ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #10 : ไกรทอง ตอนที่6 (แก้ไข)

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 58


    ความฝันอันแปลกประหลาดของเขาในครั้งนี้  นอกจากเจ้าต้นไทรต้นใหญ่ที่คุ้นเคยยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางความว่างปล่าวสีขาวโพลนนี้แล้ว   เขาก็ไม่เห็นมีสิ่งชีวิตหรือพรรณไม้อื่นใดนอกจากต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ต้นเดียว 

     

    ...ฝันแปลกจริงๆด้วย   ทำไมในฝันของข้าถึงมีเจ้าต้นไทรต้นนี้ด้วย  หรือว่ามันต้องการจะบอกสิ่งใดแก่ข้า...หรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่นะ  เจ้าเคยบอกข้าไว้ว่าต้นไทรนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่   หากวันใดที่กายเจ้าไม่อยู่กับข้า  ก็จะมีผู้ที่ไว้ใจได้คอยปกป้องข้าแทน

     

    สองเท้าขยับเข้าไปใกล้  สองมือลูบคลำต้นไม้อย่างแสนคิดถึงอดีตในวันวาน  ...หลังจากวันนั้นเจ้าเคยกลับมาที่นี่บ้างหรือไม่   เคยลืมเลือนข้าไปจากหัวใจของเจ้าหรือไม่........เจ้าเคยหมดรักข้าหรือไม่...โคจร  

     

    ทันใดนั้นก็มีมือของใครบางคน ดึงร่างของเขาเข้ามากอดอย่างแนบแน่นราวกับจะหลอมรวมสองร่างให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้จะรู้สึกอึดอัดไปบ้างแต่ผู้ถูกกอดก็มิได้ต่อว่าอะไร นอกจากซบหน้าลงบนอกแกร่งของเจ้าของร่างสูงด้วยความคิดถึงเช่นกัน

     

    ร่างสูงเชยคางใบหน้าคมสันขึ้นมาพร้อมมอบจูบอันอ่อนโยนอยู่เนิ่นนาน  ราวกับต้องการชดเชยในวันเวลาที่พวกเขาทั้งสองต้องห่างหายกันไปนานแสนนาน   

     

    ก่อนที่อีกฝ่ายจะผลักเขาออก  แล้วก้มหน้ามากระซิบเบาๆข้างหูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังว่า 'ข้ารักเจ้า'

     

    ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรตอบกลับไปอย่างที่ใจเขานึก  จู่ๆร่างสูงก็เป็นฝ่ายถอยออกห่างแล้วหันหลังก้าวเดินจากไป   ไม่ว่าเขาจะร้องเรียกเท่าใดร่างสูงก็ไม่หันยอมกลับมา  แม้นเขาพยายามวิ่งไขว่คว้าเท่าใดร่างสูงก็กลับยิ่งหนีห่างไกลไปมากขึ้นเท่านั้น

     

    เจ้าจะไปที่ใด...โคจรกลับมาก่อน  อย่าไปทางนั้น...อย่าไป!!...อย่า!!!

     

    อ๊ะ!

     

    ขุนไกรสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมาจากความฝัน เหงื่อผุดซึมเต็มหน้า สองมือขยุ้มผ้าห่มจนเล็บขาวซีด ก่อนเหลียวมองไปรอบตัวเพื่อปรับสติให้เข้าที่เข้าทาง

     

    ข้าฝันไปหรือเนี่ย  ...ข้างนอกยังมืดอยู่เลย  แต่เพราะฝันประหลาดนั่นทำให้ข้าหลับไม่ลงเสียแล้ว

     

    ขุนไกรขยับผ้าคลุมห่มให้ลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ข้างกัน  แล้วค่อยๆลุกย่องลอดมุ้งออกไปอย่างแผ่วเบาเกรงลูกจะตื่น

     

    เขาเลือกจะมายืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าบนระเบียงบ้านเพื่อทบทวนความฝันเมื่อสักครู่

     

    ดาวจระเข้ขึ้นแล้วอีกไม่นานฟ้าก็คงจะสางแล้วสินะ

     

    จระเข้.....กุมภีร์.....ยามเมื่อคิดถึงและโหยหาขอเพียงแค่ได้มองดูดาวกลุ่มนี้ก็สุขใจเหมือนได้อยู่เคียงข้างกายของเจ้าดั่งเช่นในอดีต

     

    ทำไมจะต้องฝันห็นเจ้าเดินจากข้าไปเช่นนี้ด้วย  ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยตอนนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ.....บาดแผลที่เกิดขึ้นกับเจ้าวันนั้นคงหายดีแล้วสินะโคจร

     

    ขอให้เทวดาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยปกป้องคุ้มครองให้โคจรรอดพ้นจากภยันอันตราย   สิ่งชั่วร้ายที่มุ่งหมายเอาชีวิต   ขอให้เขาปลอดภัยด้วยเถิด

     

    แม้ใจจะพยายามไม่ให้คิดมาก  ห่วงมาก ก็ไม่เป็นผล  อย่างน้อยๆก็ลองไปที่นั่นดูแล้วกัน   เผื่อบางทีข้าอาจจะคิดถึงที่แห่งนั้นมากเกินไป  จนเก็บไปฝันแล้วโยงมาถึงหมอนั่นด้วย  เลยกลายเป็นฝันมั่วซั่วแน่ๆ

     

    ...ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ

     

    อืม...ตั้งแต่ย้ายตัวเองไปอยู่ที่คุ้งใต้นานเกือบสิบปี  หลายอย่างในป่านี้นับว่าเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว ถ้าเทียบกับในสมัยนั้นแล้ว ...มันดูแปลกตาไปหมด

     

    ตรงนี้มันเคยมีต้นมะม่วงป่าอยู่ต้นหนึ่ง ยามเมื่อสุกเต็มที่ ใครบางคนมักจะชอบปีนป่ายเก็บมาให้เขากินอยู่เสมอ จนบางครั้ง หรือหลายครั้งที่เขาเอียนมะม่วงจนไม่รู้สึกอยากจะกิน

     

    เจ้าจะบ้าเหรอ  เล่นเก็บมากองพะเนินแบบนี้ใครจะกินหมด’ 

     

    ทำไมจะไม่หมด  มะม่วงสุกพวกนี้รสหวานอร่อยกำลังดีเลย  ถ้าเจ้าไม่กินข้ากินเองก็ได้...บอกไว้ก่อนนะห้ามมาแย่งข้ากินทีหลังนะจะบอกให้

     

    นับว่าสมราคาคุยจริงๆ   ไอ้มะม่วงสุกกองพะเนินเป็นสิบลูก  ถูกเจ้าโคจรสวาปามหมดไม่มีเหลือ ขนาดเมล็ดยังเอามาดูดจนแห้ง.....ชอบกินของหวานๆจริงๆเลยนะเนี่ย  ขัดกับรูปบร่างหน้าตาเจ้าสุดๆ

     

    ผิดด้านกับมะไฟป่าสองต้นนี้ พวกมันยังคงยืนต้นอยู่คู่กันตรงนี้เหมือนเดิม มะไฟต้นหนึ่งจะมีรสเปรี้ยวจนเข็ดฟัน ส่วนอีกต้นหนึ่งจะมีรสหวานอร่อย

     

    'บอกแล้วว่าอย่ากินมะไฟต้นนั้น เป็นไงเปรี้ยวเสียจนลืมตาแทบไม่ขึ้นเลยสิ มันต้องมะไฟต้นนี้สิถึงจะหวานอร่อยลองชิมดูสิขุนไกร'

     

    ...อืม   หวานกำลังดีเลย  เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าต้นไหนเปรี้ยว  ต้นไหนหวาน ...อ๋อ  ข้ารู้แล้ว  เจ้าเคยกินไอ้ต้นเปรี้ยวๆนี่ล่ะสิถึงได้รู้ดี

     

    ปล่าว   มะไฟสองต้นนี้ข้าเป็นผู้ปลูกเอง  ทำไมข้าถึงจะไม่รู้ล่ะว่าต้นไหนเปรี้ยว  ต้นไหนหวาน

     

    ลืมไป   เจ้าอายุตั้ง ...หึหึ...  นี่เนอะ  แก่กว่าข้าตั้งหลายรอบ’  หึ...ชอบทำเหมือนข้าเป็นเด็กน้อยดีนัก ขอกัดให้เจ็บสักหน่อยเถอะ  จะได้หายเคืองใจ

     

    ใช่  แก่ๆแบบนี้แต่ก็ยังมีแรงเหลือเฟือ  สามารถทำให้เจ้าร้องครางได้ครั้งละหลายรอบแล้วกัน  เจ้าหนูขุนไกร

     

    ฮึ่ม!นอกจากจะตอกกลับมาให้ข้าหน้าแดงแล้ว  เจ้ายังมาหยิกแก้มเหมือนเป็นข้าเด็กน้อยอีก...จะหยามกันเกินไปแล้วนะ  เจ้าบ้าเอ๊ย!

     

    ส่วนบริเวณตรงนี้ก็เคยเป็นดงของเหล่าดอกมะลิป่า ที่มักจะชอบส่งกลิ่นหอมหวลชวนฝันให้ฟุ้งขจรขจายไปทั่ว 

     

    'ดอกมะลิพวกนี้ถึงแม้จะดูเรียบๆ แต่เจ้าดูสีของมันสิ ดอกมะลิช่างขาวบริสุทธิ์และมีกลิ่นหอมน่าหลงใหลเหมือนดังเช่นเจ้า ขุนไกร'

     

    งั้นเหรอ  ข้าว่าผิวข้าคล้ำแดดออกไม่เห็นจะขาวตรงไหน

     

    เด็กน้อยเอ๊ย  เจ้าแกล้งไม่รู้ความนัยของข้าหรือนิสัยพาซื่อจริง...ข้าหมายถึงภายในของเจ้านั้นมีจิตใจดีและยังมีกลิ่นกายหอมชื่นใจข้าเหมือนดอกมะลิป่าเหล่านี้ต่างหาก

     

     เออ   ข้ารู้หรอกว่าความนัยของเจ้านะคือชมข้าแต่ขอได้ไหม  อย่ามาทำตาวิบวับใส่กันแบบนี้สิว่ะ   ข้าอายจนหน้าร้อนแทบไหม้ไปหมดแล้ว

     

    ร่างสูงสันทัดเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ  ลัดเลาะไปตามทางนู่น ทางนี้ตามเส้นทางในป่าด้วยความคุ้นชินและชำนาญทาง จนมาพบกับต้นไทรต้นใหญ่อายุเกือบร้อยปี  ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางมวลหมู่แมกไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์

     

    และห่างออกไปจากตรงนี้ประมาณสามสิบก้าวก็จะมีกระท่อมไม้เล็กๆอยู่หนึ่งหลัง  ซึ่งถูกปลูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆแต่แข็งแรงทนแดด  ทนฝนได้เป็นอย่างดี

     

    กระท่อมหลังน้อยนี้  เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพญากุมภีร์นามว่าโคจร...บนโลกมนุษย์แห่งนี้  ทั้งๆที่กาลเวลาผ่านเลยมาเป็นสิบปีแต่ทำไมกระท่อมถึงดูไม่ทรุดโทรมลงเลย 

     

    ขามั่นใจคงจะต้องมีใครบางคนคอยมาหมั่นดูแลรักษา เพราะทั้งที่นอน หมอน มุ้ง ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิมแม้จะเก่าไปบ้างก็ตาม

     

    ใครกันนะที่มาดูแลรักษากระท่อมแห่งนี้? เพราะนอกจากข้ากับเจ้าแล้วก็ไม่มีใครที่รู้จักที่นี่” 

     

    ข้าคงได้แต่หวังว่าจะใช่เจ้านะโคจร....แต่พอมาคิดๆดูแล้วก็คงไม่ใช่เจ้าหรอก  ใครล่ะอยากจะมาเพื่อนึกถึงอดีตที่หวานอมขมกลืน...ขนาดข้ายังหนีไปเพื่อลืม  เจ้าคงทำเช่นเดียวกับข้าสินะ

     

    ขุนไกรล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจ  เขาปล่อยใจล่องลอยนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในยามเช้าก่อนจะมา ณ ที่แห่งนี้

     

    เจ้าตัวเล็กลูกชายของเขา ผู้ซึ่งเป็นกำลังใจหนึ่งเดียวที่คอยเป็นผู้ค้ำจุนและประคับประคองจิตใจให้เขามาจนถึงทุกวันนี้ ...นอกจากเขาคนนั้นแล้ว  ชีวิตของข้าก็คือลูกชาย  ...รักชั่วชีวิตคือโคจร    รักแห่งสายเลือดคือไกรทอง   ทั้งหัวใจของข้าสามารถมอบใจรักให้ได้เพียงแค่สองคนนี้เท่านั้น

     

    ไกรทองลูกเป็นอะไรไปนั่งซึมเชียว?”

     

    ขุนไกรเอ่ยถามลูกชายจอมแสบ  ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งซึมกระทืออยู่บนแคร่หน้าบ้านไม่ยอมลุกไปไหนและก็เป็นเช่นนี้มาได้สองวันแล้ว  ทั้งๆที่ปกติต้องรีบวิ่งแจ้นออกไปเล่นกับเพื่อนใหม่แต่เช้าตรู่กว่าจะกลับมาก็เกือบเย็นย่ำ

     

    แต่เจ้าลูกชายกลับทำแค่เงยหน้าขึ้นมามองพ่อบังเกิดเกล้า  เพียงแว่บเดียวแว่บเดียวเท่านั้นก่อนจะส่ายหน้าไปมา ทำให้ขุนไกรยืนกอดอกมองสภาพอย่างนึกแปลกใจปนหมั่นไส้เล็กๆ...หัวเท่ากำปั้นมันรู้จักมีความทุกข์แล้วรึ?

     

    งั้นลูกคงปวดท้อง?”  สงสัยเมื่อวานคงจะเผลอกินอะไรผิดสำแดงมา

     

    ปล่าว

     

    บ๊ะ! ไม่ใช่งั้นเรอะ  ...ถ้าไม่ปวดท้องก็คง...........

     

    ปวดหัว?”

     

    ไม่ใช่

     

    อ้าว! เดาสองรอบแล้วแล้วยังไม่ถูกอีก   สรุปแล้วข้ามีลูกชายหกขวบหรือมีตาแก่ย่อร่างเป็นเด็กเป็นเด็กหกขวบกันแน่ว่ะ.....คนอะไรปากหนักหยั่งกับมีหินถ่วงปาก

     

    ขุนไกรเอามือนวดขมับอย่างคนคิดไม่ตก มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของเขากันแน่เนี่ย?

     

    แล้วความคิดก็พลันนึกไปถึงตนเองในอดีตที่เคยมีอาการเหมือนลูกชายในตอนนี้ไม่มีผิด แต่ตอนนั้นตัวเขากำลังกลุ้มใจในเรื่องของความรัก

     

    ...บ้าน่าจะเป็นไปได้ไง ตัวเท่าเมี้ยงมันจะริมีความรักแล้วรึ และความคิดเหล่านั้นพลันหยุดลงเมื่อได้ยินคำตอบแสนแผ่วเบาจากปากเจ้าตัวเล็ก

     

    เพื่อนไม่ว่างมาเล่นด้วยไม่ได้

     

    อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง หลงกลุ้มใจตั้งนาน

     

    คนเป็นพ่อทรุดนั่งลงข้างๆโอบบ่าลูกน้อยเอาไว้พร้อมเอ่ยปลอบใจ  “จะเศร้าไปทำไมที่เพื่อนมาเล่นกับลูกไม่ได้ แสดงว่าเพื่อนคนนั้นอาจติดธุระสำคัญมากๆ

     

    ไกรทองเข้าใจแต่ไกรทองเหงา.......

     

    ไกรทองนั่งห่อไหล่กอดเข่าเอ่ยเบาๆด้วยนัยต์ตาแสนเศร้าสร้อย...ทำไมกันแค่ไม่ได้มาเจอกันแค่สองวันหัวใจรู้สึกเปลี่ยวเหงาจัง.....ไกรทองคิดถึงพี่ชาละวันจังเลย

     

    ขุนไกรมองเจ้าตัวเล็กอย่างนึกเห็นใจ  อยากให้ลูกชายแสนร่าเริงกลับมาเสียจริง  เพื่อนปริศนาคนนั้นเป็นใครกันนะถึงสามารถทำให้ลูกชายของเขาเป็นได้ถึงขนาดนี้  ถึงจะเคยถามอยู่หลายแต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร ชื่ออะไร?

     

    ....ทำเป็นความลับเชียวนะเจ้าลูกชาย...

     

    ถ้างั้นวันนี้ลูกก็ไปหาหลวงตาคงที่กุฎิซะสิ

     

    หลวงตาคง?”

     

    พระที่พ่อเคยพาไปกราบและบอกว่าเป็นตาแท้ๆของเขานะหรือ

     

    อืม...นับตั้งแต่เรามาอยู่คุ้งเหนือ ลูกยังไม่เคยไปหาหลวงตาคงจริงๆจังๆสักหนเลยนะ

     

    แต่พ่อเคยบอกว่าหลวงตาจะออกธุดงค์ในป่าหลังวันออกพรรษาไม่ใช่เหรอ?”

     

    พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าไหนๆวันนี้ก็ว่างทั้งวันแล้ว ไปหาหลวงตาเถอะจะได้ไม่เหงา หรือถ้าท่านติดกิจอยู่  ลูกก็ไปหาไอ้คำแทนก็ได้   เห็นมันบ่นว่าอยากให้ลูกไปหาอีกสักครั้งสองครั้ง...สงสัยที่บ้านมีแต่ลูกสาวเลยเหงาอยากมีลูกชายมาเล่นด้วย

     

    ดวงตาใสซื่อเอียงคอนึกไตร่ตรองและชั่งใจในคำพูดของพ่อจริงอย่างที่พ่อว่า  ระหว่างที่รอพี่ชาละวันมาหา  เราก็ไปช่วยงานหลวงตาที่วัดหรือไม่ก็ไปหาลุงคำก็ได้

     

    จ๊ะพ่อ

     

    ขุนไกรนั่งมองไกรทองวิ่งไปจนสุดสายตาก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆบ้าน

     

    'ว่าแต่ลูก ตัวเราเองนับตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านก็ยังไม่เคยไปเยือนที่นั้นเลยสักครั้ง ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรหนอ?'

     

    พอมานึกย้อนดูดีๆแล้ว ถ้าหากเขาไม่ตัดสินใจพาลูกมากราบหลวงตาในปีนี้  ไม่รู้อีกเมื่อไรจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหรืออาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิตก็เป็นได้

     

    กี่วันแล้ววันเล่าเฝ้านึกถึง

    ความตราตรึงซึ้งช่านแสนอบอุ่น

    กับรอยรสเคยผ่านหวานละมุน

    ที่หอมกรุ่นไม่รู้จบยังอบอวล

    กล่องเก็บความทรงจำคอยย้ำจิต

    รอยจุมพิตคราหลังยังหอมหวล

    ยังหวานซึ้งดื่มด่ำจึงคร่ำครวญ

    แสนรัญจวนรสสัมผัสถึงปัจจุบัน

     

    ขุนไกรซบหน้าลงกับหมอนใบน้อยเพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาที่หยดไหลออกมา ภายในใจเริ่มหวนรำลึกถึงวันที่โชคชะตาได้นำพาให้พบกับโคจร

     

    ตัวเขาในตอนนั้น กำลังเดินเล่นในตลาดอย่างเพลินใจ เพลินตา ทั้งผู้คนคึกคัก พลุ่งพล่าน ของขายละลานตา เขาเดินดูตามแผงต่างๆ ถึงจะไม่ได้ซื้อแต่ก็รู้สึกสนุกสนานทุกครั้งที่ได้เดินดู

     

    แต่ความรู้สึกดีๆทั้งหมดต้องมอดดับลงเมื่อต้องมาประจันหน้ากับไอ้ขวาน หนึ่งในศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับขุนไกร

     

    เขาไม่เข้าใจ เพราะอะไรไอ้ขวานถึงได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขานัก  ทั้งๆที่เราทั้งคู่ล้วนต่างเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันแท้ๆ   อีกฝ่ายพยายามชิงดีชิงเด่นกับเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนฝึกวิชาหรือแม้แต่การได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์

     

    กะจะเดินตลาดให้สนุกเสียหน่อย ดันมาเจอศัตรูซะนี่แถมพ่วงด้วยลูกสมุนโง่ๆอีกสองคน...ช่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร

     

    เขาไม่ได้กลัวหมอนี่หรอกนะ แต่ถ้าอาจารย์รู้ว่ามามีเรื่องชกต่อยกลางตลาด  มีหวังได้หลังลายเป็นแน่  ครั้นจะให้เดินเลี่ยงหนีไปอาจถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้ขลาด...ชกต่อยก็ไม่ได้ เดินหนีก็ไม่ดี  เฮ้อ!คงต้องเผชิญหน้าให้จบๆไปเสียแล้วกัน

     

    ว่าไง ไอ้ขุนไกรคนจนแบบมึงมีปัญญามาเดินตลาดด้วยรึว่ะ

     

    ลูกพี่พูดจบหมา เอ่อ ลูกสมุนอีกสองตัวต่างช่วยหอนเกรียวกราวเป็นลูกคู่  จ่าฝูงเห่า  ลูกน้องหอน  ช่างดูสามัคคีกันดีแท้...อย่าใส่ใจดีกว่าเดี๋ยวเสียอารมณ์

     

    ก็พอมี อาจารย์วานข้ามาซื้อของและได้ใช้อัฐมาซื้อขนมกินเองพอสมควร

     

    เฮอะ!  เอ็งนี้มันขี้ประจบซะจริงนะไอ้ขุนไกร

     

    ขวานเบ้ปากหมั่นไส้  เกลียดมันจริงๆ ทำไมอาจารย์และใครต่อใครถึงชอบมันนัก  ทั้งที่เป็นแค่เด็กกำพร้าที่อาจารย์เก็บมาเลี้ยงแท้ๆ

     

    ขุนไกรยืนนิ่งไม่สนใจ ปล่อยคำพูดเสียดสีผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  ดังสุภาษิตที่กล่าวว่า  หมากัดอย่ากัดตอบ

     

    หากเอ็งพูดจบแล้วข้าขอตัวล่ะ

     

    ดั่งถูกตีนเหยียบหน้า  เพราะไอ้คู่ปรับดันเลือกเดินผ่านหน้าไป ...มันทำเหมือนข้าไม่เคยอยู่ในสายตา  ด้วยความโมโห   ขวานรีบคว้าไหล่อีกฝ่ายไว้และ เงื้อหมัดจะชกหน้าให้สาแก่ใจ  แต่กำปั้นยังไม่ทันจะสัมผัสใบหน้า  ฝ่าเท้าของขุนไกรก็ถีบเข้าที่ท้องของศัตรูเสียเต็มแรง  จุกจนต้องลงไปนอนกองหมดสภาพ  ส่วนไอ้ลูกน้องทั้งสองเห็นลูกพี่โดนเล่นงานเลยรีบปรี่เข้ามารุม

     

    ...ขอโทษเถอะ ฝีมือกระจอกแค่นี้รึจะคณามือและเท้าของขุนไกร ชั่วอึดใจเดียวมันสองคนได้ลงไปนอนในสภาพเดียวกับไอ้ขวานลูกพี่ของพวกมัน

     

    จริงอยู่แม้ตัวเขานั้นถือคติหมากัดอย่ากัดตอบแต่ถ้าหมามันรุมต้องกระทืบให้หลาบจำ  ขุนไกรขยับจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยปัดเศษฝุ่นผงออกและหันหลังเดินจากมาโดยไม่หันเหลียวแลให้เสียเวลา แต่เขาประมาทสันดานมันเกินไปเลยโดนไอ้ขวานอาศัยจังหวะเผลอคว้าท่อนไม้ข้างตัวลุกวิ่งมาจะฟาดหัวหมายแก้แค้นล้างอาย

     

    ระวัง!!!

     

    เสียงร้องเตือนดังขึ้นพร้อมกับร่างหนาของใครบางคนเข้ามาบังร่างเขาไว้  ร่างนั้นเลยถูกฟาดแทนเขาเสียงไม้กระทบกายดังลั่นเต็มสองหู

     

    ขุนไกรรีบจัดการเตะก้านคอเผด็จศึกใส่ไอ้ขวานสุดแรง   จนมันตาลอยค้างล้มลงไปนอนกับพื้นไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เดือดร้อนไอ้สองลูกสมุนต้องรีบเข้ามาช่วยพยุงร่างลูกพี่จากไปอย่างทุลักทุเลดูน่าสมเพช

     

    สมน้ำหน้าอยากเล่นเป็นหมาลอบกัด  มันก็ต้องโดนสั่งสอนแบบนี้...ว่าแต่พี่ชายคนนั้นเป็นยังไงบ้างนะ...เอาตัวเข้ารับไม้ท่อนเท่าแขนขนาดนั้นคงจะบาดเจ็บไม่น้อย

     

    นี่พี่ชาย  ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บตรงไหนหรือปล่าว?”

     

    ขุนไกรพยายามสอบถามอาการคนแปลกหน้าด้วยความเป็นห่วงจากใจที่อีกฝ่ายอุตส่าหเข้าปกป้อง

     

    ...เล่นเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแบบนี้ หวังว่ากระดูกคงไม่หักหรอกนะ...

     

    ตรงกันข้ามกับคนถูกถามที่ไม่ยอมรับหรือสนใจน้ำเสียงเป็นห่วง  ทำเพียงแค่โบกมือส่ายไปมา  จนขุนไกรรู้สึกฉุนกึกจนต้องตะคอกออกมาเสียงดัง

     

    ไอ้เวร! มึงโบกมือตอบกูแบบนี้ กูจะรู้กับมึงรึว่ะ! โดนฟาดเสียเต็มแรงแบบนั้นเกิดตายห่า!ขึ้นมาทำไงว่ะ! เงยหน้ามาตอบกูเดี๋ยวนี้!

     

    คนถูกด่าสะดุ้งโหยงที่จู่ๆก็โดนด่า  ก่อนจะยอมเงยหน้ามายิ้มให้แบบเหยเกนิดๆ...คนไรว่ะดุยังกับหมาแม่ลูกอ่อนแค่โบกมือตอบเล่นด่าซะยาว  นี่ถ้าเป็นคนอื่นมาเสียงดังใส่แบบนี้พ่อตบหัวละ...

     

    ...หลุด...

     

    ...หลุดใจไปให้เจ้า

     

    ขุนไกรยืนมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเจอผู้ใดหน้าดี ราศีดีถึงเพียงนี้เลย...

     

    ดวงตาคมสวย  จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอิ่มเช่นปากอิสตรี  ตัวสูงสง่า  ผิวพรรณนวลเหมือนมะปรางสุก ดูงามเหมือนตัวละครในวรรณคดียิ่งนัก...หน้าตาโดดเด่น  ผิวพรรณเช่นนี้เหตุใดจึงไม่คุ้นหน้าเลยคงเป็น คนต่างถิ่นกระมั้ง...แต่ช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของข้านิ

     

    เอ่อ ขอโทษข้าไม่ตั้งใจจะกวนอารมณ์โมโหของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ

     

    ขุนไกรไม่สนใจคำขอโทษ  ใช้สองมือสำรวจตรวจคลำตามแขน  ลำตัว  ทั้งด้านหน้า  ด้านหลัง  ท้ายทอยอย่างละเอียด  เพื่อหาจุดผิดปกติ

     

    อืม... ไม่มีตรงไหนผิดปกติ  ถ้าเช่นนั้นข้าขอบใจพี่มากนะที่ช่วยปกป้องข้าและก็ขอโทษพี่ชายด้วยที่ตระโกนด่าท่านไปเมื่อตะกี้นี้

     

    ชายหนุ่มยิ้มกว้างรับคำขอบคุณและคำขอโทษแสดงตัวว่าไม่ถือโทษโกรธเคือง

     

    ไม่เป็นไร  ข้าแค่ทนเห็นคนถูกลอบกัดไม่ได้เท่านั้นเอง  อย่านึกถือเป็นบุญคุณเลยนะ

     

    เมื่อถูกส่งยิ้มมาให้  ขุนไกรเลยจำใจต้องฝืนยิ้มตอบรับ

     

    งั้นข้าไปก่อนนะ

     

    เนื่องจากต้องรีบกลับไปหาอาจารย์   ขุนไกรเลยต้องเสียมารยาทเอ่ยคำลา

     

    เช่นกัน

     

    ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างแยกเดินกันไปตามทางของตนเอง  หากทว่าผู้ใดจะไปนึกว่าการพบกันในครั้งนี้  มันคือจุดเริ่มต้นของชะตาชีวิตของเขาที่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดความยุ่งยากในอนาคตข้างหน้า

     

    ถ้าตอนนั้นเราสองคนไม่ได้เจอกัน  ข้าในตอนนี้อาจจะมีความสุขดังเช่นปถุชนทั่วไป

     

    ถึงปากจะพูดว่าไม่ควรเจอกัน  ไม่ควรพบกัน  แต่ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ตัวเขาก็ยืนยันที่จะรักพญากุมภีร์ผู้นี้เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

     

    เวลามันก็เหมือนกับสายน้ำเมื่อไหลไปแล้วไม่สามารถห้วนย้อนกลับคืนมา  เพราะฉะนั้นข้าขอแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่ข้าจะขอลืมทุกสิ่งบนโลกใบนี้เพียงชั่วคราว  เพื่อให้หัวใจได้จมอยู่กับความทรงจำและความสุขอันแสนหวานที่กระท่อมน้อยหลังนี้

     

    ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก....คิดถึงเจ้าใจแทบขาด  เจ้าคงไม่เคยรู้ว่า...ใจของข้า   กายของข้า   จิตวิญญาณ์ของข้า  ขอมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียวตลอดไป

     

    เพียงเวลาไม่นาน ขุนไกรก็ตกเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอันแสนสุข เมื่อครั้งที่เขาเคยมีคนรักอยู่เคียงข้างกายกัน  มีรอยยิ้มเคียงข้างกัน

     

    ฝันของข้าในครั้งนี้เป็นฝันที่ดีที่สุด...

     

    ระหว่างที่หลับไปขุนไกรไม่รู้เลยว่าด้านนอกของกระท่อม ได้ปรากฎเงาของใครคนหนึ่งซึ่งแอบมองดูการกระทำทุกอย่างเงียบๆอยู่ใต้ต้นไทร

     

    เงาปริศนานี้เป็นผู้ใดกันนะ.....หวังดีหรือว่าหวังร้าย ไม่อาจรู้ได้จริงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×