ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #12 : ไกรทอง ตอนที่ 8 (แก้ไข)

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 58


    เรื่องราวในวันนี้จะเป็นเหตุการณ์นองเลือด  ที่ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านดงเศรษฐีจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต  เมื่อจู่ๆก็มีจระเข้ร่างขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ  มันอาละวาดเที่ยวไล่ฆ่าผู้คนที่อยู่ทั้งในน้ำและริ่มฝั่งจนสายน้ำแดงฉานไปด้วยเลือด

     

    ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเนื่องจากอีกฝ่ายคือจระเข้ร่างขนาดใหญ่ยักษ์  เมื่อลองคาดคะเนนับจากหัวจรดหางแล้วเจ้าจระเข้ตัวนี้มีความยาวประมาณ20วาได้   นับว่าเป็นสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่สุดเท่าทีพวกเขาเคยพบเจอ ...เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นอะไรที่น่ากลัวขนาดนี้เลย

     

    มันมาจากไหนไม่มีผู้ใดรู้  แต่ที่รู้คือตอนที่มีศพชาวบ้านนอนตายเกลื่อนกลาด  ทั้งบนริมฝั่งของแม่น้ำและในน้ำ  จนแทบมองไม่เห็นสีเดิมของสายน้ำ

     

    เจ้าจระเข้ยักษ์เที่ยวฟาดหางทำลายเรือแพรอบๆบริเวณล่มไปหลายลำ  และการเหวี่ยงหางแต่ละครั้งราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ไม่ปาน  จนแผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงมาก   ชาวบ้านบางคนทรงตัวไม่อยู่พลัดเผลอตกลงไปในแม่น้ำก็โดนมันฆ่าตาย   ท่ามกลางเสียงโหยหวนกรีดร้องของผู้คนบนฝั่ง

     

    นี่มันเกิดอาเพศอะไรกัน  เหตุฉไนถึงได้มีเจ้าสัตว์ร้ายมาอาละวาดฆ่าคนตายแบบนี้....แล้วยิ่งหลวงตาคงกับสองเศรษฐีก็ไม่อยู่ที่หมู่บ้านเสียด้วย  พวกเขาจะทำเช่นใดกันดีกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้

     

    เสียงกรีดร้องดังระงมจนแทบกลบเสียงน้ำแตกกระจายจากการทำลายล้างของจระเข้ยักษ์   ทำให้ชาวบ้านหลายคนถึงกับสติแตก  วิ่งพล่านกันไปมาเหมือนกับมดที่ถูกโจมตี

     

    ขอให้เทวดา  สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง  ขอให้คนดีมีวิชามาช่วยเหลือให้หมู่บ้านเรา  รอดพ้นจากเภทภัยในครั้งนี้ด้วยเถิด

     

    บางคนที่สติดีกว่าหน่อย  รีบต้อนให้ชาวบ้านที่เหลือรอดให้ออกห่างจากริมแม่น้ำให้ไกลที่สุด  ด้วยกลัวว่ามันจะหันมาเล่นงานทุกคนที่อยู่บนฝั่งแทน

     

    ชายฉกรรณ์หลายคนต่างพากันช่วยคนแก่   เด็กน้อย  และเหล่าสตรีในหมู่บ้านอพยพถอยร่นไปอยู่ในเขตวัด  ที่ตั้งอยู่ไกลจากที่นี่  ด้วยเชื่อว่าจะปลอดภัยมากกว่าที่ทุกคนจะยืนนิ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ  รอคอยให้เจ้าสัตว์ร้ายหันมาฆ่าเอา

     

    นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้   ซึ่งหากจะให้ไปสู้รบปรบมือกับ เจ้านั่นเห็นทีจะทำไม่ได้  เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีวิชาปราบจระเข้  ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไปสู้ด้วยก็มีแต่จะตายเปล่า

     

    ในระหว่างนั้นเองขุนไกรก็ได้ปรากฏตัวมาในสภาพที่พร้อมออกรบกับเจ้าจระเข้ร้ายตัวนี้  ท่ามกลางความสิ้นหวังและเสียงร้องไห้ระงมของเหล่าชาวบ้าน 

     

    เพราะเสียงแผ่นดินสั่นสะเทือน  สายน้ำสั่นกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น  ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปีทำให้เขารู้ว่า  มีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่กำลังออกลายอาละวาดที่หมู่บ้านที่เขาจากมาอยู่แน่ๆ   ขุนไกรจึงรีบเบนหัวเรือกลับมาเทียบฝั่งใกล้ๆ

     

    แล้วรีบหยิบอาวุธคู่กายติดตัวมา   เพื่อมาปกป้องทุกคนให้พ้นจากอันตราย  ตามหน้าที่ของหมอปราบจระเข้  แต่เขาก็มาช้าเกินไป  เพราะเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนั้นได้หยุดฆ่าผู้คน  ดำน้ำหนีหายไปได้สักพักหนึ่งแล้วก่อนที่เขาจะมาถึง

     

    จากที่ลองสอบถามลักษณะเจ้าจระเข้และเหตุการณ์จากชาวบ้านดูแล้ว   ถ้าเขาเดาไม่ผิดมันต้องไม่ใช่แค่จระเข้ยักษ์ธรรมดา  แต่คงจะเป็นจระเข้ระดับกุมภีร์เป็นแน่.....แสดงว่ามันยังคงซ่อนตัวอยู่แถวนั้นยังไม่ได้หนีหายไปไหน เพื่อรอให้พวกชาวบ้านตายใจ  เมื่อเผลอไปใกล้ริมฝั่งมันก็จะกลับมาอาละวาดอีกครั้ง

     

    แม้ใจจะไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  แต่เมื่อจำเป็นต้องเลือก  เขาก็ขอเลือกช่วยชีวิตผู้คน...

     

    ...หมอจระเข้หนุ่มหยิบมีดหมออาวุธประจำกายขึ้นมาพนมจรดเหนือศรีษะ  เอ่ยคาถาบูชาครูบาอาจารย์และพระพุทธก่อนจะเหน็บเอาไว้ข้างตัว

     

    พ่อไกรทองผวากอดเอวพ่อไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ไป...

     

    ...ขุนไกรลูบหัวปลอบใจเจ้าตัวเล็ก  จำใจดึงมือเล็กออกจากเอว  “อย่าห่วงเดี๋ยวพ่อกลับมา

     

    ไกรทองยืนมองแผ่นหลังแสนอบอุ่นของพ่อด้วยหัวใจหวั่นไหว  แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อไปปราบจระเข้   เหตุฉันใดเขากลับไม่อยากให้พ่อไปเลย...ใจมันหวิวๆแปลกๆ  กลัวว่าพ่อจะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต

     

    ขุนไกรแจวแพลำน้อยไปกลางแม่น้ำอย่างช้าๆตรงบริเวณที่เคยมีเจ้าจระเข้ยักษ์อาละวาดอยู่   เขาหยุดแพนิ่งอยู่กับที่สองสายตากวาดมองดูทั่วเวิ้งน้ำ  หูซ้ายขวาก็พยายามเหงี่ยฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ .....แม้สายน้ำจะดูนิ่งสงบ  แต่ข้าเชื่อว่าเอ็งจะต้องยังอยู่แถวนี้

     

    เสียงหัวใจเต้นระรัวดังกึกก้อง ความสงบนิ่งเช่นนี้มันช่างน่ากลัวเหลือคณานับ ไม่ต่างจากผู้คนบนฝั่งที่ต่างลุ้นระทึกเฝ้ารอดูเหตุการณ์ตรงหน้าว่าจักเคลื่อนไหวไปในทางทิศไหน .....มนุษย์จะถูกจระเข้ายักษ์ฆ่าตายหรือว่าเป็นเจ้าสัตว์ร้ายกันแน่ที่จะถูกหมอจระเข้ปราบลงได้   

     

    ทางนั้น!!!”

     

    เสียงร้องเตือนดังลั่นจากบนฝั่งทำให้ขุนไกรรีบหันตัวไปตามเสียงทันที  ทว่ากลับช้าเกินไป  เจ้าจระเข้ยักษ์อาศัยจุดยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบบุกเข้ามาจวนเกือบประชิดตัวเขา  แต่เมื่อมองเห็นลักษณะศัตรูชัดเจน ใจของเขาบอกได้ทันทีว่านั่นคือ...

     

    โคจร!?

     

    เสียงเรียกนามเปรียบเสมือนเสียงมนต์คาถา  พญากุมภีร์ชะงักค้างหยุดอยู่กับที่ยังไม่เข้ามาทำร้าย  แต่ชั่วแว่บเดียวเท่านั้นก็กลับมาอาละวาดอีกครั้งเพราะเสียงคำสั่งในหัว...ที่บงการให้เขาลงมือสังหารเจ้ามนุษย์ผู้นี้ให้ตาย  อย่าให้มันมีชีวิตรอดกลับไปได้เด็ดขาด

     

    หางยักษ์ออกแรงฟาดสุดกำลังหวังให้อีกฝ่ายตาย   ขุนไกรอ่านทางออกจึงอาศัยความคล่องแคล่วหลบพ้นเฉียดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด   หางจึงฟาดได้เพียงแค่น้ำตูมใหญ่จนกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดย่อมๆ

     

    โคจรลองฟาดหางใส่อีกครั้ง  ขุนไกรจึงแสดงฝีมือและความชำนาญหลบหลีกการโจมตีได้อย่างว่องไว  พญากุมภีร์จึงเปลี่ยนแผนมาใช้ปากอันใหญ่โตตระครุบกัดแทน  หมอจระเข้เห็นดังนั้นเลยจำเป็นต้องชักมีดหมอออกมาป้องกันตัว  แต่ทว่าหนังของจระเข้นั้นหนามากประกอบกับอีกฝ่ายเป็นถึงระดับพญากุมภีร์ด้วยแล้ว  มีดหมอธรรมดาเล่มนี้ย่อมไม่อาจระคายผิวหนังนี้ได้   นอกจากจะใช้ได้แค่ป้องกันตัวเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น  หรือต่อให้ฆ่าได้ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะทำ  เพราะอีกฝ่ายนั้นคือผู้ที่เขาไม่อาจตัดใจสังหารลงได้

     

    เมื่อมาเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจฝีมือสมน้ำสมเนื้อกันแบบนี้  พญาภุมภีร์จึงต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆออกมาสู้จนแทบจะหมดสิ้นอยู่แล้ว ...เจ้ามนุษย์นี่ไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ  นับว่ามีวิชาไม่เลว  ฝีมือคล่องตัวขนาดอยู่บนแพก็ยังสามารถสู้กับข้าได้อย่างสูสี   ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็เยี่ยมยอด  หลบหลีกการโจมตีของข้าได้ทุกครั้ง  แล้วถ้าลองเป็นเช่นนี้ล่ะเอ็งจะยังรับมือข้าได้อยู่อีกหรือไม่

     

    ทันใดนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ก็นำพาร่างดำกายหายลงไปในน้ำ  ซึ่งชายหนุ่มไม่สามารถเดาได้เลยว่ามันคิดจะทำสิ่งใดอีก...ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ยอมแพ้แล้วหนีไป   แต่เจ้ากำลังถอยไปตั้งหลักเพื่อบุกอีกครั้ง  และคราวนี้ถ้าข้าพลาดมันก็หมายถึงความตาย

     

    ขุนไกรเริ่มกำด้ามมีดกระชับมือเตรียมพร้อม สรรพสิ่งนิ่งเงียบสนิทแม้กระทั่งสายลมและสายน้ำ ชาวบ้านบนฝั่งทุกคนยืนมองนิ่งรอลุ้นสถานการณ์เหมือนหิน หัวใจเต้นดังก้องจนหูอื้อ

     

    โคจรคงไม่คิดตื้นเขินโจมตีเข้ามาตรงๆจากทางด้านหน้าเพราะมันเสี่ยงเกินไป...ทางอื่นล่ะ?

     

    ด้านซ้าย...ไร้วี่แวว

     

    ด้านขวา...ว่างปล่าว

     

    แย่ล่ะสิ...ด้านหลัง!

     

    เสียงน้ำแตกกระจายดังสนั่นพร้อมกับร่างจระเข้ยักษ์ที่ขึ้นมาจู่โจมจากด้านหลังดังเขาคาดคิด  ถึงแม้ขุนไกรจะไหวตัวรีบหมุนกายกลับมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...ฟันแหลมคมอันใหญ่ยักษ์อยู่ตัวเขาแค่เอื้อม 

     

    ...โคจร!!!

     

    'ขุนไกร?'

     

    เสียงร้องก้องในใจของคนรักดังเข้าไปถึงในจิตใจที่ถูกครอบงำ  จากดวงตาที่เป็นสีแดงเลือดก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีเขียวอ่อนเช่นเดิมพร้อมกับสติที่ถูกดึงกลับคืนมาโอ้...ดวงใจของข้า นี่ข้ากำลังจะกระทำสิ่งใด เขาจะต้องไม่ตายเพราะข้า

     

    'ฆ่ามันซะ'

     

    เสียงคำสั่งแทรกเข้ามาในหัวดวงตาสีเขียวถูกย้อมด้วยสีแดงอีกครั้งพร้อมจะโจมตีทว่า...

     

    'ข้าทำไม่ได้'  จิตใต้สำนึกของเขาเริ่มปฎิเสธคำสั่งนี้  เมื่อเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะฆ่าคนที่เขารักมาก

     

    'เอ็งต้องทำ

     

    'ไม่ข้าไม่ทำ'  จิตใจของโคจรพยายามต่อสู้อย่างหนัก...จะให้ฆ่าเขา ข้าทำไม่ได้

     

    'ข้าสั่งเอ็งต้องทำ!ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!'

     

    'ไม่!!!'

     

    พญากุมภีร์แผดเสียงคำรามแผดร้องดังลั่นอย่างเจ็บปวดสะท้อนดังไปทั่วบริเวณก่อนจะดำน้ำหนีหายไป  ความผิดปกติของดวงตาจากสีแดงสลับกับสีเขียวไปมา  ทำให้ขุนไกรที่อยู่ใกล้ที่สุดมองเห็นถึงสิ่งนี้

     

    เขาเริ่มฉุกใจ...นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่บอกเขาได้ว่าโคจรคงจะโดนสิ่งใดหรือใครบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่  เพราะไม่มีทางที่จระเข้ถือศีลอย่างหมอนี่จะออกมาอาละวาดสังหารมนุษย์เป็นว่าเล่นแบบนี้...ข้าต้องลงไปดูให้เห็นกับตาว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

     

    ขุนไกรไม่รีบรอช้ารีบใช้เทียนไขระเบิดน้ำ  ดำดิ่งลงไปใต้น้ำตามพญากุมภีร์ไปจนพบถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง

     

    หมอจระเข้ก้าวย่างเข้าไปภายในอย่างช้าๆระมัดระวัง   ภายนอกนั้นเหมือนเป็นปากถ้ำเล็กๆ  แต่พอเข้ามาแล้วข้างในนี้กลับกว้างมากคล้ายกับเป็นท้องพระโรงในพระราชวังยังไงยังงั้น  สายตาของเขาคอยเหลือบมองรอบๆด้านในถ้ำด้วยความระแวดระวัง ทุกอย่างดูโล่งไม่พบสิ่งผิดปกติ

     

    จนกระทั่งหางตาสะดุดเห็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งยืนผิงผนังถ้ำรอคอยผู้มาเยือน  รูปร่างของอีกฝ่ายนั้นถ้าเทียบกันกับเขาแล้วนับว่าดูสูงอย่างเห็นได้ชัด   ช่างงามสง่าปานรูปสลักของเทวดาบนฟ้า  ผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนสีของเปลือกไม้  แพขนตายาวส่งเสริมให้ดวงตาสีเขียวดูงดงามรับกับสันจมูกสูงโด่งเป็นสัน รัศมีช่างดูทรงอำนาจข่มผู้อื่นให้ดูต่ำต้อยเมื่อได้อยู่ตรงหน้าของบุรุษผู้นี้   เจ้าช่างไม่เปลี่ยนจากในอดีตเลยสักนิด

     

    โคจร”  เสียงเอ่ยนั้นอ่อนล้าจนเหมือนจะตัดเพ้อในการกระทำที่น่ากลัว

     

    อาจเพราะข้าสู้อยู่ในร่างจระเข้เลยไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าในร่างมนุษย์นี่แหละ!

     

    ทำไม ขุนไกรถามอย่างไม่เข้าใจด้วยนิสัยของโคจรไม่น่ากระทำตัวเยี่ยงนี้ได้...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     

    ไม่มีเหตุผล

     

    แค่นั้นนะเหรอ?”

     

    โคจรแหงนคอหัวเราะสะใจในคำถามแสนโง่เง่า

     

    ใช่!เลิกพูดพล่ามเสียทีเตรียมตัวตายได้แล้ว!

     

    โคจรเข้าโจมตีรวดเร็วดุจสายฟ้าเล่นเอาขุนไกรตั้งรับไม่ทัน  ร่างสูงต่อยเข้าที่ใบหน้า ท้อง เตะ ศอก เข่า สารพัดเนื่องจากในยามนี้โคจรอยู่ในร่างของมนุษย์ดังนั้นพละกำลังย่อมมีมากกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่านัก ยากแก่การโจมตีกลับเพราะลำพังแค่หลบหลีกก็ต้องใช้กำลังไปไม่น้อย

     

    โคจรจับร่างขุนไกรเหวี่ยงกระเด็นไปปะทะผนังถ้ำเสียงดังสนั่น  จนร่างกายเจ็บหนักลุกไม่ขึ้นกระดูกราวจะแหลกเป็นผุยผง  ชายหนุ่มจึงได้แต่นอนนิ่งๆอย่างหมดสภาพไม่สามารถมีแรงลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก

     

    ร่างสูงย่างสุขุมเข้ามาใกล้ๆ เป็นอะไรไปความเก่งกาจที่อยู่ข้างบนมันหายไปไหนหมด...นึกว่าจะได้สู้กับคนมีฝีมือสุดท้ายก็...แค่พวกมดปลวกอ่อนแอ

     

    พญากุมภีร์มองศัตรูด้วยแววตาสมเพชและผิดหวังที่อุตส่าห์ลดตัวลงมาให้เกียรติ ช่างเถอะฆ่าเจ้าให้มันจบๆไปเสียดีกว่า

     

    โคจรบีบรอบคอหนาของอีกฝ่ายด้วยมือเพียงข้างเดียว  แล้วค่อยๆเพิ่มแรงกดขึ้นเรื่อยๆจนคนในอุ้งมือเริ่มหายใจไม่ออกดิ้นขลุกขลัก 

     

    อ๊อก...หะ...หายใจ...มะ...อะ”  ขุนไกรพยายามออกแรงดิ้นหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

     

    ตาของโคจรเริ่มแดงเข้มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับลมหายใจขุนไกรเริ่มขาดห้วงตาลง  ดวงตาของเขารู้สึกพร่าเลือนจนเริ่มมองอะไรไม่เห็น...ใช่โคจรที่ข้ารู้จักแน่หรือ? เหตุฉไนบุรุษผู้อ่อนโยนดุจสายน้ำเย็นฉ่ำถึงได้กลายเป็นผู้เหี้ยมโหดเช่นนี้?

     

    ระหว่างที่ลมหายใจของชายหนุ่มใกล้จะหมดลง  จู่ๆก็มีหยดน้ำตาหนึ่งหยดกลิ้งไหลลงมากระทบบนมือใหญ่  คล้ายกับดั่งก้อนหินที่กระทบลงบนผืนน้ำนิ่ง  จนทำให้เกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น  เชกเช่นเดียวกับหัวใจของโคจรที่เกิดการสั่นไหวกับน้ำตาหยดนี้

     

    ...เพียงแค่น้ำตาหยดเล็กๆหยดเดียวเท่านั้นเอง

     

    'ไม่อย่าฆ่าขุนไกร'

     

    'เอ็งต้องฆ่ามัน'

     

    'หยุดเดี๋ยวนี้'

     

    'เอ็งต้องฟังข้า...ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!!!'

     

    อ๊าก!!! โคจรบีบศีรษะที่ปวดหัวจวนเจียนจะระเบิดเพราะความคิดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

     

    แค่กๆๆ

     

    เมื่อถูกปล่อยคอออกขุนไกรรีบเร่งสูดเอาอากาศเข้าไปหายใจอย่างตระกุมตระกราม  ก่อนเหลือบมองโคจรที่นั่งกุมขมับทุรนทุราย

     

    ขุนไกรข่มอาการบาดเจ็บขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงด้วยความห่วงใย

     

    อย่าเข้ามาใกล้ข้า!...โอ๊ย!โคจรผลักอีกฝ่ายกระเด็นไปอีกทาง  แต่ขุนไกรกลับไม่ยอมแพ้เคลื่อนกายเข้าไปหาร่างสูงอีกครั้ง

     

    โคจร

     

    บอกว่าอย่าเข้ามา!”  พญากุมภีร์ใช้สองมือบีบคอขุนไกรเหมือนคนเสียสติ  สีดวงตาสลับแดงเขียวไปมาไม่ยอมหยุด

     

    ขุนไกรเอื้อมมือลูบใบหน้าคมแผ่วเบา...เจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...เพราะข้าใช่ไหมเจ้าถึงต้องกลายมาเป็นแบบนี้...

     

    โคจรข้าเอง  ข้าคือขุนไกร... 

     

    ชายหนุ่มพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน  ปลอบประโลมอีกฝ่ายให้หยุดบ้าคลั่ง  “...คนรักของเจ้า

     

     “ขุนไกร

     

    ดวงตาของโคจรเริ่มส่องแสงเป็นประกาย  ภาพของใครคนหนึ่งที่มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มคอยส่งมาให้เขาเป็นประจำริมฝีปากบางๆนั่น  ยามเมื่อเอ่ยนาม 'โคจร' ช่างน่าฟังและไพเราะจับใจที่สุดในความคิดของเขา กลิ่นกายหอมชื่นใจเขายามเมื่อได้สูดดม   ยิ่งเมื่อเขาได้กกกอดก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นไปทั้งหัวใจ  

     

    ...เจ้าเป็นใครกันแน่คลับคลายคลับคลาเหมือนจะนึกออกแต่ทุกอย่างกลับติดอยู่แค่ที่ริมฝีปาก

     

    ดวงตาสีเลือดเริ่มจางหายย้อนกลับกลายมาเป็นสีเขียว  แม้แววตาจะยังดูมืดหม่นอยู่ก็ตามที  สองมือที่เคยกำรอบคอของชายหนุ่มถูกย้ายมาลูบคลำสองแก้มอย่างคุ้นสัมผัส

     

    ขุน............ไกร

     

    ขุนไกรรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อของเขาออกแบบนี้  ร่างสูงสันทัดจึงยอมนั่งอยู่นิ่งๆมองร่างสูงด้วยสายตากระตือรือล้น  เมื่อคิดว่าโคจรอาจจะมีโอกาสจำเขาได้   จนสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของอะไรบางอย่างก็เป็นได้

     

    ขุนไกร.....ขุนไกร.....ขุนไกร..........

     

    เสียงเรียกชื่อซ้ำๆวนกลับไปกลับมาคล้ายกับเด็กตัวน้อยที่เริ่มหัดพูด   สองคิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม  ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ....ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังใช้ความคิดหนักขนาดไหน

     

    'นึกให้ออกโคจรเจ้าจงอย่าลืมคนที่เจ้ายินยอมมอบดวงใจทั้งดวงเช่นนี้' เสียงเรียกภายในจิตวิญญาณรีบเร่งย้ำเตือนให้สมองทำงานหนักขึ้นระหว่างที่มนต์สะกดเริ่มคลายตัวลง...ซึ่งจะต้องแข่งกับเวลาขืนชักช้าไปมากกว่านี้ร่างกายนี้จะต้องกลายเป็นทาสรับใช้โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแน่ๆ

     

    โคจรหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิที่ถูกจับโยนทิ้งขว้างกระจัดกระจายกลับจับมาจัดวางให้เป็นระเบียบ  ค่อยๆนึกลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆในหัวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

     

    ภาพในอดีตภาพแล้วภาพเล่าในหัวต่างเริ่มทยอยผลัดกันหมุนเวียนผุดขึ้นมาทีละภาพ ทีละเหตุการณ์ ย้อนกลับไปยังความทรงจำแรกพบของเขาทั้งสอง

     

    อื้อหือ! ไม่นึกเลยว่าตลาดของเหล่ามนุษย์ด้านบนจะมีอะไรน่าสนุกขนาดนี้  วันหลังคงต้องแอบหนีท่านพ่อขึ้นมาเที่ยวเล่นบ่อยๆเสียแล้ว

     

    กุมภีร์หนุ่มแห่งคุ้งเหนือที่นึกครึ้มอกครึ้มใจกระโดดโลดเต้นหนีท้าวรำไพขึ้นมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ หลังจากเก็บตัวบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่นานหลายสิบปี  ซึ่งขณะนี้กำลังละทิ้งตัวตนที่แท้จริงชั่วคราวด้วยการยืนมองเหล่าของกินแต่ละอย่างจนน้ำลายสอ

     

    โอ๊ะ!ตรงนี้มีตะโก้ขายด้วย นี่ก็ลูกชุบหลากสี ตรงนั้นมีข้าวเหนียวสังขยาห่อใบตอง ตรงโน้นมีขนมตาลสีเหลืองนวลน่ากิน ทุกอย่างน่ากินหมดเลย

     

    โคจรกว้านซื้อเหล่าขนมหวานแสนโปรดจนเต็มสองมือด้วยอาการเริงร่า ก่อนจะสอดสายตาหาสถานที่เหมาะๆในการกวาดของกินพวกนี้ลงท้องให้เต็มคราบ

     

    แต่สายตาเจ้ากรรมดันตาดีเกินไปแทนที่จะพบที่เหมาะๆ...โคจรกลับมองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังโดนเด็กรุ่นเดียวกัน 2 - 3 คนเข้ารุมทำร้าย   ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าเจ้าสามคนนั้นกำลังโดนเด็กหนุ่มหนึ่งจัดการอยู่น่าจะถูกต้องกว่า

     

    ส่วนฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้ถือว่ายอดเยี่ยมน่าชื่นชม  ทั้งการปล่อยหมัด  ความว่องไวในการหลบหลีกจัดว่าเก่งใช้ได้  ทำให้กุมภีร์หนุ่มอดไม่ได้ที่จะผิวปากชมด้วยความถูกใจ

     

    'ทักษะด้านการต่อสู้ของเจ้าหนูคนนี้นับว่าไม่เลวเลย  แม้รูปร่างจะดูเก้งก้างไปบ้างก็ตาม'

     

    นอกจากจะไม่ยื่นมือเข้าไปห้ามปรามหรือช่วยเหลือแล้ว  โคจรยังหน้าหนาหยิบขนมในมือมายืนกินหน้าตาเฉยโดยที่สายตายังคงจับจ้องมองการทะเลาะวิวาทเอาแบบไม่คาดสายตา   ก็เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆนั่นแหละที่พายืนมองดูเหตุการณ์กันเป็นแถวไม่เห็นมีหมาสักตัวใจดีเข้าไปห้าม...

     

    เอ้ย!นั่นแหละๆเหวี่ยงหมัดสุดแรงแบบนั้นเลย ดี!...เอ้ย!ลูกถีบดอกนั้นเยี่ยมจริงๆ...เอ้ย!เข่าเข้าเป้าเน้นๆจุกลุกไม่ขึ้นแน่ๆ...เอ้ย!เอ้ย!เอ้ย!.....แรงอีก...เอ้ย!

     

    โคจรขยับโยกซ้ายโยกขวาเบาๆอย่างเมามันในอารมณ์ ปากนอกจากจะทำหน้าที่เคี้ยวขนมแล้วยังมีหน้าที่เอ่ยเชียร์เป็นระยะๆอาการเหมือนคนเชียร์มวยอยู่ข้างสนาม.....ดูแล้ว.....เอ่อ.....สนุกสนานในอารมณ์จริงนะพ่อโคจร

     

    โห่!น่าเสียดายไอ้เจ้าสามคนนั่นไม่น่าฝีมืออ่อนเลยยังไม่ทันหายสนุกดันนอนหมดแรงตายเสียแล้ว ตัวหนาและพวกมากกว่าอีกฝ่ายซะปล่าว...จิ๊!เสียอารมณ์!

     

    เมื่อการต่อสู้ยุติลงขนมในมือก็ยังเหลืออยู่ร่างสูงจึงทำการหาทำเลอีกรอบ  ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นถ้าโคจรดันไม่สอดไปเห็นหนึ่งในสามคนที่นอนตายเมื่อตะกี้ทำตัวเป็นศพคืนชีพขึ้นมาจะลอบกัดเด็กหนุ่มคนนั้น

     

    ระวัง!!! โคจรรีบเอาร่างกายหนาของตัวเองโอบกายปกป้องอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ

     

    พลั้ก!!!

     

    อึก...

     

    เสียงไม้หน้าสามกระทบกับแผ่นหลังดังก้องเข้าหูจนอื้อไปหมด  ถ้าให้บอกตามความรู้สึกของคนปกป้องแล้ว  ไม่ค่อยเจ็บหรอกแต่ถ้าร่างกายถูกฟาดด้วยไม้ขนาดท่อนขนาดนี้มันก็ต้องรู้สึกชาเป็นธรรมดา

     

    เด็กหนุ่มรีบสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา ไปจัดการเจ้าหมาลอบกัดนั่นให้ไปเข้าฝันกับยมบาลในนรกอีกครั้ง

     

    'เสร็จเรื่องซะที ริจะทำตัวเป็นวีรบุรุษมันก็ต้องลำบากแบบนี้แหละโทษใครเขาได้...ช่างเถอะไปหาที่กินขนมต่อดีกว่า.....ขนม?.....ขนม!?.....ขนมของข้าหายไปไหน?'

     

    โคจรรีบมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนก่อนจะมองไปเห็นกองหนึ่งกองแสนคุ้นตาบนพื้นดินจุดที่ตนเองเคยยืนเชียร์มวยอยู่   มันคือขนมที่ถูกเขาทิ้งขว้างลงพื้นทันทีที่เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเดือดร้อน

     

    กุมภีร์หนุ่มถึงกับขาหมดแรงยืนทรุดนั่งลงอย่างเจ็บปวดหัวใจ ฮือๆขนมแสนน่ากินของข้า

     

    หัวใจรู้สึกอาลัยอาวรในข้าวเหนียวมะม่วง ขนมชั้น ขนมตาล ขนมเทียนและอีกสารพัดที่ยังไม่ทันลิ้มรสก็ถูกทิ้งร้างให้นอนนิ่งเปื้อนดินเสียแล้ว...ช่างน่าเศร้าอะไรเช่นนี้ ฮือๆ

     

    เจ้าเป็นเช่นไรบ้างกระดูกหักหรือปล่าว?”

     

    โคจรโบกไม้โบกมือตอบอย่างไม่นึกใส่ใจในน้ำเสียงห่วงใยที่ได้รับ  เพราะถ้าเขาไม่เป็นส.เสือใส่เกือกม้าเข้ามาแส่เรื่องของชาวบ้านแบบนี้   ขนมของเขาคงไม่ได้นอนกลิ้งเล่นกับพื้นนั้นหรอก...ร่างกายไม่บาดเจ็บแต่ใจสิเจ็บปวดยิ่งกว่า...ขนมของข้า ฮึกๆกระซิกๆ

     

    ไอ้เวรมึงโบกมือตอบกูแบบนี้กูจะรู้กับมึงรึว่ะ  โดนฟาดเสียเต็มแรงแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาทำไงว่ะ!  เงยหน้ามาตอบกูเดี๋ยวนี้!

     

    โคจรสะดุ้งอย่างตกใจที่จู่ๆก็โดนด่าก่อนจะยอมเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแบบเหยเกนิดๆส่งไปให้คนด่า...

     

    'อุวะ!เจ้าเด็กน้อยนี่เป็นใครกันวะกล้าตะโกนด่ามาใส่เขาแต่ว่าปกติข้าไม่เคยกลัวใครนอกจากท่านพ่อ...ทำไม?แค่ได้ยินเจ้าเด็กนี่ตะโกนด่าถึงได้รู้สึกหงอขึ้นมาเสียได้แปลกจริงๆ...'

     

    ทว่าความรู้สึกพวกนั้นถูกกระชากปลิวหายไปไหนแล้วไม่รู้เพียงแค่ลุกขึ้นมายืนสบสายตากับอีกฝ่าย

     

    'เมื่อตะกี้มองไกลๆเห็นเป็นแค่เด็กน้อยอายุแค่12 - 13 ขวบปี ตัวดูผอมดำเก้งก้าง  ไม่นึกว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะมีหน้าตาดูดีไม่หยอก  ใบหน้าคมสัน  ริมฝีปากบางเชกเช่นผู้ชายทั่วไป  หากแค่นึกจิตนาการว่าเวลายิ้มคงน่าดูเอ็นดูไม่น้อย น่ากัด น่าฟัดจริงๆ...เฮ้ย! ข้ากำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ยเจ้าเด็กน้อยนี่อายุห่างจากเราตั้งเกือบเจ็ดสิบปีเชียวนะถ้านับตามอายุแล้วต้องเรียกว่าหลานเลยนะ พอกันที ไม่คิด ไม่คิด.....'

     

    เอ่อ ขอโทษข้าไม่ตั้งใจจะกวนอารมณ์ของเจ้าเพียงแต่ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ

     

    คนถูกขอโทษหาใส่ใจในคำขอโทษเมื่อกี้นี้ไม่  เพราะสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กหนุ่มในตอนนี้คือการใช้สองมือของตัวเองสำรวจตรวจคลำตามท่อนแขน  ลำตัวด้านหน้า  ด้านหลัง  ท้ายทอยอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาร่องรอยบาดแผลอย่างเป็นห่วง  ผิดด้านกับโคจรที่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับการจับลูบไปทั่วลำตัวแบบนี้

     

    กุมภีร์หนุ่มเลียริมฝีปากตัวเองด้วยอาการหิวกระหายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวสมองพลันจินตนาการภาพต่างๆไม่มีหยุด...ถ้าอยู่กันสองต่อสองแล้วมีการลูบไล้แบบนี้นะเจ้าเด็กน้อยนี่คงได้นอนระทวยใต้ร่างของข้าไปนานแล้ว

     

    อืม ไม่มีตรงไหนผิดปกติและข้าขอขอบใจเจ้ามากที่ช่วยปกป้องข้า

     

    โคจรสะดุ้งตกใจรีบเก็บอาการและอาการ อยาก อย่างฉับไวแต่ดูจากท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วคงจะยังไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมื่อสักครู่นี้ของเขาร่างหนาจึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    'ดีที่ไม่ทันเห็นไม่งั้นกระต่ายน้อยได้ตกใจตื่นจระเข้กันพอดี...หึหึ'

     

    ไม่เป็นไรข้าเองก็แค่ทนเห็นคนถูกลอบกัดไม่ได้เท่านั้น

     

    โคจรส่งยิ้มหวานแกมเจ้าเล่ห์มาให้ ทำให้คนได้รับจำต้องฝืนยิ้มตอบแบบเสียไม่ได้

     

    'โอ้โห!รอยยิ้มโดนใจเต็มๆยิ่งน่าฟัด...อะแฮ่ม!น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆเลย ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เอาตัวเข้าแลก ช่างเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสียยิ่งกระไร'

     

    งั้นข้าไปก่อนนะ

     

    เช่นกัน

     

    โคจรในตอนนี้ยังไม่คิดจะเนี่ยวรั้งเหยื่อเอาไว้เพราะตัวเขาเองก็ได้เวลากลับบ้านแล้วเช่นกัน  ขืนกลับช้าท่านพ่อจับได้มีหวังโดนด่ายาว  แถมเจ้าหนูคนนี้คงมีธุระต้องรีบไปต่อ   เอาไว้วันหวังค่อยมาสืบหาข้อมูลของเหยื่อตัวนี้ใหม่...ช่วยไม่ได้ใครใช้อยากให้ข้ามาถูกตา  ต้องใจเจ้าแบบนี้   ของที่คิดว่าเป็นของข้ามันก็ต้องเป็นของข้าตลอดไป หึหึ

     

    สองตาคมสวยจ้องมองกระต่ายน้อยที่ตนเองถูกใจเดินหายไปกับฝูงชนจนลับสายตา... แล้วเจอกันใหม่นะเจ้าเด็กน้อยของข้า

     

    ริมฝีปากสวยยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี  จนลืมหมดถึงความรู้สึกเสียดายในขนมกองนั้น  หลังจากได้รอยยิ้มและคำขอบคุณของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นการทดแทน

     

    หลังจากนั้นภาพขุนไกรในแต่ละวัย แต่ละช่วงเวลาเริ่มขยายเด่นชัดทีละภาพ  จนแสงประกายเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้าได้ฉายออกมาในแววตา

     

    ขุนไกรนี้เจ้า......โอ๊ย!

     

    'จงอย่านึกว่าเอ็งจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของข้าไปได้ง่ายๆ'

     

    เสียงปริศนาเอ่ยข่มขู่โคจรด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด  ไม่สบอารมณ์ที่เจ้ามนุษย์อ่อนแอผู้นี้มีอิทธิพลต่อหุ่นเชิดของตนมากมายได้ถึงขนาดนี้

     

    ...ฮึ่ม!ถ้าช้าอีกเพียงนิดเดียวแผนการของข้าจะต้องล้มเหลวเพราะเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยนี้แน่ๆ

     

    'เอ็งไม่มีสิทธิมาสั่งข้า  ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์'

     

    'อย่าหยิ่งพยองไปนักเลยไอ้โคจร  ถึงเอ็งจะดิ้นรนให้ตายยังไง  เอ็งก็ต้องตกเป็นทาสบริวารของข้าอยู่ดี...จำเอาไว้!'

     

    'ไม่มีทาง!'

     

    'ฮ่าๆๆถ้าคิดว่าจะขวางข้าได้ก็ลองดู...โอม'

     

    'อย่า!!!'

     

    จิตสำนึกของโคจรพยายามต่อสู้ขัดขืนสุดกำลัง   แต่อนิจจาที่เจ้าพ่อมดเฒ่าฝีมือร้ายกาจเกินต้านทานได้  หรืออาจจะเป็นเพราะกรรมดลบันดาลให้ต้องชดใช้ด้วยเลือดและชีวิต  ทำให้พญากุมภีร์ผู้เก่งกาจต้องกลับมาถูกควบคุมให้เป็นเครื่องมือสังหารอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่สามารถขัดขืนได้

     

    แววตาสีเขียวสดใสอ่อนโยนย้อนกลับเป็นสีเลือด   ความอำมหิตอยากฆ่า  ทำลายล้างเริ่มแผ่ขยายมากขึ้นกว่าเดิมจนขุนไกรรู้สึกขนลุกชัน

     

    โคจร?...อ๊อก!

     

    โครม!!!

     

    พญากุมภีร์เหวี่ยงร่างศัตรูไปกระทบผนังถ้ำอีกทางหนึ่งจนถ้ำสั่นสะเทือนฝุ่นร่วงกราว  เมื่อร่างกายถูกทำร้ายกระทบซ้ำลงบนตำแหน่งเดิมเลยเป็นเหตุให้ขุนไกรบาดเจ็บหนักถึงกับทรุดลงอยู่กับที่  ส่วนกระดูกก็คล้ายถูกหักออกเป็นท่อนๆ  ร่างกายรู้สึกปวดร้าวเสียจนแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว  ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมองเห็นทุกอย่างรางเลือนไม่ชัดเจน

     

    อาจเพราะความกระหายเลือดในกายของโคจรยังไม่มอดดับลง  ถึงจะเห็นศัตรูบาดเจ็บหนักแค่ไหนร่างสูงใหญ่ก็ไม่มีความปรานีลงเท้ากระทืบซ้ำไม่หยุดยั้ง   จนขุนไกรกระอักเลือดออกมากองหนึ่งจึงยอมหยุดทำร้าย

     

    เฮ้อ!ข้านึกว่าเจ้าจะเก่งกว่านี้ซะอีก

     

    น้ำเสียงสมเพชแกมผิดหวังจากการประเมิณศัตรูไว้สูงเกินไป  ช่างน่าสะพรึงและกลัวเย็นชาจนบาดลึกจับขั้วหัวใจคนฟังยิ่งนักข้าไม่เข้าใจอะไรเป็นสิ่งบงการให้เจ้าเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้  โคจรคนเดิมที่ข้ารู้จักไม่ใช่ผู้เหี้ยมโหดที่ชอบฆ่าคนโดยไร้ซึ่งเหตุผลแบบนี้

     

    พญากุมภีร์ยืนมองเจ้ามนุษย์ตรงหน้าด้วยสายตาเย้ยหยันแกมเหยียดหยาม  เหมือนกำลังมองเจ้าหนอนตัวจ้อยที่น่าขยะแหยงจนอยากฆ่าทิ้งให้มันตายไปเสียไม่ให้อยู่รกหูรกตา

     

    มองเจ้าไปก็เท่านั้นรีบกำจัดให้พ้นๆไปเสียดีกว่า”  .....เฮอะ! เห็นว่าเจ้ามีฝีมือจนสามารถสู้กับร่างจระเข้ของข้าได้สมน้ำสมเนื้อจนดูน่าสนุก  แต่พอข้าเริ่มเอาจริงเข้าหน่อยก็อ่อนแอปวกเปียกสมกับเป็นพวกมนุษย์อ่อนแอ

     

    ด้วยพละกำลังอันมหาศาสของเผ่าพันธุ์   โคจรใช้มือเพียงข้างเดียวบีบคอแล้วยกร่างทั้งร่างของชายหนุ่มลอยเหนือพื้นได้อย่างง่ายดายราวกับยกนุ่น

     

    ใบหน้าขาวซีดเนื่องจากถูกบีบคอไว้แน่นจนขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง  ประกอบกับร่างกายถูกทำร้ายจนไร้สิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้    ขุนไกรจึงทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักคล้ายปลาถูกจับขึ้นบกก็ไม่ปาน

     

    'ถ้าข้าออกเพิ่มแรงอีกเล็กน้อยเจ้ามนุษย์ผู้นี้ต้องตายคามือข้าแน่ๆ.....ทั้งๆที่ข้าควรรู้สึกสะใจที่ได้ฆ่า  แต่ทำไม?หัวใจมันกลับรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้'

     

    โคจรสะบัดหัวสองสามทีเพื่อเรียกหาสติจอมปลอมของตนเองกลับมา 'ไม่  ไม่ ข้าต้องรีบลงมือจัดการฆ่าเจ้านี่ให้เสร็จโดยไวตามคำสั่ง'

     

    เอาละเห็นแก่ฝีมือของเจ้า  ข้าจะขอมอบความตายอันแสนทรมาณให้   เผื่อว่าเจ้าคงนึกอยากลองลิ้มรสชาติของความตายดูสักครั้ง...จงนึกขอบใจความปรานีนี้ด้วยล่ะกันนะเจ้ามนุษย์

     

    มือว่างอีกข้างของโคจรวางทาบลงบนอกซึ่งตรงตำแหน่งหัวใจของขุนไกร  ฝ่ามืออุ่นร้อนสัมผัสได้ถึงเสียงใจเต้นดังเป็นจังหวะและความอบอุ่นจากร่างกายที่ถูกถ่ายทอดส่งต่อมาสู่มือข้างนี้ .....โอ้!เสียงเจ้าก้อนเนื้อนี่เต้นดังดีจริงๆ ข้าอยากรู้จริงว่าถ้ากระชากออกมา   มันจะยังคงเต้นอยู่บนมือข้าหรือไม่

     

    โคจรบรรจงใช้เล็บมือที่ยาว  แข็งแรงผิดแผกจากเล็บมนุษย์   ค่อยๆกดผ่านผิวหนังเพื่อล้วงเข้าไปหยิบเจ้าก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ด้านในออกมาดูเล่น

     

    อ๊า!!!ความเจ็บปวดที่ได้ปลุกสัญชาติญาณให้ขุนไกรเริ่มออกแรงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอด  มือหนาจึงจับชายหนุ่มกระแทกเข้ากับผนังถ้ำซ้ำอีกครั้งเพื่อหยุดอาการขัดขืน

     

    จุ๊ จุ๊ อย่าใจร้อนไปข้าแค่อยากดูว่าหัวใจมดปลวกเช่นพวกเจ้าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร...เจ้าควรถือเป็นเกีรยตินะว่า  ที่ข้าอุตส่าห์ยอมลดตัวให้มือแสนสูงส่งของข้าได้มีโอกาสเปื้อนเลือดมนุษย์โสโครกเช่นเจ้า

     

    ขุนไกรมองแววตากระหายเลือดของบุรุษผู้เคยอบอุ่นอ่อนโยนอย่างสิ้นหวัง   ชีวิตของข้าไม่นึกเลยว่าจะต้องมาจบสิ้นลงเยี่ยงนี้   ไม่นึกเลยว่าความตายจะมาหาข้าเร็วถึงเพียงนี้แต่ถ้าหากเมื่อนึกย้อนไปในอดีตสิ่งที่ข้าเคยได้ทำเอาไว้กับโคจร   มันก็คงจะโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน  

     

    เอาเถอะถือเสียว่าเป็นการชดใช้สิ่งที่ข้าเคยทำไว้กับเจ้าในอดีต

     

    แม้ใจจะยอมปลงไม่นึกหวาดกลัวต่อความตาย   แต่ลึกลงไปแล้วหัวใจดวงนี้ยังคงมีห่วงในลูกน้อย...เจ้ายังเล็กเกินไปที่จะอยู่โดยลำพัง   ผู้ใดกันเล่าที่จะคอยอุ้มชูเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่แทนพ่อ.....พ่อขอโทษ

     

    ฮ่าๆ ดี!ฆ่ามันให้ตายเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ

     

    เลือดสีแดงสดที่ค่อยๆไหลจากหัวใจเจ้ามนุษย์ผ่านมือแกร่งของพญากุมภีร์   มันช่างเป็นภาพที่ถูกใจเจ้าพ่อมดใจโหดยิ่งนัก...หึหึ...อีกแค่นิดเดียว...ถ้าหากไอ้มนุษย์นั่นตายและพอไอ้โคจรมันคืนสติกลับมาแล้วพบว่าคนที่มันรักตายด้วยน้ำมือของมันเอง  มันจะรู้สึกเจ็บช้ำทรมาณแค่ไหนข้าอยากรู้จริงๆ...

     

    ดี! มันจะได้สาสมกับสิ่งที่พวกมึงเคยทำไว้กับ...เฮ้ย!?’

     

    รอยยิ้มน่ารังเกียจหยุดนิ่งค้างเป็นหินเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าเกิดกลับตาลปัด  ทั้งๆที่ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้   “นี่มันอะไรกัน!?เป็นไปไม่ได้!

     

    คำกล่าวที่ว่าเทวดาย่อมคุ้มครองคนดีนั้นยังมีอยู่จริงเสมอ  เพราะตระกรุดที่แขวนอยู่กับคอของขุนไกรเมื่อได้กระทบถูกมือโคจร  ของวิเศษจึงได้เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชของมันออกมาให้ประจักษ์แก่สายตา

     

    อ๊ากกก!!!

     

    โคจรซวนเซทรงตัวไม่อยู่ล้มกลิ้งนอนลงกับพื้นดินเรี่ยวแรงหดหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ...จิตใจร้อนรุ่มเหมือนตกอยู่ในท่ามกลางกองไฟ...ความคิดแบ่งแยกสับสนยุ่งเหยิงตีกันไปมาปวดหัวจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง

     

    ด้านขุนไกรเองเมื่อเท้ารอดพ้นจากประตูมรณะ  สิ่งเดียวที่พอทำได้คือนอนมองร่างสูงทุกข์ทรมาณนอนเกลือกกลิ้งทุรนทุราย  โดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขยับเขยื้อนกายไปช่วยเหลือ

     

    อาการของโคจรนั้นน่าเป็นห่วงมาก  ชายหนุ่มใช้สองมือหนาบีบศีรษะตัวเองแน่น  ส่วนร่างกายก็พลิกย้ายเกลือกกลิ้งไปมา  ปากพูดพึมพำวกไปวนมาอยู่ซ้ำๆคล้ายคนบ้า

     

     “ฮึก...คะ...โคจร...ฮึก...ฮึก...ใครก็ได้...ช่วย...เขา...ฮึก...ที

     

    เสียงพร่ำวอนร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวังฟังดูเวทนาน่าสงสารจับใจ แต่สถานที่ ณ ตรงนี้มันคือใต้น้ำแล้วจะมีผู้ใดอาจหาญดำน้ำฝ่าดงจระเข้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขากันได้เล่า

     

    น้ำตาของขุนไกรไหลอาบสองแก้มเป็นทางยาว  หัวใจรู้สึกเจ็บใจที่ทำได้เพียงนอนมองดูอาการของคนตรงหน้า...ตัวข้าช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก  ที่ทำได้แค่มองดูเจ้าทุรนทุราย

     

    'อย่าร้องไปเลยไอ้ขุน...เอ็งยังพอมีหนทางช่วยเหลือเจ้าจระเข้นั่นอยู่'

     

    หลวงตา!?”

     

    ประหนึ่งแสงจันทร์ทราฉายแสงส่องสว่างให้เห็นเส้นทางเดินในคืนมืดมิด  ถึงจะได้ยินแค่เพียงเสียงในหัวแต่ขุนไกรนั้นมั่นใจว่าอาจารย์จะต้องมีทางแก้ไขเรื่องเลวร้ายนี้ได้อย่างแน่นอน

     

    'ข้ารู้ว่าเอ็งอยากพูดอะไร...จงฟังให้ดีตระกรุดที่ข้าให้  เอ็งจงนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์'

     

    ตระกรุด?”  ขุนไกรก้มมองตระกรุดที่คออยู่สักครู่ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อรู้คำตอบจากการบอกใบ้ของอาจารย์

     

    ขอบพระคุณขอรับหลวงตา

     

    ขุนไกรกัดฟันทนฝืนอาการบาดเจ็บตามร่างกายขยับเข้าไปใกล้โคจร   เมื่อเดินไม่ได้คนเจ็บยอมใช้แขนคลานแทนเดินเท้า  ถึงแม้จะทุลักทุเลและเหนื่อยแค่ไหนขุนไกรก็ยอมสู้เพื่อคนที่รัก

     

    รอก่อนนะโคจร

     

    ทว่าสิ่งที่ยากลำบากกว่าคลานก็คือการสวมใส่ตระกรุดให้กับโคจร   เพราะยิ่งขุนไกรพยายามเอาตระกรุดมาโดนตัวร่างสูงก็จะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนจนต้องสะบัดตัวหนีห่าง

     

    อยู่นิ่งๆสิโคจร...แฮ่กๆ แล้วแบบนี้ข้าจะสวมตระกรุดให้เจ้าได้เช่นไร...ห๊ะ!ไอ้จิ้งเหลนน้ำ

     

    ร่างกายของโคจรชะงักนิ่งเล็กน้อยเมื่อถูกด่าแต่ก็กลับมากระสับกระส่ายอีกครั้งเช่นเดิม  ทำให้ขุนไกรต้องสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วค่อยเริ่มออกแรงโรมรันกับจิ้งเหลนน้ำโดนอาคมอีกรอบ  แต่ไหนเลยคนเจ็บจะมีแรงมากพอสู้คนแข็งแรงกว่าได้ถึงจะสติไม่ค่อยมีก็ทีเถอะ

     

    คงเป็นเพราะเรี่ยวแรงเริ่มหดหายหรือหัวใสก็ไม่รู้  ขุนไกรจัดการแก้ไขปัญหาใหญ่ด้วยการนำสายห้อยตระกรุดมาผูกไว้ที่ข้อมือหนาคล้ายผูกสายสินธ์แทนการสวมคล้องคอ...ซึ่งเขาหวังว่ามันคงจะแทนกันได้นะ

     

    แฮ่กๆ แรงเยอะดีจริงๆไม่จับตระกรุดยัดเข้าปากก็บุญเท่าไรแล้วไอ้จิ้งเหลนน้ำ

     

    ทันทีที่ขุนไกรผูกตระกรุดใส่ข้อมือเสร็จ   จู่ๆร่างสูงใหญ่เริ่มมีอาการชักกระตุกดิ้นทุรนทุรายหนักกว่าเดิมเหมือนถูกจับโยนลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเดือดจัด  ยิ่งเมื่อตระกรุดส่องแสงเรืองรองมากเท่าไรโคจรก็เกิดอาการยิ่งดิ้นพล่านมากขึ้น  แสดงให้เห็นว่าพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากตระกรุดกำลังต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างของอีกฝ่าย

     

    อดทนหน่อยนะโคจรขุนไกรกุมหมาหนาไว้แน่นอย่างให้กำลังใจ  อาจทรมาณมากสักหน่อยแต่นี้ก็เป็นเพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัยได้.....เจ้าต้องพยายามอย่ายอมแพ้นะ

     

     

    ******100% แล้วจ้า~ทีนี้ ^^ แหะๆ ********


    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นทุกเม้นมากเลยนะค่ะ...นึกว่าจะไม่มีคนตามอ่านซะแล้ว หุหุ ^^  แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะค่ะ

    ปล.อ่านแล้วสับสนไปบ้างอย่าว่ากันนะรีบแต่งนะเนี่ย คุคุคุ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×