คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ไกรทอง ตอนที่ 7 (แก้ไข)
นับจากวันที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา ท้าวโคจรก็เกิดล้มป่วยลงเนื่องจากพิษบาดแผลอาคมที่แทรกซึมเข้าไปกัดกินในร่างกาย
ทำให้จากอาการบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยกลับกลายเป็นลุกลามใหญ่โต จนในที่สุดท่านนั้นได้แต่นอนหลับไหลยังไม่ฟื้นคืนสติมาจนถึงตอนนี้
ทำให้เหล่าชาวประชาแห่งคุ้งเหนือเกิดความกังวลใจหนักหนาเมื่อได้รับทราบข่าวอาการป่วยของท้าวโคจร ด้วยหวาดกลัวว่ารัชทายาทผู้ทรงธรรมจะดำเนินเดินเส้นทางไปสู่ยมโลกก่อนวัยอันควร
ถึงแม้ว่าใจทุกคนจะเป็นห่วงใยท่านมากมายเพียงใด แต่ผู้กระวนกระวายใจที่สุดเห็นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก ท่านชาละวันผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของท้าวโคจร รัชทายาทลำดับสองแห่งบัลลังค์คุ้งเหนือ และท่านท้าวรำไพผู้เป็นบิดา
สองปู่หลานยืนมองร่างสูงทอดเหยียดยาวบนแท่นบรรทมนิ่งดั่งรูปปั้น โดยที่ท่านทั้งสองต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากเฝ้ารอคอย...
...รอคอยให้บุคคลอันเป็นที่รักลืมตาตื่นขึ้นมาเอง
“ท่านปู่ยามใดท่านพ่อถึงจะลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที หลานเป็นห่วงเหลือเกิน”
ท้าวรำไพโอบบ่าหลานชายพลางทอดมองร่างของลูกชายด้วยหัวใจรวดร้าว ที่นับวันจะเห็นอาการของลูกทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ
“อย่าว่าแต่เจ้าเลยชาละวันปู่เองก็ร้อนใจมิต่างกัน”
พญากุมภีร์สูงวัยรู้สึกเศร้าเสียใจยิ่งนัก ที่ตัดสินใจให้ลูกชายไปคุ้งใต้ผู้เดียวโดยไร้ซึ่งราชองค์รักษ์ติดตาม เพราะมั่นใจในฝีมือและสติปัญญาของอีกฝ่ายมากเกินไป จนกลายเป็นความประมาทที่ทำให้เจ้าต้องกลายมาเป็นเยี่ยงนี้...พ่อผิดเองโคจร...พ่อขอโทษ
ชาละวันทรุดนั่งลงข้างแท่นบรรทม จับมือใหญ่ของท้าวโคจรเพื่อหวังว่าความอบอุ่นแห่งสายใยนี้จะสามารถส่งไปถึงพ่อ และช่วยหล่อเลี้ยงดวงใจอันแสนหม่นหมองของตนให้ดีขึ้น
พญากุมภีร์น้อยรู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้จะวางตัวเช่นไรหากต้องสูญเสียบิดาไป เพราะท้าวโคจรถือว่าเป็นครอบครัวคนสำคัญแทนมารดาที่ได้ลาลับไปตั้งแต่แรกเกิด เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแม่มากนัก นอกจากคำบอกเล่าจากพ่อว่านางเป็นผู้งดงาม นางฉานฉลาด มีนิสัยโอบอ้อมอารีแต่จิตใจกลับเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง และนางยังเป็นพระขนิษฐาคนสุดท้องของท้าวพันตา ท้าวพันวังที่เริ่มนั่งครองบัลลังค์ในขณะนั้น
หากแต่เพราะเลือกมาอยู่ข้างฝ่ายคุ้งเหนือและไร้ซึ่งบิดาคุ้มครอง นางจึงถูกพี่ชายทั้งสองขับไล่ ตัดขาดนางออกจากยศถาบรรดาศักดิ์ของราชวงศ์คุ้งใต้
ถึงแม้จะไม่เคยมีแม่คอยอยู่ข้างกายดั่งเช่นหลายครอบครัวอื่น แต่ตัวเขามิเคยมีความน้อยใจกับส่วนที่ขาดหายไปตรงจุดนี้ เพราะเขายังมีท่านพ่อและท่านปู่ที่มอบความรัก ความอบอุ่นแทนท่านแม่มาโดยตลอด
ชาละวันยังจำได้ เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อย พ่อมักจะอุ้มเขานั่งตักเล่าเรื่องแม่ให้ฟังอยู่เสมอ
‘แม่เจ้าเป็นสตรีที่ดีลูกรัก นางเกิดมาในฐานะสูงส่งและอยู่ในตำแหน่งที่อิจฉาริษยา แต่ใจของนางกลับไม่เคยเย่อหยิ่ง ชิงดีชิงเด่นกลับผู้ใดให้หมองหม่น’
‘พ่อคงรักแม่มากใช่ไหม?’
ชาละวันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคำถามในตอนนั้น ถึงทำให้จากหน้ายิ้มแย้มของพ่อก็เปลี่ยนเป็นดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
‘เราทั้งสองมีความเข้าใจในกันและกันเสมอมา’
ความเข้าใจในกันและกันคืออะไร ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด...มันไม่ใช่ความรู้สึกว่ารักหรอกเหรอ?
‘เมื่อลูกโตพอ ลูกจะเข้าใจในคำพูดของพ่อ’
ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อจากข้าไป แต่บาดแผลที่เกิดจากอาคมช่างสาหัสนัก ขนาดหมอยาแสนเก่งกาจเกือบสิบชีวิตซึ่งยังไม่นับรวมเหล่านักเวทย์มากมาย ที่ต่างช่วยระดมความรู้และฝีมือเพื่อแก้อาถรรพ์กันอย่างสุดความสามารถก็ไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง
ลูกกับท่านปู่ควรทำเช่นไรดี...ท่านพ่อ
“เมื่อไรพ่อจะตื่นขึ้นมาคุยกับลูก กับท่านปู่ กับทุกคน ...ลูกขอร้องพ่ออย่านอนหลับแบบนี้ต่อไปอีกเลยนะ”
แม้พญากุมภีร์น้อยจะเอ่ยปากวอนขอ แต่ทว่าใบหน้าคมงามก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่คอยบ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งมองก็ยิ่งคิด จิตใจเลยยิ่งห่อเหี่ยวด้วยความสิ้นหวัง ...หรือพ่อไม่รักลูกแล้วถึงได้เอาแต่นอนไม่ยอมตื่นขึ้นมาเช่นนี้
หากชั่วแว่บนึงที่กำลังใจหมดลง ใบหน้าของเด็กน้อยบางคนกลับผุดขึ้นมาในความคิด...ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วป่านนี้น้องไกรทองจะเป็นเช่นไรหนอ? จะคิดถึงข้าหรือไม่?
ยามเมื่อได้นึกถึงดวงตาใสบริสุทธิ์กับแก้มแดงๆ กับใบหน้าที่ชอบประดับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสานั่นทีไร หัวใจของเขาก็มักจะชอบพองโตและเต้นระรัวจนแทบล้นทะลักออกมานอกอกเสียให้ได้
“ใจเอ๋ยใจ...เหตุฉไนจึงเต้นแรงถึงเพียงนี้ มิได้ทรมาณ มิได้เจ็บปวดแต่หัวใจกลับรู้สึกสุขเสียจนล้นปรี่”
ถ้าน้องไกรทองมายืนอยู่ข้างกาย เขาคงต้องอดไม่ได้แน่ที่จะคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดให้รัดแน่น หอมแก้มแดงสองข้างนั่นหลายๆฟอดให้หน่ำใจ นั่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าและยิ้ม หัวเราะไปกับเรื่องสนุกที่ชอบเล่าให้ฟัง
หากเขาสามารถสะสางงานทั้งปวงทั้งหลายแหล่นี้หมดสิ้นไม่เหลือ และอาการของพ่อดีขึ้นมากกว่านี้ ชาละวันยิ้มหมายมั่นในใจว่าจะรีบขึ้นไปด้านบนไปหาเจ้าตัวเล็กทันที.....รอพี่ก่อนนะน้องไกรทอง
ความยินดีปรีดาของพญากุมภีร์น้อยช่างแตกต่างลิบลับกับความเศร้าสร้อยของน้องชายตัวน้อยที่บัดนี้กำลังยืนซึมเศร้าอยู่ตรงท่าเรือ
เจ้าตัวเล็กคอยเอาแต่ชะเง้อชะแง้คอยืดยาวมองหาพี่ชาละวันว่ายามใด จะมาหาเขาตามที่เคยสัญญากันเอาไว้เพราะตอนนี้ตัวเขาต้องรีบเดินทางกลับไปยังคุ้งใต้โดยไวก่อนกำหนด
ใจไกรทองร้อนลนที่เฝ้ารอเท่าไหร่คนที่เฝ้ารอก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีกิจธุระยุ่งมากจนไม่สามารถมาได้ในวันนี้ แต่เขาก็อยากจะรอด้วยความหวัง
อยากเจออีกสักครั้งเพื่อจะได้ร่ำลาพี่ชาละวันก่อนจะกลับบ้าน...พี่อยู่ที่ไหนทำไมยังไม่มาหาอีก ไกรทองจะต้องไปแล้วนะพี่ชาละวัน
ทางด้านขุนไกรได้นั่งรออยู่ด้านในเรือคอยให้ลูกชายมีโอกาสล่ำลาเพื่อน แม้จะรู้สึกสงสารลูกน้อยเพียงใดที่ต้องจากลาเพื่อนสนิท แต่เขาจำต้องแข็งใจพาลูกไปจากที่นี่... เพื่อความปลอดภัย
ขุนไกรนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนหน้านี้ ที่เขาตัดสินใจเร่งเก็บสัมภาระ ลากเจ้าลูกชายตัวดีให้กลับบ้านไปด้วยกัน ไม่ฟังเสียงร้องแง้วๆให้ใจเขว
เด็กน้อยนั่งมองพ่อเก็บของอยู่เงียบๆโดยไม่กล่าวอะไรจนผู้เป็นขุนไกรทนไม่ไหวต้องหันหน้ามามอง
“โกรธพ่อเหรอ?”
“ปล่าว” ไกรทองสะบัดหน้าหันไปอีกทางพร้อมบู้ปากน้อยๆเป็นอาการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า...น้อยใจ
เฮ้อ...ไอ้เจ้าลูกคนนี้ตั้งแต่มาอยู่คุ้งเหนือมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็น้อยใจ...ตกลงมันเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันแน่ว่ะ ข้าชักจะเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสิ
ขุนไกรส่ายหัวให้กับท่าทางแปลกๆของเจ้าตัวเล็กที่นิสัยแปลกขึ้นทุกที “ลูกใช่ไหม? ที่เราจำเป็นต้องเร่งกลับคุ้งใต้ในวันพรุ่งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกนะ”
นิ่ง...ไอ้เจ้าตัวเล็กก็ยังนั่งเฉยไม่ยอมหันกลับมามองพ่อเหมือนเดิม ... คงจะมีแต่คนเอาอกเอาใจมากไปหน่อย ลูกชายคนเดียวของเขาถึงได้นิสัยขี้น้อยใจติดตัวมาด้วย...ใครกันน้า? หรือว่าจะเป็นไอ้คำ ก็น่าจะเป็นไปได้ ...ไอ้หมอนี่เห่อลูกข้าหยั่งกับเป็นลูกชายแท้ๆของตัวเอง สงสัยคราวหน้าที่มาต้องเอ่ยปากเตือนกันสักหน่อยแล้วไอ้คำ
ถึงจะคิดว่า ‘คราวหน้า’ ฉไนลึกๆในหัวใจกับวูบหายราวจะบอกว่าไม่มีคราวหน้าสำหรับข้าอีกแล้ว
“ไหนลูกลองท่องคำพูดที่หลวงตาฝากมาบอกพ่อให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่?” ขุนไกรเอ่ยปากชวนไกรทองคุย เพื่อเบี่ยงความสนใจให้หันกลับมาคุยกับเขา แทนการหันหน้าหนีซุกตัวเข้ามุมห้องเยี่ยงนี้
“ กรรมเก่าจะกลับมา ดึงโชคชะตาผกผัน หนึ่งจำใจต้องแยกจากของรักข้างกายพลัน จนก่อเกิดศึกรบราฆ่าฟันสองพงศ์พันธุ์ หากไม่เร่งแก้ไขให้คลายเคลื่อน คงจะมีแต่เลือดไหลจองนองทั่วธารา ”
ไกรทองยอมหันหน้ากลับมามองแล้วคลานเข้าไปมากอดเอวพ่อเอาไว้
“มันหมายถึงอะไรหรือจ๊ะพ่อ? เพราะคำพูดนี้หรือปล่าวเราถึงอยู่คุ้งเหนือต่อไปไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมจ๊ะ?”
ขุนไกรลูบหัวลูกชายเบาๆสายตาเหม่อมองไปด้านนอก แสงดาวเปล่งประกายระยิบระยับสวยงามบนท้องฟ้าจนงามจับตา ต่างจากหัวใจของเขาที่มันช่างมืดมิดยิ่งกว่าผืนฟ้าในคืนเดือนมืด
“ลูกยังเล็กนักไกรทอง” ใช่...เจ้ายังเล็กนักไกรทอง เล็กเกินกว่าจะต่อสู้โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ได้เพียงลำพัง...พ่อไม่อยากให้ลูกต้องเป็นเหมือนพ่อในอดีต
...นอกจากไอ้คำที่เรียกเต็มปากได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ ตัวเขาก็ไม่เคยมีสหายยืนเคียงข้างเลยสักคนเดียว
เวลาผ่านเลยมาจนตะวันเกือบตรงหัว แม้ใจจริงเขาอยากจะปล่อยให้รออีกหน่อย แต่เวลาไม่คอยท่า...ยิ่งไปจากที่หมู่บ้านโดยไวได้ยิ่งเป็นการดี
“ไกรทองถึงเวลาออกเรือแล้วลูก” ขุนไกรจึงจำใจต้องเรียกลูกชายให้ขึ้นเรือเพื่อที่จะออกเดินทาง
“รออีกสักนิดนะจ๊ะพ่อ” เจ้าตัวเล็กหันไปต่อเวลากับขุนไกร แต่ก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาแทนไกรทองจึงฝืนใจก้าวลงเรือ
ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วจริงๆสินะ เขายังไม่อยากกลับเลย ถึงที่นู่นจะมีแต่ญาติผู้ใหญ่ใจดี เพื่อนเล่นเยอะแยะ แต่ที่นี่กลับสร้างความผูกพันได้มากกว่าที่เขาเติบโตมาด้วยซ้ำ ...ไม่รู้ทำไม
ถึงแม้เรือจะแจวออกมาไกลจนมองไม่เห็นท่า แต่สายตาของไกรทองนั้นยังคงเฝ้าคอยเหลียวมองหาคนที่อยากเจอจนตาละห้อย และยิ่งเมื่อพ่อแจวเรือผ่านริ่มตลิ่งที่เขาชอบเดินเที่ยวกับพี่ชาละวันเป็นประจำ เจ้าตัวเล็กก็ยิ่งจ้องมองไม่ยอมคลาดสายตาคล้ายจะจดจำเอาไว้ไม่ให้ลืมจนกระทั่งลาลับสายตาไป
ไกรทองซบหน้าลงบนห่อสัมภาระพยายามเก็บซ่อนความเศร้า ความขมขื่น ยามต้องพรากจากพี่ชายอันเป็นที่รัก...จิตใจของเขารู้สึกปวดหนึบและมึนชาอย่างบอกไม่ถูก
‘จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก พ่อเคยบอกไว้ว่าอาจจะนานเป็นปีกว่าที่เราจะกลับมาอีกครั้ง แล้วอย่างนี้ถ้าเจอกันอีกครั้ง พี่ชาละวันจะยังจำกันได้อยู่หรือปล่าวนะ.....จริงด้วย!’
มือเล็กๆหยิบถุงผ้าปักอันน้อยออกจากห่อสัมภาระขึ้นมาดู นึกย้อนถึงยามที่ได้รับเจ้าสิ่งนี้มาจากคนสำคัญ
'ถุงผ้าปักใบนี้พี่มอบไว้ให้น้องไกรทองแทนตัวพี่ ส่วนของข้างในอาจจะดูเหมือนไม่มีราคาค่างวดมากนัก แต่คุณค่าของมันนั้นยิ่งใหญ่เหลือคณา'
ไกรทองรับถุงผ้าปักมามองด้วยความสนใจใคร่รู้
'อะไรอยู่ในนี้เหรอพี่ชาละวัน'
ชาละวันยิ้มและบอกเพียงแค่สั้นๆว่า ' เมื่อถึงยามจำเป็นจะรู้เอง '
ไกรทองจึงพยักหน้าอือออตามคำบอกพี่ชาละวันด้วยความเคยชิน ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มขอบคุณตามที่พี่ชาละวันเคยสอนไว้เล่นเอาคนถูกหอมพอใจจนยิ้มแก้มปริจนหุบไม่ลง
เจ้าตัวเล็กค่อยๆเปิดดูข้างในถุงผ้าปักก็พบของลักษณะกลมๆเล็กๆ ใสสะอาดคล้ายลูกแก้วธรรมดา แต่ความรู้สึกของเขากับไม่คิดว่าเจ้าลูกแก้วนี่มันมีอะไรที่พิเศษแฝงอยู่ด้านใน แค่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรก็เท่านั้นเอง อืม...ก็พี่ชาละวันเคยบอกเอาไว้แล้วนิว่ามันไม่ใช่ของราคาแพง
...ไกรทองจะถือให้เจ้านี่เป็นตัวแทนของพี่แล้วกันนะ
เด็กน้อยส่งยิ้มให้กับลูกแก้วในมือแทนตัวคนคิดถึงที่ห่างไกลกัน ก่อนจะเก็บเจ้าลูกแก้วใส่กลับไว้ในถุงผ้าปักดังเดิม กอดแนบอกอย่างทะนุถนอม
“เอาไว้ไกรทองโตขึ้น .....ไกรทองจะกลับมาหาพี่ชาละวันนะ”
‘ มึงจงฟังกู เชื่อฟังกู อย่าคิดขัดขืนกู ใจมึงคือทาสกู กายมึงเป็นขี้ข้ากู เมื่อกูสั่งมึงจงทำ เมื่อกูสั่งมึงจงลงมือ กูคือนายของมึง มึงไม่มีทางขัดขืนกูได้ ’
เสียงร่ายมนต์คาถาดังแว่วเข้าหูผู้นอนนิทราร่วมสามวัน ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่มีผู้ใดได้ยิน ไม่มีผู้ใดระแคะระคาย ขนาดท้าวรำไพผู้เกรียงไกรก็ยังมิรู้ถึงความผิดปกติ ที่กำลังเกิดขึ้นในตัวลูกชาย
...นี่สินะที่เขาเรียกว่ากรรมไม่ว่าจากอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ แม้จะเกิดมาสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย เมื่อถึงยามเวลาต้องที่ชดใช้ก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นได้
ยามเมื่อหูได้สดับรับฟังเสียงสวดนี้ ร่างกายและจิตใจของท้าวโคจรก็บังเกิดอาการร้อนรุ่มดั่งถูกไฟแผดเผา ...ร้อนข้าร้อนเหลือเกิน ทรมาณข้าทรมาณ มันเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของข้าเหตุฉไนถึงได้เป็นเยี่ยงนี้
เสียง?...เสียงของผู้ใดกัน ทำไมถึงมีอิทธิพลกับข้าได้ถึงเพียงนี้ ...ใคร...มันเป็นใครกัน เสียงช่างคุ้นหูข้ายิ่งนัก
เขาอยากกระดิกตัวหรือแม้แต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อหนีจากความทรมาณนี้ ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกับตกอยู่ในมนต์สะกดตรึงให้อยู่กับที่ก็ไม่ปาน
คาถานี้...บทสวดนี้...ไม่จริง!!! ไม่ข้าไม่ยอมเป็นทาสให้เอ็งเด็ดขาด อึก!!!อย่ามาบังคับข้า ...อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนข้าได้!
“เอ็งขัดขืนไม่ได้หรอกไอ้โคจร...โอม... เอ็งจงฟังกูนับแต่บัดนี้ กูคือนายของเอ็ง และชีวิตของเอ็งเป็นกูไปชั่วนิรันดร์ จนกว่าวิญญาณมึงจะแหลกสลาย มึงก็หนีไปจากกูไม่พ้น”
อ๊าก!!!!!!
ใครก็ได้ช่วยข้าที...ใครก็ได้!
“จงไปอาละวาดฆ่าชาวบ้าน ให้ทั่วคุ้งน้ำเต็มไปด้วยเลือด...จงไป! ไปเดี๋ยวนี้!”
พรึ่บ!!
จากคนนอนหลับนิ่งไร้สติมานาน ...ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาลุกนั่งดั่งปกติ ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆหลงเหลืออยู่ สร้างความปิติให้แก่เหล่าผู้รับใช้ถวายงานเป็นอย่างมาก
ทั้งตำหนักบังเกิดความสบสนอลหม่าน เสียงผู้คนร้องตะโกนกันดังลั่น จนลืมสังเกตกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนายเหนือหัว...สายตาแข็งกร้าว ตาไม่มีแววของสิ่งมีชีวิต
“ท่านฟื้นแล้ว...เร็ว!เจ้ารีบไปส่งข่าวแก่ท้าวรำไพว่าท้าวโคจรฟื้นแล้ว”
ท่ามกลางความวุ่นวายอื้ออึงรอบตัวของข้าราชบริพาร พญากุมภีร์หนุ่มกลับส่งเสียงแผดร้องคำรามดั่งลั่น “อ๊ากกก!”
ท้าวโคจรร้องเสียงดังกึกก้องไปทั่วคุ้งน้ำ สั่นสะเทือนถึงแผ่นดิน ก่อนจะพุ่งทะยานตัวออกไปด้านนอกโดยไร้ผู้ขัดขวาง ดวงตางดงามฉายแสงสีแดงกล่ำเหมือนสีเลือด
ท้าวรำไพที่บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ด้านใน ผวาตกใจเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องนี้ แต่ท่านกลับขยับเขยื้อนกายมิได้ เนื่องจากถูกขัดขวางเอาไว้
“อย่าฝืนเลยท้าวรำไพ นี่คือชะตากรรม หากพวกท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ยิ่งจะทำให้ บ่วงกรรมเกิดการบิดเบี้ยว ...นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยท้าวโคจรได้”
ท้าวรำไพข่มความเจ็บปวดนั่งภาวนาอยู่ในใจ...เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นคือสัจธรรม แม้จะรู้แต่อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าและทำใจไม่ได้ ที่มาสามารถช่วยเลือดในอกให้รอดพ้นจากความตาย
“แล้วชาละวันล่ะท่าน?” เมื่อมีภัยถึงโคจร หลานชายของเขาต้องไม่อยู่เฉยแน่ๆ
“ข้าสะกดให้เด็กนั่นหลับใหลอยู่ หากข้าไม่คลายมนต์เขาก็ไม่ตื่น”
พญาภุมภีร์สูงวัยพยักหน้าเข้าใจและยอมรับ...ต้องบอกว่า ฝืนใจให้ยอมรับถึงจะถูกต้องกว่า
ท้าวโคจรกลายร่างจากกึ่งมนุษย์ กลายเป็นจระเข้ยักษ์ว่ายขึ้นไปด้านบน ท่านมิสนใจรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากคำสั่ง...คำสั่งในหัวของเขา
“ฆ่าชาวบ้านให้หมดตามคำบัญชา”
*************สปอยหน่อยเถอะ*************
แงๆๆๆๆT^T ในที่สุดไรเตอร์ก็ได้เขียนถึงตอนนี้ซะที(นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว -.,- )ต้องขอขอบคุณคนอ่านเละคนเม้นทุกคนที่ให้กำลังใจไรเตอร์เพราะไรเตอร์ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไร แหะๆ^[+++]^ แต่ทุกคนก็ยังอ่านและให้กำลังใจขอบคุณอีกครั้งนะคะ
ปล.2 เคยมีเพื่อนถามไรเตอร์คะว่าขุนไกรกับโคจรเนี่ยเป็นแบบนักกล้ามใช่มั้ย?...ไรเตอร์ขอบอกว่าไม่คะเพราะไรเตอร์น่าจะเขียนอธิบายไว้แล้วนะคะว่าขุนไกรรูปร่างสูงโปร่งไม่ใช่หนา...ไม่ใช่บอบอบาง(หุ่นผู้ชายธรรมดานะคะ) และไรเตอร์เขียนประมาณว่าโคจรตัวหนากว่าขุนไกรไม่เท่าไร(แสดงว่ากล้ามกำลังสวยพอดีๆนั่นแหละคะ)...เอาแบบนี้ละกันหุ่นของโคจรจะหนาพอๆกับซีวอนแห่งซุปเปอร์จูเนียร์นะคะ(รู้จักกันใช่มั้ย)หวังว่าจะเห็นหุ่นกันง่ายๆนะคะ
ไปละบาย(^o^)/ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า...อิอิ
ความคิดเห็น