ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #4 : ไกรทอง ตอน 2 (แก้ไข)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.73K
      70
      5 มี.ค. 58

    สายน้ำหลักของเมืองพิจิตรแห่งนี้ ได้มีการแบ่งออกเป็นสองส่วนคือคุ้งเหนือและคุ้งใต้ เชกเช่นเดียวกับการปกครองของเหล่ากุมภีร์ที่อาศัยอยู่ ณ ที่แม่น้ำสายน้ำนี้  ที่ถูกแบ่งอาณาเขตการครอบครองออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน

     

    เขตแถบลุ่มน้ำตอนบนทั้งหมดของแม่น้ำได้อยู่ภายใต้การปกครองของพญากุมภีร์นามว่าท้าวรำไพ ผู้อยู่ในศีส มีจิตเมตตา มักจะคอยอบรมเหล่าจระเข้ใต้ปกครองทั้งหลายไม่ให้ขึ้นไปอาละวาดหรือทำร้ายเข่นฆ่ามนุษย์ ทำให้มนุษย์และจระเข้ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา

     

    ส่วนทางด้านลุ่มน้ำตอนล่างจนถึงปากอ่าวนั้นอยู่ภายใต้การปกครองสองพญากุมภีร์พี่น้อง ท้าวพันตาและท้าวพันวัง ผู้มีนิสัยโหดร้ายแตกต่างจากพญาภุมภีร์คุ้งใต้รุ่นก่อนมากมายนัก  นับตั้งแต่สองพี่น้องก้าวขึ้นนั่งบัลลังค์ปกครองเหล่าจระเข้คุ้งใต้ก็เริ่มเที่ยวออกมาอาละวาดไล่ฆ่ามนุษย์แถบนั้นเป็นอาหารไม่ว่าจะคนหนุ่มคนสาว คนแก่และเด็กเล็ก  จนชาวบ้านเริ่มเดือดร้อนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเพราะหวาดกลัวว่าวันหนึ่งตอนเองหรือคนในครอบครัวจะต้องมาสังเวยชีวิตให้แก่เหล่าสัตว์ร้ายกระหายเลือดพวกนี้

     

    และเมื่อข่าวการอาละวาดของจระเข้ในเขตคุ้งใต้ได้ล่วงรู้มาถึงหูของท้าวรำไพ ด้วยนิสัยยุติธรรมของท่านย่อมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ประกอบกับเผ่าพันธุ์มีฤทธิ์อื่นๆเริ่มทนไม่ได้กับนิสัยโอหังของสองพญากุมภีร์  จึงได้มีการปรึกษาหาลือให้ส่งผู้มีฝีมือไปทำการหยุดการอาละวาดฆ่านองเลือดนี้

     

    ....เรื่องความขัดแย้งนี้อยู่ในอาณาเขตของเผ่าพันธุ์กุมภีร์  ฉะนั้นก็ให้พวกเจ้าจัดการกันเอาเอง...พวกข้าเชื่อในฝีมือของท่าน

     

    สองพญากุมภีร์นั่นช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก มีอิทธิฤทธิ์แค่นั้นก็ถือตัวว่ายิ่งใหญ่คับฟ้า หารู้ไม่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ถ้าพวกนั้นไม่ยอมละทิ้งความกระหายเลือดและโง่เขลาไปเล่นงานผู้มีฤธิ์ที่ปะปนอยู่กับมนุษย์เข้า ย่อมหมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับสงครามหรือว่าพวกนั้นคิดจะเปิดศึก  หากเป็นเช่นนั้นจริง...ไม่ได้การ พวกเราต้องรีบหยุดยั้งสงครามโดยเร็ว

     

    "หึ!ไอ้รำไพ มันขี้ขลาดจะสู้กับพวกข้า จนถึงขนาดส่งลูกน้องอย่างแกมาต่อกรกับข้าแทนเชียวรึ"

     

    ทั้งสองพญากุมภีร์จ้องมองเจ้าหนุ่มที่อาจหาญมาแสดงอิทธิฤทธิ์ในอาณาเขตพวกเขา...ถือว่าเป็นการหยามน้ำหน้าต่อพวกเขามากมายนัก.... ช่างน่าตายนักแต่มันก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

     

    "ปล่าวข้าเป็นเพียงแค่ตัวแทนของคุ้งเหนือมาขอเจรจากับพวกท่านเท่านั้น"

     

    แม้นเจ้าหนุ่มผู้นี้แสดงการถ่อมตัวเอ่ยปฎิเสธด้วยกิริยานอบน้อม แต่ท้าวพันตานั้นนับว่าฉลาดพอจะมองออกว่าเจ้าหมอนี่ต้องไม่ใช่จระเข้ธรรมดา ไม่เช่นนั้นมันคงไม่สามารถฝ่าด่านสมุนของเขามาได้อย่างง่ายดายไร้ซึ่งร่องรอยการต่อสู้

     

    เมื่อลองคิดตริตรองดูดีๆแล้วพญากุมภีร์ผู้นี้จึงคิดหมายมาดจะดึงคนมีฝีมือเก่งฉกาจเช่นนี้มาเป็นกำลังสำคัญของตนเพื่อความยิ่งใหญ่ในวันหน้า

     

    คนมีฝีมือหากปล่อยให้หลุดรอดไปย่อมน่าเสียดาย "ถึงยังไงก็เถอะ ไอ้รำไพมันขี้ขลาดจนถึงกับส่งเอ็งมาเจรจาแทนเองแบบนี้ ไม่รู้สึกว่ามันเสียศักดิ์ศรีเลยหรือไงที่มีผู้ปกครองอ่อนแอ"

     

    ชายหนุ่มเลือกใช้สายตานิ่งสงบมองตอบ รัศมีกดดันที่แผ่ซ่านออกมาสร้างความยำเกรงให้กับทุกคนในบริเวณโดยรอย  ไม่เว้นแม้แต่สองพี่น้องพญากุมภีร์ที่อยู่บนบัลลังค์

     

    ท้าวพันตาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่...เจ้าหนุ่มนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ หากเราได้มันมาเป็นพวก กำลังกองทัพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยากที่ผู้ใดจะมาต้านทานได้ ผู้มีฝีมือย่อมเหมาะกับผู้นำแข็งแกร่งเช่นข้า

     

    "ไม่คิดสนใจมาอยู่กับข้าแทนไอ้รำไพที่กำลังจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตพญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือรึ  รับรองถ้าเอ็งมาอยู่กับพวกข้า  อยากได้สิ่งใด อำนาจ ลาภ ยศ หรือแม้แต่สาวงามข้าก็หาให้ได้"

     

    "............................"

     

    "ข้ามีความคิดจะรวบรวมคุ้งเหนือและคุ้งใต้ ให้เป็นเขตการปกครองหนึ่งเดียวไม่ใช่เพียงแค่นี้ ข้ายังคิดที่จะครอบครองทั้งผืนปฐพีเพื่อให้พวกมนุษย์ด้านบน ยำเกรงและเคราพนบน้อมในพวกเรา เผ่าพันธุ์ผู้ยิ่งใหญ่...เป็นยังไงเริ่มสนใจรึยัง"

     

    "หากเป็นเช่นนั้น ต้องมีไพร่พลและชีวิตบริสุทธิ์อีกนับไม่ถ้วนต้องหลั่งเลือดไปทั่วทั้งแผ่นดินและสายน้ำ และมันจะนำมาซึ่งสงคราม เผ่าพันธุ์อื่นที่แฝงเร้นอยู่ทั้งหลายอาจจะไม่พอใจในการสู้รบครั้งนี้"

     

    "เฮอะ...ชีวิตของมดปลวกเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องใส่ใจเลยสักนิด...โลกนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอดและเป็นใหญ่ ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นไม่เห็นจะแข็งแกร่งเกินเผ่าพันธุ์กุมภีร์ หากมีเจ้ามาร่วมมือกับพวกข้า ต่อให้เป็นเทวดาข้าก็ไม่กลัว"

     

    กล้าท้าทายถึงเทวดาเบื้องบนเช่นนี้แสดงว่าต่อข้าให้เกลี่ยกล่อมยังไง พญากุมภีร์ทั้งสองคงไม่ยอมหยุดการทำสงคราม และหากปล่อยทิ้งไปไม่สนใจท้าวพันตา ท้าวพันวัง จะถือความผยองก่อการทำสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่นแน่ๆ ทั้งเผ่าพันธุ์ครุต นาค หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์ยักษ์ ...

     

     "เห็นที ข้าคงไม่สามารถ ปล่อยให้พวกท่านทั้งสองทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติให้สลายลงไปเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกท่านได้หรอก"  ชายหนุ่มแอบถายหายใจกับความล้มเหลวในการเจรจาหลีกเลี่ยงศึก

     

    ท้าวพันวังที่ยอมนิ่งเงียบมาตลอด เกิดอาการเดือดดาดเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้า นอกจากจะไม่สนใจข้อเสนอที่ให้ไปแล้วยังจะมากำแหงกล้าสอดปากกล่าวตักเตือนออกมาอย่างไม่เจียมตัว

     

    "ถ้างั้นแกก็อย่างหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากคุ้งใต้เด็ดขาด!!"

     

    สิ้นเสียงคำสั่ง เหล่าทหารคุ้งใต้เกือบทั้งหมดได้กรูเข้าไปเพื่อจัดการ ศัตรูให้ตายตามคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัวเสียงเฮลั่นดังรอบกาย อาวุธจำนวนมากล้วนพุ่งตรงมาราวห่าฝน ชายหนุ่มสถารการณ์คับขันยากที่เลี่ยงได้จึงจำใจต้องแปลงกายกลับเป็นร่างเดิม

     

    "พญากุมภีร์สะบัดหาง"

     

    เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ทหารนับร้อยต่างถูก 'วิชาพญากุมภีร์สะบัดหาง' ฟาดใส่จนตายทั้งหมดไม่มีเหลือ ท่ามกลางกองซากศพนับร้อย ปรากฎบุรุษร่างกายสูงสง่า  ดูองอาจ และสง่างาม ยืนอยู่เหนือศพที่นอนเกลื่อนกลาด ดวงตานิ่งสงบจ้องมองมาอย่างไม่หวั่นเกรง

     

    "วิชาพญากุมภีร์สะบัดหางหรือว่า...แกคือโคจร"

     

    "ใช่...ข้าคือโคจร"

     

    ท้าวพันวังส่งเสียงคำรามลั่น ด้วยความโกรธและความคั่งแค้นใจที่ถูกกุมภีร์ถิ่นศัตรูมาหยามถึงคุ้งใต้ จึงได้กระโจนเข้าไปต่อสู้อย่างไม่รอช้า ไม่ยอมฟังเสียงท้าวพันตาผู้เป็นพี่ร้องห้าม

     

    "แกต้องลองชิมอาวุธของข้า ไอ้โคจร!!! "

     

    ท้าวพันวังฟาดขวานอันใหญ่ยักษ์ลงใส่ศัตรูอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ติด โชคดีที่ท้าวโคจรสามารถกระโดดหลบ ได้ทันอย่างหวุดหวิด แต่ถึงกระนั้นคมขวานก็ยังเฉี่ยวมาโดนแขนจนเลือดไหลเป็นทาง

     

    "ฮ่าๆ!เป็นยังไงบ้างล่ะไอ้โคจร โชคดีที่แกหลบทันแต่คราวนี้ ข้าจะเอาขวานจามใส่หัวแกให้แยกออกเป็นสองซีกเลย!"

     

    แกร็ง!

     

    ท้าวโคจรหยุดการโจมตีด้วยดาบเพชร ท้าวพันวังจึงส่งเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจที่ศัตรูสามารถนำดาบเล็กๆ มาสะกัดกั้นขวานวิเศษอาวุธคู่ใจของตนเองเอาไว้ได้

     

    ด้านท้าวพันตาที่นั่งมองการต่อสู้ของทั้งสองจากบัลลังค์  ผู้เป็นพี่นั้นชาญฉลาดกว่าน้องชายเพียงแค่เห็นก็รู้ได้ว่าอาวุธในมือของศัตรูคือหนึ่งในสามอาวุธที่หายาก

     

    ท้าวพันตาเริ่มนั่งไม่ติดบัลลังค์เมื่อเล็งเห็นแล้วว่าผู้เป็นน้องชายจะกลายเป็นผู้เสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้

     

    "พันวัง! เจ้าพอได้เเล้ว! หยุดได้แล้ว!"

     

    ท้าวพันวังไม่ใส่ใจในเสียงร้องเตือนของพี่ชาย เพราะสิ่งเดียวที่สนใจใส่ใจอยู่ในตอนนี้มีเพียงคือฆ่าศัตรูตรงหน้าให้ได้เท่านั้น แต่ไม่ว่าตนจะพยายามไล่ฆ่ายังไงอีกฝ่ายกลับอาศัยความคล่องแคล่วกว่า คอยหลบหลีกคมขวานได้เสียทุกครั้ง  จากความแข็งแรงและแข็งแกร่งในตอนแรก เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยล้า  แรงในการฟาดขวานแต่ละครั้งจึงค่อยๆอ่อนกำลังลง  

     

    ท้าวโคจรรีบอาศัยจังหวะนี้รุกไล่กลับทันที  ทำให้ท้าวพันวังต้องเปลี่ยนมาตั้งรับแทบไม่ทัน สถานการจากผู้เป็นฝ่ายรุกไล่ก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง

     

    ท้าวพันตามองเห็นน้องชายตนเองกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจริงดังคาด จึงรีบหมายจะเข้าไปช่วยเหลือแต่กลับสายเกินไปเสียแล้ว ท้าวโคจรใช้ดาบเพชรปลิดชีพโดยการตัดศีรษะของท้าวพันวังขาดออกภายในดาบเดียว

     

    ศีรษะของน้องชายได้กลิ้งมาอยู่แทบของผู้เป็นพี่  ดวงตาที่เบิกโพลงจ้องมองมาทางตน ท้าวพันตาส่งเสียงคำรามดังลั่นด้วยความแค้นกับการตายของน้องชาย

     

    "ไอ้โคจร!!!"

     

    ท้าวพันตากระโจนเข้าไปหาศัตรูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าหมายจะเอาชีวิตและเลือดอีกฝ่ายมาเซ่นสังเวยแก่ดวงวิญญาณของน้องชายที่ตายไป

     

    ท้าวโคจรนั้นเหนื่อยล้าจากการต่อสู้มาก่อนอยู่แล้ว  ยังไม่ทันจะได้หยุดหายใจก็ต้องต่อสู้อีกครั้งและคู่ต่อสู้คราวนี้นับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว  ยามเมื่อท้าวพันตาใช้อาวุธคู่กายที่เป็นง้าวฟาดฟันลงมา พญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือก็เกือบเสียหลักในการทรงตัว

     

    ท้าวพันตาเองนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่า ศัตรูสูญเสียกำลังลงไปมากในการต่อสู้กับน้องชายของตนเอง  ฉะนั้นในตอนนี้อีกฝ่ายจึงมีกำลังน้อยกว่าตนเองอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่รอช้าใช้ง้าวโจมตีใส่ศัตรูอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสตั้งตัว

     

    เมื่อมาเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ ท้าวโคจรจึงไม่สามารถหลบง้าวได้ทันท่วงที  ถูกปลายง้าวแทงเข้าใส่ช่องท้องแต่ยังนับว่าโชคยังดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ

     

    ท้าวโคจรอาศัยโอกาสที่ศัตรูกำลังหยุดชะงัก ใช้ดาบเพชรฟันลงไปทางไหล่ด้านขวาโดยฉับพลัน

     

    "อ๊าก!!!"

     

    ท้าวพันตาร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดและเจ็บใจจากการประมาทคู่ต่อสู้ จนเป็นเหตุให้ตนเองต้องมาถูกฟันบาดเจ็บเช่นนี้

     

    พญากุมภีร์แห่งคุ้งใต้เริ่มสูญเสียกำลังในการใช้อาวุธ ทำให้ทั้งคู่ในตอนนี้ต่างก็เสียเปรียบได้เปรียบกันไม่ต่างกันมากน้อยเท่าไรนัก

     

    ...ผลแพ้ชนะในครั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้พลาดพลั้งมอบความตายให้กับศัตรูก่อนกัน

     

    ระหว่างที่ทั้งคู่ต่างต่อสู้กันอย่างห่ำหันและดุเดือด ผลพวงจากการต่อสู้ได้ดังสนั่นเลือนลั่นไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ นอกจากใต้น้ำจะได้รับผลกระทบแล้ว  ด้านบนแผ่นดินก็ยังพลอยได้รับผลกระทบจากศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ไปด้วยเช่นกัน

     

    แรงสั่นสะเทือนราวกับพื้นดินจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้กุ้ง ปลา พากันตายเป็นจำนวนมาก ส่วนเรือแพนาวารอบๆบริเวณถูกทำลายล่มไปหลายลำ  เป็นเหตุให้ชาวบ้านทั้งหลายพากันหวั่นวิตกกลัวจะเกิดอาเพศอะไรขึ้น จึงรีบเร่งรุดไปบนบานศาลกล่าวกับเจ้าพ่อองค์รักษ์ผู้ซึ่งคอยพิทักษ์และปกป้องเขตใต้ให้ช่วยเหลือ

     

    ฝ่ายท้าวโคจรประหลาดใจนักเมื่อสังเกตเห็นว่า ท้าวพันตาจากที่อ่อนกำลังลงจู่ๆก็กลับมามีกำลังแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง และไม่มีทีท่าจะหมดกำลังลงเลยแม้แขนข้างหนึ่งจะถูกเขาฟันจนเป็นแผลเหวอะวะ  

     

    พญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือจึงบริกรรมคาถาในใจแล้วเพ่งมองอีกครั้ง จึงพบว่า เหนือเศียรของศัตรูมีเจ้าพ่อองค์รักษ์ประทับนั่งบนอยู่ เพื่อคอยคุ้มกันระวังภัยและส่งเสริมกำลัง เป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายนั้นฟื้นคืนตัวได้อย่างรวดเร็ว

     

    ท้าวโคจรรู้แจ้งดังนี้ จึงเอ่ยปากถามเจ้าพ่อองค์รักษ์ อย่างไม่เข้าใจในเหตุผลของท่าน ที่เลือกเข้าข้างฝ่ายท้าวพันตา "เหตุใดเจ้าพ่อองค์รักษ์ จึงเลือกปกป้องคนชั่วเช่นท้าวพันตากันเล่า ท่านไม่รู้เลยหรือว่าพญากุมภีร์ผู้นี้ ได้ละเมิดต่อกฎการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์กุมภีร์ทั้งหลาย นอกจากนี้ยังคอยเที่ยวอาละวาดเข่นฆ่ามนุษย์มากมายจนทำให้เดือดร้อนไปทั่ว"

     

    เมื่อทันทีที่ได้ยินในคำพูดทุกอย่างของท้าวโคจร ท้าวพันตานั้นสำคัญตนผิดไป นึกว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าศัตรู จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายสู้ไม่ได้ เลยคิดหาทางหลบหลีกและใส่ร้าย ว่าตัวเขานั้นแข็งแกร่งเพราะได้เจ้าพ่อองค์รักษ์มาช่วยในการทำศึกครั้งนี้   ท้าวพันตาจึงปากเปราะพูดออกไปอย่างยะโสโอหังว่า

     

    "หนอยแน่...ไอ้โคจรเอ็งคิดว่าข้ารู้ไม่ทันรึวะ คิดจะทำให้ข้าเข้าใจว่ามีเจ้าพ่อองค์รักษ์มาช่วยต่อสู้กับเอ็งงั้นรึ เอ็งคิดผิดแล้วข้าเเข็งแกร่ง เก่งกล้าสามารถอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าพ่อองค์รักษ์หรือแม้แต่เทวดาองค์ใด"

     

    เจ้าพ่อองค์รักษ์ได้ยินวาจาโอหังเช่นนี้จากท้าวพันตา ก็พลันหูตาสว่างตัดสินใจเสด็จกลับไปยังที่พำนักของท่าน ปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันเอง

     

    'ชิชะ...ไอ้พันตา ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่าเอ็งเป็นผู้ปกครองคุ้งใต้ และยังได้รับการฝากฝังจากพ่อเอ็งเอาก่อนไว้หรอก ข้าถึงได้เข้ามาช่วย ทั้งๆที่ตัวข้าเองนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า เจ้าสองคนพี่น้องได้ไปก่อกรรมทำชั่วอันใดไว้...เฮ้อ!ช่างเถอะเมื่อเอ็งพูดเช่นนี้ข้าคงจะต้องปล่อยให้เวรกรรมเป็นตัวตัดสินแทนแล้วกัน...'

     

    จังหวะที่เจ้าพ่อองค์รักษ์จากไป ท้าวโคจรฝืนใช้กำลังเฮือกสุดท้าย ฟันดาบลงไปร่างของท้าวพันตาจากด้านบนศีรษะจนร่างแยกออกเป็นสองซีกภายในพริบตาเดียว

     

    ท้าวโคจรหยุดยืนหอบหายใจกุมแผลที่ท้อง  มองศพของสองพี่น้องท้าวพันตาและท้าวพันวังรวมไปถึงศพของเหล่าจระเข้นับร้อยที่นอนตายเกลื่อนกลาด ด้วยความสังเวชใจ....ทุกอย่างมันจบลงแล้ว เขาเป็นฝ่ายชนะ

     

    'อโหสิกรรมให้ข้าด้วยนะ...'

     

    ใช่ว่าตนเองอยากจะสังหารผู้อื่นแต่เพราะหน้าที่และความจำเป็นบังคับ  มือทั้งสองข้างนี้จึงจำใจต้องเปื้อนกลิ่นคาวเลือด...ข้าอยากให้เจ้ามายืนอยู่กับข้ายิ่งนัก  รอยยิ้มสดใสของเจ้ามักช่วยจะปัดเป่าความทุกข์ใจไปจากข้าได้เสมอ 

     

    หมดสิ้นหน้าที่ของข้าเสียที....ส่วนงานศพและเรื่องผู้สืบราชบัลลังค์  ก็ปล่อยให้ท่านพ่อกับเจ้าพ่อองค์รักษ์เป็นผู้จัดการแทนไปแล้วกัน    เพราะข้าในตอนนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน

     

    ท้าวโคจรเเลือกแปลงกายเป็นกายมนุษย์เพื่อจะได้ขออาศัยเรือกลับไปยังคุ้งเหนือ  แต่ระหว่างทางท้าวโคจรทนพิษบาดแผลไม่ไหวบวกกับความเหนื่อยล้าจากในการต่อสู้  ทำให้พญากุมภีร์ไม่สามารถฝืนทนได้อีกต่อไปถึงกลับต้องล้มลงหมดสติไปบนเส้นทางเปลี่ยวร้างแทบไร้ผู้ใดเดินผ่าน

     

    "ลุงๆ ตื่นได้แล้ว"

     

    ท้าวโคจรค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆตามเสียงร้องดังข้างหู  ก็พบเด็กชายตัวน้อยนั่งมองมาด้วยดวงตาใสแป๋ว

     

    "ลุงอย่าเพิ่งขยับตัวแรงสิ เดี๋ยวปากแผลจะเปิดอีกหรอก"  เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าลุงคนนี้ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่งเลยรีบเข้าไปประคองอย่างเป็นห่วงอาการบาดเจ็บ

     

    ท้าวโคจรก้มหน้าลงมองบนตัวจึงได้พบว่าบาดแผลที่หัวไหล่และท้องได้รับการสมานแผลไว้อย่างเรียบร้อย

     

    "นี่...เจ้าทำเองรึเจ้าหนู"

     

    เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก สร้างความฉงนให้กับท้าวโคจรไม่น้อย  ด้วยนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยวัยเพียงแค่ห้าหกขวบจะรู้จักการใช้สมุนไพรในการห้ามเลือดและสมานแผลขนาดนี้ ...เด็กผู้นี้นับว่าฉลาดไม่เลว

     

    "นี่ๆลุง อาการเป็นยังไงบ้าง?"

     

    "อืม...ข้าไม่เป็นไรมากแล้วเจ้าสบายใจได้...ฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้ว ข้าว่าเจ้ารีบกลับบ้านไปจะดีกว่าเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วงเอา"

     

    "แต่ว่า  ลุงมีแผลสาหัสตั้งหลายที่  ฉันไม่กล้าปล่อยทิ้งให้นอนเจ็บคนเดียวหรอกนะ"  เด็กน้อยหมวดคิ้วมองร่างกายที่มีแต่บาดแผลของท้าวโคจรด้วยความไม่พอใจ... พ่อเคยสอนไว้ถ้าช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด  อย่าช่วยทิ้งๆขว้างๆมันไม่ดี

     

    ท้าวโคจรลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยเกลี่ยกล่อม...เจ้าหนูคนนี้อายุน้อยกว่าลูกชายของข้าตั้งหลายปีแต่ความคิดอ่านนั้นเหมือนกับตาแก่ตัวน้อยๆ  ...นิสัยช่างคล้ายกับ........

     

    เด็กน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วรีบซอยเท้าวิ่งออกไปตามคนมาช่วยตามคำแนะนำ   เมื่อเห็นร่างเล็กวิ่งหายไปจนลับสายตา  ท้าวโคจรถอดสร้อยคอที่สวมใส่วางไว้แทนที่ตนเองเคยนอนอยู่แล้วจึงพยุงตัวขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะแปลงกายเป็นจระเข้ว่ายน้ำกลับไปยังวังที่คุ้งเหนือ

     

    นับว่ายังดวงดีที่ได้เด็กน้อยแสนฉลาดช่วยเหลือเอาไว้  มิเช่นนั้นข้าคงได้นอนตายเลือดไหลจนหมดตัวแน่ๆ

     

    จากนั้นไม่นานเจ้าเด็กตัวน้อยก็วิ่งหน้าเริ่ดกลับมาพร้อมกับชายร่างสูงสันทัด  แต่แทนที่จะพบคนบาดเจ็บนอนรอคอยความช่วยเหลือ ก็กับพบสร้อยคอที่ถูกถอดวางไว้บนข้อความที่ถูกเขียนไว้บนดินเพียงสั้นๆแค่คำว่า 'ขอบใจ' แทน

     

    ทันทีที่เห็นสร้อยคอและลายมืองดงามคุ้นตา  ผู้เป็นพ่อรีบเอ่ยปากถามลูกชายด้วยความร้อนใจถึงชายปริศนาที่ลูกได้เข้ามาช่วยเหลือ

     

    "ไกรทองลูกเห็นผู้ชายนอนบาดเจ็บอยู่ตรงนี้จริงๆใช่ไหม?"

     

    "จ๊ะพ่อ..."

     

    "แล้วผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน?"

     

    "ลุงคนนั้นหน้าตาหล่อเหลามาก ตัวสูงมากด้วยสูงกว่าพ่ออีก  แถมลุงเขาก็บาดเจ็บตรงหัวไหล่และท้องด้วยหยั่งกับไปถูกใครฟันมางั้นแหละ...ว่าแต่พ่อถามทำไม?"

     

    "ปะ...ปล่าวพ่อแค่ถามดูเฉยๆ"

     

    ขุนไกรจ้องมองสร้อยคอและข้อความโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาอีก  นอกจากแววตาที่แสดงถึงความหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน

     

    'ใช่เจ้าจริงๆหรือปล่าว...'

     

                    

                    *************************************************************************************************


                                     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×