ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #11 : ไกรทอง ตอนที่ 7 (แก้ไข)

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 58


    นับจากวันที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา  ท้าวโคจรก็เกิดล้มป่วยลงเนื่องจากพิษบาดแผลอาคมที่แทรกซึมเข้าไปกัดกินในร่างกาย   

     

    ทำให้จากอาการบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยกลับกลายเป็นลุกลามใหญ่โต   จนในที่สุดท่านนั้นได้แต่นอนหลับไหลยังไม่ฟื้นคืนสติมาจนถึงตอนนี้

     

    ทำให้เหล่าชาวประชาแห่งคุ้งเหนือเกิดความกังวลใจหนักหนาเมื่อได้รับทราบข่าวอาการป่วยของท้าวโคจร  ด้วยหวาดกลัวว่ารัชทายาทผู้ทรงธรรมจะดำเนินเดินเส้นทางไปสู่ยมโลกก่อนวัยอันควร

     

    ถึงแม้ว่าใจทุกคนจะเป็นห่วงใยท่านมากมายเพียงใด  แต่ผู้กระวนกระวายใจที่สุดเห็นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก  ท่านชาละวันผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของท้าวโคจร   รัชทายาทลำดับสองแห่งบัลลังค์คุ้งเหนือ  และท่านท้าวรำไพผู้เป็นบิดา

     

    สองปู่หลานยืนมองร่างสูงทอดเหยียดยาวบนแท่นบรรทมนิ่งดั่งรูปปั้น โดยที่ท่านทั้งสองต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากเฝ้ารอคอย...

     

    ...รอคอยให้บุคคลอันเป็นที่รักลืมตาตื่นขึ้นมาเอง

     

    ท่านปู่ยามใดท่านพ่อถึงจะลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที หลานเป็นห่วงเหลือเกิน

     

    ท้าวรำไพโอบบ่าหลานชายพลางทอดมองร่างของลูกชายด้วยหัวใจรวดร้าว  ที่นับวันจะเห็นอาการของลูกทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ 

     

    อย่าว่าแต่เจ้าเลยชาละวันปู่เองก็ร้อนใจมิต่างกัน

     

    พญากุมภีร์สูงวัยรู้สึกเศร้าเสียใจยิ่งนัก  ที่ตัดสินใจให้ลูกชายไปคุ้งใต้ผู้เดียวโดยไร้ซึ่งราชองค์รักษ์ติดตาม  เพราะมั่นใจในฝีมือและสติปัญญาของอีกฝ่ายมากเกินไป  จนกลายเป็นความประมาทที่ทำให้เจ้าต้องกลายมาเป็นเยี่ยงนี้...พ่อผิดเองโคจร...พ่อขอโทษ

     

    ชาละวันทรุดนั่งลงข้างแท่นบรรทม  จับมือใหญ่ของท้าวโคจรเพื่อหวังว่าความอบอุ่นแห่งสายใยนี้จะสามารถส่งไปถึงพ่อ และช่วยหล่อเลี้ยงดวงใจอันแสนหม่นหมองของตนให้ดีขึ้น

     

    พญากุมภีร์น้อยรู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้จะวางตัวเช่นไรหากต้องสูญเสียบิดาไป เพราะท้าวโคจรถือว่าเป็นครอบครัวคนสำคัญแทนมารดาที่ได้ลาลับไปตั้งแต่แรกเกิด  เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับแม่มากนัก  นอกจากคำบอกเล่าจากพ่อว่านางเป็นผู้งดงาม นางฉานฉลาด   มีนิสัยโอบอ้อมอารีแต่จิตใจกลับเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง และนางยังเป็นพระขนิษฐาคนสุดท้องของท้าวพันตา ท้าวพันวังที่เริ่มนั่งครองบัลลังค์ในขณะนั้น

     

    หากแต่เพราะเลือกมาอยู่ข้างฝ่ายคุ้งเหนือและไร้ซึ่งบิดาคุ้มครอง  นางจึงถูกพี่ชายทั้งสองขับไล่  ตัดขาดนางออกจากยศถาบรรดาศักดิ์ของราชวงศ์คุ้งใต้

     

    ถึงแม้จะไม่เคยมีแม่คอยอยู่ข้างกายดั่งเช่นหลายครอบครัวอื่น  แต่ตัวเขามิเคยมีความน้อยใจกับส่วนที่ขาดหายไปตรงจุดนี้  เพราะเขายังมีท่านพ่อและท่านปู่ที่มอบความรัก ความอบอุ่นแทนท่านแม่มาโดยตลอด

     

    ชาละวันยังจำได้  เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อย  พ่อมักจะอุ้มเขานั่งตักเล่าเรื่องแม่ให้ฟังอยู่เสมอ

     

    แม่เจ้าเป็นสตรีที่ดีลูกรัก  นางเกิดมาในฐานะสูงส่งและอยู่ในตำแหน่งที่อิจฉาริษยา  แต่ใจของนางกลับไม่เคยเย่อหยิ่ง ชิงดีชิงเด่นกลับผู้ใดให้หมองหม่น

     

     ‘พ่อคงรักแม่มากใช่ไหม?

     

    ชาละวันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคำถามในตอนนั้น  ถึงทำให้จากหน้ายิ้มแย้มของพ่อก็เปลี่ยนเป็นดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

     

    เราทั้งสองมีความเข้าใจในกันและกันเสมอมา

     

    ความเข้าใจในกันและกันคืออะไร  ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด...มันไม่ใช่ความรู้สึกว่ารักหรอกเหรอ?

     

    เมื่อลูกโตพอ  ลูกจะเข้าใจในคำพูดของพ่อ

     

    ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อจากข้าไป  แต่บาดแผลที่เกิดจากอาคมช่างสาหัสนัก   ขนาดหมอยาแสนเก่งกาจเกือบสิบชีวิตซึ่งยังไม่นับรวมเหล่านักเวทย์มากมาย ที่ต่างช่วยระดมความรู้และฝีมือเพื่อแก้อาถรรพ์กันอย่างสุดความสามารถก็ไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง

     

    ลูกกับท่านปู่ควรทำเช่นไรดี...ท่านพ่อ

     

    เมื่อไรพ่อจะตื่นขึ้นมาคุยกับลูก  กับท่านปู่  กับทุกคน  ...ลูกขอร้องพ่ออย่านอนหลับแบบนี้ต่อไปอีกเลยนะ

     

    แม้พญากุมภีร์น้อยจะเอ่ยปากวอนขอ  แต่ทว่าใบหน้าคมงามก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง  มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่คอยบ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังมีชีวิตอยู่

     

    ยิ่งมองก็ยิ่งคิด  จิตใจเลยยิ่งห่อเหี่ยวด้วยความสิ้นหวัง ...หรือพ่อไม่รักลูกแล้วถึงได้เอาแต่นอนไม่ยอมตื่นขึ้นมาเช่นนี้   

     

    หากชั่วแว่บนึงที่กำลังใจหมดลง  ใบหน้าของเด็กน้อยบางคนกลับผุดขึ้นมาในความคิด...ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วป่านนี้น้องไกรทองจะเป็นเช่นไรหนอ? จะคิดถึงข้าหรือไม่?

     

    ยามเมื่อได้นึกถึงดวงตาใสบริสุทธิ์กับแก้มแดงๆ กับใบหน้าที่ชอบประดับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสานั่นทีไร  หัวใจของเขาก็มักจะชอบพองโตและเต้นระรัวจนแทบล้นทะลักออกมานอกอกเสียให้ได้

     

    ใจเอ๋ยใจ...เหตุฉไนจึงเต้นแรงถึงเพียงนี้ มิได้ทรมาณ มิได้เจ็บปวดแต่หัวใจกลับรู้สึกสุขเสียจนล้นปรี่

     

    ถ้าน้องไกรทองมายืนอยู่ข้างกาย  เขาคงต้องอดไม่ได้แน่ที่จะคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดให้รัดแน่น  หอมแก้มแดงสองข้างนั่นหลายๆฟอดให้หน่ำใจ  นั่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าและยิ้ม หัวเราะไปกับเรื่องสนุกที่ชอบเล่าให้ฟัง

     

    หากเขาสามารถสะสางงานทั้งปวงทั้งหลายแหล่นี้หมดสิ้นไม่เหลือ และอาการของพ่อดีขึ้นมากกว่านี้  ชาละวันยิ้มหมายมั่นในใจว่าจะรีบขึ้นไปด้านบนไปหาเจ้าตัวเล็กทันที.....รอพี่ก่อนนะน้องไกรทอง

     

    ความยินดีปรีดาของพญากุมภีร์น้อยช่างแตกต่างลิบลับกับความเศร้าสร้อยของน้องชายตัวน้อยที่บัดนี้กำลังยืนซึมเศร้าอยู่ตรงท่าเรือ

     

    เจ้าตัวเล็กคอยเอาแต่ชะเง้อชะแง้คอยืดยาวมองหาพี่ชาละวันว่ายามใด  จะมาหาเขาตามที่เคยสัญญากันเอาไว้เพราะตอนนี้ตัวเขาต้องรีบเดินทางกลับไปยังคุ้งใต้โดยไวก่อนกำหนด

     

    ใจไกรทองร้อนลนที่เฝ้ารอเท่าไหร่คนที่เฝ้ารอก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น  แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีกิจธุระยุ่งมากจนไม่สามารถมาได้ในวันนี้  แต่เขาก็อยากจะรอด้วยความหวัง 

     

    อยากเจออีกสักครั้งเพื่อจะได้ร่ำลาพี่ชาละวันก่อนจะกลับบ้าน...พี่อยู่ที่ไหนทำไมยังไม่มาหาอีก ไกรทองจะต้องไปแล้วนะพี่ชาละวัน

     

    ทางด้านขุนไกรได้นั่งรออยู่ด้านในเรือคอยให้ลูกชายมีโอกาสล่ำลาเพื่อน  แม้จะรู้สึกสงสารลูกน้อยเพียงใดที่ต้องจากลาเพื่อนสนิท  แต่เขาจำต้องแข็งใจพาลูกไปจากที่นี่...  เพื่อความปลอดภัย

     

    ขุนไกรนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนหน้านี้  ที่เขาตัดสินใจเร่งเก็บสัมภาระ  ลากเจ้าลูกชายตัวดีให้กลับบ้านไปด้วยกัน  ไม่ฟังเสียงร้องแง้วๆให้ใจเขว

     

    เด็กน้อยนั่งมองพ่อเก็บของอยู่เงียบๆโดยไม่กล่าวอะไรจนผู้เป็นขุนไกรทนไม่ไหวต้องหันหน้ามามอง

     

    โกรธพ่อเหรอ?”

     

    ปล่าว”  ไกรทองสะบัดหน้าหันไปอีกทางพร้อมบู้ปากน้อยๆเป็นอาการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า...น้อยใจ

     

    เฮ้อ...ไอ้เจ้าลูกคนนี้ตั้งแต่มาอยู่คุ้งเหนือมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็น้อยใจ...ตกลงมันเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันแน่ว่ะ ข้าชักจะเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสิ

     

    ขุนไกรส่ายหัวให้กับท่าทางแปลกๆของเจ้าตัวเล็กที่นิสัยแปลกขึ้นทุกที    ลูกใช่ไหม?  ที่เราจำเป็นต้องเร่งกลับคุ้งใต้ในวันพรุ่งนี้  ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกนะ

     

    นิ่ง...ไอ้เจ้าตัวเล็กก็ยังนั่งเฉยไม่ยอมหันกลับมามองพ่อเหมือนเดิม ... คงจะมีแต่คนเอาอกเอาใจมากไปหน่อย ลูกชายคนเดียวของเขาถึงได้นิสัยขี้น้อยใจติดตัวมาด้วย...ใครกันน้า? หรือว่าจะเป็นไอ้คำ  ก็น่าจะเป็นไปได้  ...ไอ้หมอนี่เห่อลูกข้าหยั่งกับเป็นลูกชายแท้ๆของตัวเอง   สงสัยคราวหน้าที่มาต้องเอ่ยปากเตือนกันสักหน่อยแล้วไอ้คำ

     

    ถึงจะคิดว่าคราวหน้าฉไนลึกๆในหัวใจกับวูบหายราวจะบอกว่าไม่มีคราวหน้าสำหรับข้าอีกแล้ว

     

    ไหนลูกลองท่องคำพูดที่หลวงตาฝากมาบอกพ่อให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่?” ขุนไกรเอ่ยปากชวนไกรทองคุย  เพื่อเบี่ยงความสนใจให้หันกลับมาคุยกับเขา  แทนการหันหน้าหนีซุกตัวเข้ามุมห้องเยี่ยงนี้

     

    กรรมเก่าจะกลับมา  ดึงโชคชะตาผกผัน  หนึ่งจำใจต้องแยกจากของรักข้างกายพลัน  จนก่อเกิดศึกรบราฆ่าฟันสองพงศ์พันธุ์  หากไม่เร่งแก้ไขให้คลายเคลื่อน  คงจะมีแต่เลือดไหลจองนองทั่วธารา

     

    ไกรทองยอมหันหน้ากลับมามองแล้วคลานเข้าไปมากอดเอวพ่อเอาไว้

     

    มันหมายถึงอะไรหรือจ๊ะพ่อ? เพราะคำพูดนี้หรือปล่าวเราถึงอยู่คุ้งเหนือต่อไปไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมจ๊ะ?”

     

    ขุนไกรลูบหัวลูกชายเบาๆสายตาเหม่อมองไปด้านนอก  แสงดาวเปล่งประกายระยิบระยับสวยงามบนท้องฟ้าจนงามจับตา  ต่างจากหัวใจของเขาที่มันช่างมืดมิดยิ่งกว่าผืนฟ้าในคืนเดือนมืด

     

    ลูกยังเล็กนักไกรทอง”  ใช่...เจ้ายังเล็กนักไกรทอง  เล็กเกินกว่าจะต่อสู้โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ได้เพียงลำพัง...พ่อไม่อยากให้ลูกต้องเป็นเหมือนพ่อในอดีต

     

    ...นอกจากไอ้คำที่เรียกเต็มปากได้ว่าเป็นเพื่อนแท้   ตัวเขาก็ไม่เคยมีสหายยืนเคียงข้างเลยสักคนเดียว

     

    เวลาผ่านเลยมาจนตะวันเกือบตรงหัว  แม้ใจจริงเขาอยากจะปล่อยให้รออีกหน่อย แต่เวลาไม่คอยท่า...ยิ่งไปจากที่หมู่บ้านโดยไวได้ยิ่งเป็นการดี  

     

    ไกรทองถึงเวลาออกเรือแล้วลูก”   ขุนไกรจึงจำใจต้องเรียกลูกชายให้ขึ้นเรือเพื่อที่จะออกเดินทาง

     

    รออีกสักนิดนะจ๊ะพ่อ  เจ้าตัวเล็กหันไปต่อเวลากับขุนไกร  แต่ก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาแทนไกรทองจึงฝืนใจก้าวลงเรือ

     

    ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วจริงๆสินะ   เขายังไม่อยากกลับเลย   ถึงที่นู่นจะมีแต่ญาติผู้ใหญ่ใจดี  เพื่อนเล่นเยอะแยะ  แต่ที่นี่กลับสร้างความผูกพันได้มากกว่าที่เขาเติบโตมาด้วยซ้ำ ...ไม่รู้ทำไม

     

    ถึงแม้เรือจะแจวออกมาไกลจนมองไม่เห็นท่า  แต่สายตาของไกรทองนั้นยังคงเฝ้าคอยเหลียวมองหาคนที่อยากเจอจนตาละห้อย และยิ่งเมื่อพ่อแจวเรือผ่านริ่มตลิ่งที่เขาชอบเดินเที่ยวกับพี่ชาละวันเป็นประจำ เจ้าตัวเล็กก็ยิ่งจ้องมองไม่ยอมคลาดสายตาคล้ายจะจดจำเอาไว้ไม่ให้ลืมจนกระทั่งลาลับสายตาไป

     

    ไกรทองซบหน้าลงบนห่อสัมภาระพยายามเก็บซ่อนความเศร้า  ความขมขื่น  ยามต้องพรากจากพี่ชายอันเป็นที่รัก...จิตใจของเขารู้สึกปวดหนึบและมึนชาอย่างบอกไม่ถูก

     

    จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก  พ่อเคยบอกไว้ว่าอาจจะนานเป็นปีกว่าที่เราจะกลับมาอีกครั้ง  แล้วอย่างนี้ถ้าเจอกันอีกครั้ง  พี่ชาละวันจะยังจำกันได้อยู่หรือปล่าวนะ.....จริงด้วย!’

     

    มือเล็กๆหยิบถุงผ้าปักอันน้อยออกจากห่อสัมภาระขึ้นมาดู  นึกย้อนถึงยามที่ได้รับเจ้าสิ่งนี้มาจากคนสำคัญ

     

    'ถุงผ้าปักใบนี้พี่มอบไว้ให้น้องไกรทองแทนตัวพี่  ส่วนของข้างในอาจจะดูเหมือนไม่มีราคาค่างวดมากนัก แต่คุณค่าของมันนั้นยิ่งใหญ่เหลือคณา'

     

    ไกรทองรับถุงผ้าปักมามองด้วยความสนใจใคร่รู้

     

    'อะไรอยู่ในนี้เหรอพี่ชาละวัน'

     

    ชาละวันยิ้มและบอกเพียงแค่สั้นๆว่า  ' เมื่อถึงยามจำเป็นจะรู้เอง '

     

    ไกรทองจึงพยักหน้าอือออตามคำบอกพี่ชาละวันด้วยความเคยชิน  ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มขอบคุณตามที่พี่ชาละวันเคยสอนไว้เล่นเอาคนถูกหอมพอใจจนยิ้มแก้มปริจนหุบไม่ลง

     

    เจ้าตัวเล็กค่อยๆเปิดดูข้างในถุงผ้าปักก็พบของลักษณะกลมๆเล็กๆ ใสสะอาดคล้ายลูกแก้วธรรมดา  แต่ความรู้สึกของเขากับไม่คิดว่าเจ้าลูกแก้วนี่มันมีอะไรที่พิเศษแฝงอยู่ด้านใน  แค่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรก็เท่านั้นเอง   อืม...ก็พี่ชาละวันเคยบอกเอาไว้แล้วนิว่ามันไม่ใช่ของราคาแพง  

     

    ...ไกรทองจะถือให้เจ้านี่เป็นตัวแทนของพี่แล้วกันนะ

     

    เด็กน้อยส่งยิ้มให้กับลูกแก้วในมือแทนตัวคนคิดถึงที่ห่างไกลกัน  ก่อนจะเก็บเจ้าลูกแก้วใส่กลับไว้ในถุงผ้าปักดังเดิม   กอดแนบอกอย่างทะนุถนอม

     

    เอาไว้ไกรทองโตขึ้น .....ไกรทองจะกลับมาหาพี่ชาละวันนะ

     

    มึงจงฟังกู   เชื่อฟังกู   อย่าคิดขัดขืนกู    ใจมึงคือทาสกู    กายมึงเป็นขี้ข้ากู     เมื่อกูสั่งมึงจงทำ   เมื่อกูสั่งมึงจงลงมือ   กูคือนายของมึง  มึงไม่มีทางขัดขืนกูได้

     

    เสียงร่ายมนต์คาถาดังแว่วเข้าหูผู้นอนนิทราร่วมสามวัน   ไม่มีผู้ใดรู้  ไม่มีผู้ใดได้ยิน   ไม่มีผู้ใดระแคะระคาย   ขนาดท้าวรำไพผู้เกรียงไกรก็ยังมิรู้ถึงความผิดปกติ  ที่กำลังเกิดขึ้นในตัวลูกชาย

     

    ...นี่สินะที่เขาเรียกว่ากรรมไม่ว่าจากอดีตชาติ  ปัจจุบันชาติ  แม้จะเกิดมาสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย  เมื่อถึงยามเวลาต้องที่ชดใช้ก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นได้ 

     

    ยามเมื่อหูได้สดับรับฟังเสียงสวดนี้  ร่างกายและจิตใจของท้าวโคจรก็บังเกิดอาการร้อนรุ่มดั่งถูกไฟแผดเผา  ...ร้อนข้าร้อนเหลือเกิน  ทรมาณข้าทรมาณ   มันเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของข้าเหตุฉไนถึงได้เป็นเยี่ยงนี้

     

    เสียง?...เสียงของผู้ใดกัน  ทำไมถึงมีอิทธิพลกับข้าได้ถึงเพียงนี้  ...ใคร...มันเป็นใครกัน  เสียงช่างคุ้นหูข้ายิ่งนัก

     

    เขาอยากกระดิกตัวหรือแม้แต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อหนีจากความทรมาณนี้   ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกับตกอยู่ในมนต์สะกดตรึงให้อยู่กับที่ก็ไม่ปาน

     

    คาถานี้...บทสวดนี้...ไม่จริง!!!  ไม่ข้าไม่ยอมเป็นทาสให้เอ็งเด็ดขาด   อึก!!!อย่ามาบังคับข้า ...อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนข้าได้!

     

    เอ็งขัดขืนไม่ได้หรอกไอ้โคจร...โอม... เอ็งจงฟังกูนับแต่บัดนี้   กูคือนายของเอ็ง   และชีวิตของเอ็งเป็นกูไปชั่วนิรันดร์  จนกว่าวิญญาณมึงจะแหลกสลาย  มึงก็หนีไปจากกูไม่พ้น

     

    อ๊าก!!!!!!  

     

    ใครก็ได้ช่วยข้าที...ใครก็ได้!

     

     “จงไปอาละวาดฆ่าชาวบ้าน   ให้ทั่วคุ้งน้ำเต็มไปด้วยเลือด...จงไป! ไปเดี๋ยวนี้!”

     

    พรึ่บ!! 

     

    จากคนนอนหลับนิ่งไร้สติมานาน ...ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาลุกนั่งดั่งปกติ  ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆหลงเหลืออยู่  สร้างความปิติให้แก่เหล่าผู้รับใช้ถวายงานเป็นอย่างมาก

     

    ทั้งตำหนักบังเกิดความสบสนอลหม่าน  เสียงผู้คนร้องตะโกนกันดังลั่น  จนลืมสังเกตกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนายเหนือหัว...สายตาแข็งกร้าว  ตาไม่มีแววของสิ่งมีชีวิต  

       

    ท่านฟื้นแล้ว...เร็ว!เจ้ารีบไปส่งข่าวแก่ท้าวรำไพว่าท้าวโคจรฟื้นแล้ว

     

    ท่ามกลางความวุ่นวายอื้ออึงรอบตัวของข้าราชบริพาร  พญากุมภีร์หนุ่มกลับส่งเสียงแผดร้องคำรามดั่งลั่น อ๊ากกก!

     

    ท้าวโคจรร้องเสียงดังกึกก้องไปทั่วคุ้งน้ำ  สั่นสะเทือนถึงแผ่นดิน  ก่อนจะพุ่งทะยานตัวออกไปด้านนอกโดยไร้ผู้ขัดขวาง   ดวงตางดงามฉายแสงสีแดงกล่ำเหมือนสีเลือด

     

    ท้าวรำไพที่บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ด้านใน  ผวาตกใจเมื่อได้ยินเสียงกู่ร้องนี้   แต่ท่านกลับขยับเขยื้อนกายมิได้   เนื่องจากถูกขัดขวางเอาไว้

     

    อย่าฝืนเลยท้าวรำไพ   นี่คือชะตากรรม  หากพวกท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ยิ่งจะทำให้  บ่วงกรรมเกิดการบิดเบี้ยว ...นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยท้าวโคจรได้

     

    ท้าวรำไพข่มความเจ็บปวดนั่งภาวนาอยู่ในใจ...เกิด แก่  เจ็บ  ตาย  นั้นคือสัจธรรม  แม้จะรู้แต่อดไม่ได้ที่จะโศกเศร้าและทำใจไม่ได้   ที่มาสามารถช่วยเลือดในอกให้รอดพ้นจากความตาย

     

    แล้วชาละวันล่ะท่าน?”  เมื่อมีภัยถึงโคจร  หลานชายของเขาต้องไม่อยู่เฉยแน่ๆ

     

    ข้าสะกดให้เด็กนั่นหลับใหลอยู่  หากข้าไม่คลายมนต์เขาก็ไม่ตื่น

     

    พญาภุมภีร์สูงวัยพยักหน้าเข้าใจและยอมรับ...ต้องบอกว่า  ฝืนใจให้ยอมรับถึงจะถูกต้องกว่า  

     

    ท้าวโคจรกลายร่างจากกึ่งมนุษย์   กลายเป็นจระเข้ยักษ์ว่ายขึ้นไปด้านบน  ท่านมิสนใจรับรู้สิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากคำสั่ง...คำสั่งในหัวของเขา

     

    ฆ่าชาวบ้านให้หมดตามคำบัญชา

     

     

     

    *************สปอยหน่อยเถอะ*************

     

     

    แงๆๆๆๆT^T ในที่สุดไรเตอร์ก็ได้เขียนถึงตอนนี้ซะที(นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว -.,- )ต้องขอขอบคุณคนอ่านเละคนเม้นทุกคนที่ให้กำลังใจไรเตอร์เพราะไรเตอร์ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไร แหะๆ^[+++]^ แต่ทุกคนก็ยังอ่านและให้กำลังใจขอบคุณอีกครั้งนะคะ

     

    ปล.2 เคยมีเพื่อนถามไรเตอร์คะว่าขุนไกรกับโคจรเนี่ยเป็นแบบนักกล้ามใช่มั้ย?...ไรเตอร์ขอบอกว่าไม่คะเพราะไรเตอร์น่าจะเขียนอธิบายไว้แล้วนะคะว่าขุนไกรรูปร่างสูงโปร่งไม่ใช่หนา...ไม่ใช่บอบอบาง(หุ่นผู้ชายธรรมดานะคะ) และไรเตอร์เขียนประมาณว่าโคจรตัวหนากว่าขุนไกรไม่เท่าไร(แสดงว่ากล้ามกำลังสวยพอดีๆนั่นแหละคะ)...เอาแบบนี้ละกันหุ่นของโคจรจะหนาพอๆกับซีวอนแห่งซุปเปอร์จูเนียร์นะคะ(รู้จักกันใช่มั้ย)หวังว่าจะเห็นหุ่นกันง่ายๆนะคะ

     

    ไปละบาย(^o^)/ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า...อิอิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×