค่ควันดำเจ้าก็รู้แล้วเหรอว่ามันคือสิ่งใด”
โคจรคลี่ยิ้มมั่นใจว่าสิ่งที่เขาคิดไว้นั้นถูกต้องแน่ๆ
“ใช่...เจ้าไม่ได้เรียนด้านเวทย์มนต์คาถาเหมือนข้าจึงไม่แปลกที่จะไม่รู้”
“เวทย์มนต์?...คาถา?”
“กลุ่มควันดำด้านนอกนั่นเป็นพวกไสยดำ ถ้าข้านึกเดาไม่ผิดมันน่าจะเป็นอาคมสะกดใจเพราะมันเป็นมนต์คาถาที่รุนแรงมากจึงสามารถควบคุมจิตใจของข้าไว้ได้”
ขุนไกรหลับตานึกตามคำพูดของโคจรอย่างงุนงงไม่เข้าใจเลยสักนิด พญากุมภีร์เลยต้องขยายความเพิ่มเติมเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดง่ายขึ้นอีก
“ไสยเวทย์หรือเรียกง่ายๆภาษาชาวบ้านคือไสยศาสตร์...เวทย์พวกนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองพวกคือไสยดำกับไสยขาว...ไสยดำเป็นอวิชชาที่ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เป็นไปต่างๆนานาเรียกอีกอย่างว่าคุณไสย ของสกปรกพวกนี้จะถูกใช้ไปในทางชั่วร้ายทั้งทำร้ายผู้คน ควบคุมผู้อื่นก็ได้...ส่วนไสยขาวเป็นวิชชาลึกลับใช้ไปในทางที่ดีช่วยเหลือผู้คนทั่วไป ถ้าอย่างที่พวกเจ้ารู้จักกันก็คือพวกเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลต่างๆ และตะกรุดตรงข้อมือข้าก็ใช่ เพราะของเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันภัยอันตราย...พอเข้าใจบ้างหรือยังขุนไกร”
“ไสยดำคือกลุ่มควันที่ใช้มาควบคุมเจ้าทำร้ายผู้อื่น และไสยขาวนั้นคือตะกรุดของหลวงตาที่ปกป้องข้ากับเจ้างั้นสินะ”
“ถูกต้อง...เก่งมากเลยขุนไกร”
โคจรลูบหัวคนรักเบาๆอย่างนึกชมเชยแต่ขุนไกรกับเหล่มองคนลูบหัวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก...นี่มันคือคำชมหรือปล่าวนะทำไมพอได้ฟังแล้วถึงรู้สึกไม่ถูกหูยังไงก็ไม่รู้
แต่ภายใต้ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่อนโยนแลดูเจ้าเล่ห์ทำให้ขุนไกรไม่ทันเฉลียวใจกับบางสิ่งที่ดูผิดปกติไปจากเดิม
*****100% เต็มแล้วจ้า***************
ขอพูดเหมือนเดิมนะว่าฉากคู่พ่อจะเศร้ามากกกกกก
แม้คนเขียนจะไม่อยากทำก็เถอะ แต่เพราะค่าตัวคู่พ่อมันแพง เอ๊ย ไม่ใช่ๆ
เพราะถ้าคู่พ่อยังอยู่ คู่ลูกก็จะเดินหน้าไม่ได้เต็มที่ เลยต้องทำให้ ฮือๆๆๆๆๆ
แต่ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าขอรับรองเลยว่าคู่ลูกจะไม่ดราม่ามากนัก แค่มีให้เจ็บๆคันๆนิดหน่อย
รับรองจบแฮปปี้แน่ๆ
แต่จะแฮปปี้แบบไหนไปลุ้นกันเอาเองนะจ๊ะ
ความคิดเห็น