คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ไกรทอง ตอนที่ 8 (แก้ไข)
เรื่องราวในวันนี้จะเป็นเหตุการณ์นองเลือด ที่ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านดงเศรษฐีจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต เมื่อจู่ๆก็มีจระเข้ร่างขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ มันอาละวาดเที่ยวไล่ฆ่าผู้คนที่อยู่ทั้งในน้ำและริ่มฝั่งจนสายน้ำแดงฉานไปด้วยเลือด
ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเนื่องจากอีกฝ่ายคือจระเข้ร่างขนาดใหญ่ยักษ์ เมื่อลองคาดคะเนนับจากหัวจรดหางแล้วเจ้าจระเข้ตัวนี้มีความยาวประมาณ20วาได้ นับว่าเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่สุดเท่าทีพวกเขาเคยพบเจอ ...เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นอะไรที่น่ากลัวขนาดนี้เลย
มันมาจากไหนไม่มีผู้ใดรู้ แต่ที่รู้คือตอนที่มีศพชาวบ้านนอนตายเกลื่อนกลาด ทั้งบนริมฝั่งของแม่น้ำและในน้ำ จนแทบมองไม่เห็นสีเดิมของสายน้ำ
เจ้าจระเข้ยักษ์เที่ยวฟาดหางทำลายเรือแพรอบๆบริเวณล่มไปหลายลำ และการเหวี่ยงหางแต่ละครั้งราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ไม่ปาน จนแผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงมาก ชาวบ้านบางคนทรงตัวไม่อยู่พลัดเผลอตกลงไปในแม่น้ำก็โดนมันฆ่าตาย ท่ามกลางเสียงโหยหวนกรีดร้องของผู้คนบนฝั่ง
นี่มันเกิดอาเพศอะไรกัน เหตุฉไนถึงได้มีเจ้าสัตว์ร้ายมาอาละวาดฆ่าคนตายแบบนี้....แล้วยิ่งหลวงตาคงกับสองเศรษฐีก็ไม่อยู่ที่หมู่บ้านเสียด้วย พวกเขาจะทำเช่นใดกันดีกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
เสียงกรีดร้องดังระงมจนแทบกลบเสียงน้ำแตกกระจายจากการทำลายล้างของจระเข้ยักษ์ ทำให้ชาวบ้านหลายคนถึงกับสติแตก วิ่งพล่านกันไปมาเหมือนกับมดที่ถูกโจมตี
ขอให้เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ขอให้คนดีมีวิชามาช่วยเหลือให้หมู่บ้านเรา รอดพ้นจากเภทภัยในครั้งนี้ด้วยเถิด
บางคนที่สติดีกว่าหน่อย รีบต้อนให้ชาวบ้านที่เหลือรอดให้ออกห่างจากริมแม่น้ำให้ไกลที่สุด ด้วยกลัวว่ามันจะหันมาเล่นงานทุกคนที่อยู่บนฝั่งแทน
ชายฉกรรณ์หลายคนต่างพากันช่วยคนแก่ เด็กน้อย และเหล่าสตรีในหมู่บ้านอพยพถอยร่นไปอยู่ในเขตวัด ที่ตั้งอยู่ไกลจากที่นี่ ด้วยเชื่อว่าจะปลอดภัยมากกว่าที่ทุกคนจะยืนนิ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ รอคอยให้เจ้าสัตว์ร้ายหันมาฆ่าเอา
นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ ซึ่งหากจะให้ไปสู้รบปรบมือกับ ‘เจ้านั่น’ เห็นทีจะทำไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีวิชาปราบจระเข้ ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไปสู้ด้วยก็มีแต่จะตายเปล่า
ในระหว่างนั้นเองขุนไกรก็ได้ปรากฏตัวมาในสภาพที่พร้อมออกรบกับเจ้าจระเข้ร้ายตัวนี้ ท่ามกลางความสิ้นหวังและเสียงร้องไห้ระงมของเหล่าชาวบ้าน
เพราะเสียงแผ่นดินสั่นสะเทือน สายน้ำสั่นกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปีทำให้เขารู้ว่า มีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่กำลังออกลายอาละวาดที่หมู่บ้านที่เขาจากมาอยู่แน่ๆ ขุนไกรจึงรีบเบนหัวเรือกลับมาเทียบฝั่งใกล้ๆ
แล้วรีบหยิบอาวุธคู่กายติดตัวมา เพื่อมาปกป้องทุกคนให้พ้นจากอันตราย ตามหน้าที่ของหมอปราบจระเข้ แต่เขาก็มาช้าเกินไป เพราะเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนั้นได้หยุดฆ่าผู้คน ดำน้ำหนีหายไปได้สักพักหนึ่งแล้วก่อนที่เขาจะมาถึง
จากที่ลองสอบถามลักษณะเจ้าจระเข้และเหตุการณ์จากชาวบ้านดูแล้ว ถ้าเขาเดาไม่ผิดมันต้องไม่ใช่แค่จระเข้ยักษ์ธรรมดา แต่คงจะเป็นจระเข้ระดับกุมภีร์เป็นแน่.....แสดงว่ามันยังคงซ่อนตัวอยู่แถวนั้นยังไม่ได้หนีหายไปไหน เพื่อรอให้พวกชาวบ้านตายใจ เมื่อเผลอไปใกล้ริมฝั่งมันก็จะกลับมาอาละวาดอีกครั้ง
แม้ใจจะไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เมื่อจำเป็นต้องเลือก เขาก็ขอเลือกช่วยชีวิตผู้คน...
...หมอจระเข้หนุ่มหยิบมีดหมออาวุธประจำกายขึ้นมาพนมจรดเหนือศรีษะ เอ่ยคาถาบูชาครูบาอาจารย์และพระพุทธก่อนจะเหน็บเอาไว้ข้างตัว
“พ่อ” ไกรทองผวากอดเอวพ่อไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ไป...
...ขุนไกรลูบหัวปลอบใจเจ้าตัวเล็ก จำใจดึงมือเล็กออกจากเอว “อย่าห่วงเดี๋ยวพ่อกลับมา”
ไกรทองยืนมองแผ่นหลังแสนอบอุ่นของพ่อด้วยหัวใจหวั่นไหว แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อไปปราบจระเข้ เหตุฉันใดเขากลับไม่อยากให้พ่อไปเลย...ใจมันหวิวๆแปลกๆ กลัวว่าพ่อจะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต
ขุนไกรแจวแพลำน้อยไปกลางแม่น้ำอย่างช้าๆตรงบริเวณที่เคยมีเจ้าจระเข้ยักษ์อาละวาดอยู่ เขาหยุดแพนิ่งอยู่กับที่สองสายตากวาดมองดูทั่วเวิ้งน้ำ หูซ้ายขวาก็พยายามเหงี่ยฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ .....แม้สายน้ำจะดูนิ่งสงบ แต่ข้าเชื่อว่าเอ็งจะต้องยังอยู่แถวนี้
เสียงหัวใจเต้นระรัวดังกึกก้อง ความสงบนิ่งเช่นนี้มันช่างน่ากลัวเหลือคณานับ ไม่ต่างจากผู้คนบนฝั่งที่ต่างลุ้นระทึกเฝ้ารอดูเหตุการณ์ตรงหน้าว่าจักเคลื่อนไหวไปในทางทิศไหน .....มนุษย์จะถูกจระเข้ายักษ์ฆ่าตายหรือว่าเป็นเจ้าสัตว์ร้ายกันแน่ที่จะถูกหมอจระเข้ปราบลงได้
“ทางนั้น!!!”
เสียงร้องเตือนดังลั่นจากบนฝั่งทำให้ขุนไกรรีบหันตัวไปตามเสียงทันที ทว่ากลับช้าเกินไป เจ้าจระเข้ยักษ์อาศัยจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบบุกเข้ามาจวนเกือบประชิดตัวเขา แต่เมื่อมองเห็นลักษณะศัตรูชัดเจน ใจของเขาบอกได้ทันทีว่านั่นคือ...
“โคจร!?”
เสียงเรียกนามเปรียบเสมือนเสียงมนต์คาถา พญากุมภีร์ชะงักค้างหยุดอยู่กับที่ยังไม่เข้ามาทำร้าย แต่ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นก็กลับมาอาละวาดอีกครั้งเพราะเสียงคำสั่งในหัว...ที่บงการให้เขาลงมือสังหารเจ้ามนุษย์ผู้นี้ให้ตาย อย่าให้มันมีชีวิตรอดกลับไปได้เด็ดขาด
หางยักษ์ออกแรงฟาดสุดกำลังหวังให้อีกฝ่ายตาย ขุนไกรอ่านทางออกจึงอาศัยความคล่องแคล่วหลบพ้นเฉียดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด หางจึงฟาดได้เพียงแค่น้ำตูมใหญ่จนกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดย่อมๆ
โคจรลองฟาดหางใส่อีกครั้ง ขุนไกรจึงแสดงฝีมือและความชำนาญหลบหลีกการโจมตีได้อย่างว่องไว พญากุมภีร์จึงเปลี่ยนแผนมาใช้ปากอันใหญ่โตตระครุบกัดแทน หมอจระเข้เห็นดังนั้นเลยจำเป็นต้องชักมีดหมอออกมาป้องกันตัว แต่ทว่าหนังของจระเข้นั้นหนามากประกอบกับอีกฝ่ายเป็นถึงระดับพญากุมภีร์ด้วยแล้ว มีดหมอธรรมดาเล่มนี้ย่อมไม่อาจระคายผิวหนังนี้ได้ นอกจากจะใช้ได้แค่ป้องกันตัวเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หรือต่อให้ฆ่าได้ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะทำ เพราะอีกฝ่ายนั้นคือผู้ที่เขาไม่อาจตัดใจสังหารลงได้
เมื่อมาเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจฝีมือสมน้ำสมเนื้อกันแบบนี้ พญาภุมภีร์จึงต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆออกมาสู้จนแทบจะหมดสิ้นอยู่แล้ว ...เจ้ามนุษย์นี่ไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ นับว่ามีวิชาไม่เลว ฝีมือคล่องตัวขนาดอยู่บนแพก็ยังสามารถสู้กับข้าได้อย่างสูสี ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็เยี่ยมยอด หลบหลีกการโจมตีของข้าได้ทุกครั้ง แล้วถ้าลองเป็นเช่นนี้ล่ะเอ็งจะยังรับมือข้าได้อยู่อีกหรือไม่
ทันใดนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ก็นำพาร่างดำกายหายลงไปในน้ำ ซึ่งชายหนุ่มไม่สามารถเดาได้เลยว่ามันคิดจะทำสิ่งใดอีก...ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ยอมแพ้แล้วหนีไป แต่เจ้ากำลังถอยไปตั้งหลักเพื่อบุกอีกครั้ง และคราวนี้ถ้าข้าพลาดมันก็หมายถึงความตาย
ขุนไกรเริ่มกำด้ามมีดกระชับมือเตรียมพร้อม สรรพสิ่งนิ่งเงียบสนิทแม้กระทั่งสายลมและสายน้ำ ชาวบ้านบนฝั่งทุกคนยืนมองนิ่งรอลุ้นสถานการณ์เหมือนหิน หัวใจเต้นดังก้องจนหูอื้อ
โคจรคงไม่คิดตื้นเขินโจมตีเข้ามาตรงๆจากทางด้านหน้าเพราะมันเสี่ยงเกินไป...ทางอื่นล่ะ?
ด้านซ้าย...ไร้วี่แวว
ด้านขวา...ว่างปล่าว
แย่ล่ะสิ...ด้านหลัง!
เสียงน้ำแตกกระจายดังสนั่นพร้อมกับร่างจระเข้ยักษ์ที่ขึ้นมาจู่โจมจากด้านหลังดังเขาคาดคิด ถึงแม้ขุนไกรจะไหวตัวรีบหมุนกายกลับมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...ฟันแหลมคมอันใหญ่ยักษ์อยู่ตัวเขาแค่เอื้อม
...โคจร!!!
'ขุนไกร?'
เสียงร้องก้องในใจของคนรักดังเข้าไปถึงในจิตใจที่ถูกครอบงำ จากดวงตาที่เป็นสีแดงเลือดก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีเขียวอ่อนเช่นเดิมพร้อมกับสติที่ถูกดึงกลับคืนมา ‘โอ้...ดวงใจของข้า นี่ข้ากำลังจะกระทำสิ่งใด เขาจะต้องไม่ตายเพราะข้า’
'ฆ่ามันซะ'
เสียงคำสั่งแทรกเข้ามาในหัวดวงตาสีเขียวถูกย้อมด้วยสีแดงอีกครั้งพร้อมจะโจมตีทว่า...
'ข้าทำไม่ได้' จิตใต้สำนึกของเขาเริ่มปฎิเสธคำสั่งนี้ เมื่อเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะฆ่าคนที่เขารักมาก
'เอ็งต้องทำ'
'ไม่ข้าไม่ทำ' จิตใจของโคจรพยายามต่อสู้อย่างหนัก...จะให้ฆ่าเขา ข้าทำไม่ได้
'ข้าสั่งเอ็งต้องทำ!ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!'
'ไม่!!!'
พญากุมภีร์แผดเสียงคำรามแผดร้องดังลั่นอย่างเจ็บปวดสะท้อนดังไปทั่วบริเวณก่อนจะดำน้ำหนีหายไป ความผิดปกติของดวงตาจากสีแดงสลับกับสีเขียวไปมา ทำให้ขุนไกรที่อยู่ใกล้ที่สุดมองเห็นถึงสิ่งนี้
เขาเริ่มฉุกใจ...นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่บอกเขาได้ว่าโคจรคงจะโดนสิ่งใดหรือใครบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ เพราะไม่มีทางที่จระเข้ถือศีลอย่างหมอนี่จะออกมาอาละวาดสังหารมนุษย์เป็นว่าเล่นแบบนี้...ข้าต้องลงไปดูให้เห็นกับตาว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
ขุนไกรไม่รีบรอช้ารีบใช้เทียนไขระเบิดน้ำ ดำดิ่งลงไปใต้น้ำตามพญากุมภีร์ไปจนพบถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง
หมอจระเข้ก้าวย่างเข้าไปภายในอย่างช้าๆระมัดระวัง ภายนอกนั้นเหมือนเป็นปากถ้ำเล็กๆ แต่พอเข้ามาแล้วข้างในนี้กลับกว้างมากคล้ายกับเป็นท้องพระโรงในพระราชวังยังไงยังงั้น สายตาของเขาคอยเหลือบมองรอบๆด้านในถ้ำด้วยความระแวดระวัง ทุกอย่างดูโล่งไม่พบสิ่งผิดปกติ
จนกระทั่งหางตาสะดุดเห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งยืนผิงผนังถ้ำรอคอยผู้มาเยือน รูปร่างของอีกฝ่ายนั้นถ้าเทียบกันกับเขาแล้วนับว่าดูสูงอย่างเห็นได้ชัด ช่างงามสง่าปานรูปสลักของเทวดาบนฟ้า ผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนสีของเปลือกไม้ แพขนตายาวส่งเสริมให้ดวงตาสีเขียวดูงดงามรับกับสันจมูกสูงโด่งเป็นสัน รัศมีช่างดูทรงอำนาจข่มผู้อื่นให้ดูต่ำต้อยเมื่อได้อยู่ตรงหน้าของบุรุษผู้นี้ เจ้าช่างไม่เปลี่ยนจากในอดีตเลยสักนิด
“โคจร” เสียงเอ่ยนั้นอ่อนล้าจนเหมือนจะตัดเพ้อในการกระทำที่น่ากลัว
“อาจเพราะข้าสู้อยู่ในร่างจระเข้เลยไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าในร่างมนุษย์นี่แหละ!”
“ทำไม” ขุนไกรถามอย่างไม่เข้าใจด้วยนิสัยของโคจรไม่น่ากระทำตัวเยี่ยงนี้ได้...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ไม่มีเหตุผล”
“แค่นั้นนะเหรอ?”
โคจรแหงนคอหัวเราะสะใจในคำถามแสนโง่เง่า
“ใช่!เลิกพูดพล่ามเสียทีเตรียมตัวตายได้แล้ว!”
โคจรเข้าโจมตีรวดเร็วดุจสายฟ้าเล่นเอาขุนไกรตั้งรับไม่ทัน ร่างสูงต่อยเข้าที่ใบหน้า ท้อง เตะ ศอก เข่า สารพัดเนื่องจากในยามนี้โคจรอยู่ในร่างของมนุษย์ดังนั้นพละกำลังย่อมมีมากกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่านัก ยากแก่การโจมตีกลับเพราะลำพังแค่หลบหลีกก็ต้องใช้กำลังไปไม่น้อย
โคจรจับร่างขุนไกรเหวี่ยงกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำเสียงดังสนั่น จนร่างกายเจ็บหนักลุกไม่ขึ้นกระดูกราวจะแหลกเป็นผุยผง ชายหนุ่มจึงได้แต่นอนนิ่งๆอย่างหมดสภาพไม่สามารถมีแรงลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก
ร่างสูงย่างสุขุมเข้ามาใกล้ๆ “เป็นอะไรไปความเก่งกาจที่อยู่ข้างบนมันหายไปไหนหมด...นึกว่าจะได้สู้กับคนมีฝีมือสุดท้ายก็...แค่พวกมดปลวกอ่อนแอ”
พญากุมภีร์มองศัตรูด้วยแววตาสมเพชและผิดหวังที่อุตส่าห์ลดตัวลงมาให้เกียรติ “ช่างเถอะฆ่าเจ้าให้มันจบๆไปเสียดีกว่า”
โคจรบีบรอบคอหนาของอีกฝ่ายด้วยมือเพียงข้างเดียว แล้วค่อยๆเพิ่มแรงกดขึ้นเรื่อยๆจนคนในอุ้งมือเริ่มหายใจไม่ออกดิ้นขลุกขลัก
“อ๊อก...หะ...หายใจ...มะ...อะ” ขุนไกรพยายามออกแรงดิ้นหนีเพื่อเอาชีวิตรอด
ตาของโคจรเริ่มแดงเข้มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับลมหายใจขุนไกรเริ่มขาดห้วงตาลง ดวงตาของเขารู้สึกพร่าเลือนจนเริ่มมองอะไรไม่เห็น...ใช่โคจรที่ข้ารู้จักแน่หรือ? เหตุฉไนบุรุษผู้อ่อนโยนดุจสายน้ำเย็นฉ่ำถึงได้กลายเป็นผู้เหี้ยมโหดเช่นนี้?
ระหว่างที่ลมหายใจของชายหนุ่มใกล้จะหมดลง จู่ๆก็มีหยดน้ำตาหนึ่งหยดกลิ้งไหลลงมากระทบบนมือใหญ่ คล้ายกับดั่งก้อนหินที่กระทบลงบนผืนน้ำนิ่ง จนทำให้เกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น เชกเช่นเดียวกับหัวใจของโคจรที่เกิดการสั่นไหวกับน้ำตาหยดนี้
...เพียงแค่น้ำตาหยดเล็กๆหยดเดียวเท่านั้นเอง
'ไม่อย่าฆ่าขุนไกร'
'เอ็งต้องฆ่ามัน'
'หยุดเดี๋ยวนี้'
'เอ็งต้องฟังข้า...ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!!!'
“อ๊าก!!!” โคจรบีบศีรษะที่ปวดหัวจวนเจียนจะระเบิดเพราะความคิดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
“แค่กๆๆ”
เมื่อถูกปล่อยคอออกขุนไกรรีบเร่งสูดเอาอากาศเข้าไปหายใจอย่างตระกุมตระกราม ก่อนเหลือบมองโคจรที่นั่งกุมขมับทุรนทุราย
ขุนไกรข่มอาการบาดเจ็บขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงด้วยความห่วงใย
“อย่าเข้ามาใกล้ข้า!...โอ๊ย!” โคจรผลักอีกฝ่ายกระเด็นไปอีกทาง แต่ขุนไกรกลับไม่ยอมแพ้เคลื่อนกายเข้าไปหาร่างสูงอีกครั้ง
“โคจร”
“บอกว่าอย่าเข้ามา!” พญากุมภีร์ใช้สองมือบีบคอขุนไกรเหมือนคนเสียสติ สีดวงตาสลับแดงเขียวไปมาไม่ยอมหยุด
ขุนไกรเอื้อมมือลูบใบหน้าคมแผ่วเบา...เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...เพราะข้าใช่ไหมเจ้าถึงต้องกลายมาเป็นแบบนี้...
“โคจรข้าเอง ข้าคือขุนไกร...”
ชายหนุ่มพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน ปลอบประโลมอีกฝ่ายให้หยุดบ้าคลั่ง “...คนรักของเจ้า”
“ขุนไกร”
ดวงตาของโคจรเริ่มส่องแสงเป็นประกาย ภาพของใครคนหนึ่งที่มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มคอยส่งมาให้เขาเป็นประจำริมฝีปากบางๆนั่น ยามเมื่อเอ่ยนาม 'โคจร' ช่างน่าฟังและไพเราะจับใจที่สุดในความคิดของเขา กลิ่นกายหอมชื่นใจเขายามเมื่อได้สูดดม ยิ่งเมื่อเขาได้กกกอดก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นไปทั้งหัวใจ
...เจ้าเป็นใครกันแน่คลับคลายคลับคลาเหมือนจะนึกออกแต่ทุกอย่างกลับติดอยู่แค่ที่ริมฝีปาก
ดวงตาสีเลือดเริ่มจางหายย้อนกลับกลายมาเป็นสีเขียว แม้แววตาจะยังดูมืดหม่นอยู่ก็ตามที สองมือที่เคยกำรอบคอของชายหนุ่มถูกย้ายมาลูบคลำสองแก้มอย่างคุ้นสัมผัส
“ขุน............ไกร”
ขุนไกรรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกแบบนี้ ร่างสูงสันทัดจึงยอมนั่งอยู่นิ่งๆมองร่างสูงด้วยสายตากระตือรือล้น เมื่อคิดว่าโคจรอาจจะมีโอกาสจำเขาได้ จนสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของอะไรบางอย่างก็เป็นได้
“ขุนไกร.....ขุนไกร.....ขุนไกร..........”
เสียงเรียกชื่อซ้ำๆวนกลับไปกลับมาคล้ายกับเด็กตัวน้อยที่เริ่มหัดพูด สองคิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ....ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังใช้ความคิดหนักขนาดไหน
'นึกให้ออกโคจรเจ้าจงอย่าลืมคนที่เจ้ายินยอมมอบดวงใจทั้งดวงเช่นนี้' เสียงเรียกภายในจิตวิญญาณรีบเร่งย้ำเตือนให้สมองทำงานหนักขึ้นระหว่างที่มนต์สะกดเริ่มคลายตัวลง...ซึ่งจะต้องแข่งกับเวลาขืนชักช้าไปมากกว่านี้ร่างกายนี้จะต้องกลายเป็นทาสรับใช้โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแน่ๆ
โคจรหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิที่ถูกจับโยนทิ้งขว้างกระจัดกระจายกลับจับมาจัดวางให้เป็นระเบียบ ค่อยๆนึกลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆในหัวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ภาพในอดีตภาพแล้วภาพเล่าในหัวต่างเริ่มทยอยผลัดกันหมุนเวียนผุดขึ้นมาทีละภาพ ทีละเหตุการณ์ ย้อนกลับไปยังความทรงจำแรกพบของเขาทั้งสอง
“อื้อหือ! ไม่นึกเลยว่าตลาดของเหล่ามนุษย์ด้านบนจะมีอะไรน่าสนุกขนาดนี้ วันหลังคงต้องแอบหนีท่านพ่อขึ้นมาเที่ยวเล่นบ่อยๆเสียแล้ว”
กุมภีร์หนุ่มแห่งคุ้งเหนือที่นึกครึ้มอกครึ้มใจกระโดดโลดเต้นหนีท้าวรำไพขึ้นมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ หลังจากเก็บตัวบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่นานหลายสิบปี ซึ่งขณะนี้กำลังละทิ้งตัวตนที่แท้จริงชั่วคราวด้วยการยืนมองเหล่าของกินแต่ละอย่างจนน้ำลายสอ
“โอ๊ะ!ตรงนี้มีตะโก้ขายด้วย นี่ก็ลูกชุบหลากสี ตรงนั้นมีข้าวเหนียวสังขยาห่อใบตอง ตรงโน้นมีขนมตาลสีเหลืองนวลน่ากิน ทุกอย่างน่ากินหมดเลย”
โคจรกว้านซื้อเหล่าขนมหวานแสนโปรดจนเต็มสองมือด้วยอาการเริงร่า ก่อนจะสอดสายตาหาสถานที่เหมาะๆในการกวาดของกินพวกนี้ลงท้องให้เต็มคราบ
แต่สายตาเจ้ากรรมดันตาดีเกินไปแทนที่จะพบที่เหมาะๆ...โคจรกลับมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังโดนเด็กรุ่นเดียวกัน 2 - 3 คนเข้ารุมทำร้าย ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเจ้าสามคนนั้นกำลังโดนเด็กหนุ่มหนึ่งจัดการอยู่น่าจะถูกต้องกว่า
ส่วนฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้ถือว่ายอดเยี่ยมน่าชื่นชม ทั้งการปล่อยหมัด ความว่องไวในการหลบหลีกจัดว่าเก่งใช้ได้ ทำให้กุมภีร์หนุ่มอดไม่ได้ที่จะผิวปากชมด้วยความถูกใจ
'ทักษะด้านการต่อสู้ของเจ้าหนูคนนี้นับว่าไม่เลวเลย แม้รูปร่างจะดูเก้งก้างไปบ้างก็ตาม'
นอกจากจะไม่ยื่นมือเข้าไปห้ามปรามหรือช่วยเหลือแล้ว โคจรยังหน้าหนาหยิบขนมในมือมายืนกินหน้าตาเฉยโดยที่สายตายังคงจับจ้องมองการทะเลาะวิวาทเอาแบบไม่คาดสายตา ก็เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆนั่นแหละที่พายืนมองดูเหตุการณ์กันเป็นแถวไม่เห็นมีหมาสักตัวใจดีเข้าไปห้าม...
“เอ้ย!นั่นแหละๆเหวี่ยงหมัดสุดแรงแบบนั้นเลย ดี!...เอ้ย!ลูกถีบดอกนั้นเยี่ยมจริงๆ...เอ้ย!เข่าเข้าเป้าเน้นๆจุกลุกไม่ขึ้นแน่ๆ...เอ้ย!เอ้ย!เอ้ย!.....แรงอีก...เอ้ย!”
โคจรขยับโยกซ้ายโยกขวาเบาๆอย่างเมามันในอารมณ์ ปากนอกจากจะทำหน้าที่เคี้ยวขนมแล้วยังมีหน้าที่เอ่ยเชียร์เป็นระยะๆอาการเหมือนคนเชียร์มวยอยู่ข้างสนาม.....ดูแล้ว.....เอ่อ.....สนุกสนานในอารมณ์จริงนะพ่อโคจร
“โห่!น่าเสียดายไอ้เจ้าสามคนนั่นไม่น่าฝีมืออ่อนเลยยังไม่ทันหายสนุกดันนอนหมดแรงตายเสียแล้ว ตัวหนาและพวกมากกว่าอีกฝ่ายซะปล่าว...จิ๊!เสียอารมณ์!”
เมื่อการต่อสู้ยุติลงขนมในมือก็ยังเหลืออยู่ร่างสูงจึงทำการหาทำเลอีกรอบ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นถ้าโคจรดันไม่สอดไปเห็นหนึ่งในสามคนที่นอนตายเมื่อตะกี้ทำตัวเป็นศพคืนชีพขึ้นมาจะลอบกัดเด็กหนุ่มคนนั้น
“ระวัง!!!” โคจรรีบเอาร่างกายหนาของตัวเองโอบกายปกป้องอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ
พลั้ก!!!
“อึก...”
เสียงไม้หน้าสามกระทบกับแผ่นหลังดังก้องเข้าหูจนอื้อไปหมด ถ้าให้บอกตามความรู้สึกของคนปกป้องแล้ว ไม่ค่อยเจ็บหรอกแต่ถ้าร่างกายถูกฟาดด้วยไม้ขนาดท่อนขนาดนี้มันก็ต้องรู้สึกชาเป็นธรรมดา
เด็กหนุ่มรีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา ไปจัดการเจ้าหมาลอบกัดนั่นให้ไปเข้าฝันกับยมบาลในนรกอีกครั้ง
'เสร็จเรื่องซะที ริจะทำตัวเป็นวีรบุรุษมันก็ต้องลำบากแบบนี้แหละโทษใครเขาได้...ช่างเถอะไปหาที่กินขนมต่อดีกว่า.....ขนม?.....ขนม!?.....ขนมของข้าหายไปไหน?'
โคจรรีบมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนก่อนจะมองไปเห็นกองหนึ่งกองแสนคุ้นตาบนพื้นดินจุดที่ตนเองเคยยืนเชียร์มวยอยู่ มันคือขนมที่ถูกเขาทิ้งขว้างลงพื้นทันทีที่เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเดือดร้อน
กุมภีร์หนุ่มถึงกับขาหมดแรงยืนทรุดนั่งลงอย่างเจ็บปวดหัวใจ “ฮือๆขนมแสนน่ากินของข้า”
หัวใจรู้สึกอาลัยอาวรในข้าวเหนียวมะม่วง ขนมชั้น ขนมตาล ขนมเทียนและอีกสารพัดที่ยังไม่ทันลิ้มรสก็ถูกทิ้งร้างให้นอนนิ่งเปื้อนดินเสียแล้ว...ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้ ฮือๆ
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้างกระดูกหักหรือปล่าว?”
โคจรโบกไม้โบกมือตอบอย่างไม่นึกใส่ใจในน้ำเสียงห่วงใยที่ได้รับ เพราะถ้าเขาไม่เป็นส.เสือใส่เกือกม้าเข้ามาแส่เรื่องของชาวบ้านแบบนี้ ขนมของเขาคงไม่ได้นอนกลิ้งเล่นกับพื้นนั้นหรอก...ร่างกายไม่บาดเจ็บแต่ใจสิเจ็บปวดยิ่งกว่า...ขนมของข้า ฮึกๆกระซิกๆ
“ไอ้เวรมึงโบกมือตอบกูแบบนี้กูจะรู้กับมึงรึว่ะ โดนฟาดเสียเต็มแรงแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาทำไงว่ะ! เงยหน้ามาตอบกูเดี๋ยวนี้!”
โคจรสะดุ้งอย่างตกใจที่จู่ๆก็โดนด่าก่อนจะยอมเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแบบเหยเกนิดๆส่งไปให้คนด่า...
'อุวะ!เจ้าเด็กน้อยนี่เป็นใครกันวะกล้าตะโกนด่ามาใส่เขาแต่ว่าปกติข้าไม่เคยกลัวใครนอกจากท่านพ่อ...ทำไม?แค่ได้ยินเจ้าเด็กนี่ตะโกนด่าถึงได้รู้สึกหงอขึ้นมาเสียได้แปลกจริงๆ...'
ทว่าความรู้สึกพวกนั้นถูกกระชากปลิวหายไปไหนแล้วไม่รู้เพียงแค่ลุกขึ้นมายืนสบสายตากับอีกฝ่าย
'เมื่อตะกี้มองไกลๆเห็นเป็นแค่เด็กน้อยอายุแค่12 - 13 ขวบปี ตัวดูผอมดำเก้งก้าง ไม่นึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะมีหน้าตาดูดีไม่หยอก ใบหน้าคมสัน ริมฝีปากบางเชกเช่นผู้ชายทั่วไป หากแค่นึกจิตนาการว่าเวลายิ้มคงน่าดูเอ็นดูไม่น้อย น่ากัด น่าฟัดจริงๆ...เฮ้ย! ข้ากำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ยเจ้าเด็กน้อยนี่อายุห่างจากเราตั้งเกือบเจ็ดสิบปีเชียวนะถ้านับตามอายุแล้วต้องเรียกว่าหลานเลยนะ พอกันที ไม่คิด ไม่คิด.....'
“เอ่อ ขอโทษข้าไม่ตั้งใจจะกวนอารมณ์ของเจ้าเพียงแต่ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ”
คนถูกขอโทษหาใส่ใจในคำขอโทษเมื่อกี้นี้ไม่ เพราะสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กหนุ่มในตอนนี้คือการใช้สองมือของตัวเองสำรวจตรวจคลำตามท่อนแขน ลำตัวด้านหน้า ด้านหลัง ท้ายทอยอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาร่องรอยบาดแผลอย่างเป็นห่วง ผิดด้านกับโคจรที่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับการจับลูบไปทั่วลำตัวแบบนี้
กุมภีร์หนุ่มเลียริมฝีปากตัวเองด้วยอาการหิวกระหายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวสมองพลันจินตนาการภาพต่างๆไม่มีหยุด...ถ้าอยู่กันสองต่อสองแล้วมีการลูบไล้แบบนี้นะเจ้าเด็กน้อยนี่คงได้นอนระทวยใต้ร่างของข้าไปนานแล้ว
“อืม ไม่มีตรงไหนผิดปกติและข้าขอขอบใจเจ้ามากที่ช่วยปกป้องข้า ”
โคจรสะดุ้งตกใจรีบเก็บอาการและอาการ ‘อยาก’ อย่างฉับไวแต่ดูจากท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วคงจะยังไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมื่อสักครู่นี้ของเขาร่างหนาจึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
'ดีที่ไม่ทันเห็นไม่งั้นกระต่ายน้อยได้ตกใจตื่นจระเข้กันพอดี...หึหึ'
“ไม่เป็นไรข้าเองก็แค่ทนเห็นคนถูกลอบกัดไม่ได้เท่านั้น”
โคจรส่งยิ้มหวานแกมเจ้าเล่ห์มาให้ ทำให้คนได้รับจำต้องฝืนยิ้มตอบแบบเสียไม่ได้
'โอ้โห!รอยยิ้มโดนใจเต็มๆยิ่งน่าฟัด...อะแฮ่ม!น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆเลย ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เอาตัวเข้าแลก ช่างเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสียยิ่งกระไร'
“งั้นข้าไปก่อนนะ”
“เช่นกัน”
โคจรในตอนนี้ยังไม่คิดจะเนี่ยวรั้งเหยื่อเอาไว้เพราะตัวเขาเองก็ได้เวลากลับบ้านแล้วเช่นกัน ขืนกลับช้าท่านพ่อจับได้มีหวังโดนด่ายาว แถมเจ้าหนูคนนี้คงมีธุระต้องรีบไปต่อ เอาไว้วันหวังค่อยมาสืบหาข้อมูลของเหยื่อตัวนี้ใหม่...ช่วยไม่ได้ใครใช้อยากให้ข้ามาถูกตา ต้องใจเจ้าแบบนี้ ของที่คิดว่าเป็นของข้ามันก็ต้องเป็นของข้าตลอดไป หึหึ
สองตาคมสวยจ้องมองกระต่ายน้อยที่ตนเองถูกใจเดินหายไปกับฝูงชนจนลับสายตา... แล้วเจอกันใหม่นะเจ้าเด็กน้อยของข้า
ริมฝีปากสวยยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี จนลืมหมดถึงความรู้สึกเสียดายในขนมกองนั้น หลังจากได้รอยยิ้มและคำขอบคุณของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นการทดแทน
หลังจากนั้นภาพขุนไกรในแต่ละวัย แต่ละช่วงเวลาเริ่มขยายเด่นชัดทีละภาพ จนแสงประกายเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้าได้ฉายออกมาในแววตา
“ขุนไกรนี้เจ้า......โอ๊ย!”
'จงอย่านึกว่าเอ็งจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของข้าไปได้ง่ายๆ'
เสียงปริศนาเอ่ยข่มขู่โคจรด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ไม่สบอารมณ์ที่เจ้ามนุษย์อ่อนแอผู้นี้มีอิทธิพลต่อหุ่นเชิดของตนมากมายได้ถึงขนาดนี้
...ฮึ่ม!ถ้าช้าอีกเพียงนิดเดียวแผนการของข้าจะต้องล้มเหลวเพราะเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยนี้แน่ๆ
'เอ็งไม่มีสิทธิมาสั่งข้า ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์'
'อย่าหยิ่งพยองไปนักเลยไอ้โคจร ถึงเอ็งจะดิ้นรนให้ตายยังไง เอ็งก็ต้องตกเป็นทาสบริวารของข้าอยู่ดี...จำเอาไว้!'
'ไม่มีทาง!'
'ฮ่าๆๆถ้าคิดว่าจะขวางข้าได้ก็ลองดู...โอม'
'อย่า!!!'
จิตสำนึกของโคจรพยายามต่อสู้ขัดขืนสุดกำลัง แต่อนิจจาที่เจ้าพ่อมดเฒ่าฝีมือร้ายกาจเกินต้านทานได้ หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมดลบันดาลให้ต้องชดใช้ด้วยเลือดและชีวิต ทำให้พญากุมภีร์ผู้เก่งกาจต้องกลับมาถูกควบคุมให้เป็นเครื่องมือสังหารอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่สามารถขัดขืนได้
แววตาสีเขียวสดใสอ่อนโยนย้อนกลับเป็นสีเลือด ความอำมหิตอยากฆ่า ทำลายล้างเริ่มแผ่ขยายมากขึ้นกว่าเดิมจนขุนไกรรู้สึกขนลุกชัน
“โคจร?...อ๊อก!”
โครม!!!
พญากุมภีร์เหวี่ยงร่างศัตรูไปกระทบผนังถ้ำอีกทางหนึ่งจนถ้ำสั่นสะเทือนฝุ่นร่วงกราว เมื่อร่างกายถูกทำร้ายกระทบซ้ำลงบนตำแหน่งเดิมเลยเป็นเหตุให้ขุนไกรบาดเจ็บหนักถึงกับทรุดลงอยู่กับที่ ส่วนกระดูกก็คล้ายถูกหักออกเป็นท่อนๆ ร่างกายรู้สึกปวดร้าวเสียจนแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมองเห็นทุกอย่างรางเลือนไม่ชัดเจน
อาจเพราะความกระหายเลือดในกายของโคจรยังไม่มอดดับลง ถึงจะเห็นศัตรูบาดเจ็บหนักแค่ไหนร่างสูงใหญ่ก็ไม่มีความปรานีลงเท้ากระทืบซ้ำไม่หยุดยั้ง จนขุนไกรกระอักเลือดออกมากองหนึ่งจึงยอมหยุดทำร้าย
“เฮ้อ!ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งกว่านี้ซะอีก”
น้ำเสียงสมเพชแกมผิดหวังจากการประเมิณศัตรูไว้สูงเกินไป ช่างน่าสะพรึงและกลัวเย็นชาจนบาดลึกจับขั้วหัวใจคนฟังยิ่งนัก…ข้าไม่เข้าใจอะไรเป็นสิ่งบงการให้เจ้าเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ โคจรคนเดิมที่ข้ารู้จักไม่ใช่ผู้เหี้ยมโหดที่ชอบฆ่าคนโดยไร้ซึ่งเหตุผลแบบนี้
พญากุมภีร์ยืนมองเจ้ามนุษย์ตรงหน้าด้วยสายตาเย้ยหยันแกมเหยียดหยาม เหมือนกำลังมองเจ้าหนอนตัวจ้อยที่น่าขยะแหยงจนอยากฆ่าทิ้งให้มันตายไปเสียไม่ให้อยู่รกหูรกตา
“มองเจ้าไปก็เท่านั้นรีบกำจัดให้พ้นๆไปเสียดีกว่า” .....เฮอะ! เห็นว่าเจ้ามีฝีมือจนสามารถสู้กับร่างจระเข้ของข้าได้สมน้ำสมเนื้อจนดูน่าสนุก แต่พอข้าเริ่มเอาจริงเข้าหน่อยก็อ่อนแอปวกเปียกสมกับเป็นพวกมนุษย์อ่อนแอ
ด้วยพละกำลังอันมหาศาสของเผ่าพันธุ์ โคจรใช้มือเพียงข้างเดียวบีบคอแล้วยกร่างทั้งร่างของชายหนุ่มลอยเหนือพื้นได้อย่างง่ายดายราวกับยกนุ่น
ใบหน้าขาวซีดเนื่องจากถูกบีบคอไว้แน่นจนขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ประกอบกับร่างกายถูกทำร้ายจนไร้สิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้ ขุนไกรจึงทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักคล้ายปลาถูกจับขึ้นบกก็ไม่ปาน
'ถ้าข้าออกเพิ่มแรงอีกเล็กน้อยเจ้ามนุษย์ผู้นี้ต้องตายคามือข้าแน่ๆ.....ทั้งๆที่ข้าควรรู้สึกสะใจที่ได้ฆ่า แต่ทำไม?หัวใจมันกลับรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้'
โคจรสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกหาสติจอมปลอมของตนเองกลับมา 'ไม่ ไม่ ข้าต้องรีบลงมือจัดการฆ่าเจ้านี่ให้เสร็จโดยไวตามคำสั่ง'
“เอาละเห็นแก่ฝีมือของเจ้า ข้าจะขอมอบความตายอันแสนทรมาณให้ เผื่อว่าเจ้าคงนึกอยากลองลิ้มรสชาติของความตายดูสักครั้ง...จงนึกขอบใจความปรานีนี้ด้วยล่ะกันนะเจ้ามนุษย์”
มือว่างอีกข้างของโคจรวางทาบลงบนอกซึ่งตรงตำแหน่งหัวใจของขุนไกร ฝ่ามืออุ่นร้อนสัมผัสได้ถึงเสียงใจเต้นดังเป็นจังหวะและความอบอุ่นจากร่างกายที่ถูกถ่ายทอดส่งต่อมาสู่มือข้างนี้ .....โอ้!เสียงเจ้าก้อนเนื้อนี่เต้นดังดีจริงๆ ข้าอยากรู้จริงว่าถ้ากระชากออกมา มันจะยังคงเต้นอยู่บนมือข้าหรือไม่
โคจรบรรจงใช้เล็บมือที่ยาว แข็งแรงผิดแผกจากเล็บมนุษย์ ค่อยๆกดผ่านผิวหนังเพื่อล้วงเข้าไปหยิบเจ้าก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ด้านในออกมาดูเล่น
“อ๊า!!!” ความเจ็บปวดที่ได้ปลุกสัญชาติญาณให้ขุนไกรเริ่มออกแรงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอด มือหนาจึงจับชายหนุ่มกระแทกเข้ากับผนังถ้ำซ้ำอีกครั้งเพื่อหยุดอาการขัดขืน
“จุ๊ จุ๊ อย่าใจร้อนไปข้าแค่อยากดูว่าหัวใจมดปลวกเช่นพวกเจ้าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร...เจ้าควรถือเป็นเกีรยตินะว่า ที่ข้าอุตส่าห์ยอมลดตัวให้มือแสนสูงส่งของข้าได้มีโอกาสเปื้อนเลือดมนุษย์โสโครกเช่นเจ้า”
ขุนไกรมองแววตากระหายเลือดของบุรุษผู้เคยอบอุ่นอ่อนโยนอย่างสิ้นหวัง ชีวิตของข้าไม่นึกเลยว่าจะต้องมาจบสิ้นลงเยี่ยงนี้ ไม่นึกเลยว่าความตายจะมาหาข้าเร็วถึงเพียงนี้แต่ถ้าหากเมื่อนึกย้อนไปในอดีตสิ่งที่ข้าเคยได้ทำเอาไว้กับโคจร มันก็คงจะโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน
เอาเถอะ…ถือเสียว่าเป็นการชดใช้สิ่งที่ข้าเคยทำไว้กับเจ้าในอดีต
แม้ใจจะยอมปลงไม่นึกหวาดกลัวต่อความตาย แต่ลึกลงไปแล้วหัวใจดวงนี้ยังคงมีห่วงในลูกน้อย...เจ้ายังเล็กเกินไปที่จะอยู่โดยลำพัง ผู้ใดกันเล่าที่จะคอยอุ้มชูเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่แทนพ่อ.....พ่อขอโทษ
“ฮ่าๆ ดี!ฆ่ามันให้ตายเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เลือดสีแดงสดที่ค่อยๆไหลจากหัวใจเจ้ามนุษย์ผ่านมือแกร่งของพญากุมภีร์ มันช่างเป็นภาพที่ถูกใจเจ้าพ่อมดใจโหดยิ่งนัก...หึหึ...อีกแค่นิดเดียว...ถ้าหากไอ้มนุษย์นั่นตายและพอไอ้โคจรมันคืนสติกลับมาแล้วพบว่าคนที่มันรักตายด้วยน้ำมือของมันเอง มันจะรู้สึกเจ็บช้ำทรมาณแค่ไหนข้าอยากรู้จริงๆ...
‘ดี! มันจะได้สาสมกับสิ่งที่พวกมึงเคยทำไว้กับ...เฮ้ย!?’
รอยยิ้มน่ารังเกียจหยุดนิ่งค้างเป็นหินเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดกลับตาลปัด ทั้งๆที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ “นี่มันอะไรกัน!?เป็นไปไม่ได้!”
คำกล่าวที่ว่าเทวดาย่อมคุ้มครองคนดีนั้นยังมีอยู่จริงเสมอ เพราะตระกรุดที่แขวนอยู่กับคอของขุนไกรเมื่อได้กระทบถูกมือโคจร ของวิเศษจึงได้เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชของมันออกมาให้ประจักษ์แก่สายตา
“อ๊ากกก!!!”
โคจรซวนเซทรงตัวไม่อยู่ล้มกลิ้งนอนลงกับพื้นดินเรี่ยวแรงหดหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ...จิตใจร้อนรุ่มเหมือนตกอยู่ในท่ามกลางกองไฟ...ความคิดแบ่งแยกสับสนยุ่งเหยิงตีกันไปมาปวดหัวจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง
ด้านขุนไกรเองเมื่อเท้ารอดพ้นจากประตูมรณะ สิ่งเดียวที่พอทำได้คือนอนมองร่างสูงทุกข์ทรมาณนอนเกลือกกลิ้งทุรนทุราย โดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขยับเขยื้อนกายไปช่วยเหลือ
อาการของโคจรนั้นน่าเป็นห่วงมาก ชายหนุ่มใช้สองมือหนาบีบศีรษะตัวเองแน่น ส่วนร่างกายก็พลิกย้ายเกลือกกลิ้งไปมา ปากพูดพึมพำวกไปวนมาอยู่ซ้ำๆคล้ายคนบ้า
“ฮึก...คะ...โคจร...ฮึก...ฮึก...ใครก็ได้...ช่วย...เขา...ฮึก...ที”
เสียงพร่ำวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวังฟังดูเวทนาน่าสงสารจับใจ แต่สถานที่ ณ ตรงนี้มันคือใต้น้ำแล้วจะมีผู้ใดอาจหาญดำน้ำฝ่าดงจระเข้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขากันได้เล่า
น้ำตาของขุนไกรไหลอาบสองแก้มเป็นทางยาว หัวใจรู้สึกเจ็บใจที่ทำได้เพียงนอนมองดูอาการของคนตรงหน้า...ตัวข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก ที่ทำได้แค่มองดูเจ้าทุรนทุราย
'อย่าร้องไปเลยไอ้ขุน...เอ็งยังพอมีหนทางช่วยเหลือเจ้าจระเข้นั่นอยู่'
“หลวงตา!?”
ประหนึ่งแสงจันทร์ทราฉายแสงส่องสว่างให้เห็นเส้นทางเดินในคืนมืดมิด ถึงจะได้ยินแค่เพียงเสียงในหัวแต่ขุนไกรนั้นมั่นใจว่าอาจารย์จะต้องมีทางแก้ไขเรื่องเลวร้ายนี้ได้อย่างแน่นอน
'ข้ารู้ว่าเอ็งอยากพูดอะไร...จงฟังให้ดีตระกรุดที่ข้าให้ เอ็งจงนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์'
“ตระกรุด?” ขุนไกรก้มมองตระกรุดที่คออยู่สักครู่ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อรู้คำตอบจากการบอกใบ้ของอาจารย์
“ขอบพระคุณขอรับหลวงตา”
ขุนไกรกัดฟันทนฝืนอาการบาดเจ็บตามร่างกายขยับเข้าไปใกล้โคจร เมื่อเดินไม่ได้คนเจ็บยอมใช้แขนคลานแทนเดินเท้า ถึงแม้จะทุลักทุเลและเหนื่อยแค่ไหนขุนไกรก็ยอมสู้เพื่อคนที่รัก
“รอก่อนนะโคจร”
ทว่าสิ่งที่ยากลำบากกว่าคลานก็คือการสวมใส่ตระกรุดให้กับโคจร เพราะยิ่งขุนไกรพยายามเอาตระกรุดมาโดนตัวร่างสูงก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนจนต้องสะบัดตัวหนีห่าง
“อยู่นิ่งๆสิโคจร...แฮ่กๆ แล้วแบบนี้ข้าจะสวมตระกรุดให้เจ้าได้เช่นไร...ห๊ะ!ไอ้จิ้งเหลนน้ำ”
ร่างกายของโคจรชะงักนิ่งเล็กน้อยเมื่อถูกด่าแต่ก็กลับมากระสับกระส่ายอีกครั้งเช่นเดิม ทำให้ขุนไกรต้องสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วค่อยเริ่มออกแรงโรมรันกับจิ้งเหลนน้ำโดนอาคมอีกรอบ แต่ไหนเลยคนเจ็บจะมีแรงมากพอสู้คนแข็งแรงกว่าได้ถึงจะสติไม่ค่อยมีก็ทีเถอะ
คงเป็นเพราะเรี่ยวแรงเริ่มหดหายหรือหัวใสก็ไม่รู้ ขุนไกรจัดการแก้ไขปัญหาใหญ่ด้วยการนำสายห้อยตระกรุดมาผูกไว้ที่ข้อมือหนาคล้ายผูกสายสินธ์แทนการสวมคล้องคอ...ซึ่งเขาหวังว่ามันคงจะแทนกันได้นะ
“แฮ่กๆ แรงเยอะดีจริงๆไม่จับตระกรุดยัดเข้าปากก็บุญเท่าไรแล้วไอ้จิ้งเหลนน้ำ”
ทันทีที่ขุนไกรผูกตระกรุดใส่ข้อมือเสร็จ จู่ๆร่างสูงใหญ่เริ่มมีอาการชักกระตุกดิ้นทุรนทุรายหนักกว่าเดิมเหมือนถูกจับโยนลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเดือดจัด ยิ่งเมื่อตระกรุดส่องแสงเรืองรองมากเท่าไรโคจรก็เกิดอาการยิ่งดิ้นพล่านมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากตระกรุดกำลังต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างของอีกฝ่าย
“อดทนหน่อยนะโคจร” ขุนไกรกุมหมาหนาไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ อาจทรมาณมากสักหน่อยแต่นี้ก็เป็นเพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัยได้.....เจ้าต้องพยายามอย่ายอมแพ้นะ
******100% แล้วจ้า~ทีนี้ ^^ แหะๆ ********
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นทุกเม้นมากเลยนะค่ะ...นึกว่าจะไม่มีคนตามอ่านซะแล้ว หุหุ ^^ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะค่ะ
ปล.อ่านแล้วสับสนไปบ้างอย่าว่ากันนะรีบแต่งนะเนี่ย คุคุคุ
ความคิดเห็น