ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพพาดกลอน

    ลำดับตอนที่ #5 : เพื่อนซี้ เพื่อนสืบ

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 58


     ในห้องขนาดกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกใช้สอยเป็นที่วางตั้งของเทวรูป วัตถุอาถรรพณ์ และเครื่องรางสารพัดชนิด มองละลานตาทั้งที่อยู่บนหิ้งสูง หิ้งต่ำ ไล่ระดับกันลงมา ตลอดจนตั้งอยู่บนพานเล็กพานน้อย และที่วางอยู่กับพื้น ทั้งหมดนั้นทำให้ห้องที่เคยกว้างขวาง แคบเล็กลงถนัดตา เสียงสาธยายามนต์ดังชัดทุกถ้อยคำ กึกก้องอยู่ภายในห้องนั้น 
         “อุกาสะ อุกาสะ กูจะปลุกเสือลุกขึ้นนั่ง เสือทรงร่างจักยืน เสือจงตื่นนิทรา

    โอม เม อะ มะอุ กูจักผูกมนคาถา

    พยัคโฆจะ ทะสะมิงอะ มะมะมามา เอหิจิตตัง ปิยะมะมะ”

    “ดี สมบูรณ์แบบ” กำเพลิงออกปากชมกับร่างเสือไฟตรงหน้า ที่เมื่อสองสามนาทีก่อนยังอยู่ในร่างของมนุษย์สาวแรกรุ่น ทว่าเมื่อการภาวนาคาถาซ้ำๆ ไม่เพียงไม่กี่รอบ จากร่างคนก็แปรเปลี่ยนเป็นเสือไฟได้อย่างง่ายดาย

    เนตรดาวค้อมหัวเสือของตนให้ต่ำลง เป็นสัญญาณของการน้อมรับคำชม ตัวหล่อนเองก็พึงพอใจอยู่ไม่น้อย นับจากวันแรกที่เริ่มต้น ผ่านการท่องมนต์มาเป็นร้อยเป็นพันเที่ยว เดี๋ยวนี้เพียงจบบท ริ้วลายเสือไฟก็ปรากฏขึ้นบนร่างกาย และชั่วพริบตาร่างทั้งร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ป่าสี่ขาท่าทางแคล่วคล่องงดงาม 

    “กลับร่างเดิม” กำเพลิงสั่งห้วน

    ครู่เดียว ร่างเสือสาวขนาดย่อมๆ ก็แปลเปลี่ยนไปเป็นดรุณี หน้าตาสดใส สิ่งที่ยังคงอยู่ไม่ว่าร่างกายจะเป็นอย่างไร คือประกายตาหยาดฉ่ำ พริบพราว เจ้าเสน่ห์ หญิงสาวเอียงหน้าฉอเลาะกับชายสูงวัย

    “ทันได้ใช้งานไหมละจ๊ะพ่อ”

    เขาเอื้อมมือจับคางเล็กๆ ของเด็กสาวเขย่าเบาๆ อย่างเอ็นดู “เตรียมตัวไว้เถอะ ไม่เกินสามวันนี้มีงานใหญ่ให้หนูได้ทำแน่ๆ”

    เนตรดาวยิ้มกว้าง ใช้สองมือโอบรอบเอวกำเพลิง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตา แววรื่นเริงฉายวิบวับในดวงตา

     

                    ว่ากันตามจริง มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่จะทำใจให้เชื่อได้ พลรบไม่คิดว่าเพื่อนรักมีเจตนาจะโกหก เพียงแต่แปลกใจว่าอะไรหนอทำให้มินตรา ผู้ร่ำเรียนวิชาสัตวแพทย์มา หลงเชื่อได้ว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดความจริง ครั้งแรกที่พลรบได้ยินข่าวทางโทรศัพท์จากผู้บุคคลที่เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและบิดาของเพื่อน เขาใจหายใจคว่ำ อยากจะรุดไปดูให้เห็นกับตาเสียเดี๋ยวนั้น

    ไม่ต้องเล่าให้มินนี่ฟังนะ ประเดี๋ยวจะหาว่าพ่อระแวงเธอคำห้ามปรามนั้น แม้จะออกจากปากของผู้ใหญ่ที่พลรบนับถืออย่างที่สุด แต่เขาจะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยโกหกมินตราได้สำเร็จสักครั้ง อีกทั้งไม่เคยคิดจะมีความลับอะไรต่อกันอีกด้วย ต่างฝ่ายต่างรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายดีพอ ๆ กับเรื่องเรื่องของตัวเอง

                    เว้นเสียก็แต่ เรื่องในป่าเมื่อครั้งมินตราติดตามครอบครัวไปเมืองกาญจนบุรี พลรบรู้ดีว่ามีบางอย่างมากกว่าการหลงป่าในครั้งนั้น เพราะตั้งแต่นั้นมา มินตราหญิงสาวผู้รักธรรมชาติ รักสัตว์ พอหลงป่าเข้าเพียงครั้งเดียว ก็กลับกลัวป่าอย่างจับจิตจับใจ พลรบเข้าใจดีแม้ปัจจุบันวิชาชีพที่เขาร่ำเรียนมา จะสอนให้มีจิตใจกล้าหาญเพียงใดก็ตาม แต่ย้อนนึกไปว่าหากตนเป็นเด็กยังไม่เต็มสิบขวบดี แล้วต้องเผชิญหน้ากับเสือจังๆ คงต้องฉี่ราด ร้องไห้หาแม่เป็นแน่ 

                    “ป่าหุบสาง ที่เมืองกาญจน์ ไม่ใช่ป่าธรรมดา” มินตราเคยพูดไว้

                    “แกเจอผีเหรอมินนี่”

                    “ยิ่งกว่านั้น” มินตราขยับปากเหมือนจะเล่าอะไรบางอย่างอยู่หลายครั้ง แล้วก็สรุปความแบบตัดบท “เหมือนหลับฝันไปแล้วได้ผจญภัย”

                    “แกหลับในป่าหรือมินนี่ โถ แกคงเดินทั่วป่าหาทางออกไม่ได้จนอ่อนเพลียเลยใช่” พลรบยกเอามือทาบอก รู้สึกสงสารเพื่อนด้วยใจจริง ๆ

                    “เดินไม่นานหรอก แต่เหมือนฝัน หรือไม่ก็ตาฝาดไป”

                    มินตราเล่าไว้เท่านั้น ไม่ยอมปริปากบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเสือเลยแม้แต่น้อย พลรบรู้สึกได้ชัดเจนว่ามินตราพยายามเล่าข้ามบางเรื่องที่สำคัญไป ทว่าเขาก็เห็นว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะรบเร้า คะยั้นคะยอ เขาอภัยได้หากเพื่อนรักจะปกปิดเรื่องในป่านั้นไว้สักเรื่องหนึ่ง      

    แต่แล้วจู่ๆ การปรากฏตัวของชายหนุ่มแปลกหน้านามว่าแสงขาล ก็กลับทำให้มินตรา ยอมเปิดปากเล่าทุกเรื่องราวให้เขาฟังอย่างละเอียดละออ ราวกับว่าเจ้าหล่อนเพิ่งเดินหลงป่าไปเมื่อวาน ยิ่งฟังเรื่องทั้งหมด พลรบก็ยิ่งทวีความเป็นห่วงเพื่อนรักมากขึ้น เขาใช้กลอะไรถึงขนาดลวงตามินตราว่าตนเองเป็นเสือตัวนั้น คนอย่างสัตวแพทย์มินตรา ไม่หลงเชื่อเรื่องพวกนี้โดยปราศจากเหตุผลเด็ดขาด

    เช้านี้เขาเป็นฝ่ายโทรนัดมินตรา และเป็นครั้งแรกที่เพื่อนรักปฏิเสธคำชวน ปกติแล้วหากไม่ติดงานสำคัญ มีสัตว์เลี้ยงจะเป็นจะตาย มินตราไม่เคยบ่ายเบี่ยง แต่พอเจ้าตัวนึกขึ้นได้ว่าต้องจัดการเรื่องเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวของผู้ชายคนนั้น มินตราก็เปลี่ยนใจรับนัดย่างง่ายดาย เท่ากับว่ามีผู้ชายแปลกหน้าที่จู่ๆ มินตราก็ให้ความสำคัญ ประคบประหงมเสียยิ่งกว่าตัวเขา เพื่อนสนิทที่คบหากันมาร่วมสิบปี และทั้งหมดนั้นเป็นเหตุให้พลรบต้องมาก่อนเวลานัดหมาย เพื่อซุ่มมองอยู่นอกร้านเสต็ก เลือกร้านกาแฟสดฝั่งตรงข้าม ที่นั่งซึ่งเป็นเค้าท์เตอร์สูงบังตัวเองไว้ จากมุมนี้เขาสามารถมองผ่านกระจกใสได้ถนัด โล่งใจเหลือเกินที่มองจากภายนอก มินตราดูปกติ ซ้ำยังผ่อนคลายน้อยๆ ตรงข้ามกับชายหนุ่มตัวใหญ่ หน้าตาหมดจด ที่นั่งเกร็งหลังเกร็งคอตรงแน่ว จับถือส้อมมีด อย่างเทอะทะ เก้กัง

    ลูกค้าคู่แรกของร้านนั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ สายคู่หนึ่งจับจ้องอย่างอาทรห่วงใย กับสายตาอีกคู่ที่มองอย่างขบคิด เตรียมการณ์

    เมื่อเห็นสมควรแก่เวลาที่เขาเฝ้าสังเกตการณ์  เขาก็ทำทีกระหืดกระหอบเข้าไปในร้าน

    “โทษทีนะมินนี่ ฉันเสียเวลาหารองเท้านานไปหน่อย” พลรบแก้ตัว นั่งแปะลงข้าง ๆ มินตรา

     “ที่พูดแก้ตัวนี่ จะบอกว่าถึงเวลาต้องช็อปรองเท้าคู่ใหม่แล้วหรือไง” มินตราดักคอ แล้วหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งข้างตัว แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน “แสงขาล นี่เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ชื่อพลรบ”  แล้วหล่อนก็หันไปทางเพื่อนสนิท “พล นี่แสงขาล” มินตรานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนต่อประโยค “คนที่ฉันเล่าให้หล่อนฟัง”

    “เรียกพลเฉยๆ ก็ได้ครับ”

    พลรบยืดอก วางท่าขรึมแต่ส่งยิ้มน้อย ๆ ให้กับมิตรภาพใหม่ แอบทอดสายตาวางไว้ที่กล้ามอกใต้เสื้อฟิตเปรี้ยะของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีนารู้ว่าเขาสงวนชื่อเล่น พร ไว้สำหรับคนพิเศษไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ เช่นเดียวกันกับท่าทางกรีดกราย ที่น้อยคนนักจะได้เห็น

    “มินนี่บอกให้ฟังแล้วว่า ขอแรงคุณพลรบมาช่วยเลือกเสื้อผ้า เครื่องใช้ให้ ขอบคุณนะครับ”

    แสงขาลยิ้มให้ เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเป็นฟันซ้อนโผล่อยู่ข้างหนึ่งของมุมปาก พร้อมโค้งศีรษะให้น้อยๆ เพียงเท่านั้น กำแพงที่เพื่อนสาว ก่อเอาไว้หนาแน่นตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ก็พังถลมครืนทันตา แต่พลรบเก็บอาการ สาว ได้อย่างชำนาญ “ด้วยความยินดีครับ อันที่จริงผมเองก็มีธุระอยู่นิดหน่อยที่นี่อยู่แล้วด้วย อย่างไรเสียธุระของผมก็เหมือนธุระของมินนี่” ว่าแล้วก็ปรายตามองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ

    คนถูกเอ่ยถึงเลิกคิ้ว “ธุระอะไรของแก แล้วไม่บอกฉันล่วงหน้าล่ะ”

                    “ถ้าแกใส่ใจฉันได้ครึ่งหนึ่งของหมาแมวที่คลีนิค แกก็จะนึกออกว่าทำไมฉันร่ำร้อง อยากจะมาที่นี่นักหนา”

                    “อ้อ” พอนึกออก มินตราก็ลากเสียงยาว “นี่แกกะจะเปลี่ยนชื่อจริงๆ หรือ ทำไมจ๊ะ พลรบมันไม่เพราะตรงไหนหา” มินตราทำเสียงล้อ

                    “ฮึ” พลรบย่นจมูก นึกชังชื่อตัวเอง แต่ไม่อยากต่อความกับเพื่อนรัก “เอาเป็นว่ารีบจัดการเสื้อผ้าให้คุณแสงขาลเขาเถอะ จะได้ไปจัดการธุระฉันต่อด้วยกัน”

                    ทั้งหมดค่อยขยับ เคลื่อนพลออกไปจากร้านอาหาร

    “ได้เวลาสุขสันต์”  พลรบดึงกระดาษออกมาดูรายการที่จดไว้ ออกเดินหน้าแสดงความเป็นผู้นำทีม “ช้อปปิ้งกับเพื่อนรัก คืองานหลักของพลรบ” เขาพูดเสียงค่อนข้างดังโดยไม่ได้หันหลังมองลูกทีม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×