ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพพาดกลอน

    ลำดับตอนที่ #4 : มื้อเช้าของเราสอง

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 58


                    พอทบทวนความหลังจนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ อีกทั้งอยากพิสูจน์ว่าชายแปลกหน้าเมื่อคืนมีตัวตนอยู่จริง สัตวแพทย์สาวก็ทนรอเขาเดินออกมาเจอเองไม่ไหว รุดเข้าไปยังห้องด้านหลังสุดของคลินิก แต่ครั้นผลักประตูเข้าไปกลับไม่เห็น

                    “กลับไปแล้วงั้นหรือ” มินตราพูดเบาๆ กับตัวเอง รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

                    มีเสียงคนทำอะไรบางอย่างอยู่ที่สวนหย่อมด้านนอก ประตูที่เชื่อมระหว่างตัวบ้านกับสวนหย่อมแง้มออกเล็กน้อย เป็นร่องรอยการผ่านเข้าออก รอยยิ้มบางปรากฏที่ริมฝีปากเมื่อรู้ว่า เขายังอยู่จู่ๆ ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดผัวะ ร่างสูงของชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นมัดกล้ามที่ถูกเคลือบด้วยแสงแดดอ่อนยามเช้า สิ่งที่อยู่ในมือเขาทำให้สัตวแพทย์สาวตาโต ร้องเสียงหลง

                    “ตายแล้ว นั่นนายทำอะไรของนาย”

                    ปลาคาร์ฟตัวโต พยายามกระเสือกกระสนอยู่ในสองมือของชายหนุ่ม

                    “กำลังจะทำอาหารเช้าให้ไง” 

                    มินตราอยากจะกรีดร้องดังๆ ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่รู้สึกรู้สา หันมาถามหน้านิ่ง “ชาวเมืองนี่เขาก่อไฟกันตรงไหน”

                    เจ้าของสถานที่กุมขมับ ไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่ม แต่กลับออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด “เอาปลาของฉันไปปล่อยคืนในบ่อเดี๋ยวนี้ แล้วใส่เสื้อผ้าซะ ฉันจะพานายไปกินอาหารเช้า”

     

    หนุ่มสาวทั้งคู่เป็นลูกค้าโต๊ะแรกของร้านเสต๊กใกล้ตลาดใหญ่กลางเมือง หากดูด้วยสายตาหนุ่มสาววัยรุ่นทั้งคู่ดูเหมือนคู่รักที่งดงามลงตัวราวกิ่งทองใบหยก หญิงสาวแก้มป่องตากลมโต ผมบ๊อบสั้น กับชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ ทำให้ดูมินตราดูอ่อนวัยกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น ดวงตาสงบเย็นของเขา กับหน้านิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเพียงชุดลำลองธรรมดา จึงคาดเดาไม่ถูกว่าอยู่ในวัยเรียนหรือวัยทำงานกันแน่ 

    “นายกินอาหารสุกเป็นไหม”

    คำถามของหญิงสาว ทำเอาบริกรหนุ่มเหลือบขึ้นมองฝ่ายชายอย่างประหลาดใจ จนหญิงสาวต้องแก้ต่าง “ฉันหมายถึงเสต๊กสุกๆ น่ะ หรือนายจะกินแบบกึ่งดิบกึ่งสุก”

    “สุกมากๆ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ

                    ช่างผิดคาดจากที่มินตรานึกไว้ คิดแทนเอาเองว่าพ่อเสือโคร่งจะอยากกินเนื้อติดเลือดแดงๆ ถึงได้พาเข้ามาที่ร้านเสต๊กเจ้านี้ ว่าแล้วเธอก็จัดแจงสั่งอาหารให้ เพราะรู้ว่าพ่อเสือเพิ่งเคยกรุงเป็นครั้งแรก “ขอทีโบนสเต๊กสุกมากๆ หนึ่งที่ ชุดซุปข้าวโพดอีกหนึ่ง และน้ำเปล่าเหมือนกันทั้งสองที่ค่ะ” มินตรารีบสั่งอาหารให้เสร็จอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดเมนู เพื่อตัดบทให้บริกรออกไปจากที่ตรงนั้นโดยเร็ว

    คล้อยหลังบริกร หญิงสาวเธอก็เปิดฉาก “นี่ถ้าฉันเข้ามาช้าอีกนิด นายทุบหัวปลาคาร์ฟน้อยของฉันแน่แล้วใช่ไหม”

    แสงขาลยักไหล่ “ผมจะไปรู้ได้ไง ดูแล้วมันเป็นอาหารอย่างเดียวที่ในบ้านคุณมี ละแวกบ้านคุณมีแต่ตึก คุณจะให้ผมไปขุดเผือกมันหรือหาผลไม้จากไหนเล่า”

    มินตราหน้านิ่ว “เอาเถอะ ระหว่างนายอยู่ที่นี่ ฉันจะจัดการเรื่องอาหารและพวกข้าวของเครื่องใช้ให้ก็แล้วกัน” 

    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”

    หญิงสาวกอดอกหน้ามุ่ย “แกล้งเกรงใจสักนิดก็ได้ย่ะ”

    “คนเมืองเขาแกล้งเกรงใจกันด้วยหรือ ทำไมต้องแกล้ง”

     จริงสินะ จากที่ได้พูดคุยกันช่วงสั้นๆ ชายหนุ่มเล่าให้ฟังว่าหลังจากเหตุการณ์ในป่าวันนั้น เขาก็อยู่ในร่างมนุษย์ได้ยาวนานอย่างที่ใจต้องการ โดยที่ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อแปลงร่างได้ดั่งใจ สิ่งแรกๆ ที่เขาทำคือออกมาอยู่ในหมู่บ้าน ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ในนาม แสงขาลโดยมีพระภิกษุที่วัดประจำหมู่บ้านเป็นผู้ปกครอง ท่านบอกกับใครๆ ว่าเด็กแสงขาลคือเด็กกำพร้าซึ่งเปรียบเสมือนญาติของท่าน

    เด็กน้อยศึกษาวิถีชีวิตของผู้คน การมีครูอาจารย์แต่เดิมเป็นคนอยู่ก่อนแล้ว จึงเรียนรู้ได้รวดเร็วว่องไว เมื่อได้รับการสนับสนุนในทุกด้านจากพระภิกษุหนุ่มอีก เขาก็ได้กินอยู่เล่าเรียน เพียงเท่านั้นก็นับว่าเป็นชีวิตที่ดีกว่าตอนอยู่ในป่ามากนัก

    บริกรเดินเข้ามาเสริฟน้ำ มินตรารอจนน้ำถูกรินอย่างเรียบร้อยจึงสนทนาต่อ

    “นายจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่กัน”

    “จนกว่าจะได้เขี้ยวคืนนั่นแหละ”

    ทำไมไม่รู้ จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกผิด ผิดมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ทำให้เสือตัวหนึ่งบาดเจ็บ แล้วยังเก็บของสำคัญของเขาไว้กับตัวเธอ อย่างที่ไม่รู้จะหาหนทางคืนเขาได้อย่างไร “ฉันยินดีคืนให้นาย จะให้ฉันทำอย่างไรก็บอกเถอะ”

    “ถึงอยากจะให้คืน ก็คืนไม่ได้ทันทีหรอก ต้องรอให้ถึงวันอมาวสีโน่น” แสงขาลส่งเนื้อหมูก้อนใหญ่เข้าปาก ไม่จิ้มซอสหรือเติมเครื่องปรุงใด ๆ

    “หืม วันอะไรนะ”

    “จริงสิ” แสงขาลนึกขึ้นได้ “หลวงพี่ท่านบอกไว้ ชาวกรุงไม่ค่อยสนใจเดือนตะวัน ไม่สนใจธรรมชาติเอาแต่ก้มหน้าทำงาน” เขาเหยียดยิ้ม นึกถึงคำสั่งสอนของภิกษุหนุ่มที่ดูแลเขามาเนิ่นนาน

    มินตราชักจะหงุดหงิด ผู้ชายตรงหน้าคงมีอคติกับผู้คนในเมืองหลวงมากนัก “คำก็คนเมืองหลวง สองคำก็คนเมืองกรุง”

    “วันอมาวสี” ชายหนุ่มอธิบายเรื่องที่คุยค้างไว้ บอกให้รู้ว่าไม่ได้ไม่ไยดีในคำตัดพ้อของหญิงสาว “คือคืนเดือนแรมที่พระจันทร์โดนบดบังมืดมิดที่สุดจนเต็มดวง ก่อนที่จะแง้มโผล่ขึ้นมาใหม่ทีละนิด อีกครั้ง เดือนหนึ่งจะมีช่วงเวลาเดือนดับแบบนี้เดือนละครั้งเท่านั้น”

    “อ้อ นิวมูน” หญิงสาวเริ่มจะเข้าใจ “ถ้างั้น ก็ง่ายน่ะสิ เรารออีกไม่ถึงเดือน ก็น่าจะเกิดวันอมาวสีแล้ว”

    “ไม่ง่ายอย่างนั้น เราต้องรอให้ถึงจุดดับที่สุดของพระจันทร์ ซึ่งบางเดือนจุดดับที่สุดที่ว่าดันเกิดขึ้นในตอนกลางวัน”

    หญิงสาวพยักหน้า กลืนซุบลงคอ ดูเหมือนการเจรจากันดีๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น “หมายความว่าจะดึงเอาเขี้ยวออกจากตัวฉันได้ ต้องเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น”

    “นอกจากนั้นยังมีเรื่องยุ่งยาก และยังต้องทำพิธีกรรมบางอย่างอีกด้วย" 

    หล่อนแทบสำลักซุปข้าวโพด “พิธีกรรมที่ว่านี่ คงไม่ได้หมายถึงคุณจะต้องเอาฉันไปบูชายันต์หรอกนะ” 

     ถึงแม้ว่าหล่อนจะติดหนี้บุญคุณเขามาเนิ่นนานก็ตาม แต่ดอกเบี้ยก็ไม่น่าจะถึงขนาดเป็นการทำร้ายหมายชีวิตกัน หากเขามีเจตนาจะตัดสินใจทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินหล่อนแล้วละก็ เห็นจะต้องจากลากันวันนี้เดี๋ยวนี้

    “ทุกชีวิตรักชีวิตของตน ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ไม่ว่าจะมีวิวัฒนาการ ฉลาด โง่ มากเพียงใด ผมไม่เคยทำร้ายชีวิตใครถ้าไม่จำเป็น”

    “อ้อ เหรอ” สัตวแพทย์สาวลากเสียงยาวแกมประชด “แล้วปลาคาร์ฟน้อยในบ่อของฉันเมื่อเช้านี้ล่ะ”

    เป็นครั้งแรกที่มินตราเห็นชายหนุ่มแสดงอารมณ์ทางสีหน้า หัวคิ้วของเขาแม้ขมวดเพียงนิด ก็ส่งให้ทำให้ใบหน้าคร้ามเข้มนั้นดูดุจนน่าน่าตกใจ “เมื่อเช้า ผมตั้งใจจะทำอาหารเพื่อตอบแทนเจ้าบ้าน ลำพังตัวผมเองถ้าเลือกได้ก็ไม่กินเนื้อสัตว์”

    “หา” มินตราอุทาน อยากจะเชื่อว่าเธอหูฝาด “ตอบแทนเจ้าบ้าน” ผู้ชายขี้กวนประสาทตรงหน้า คิดว่าการมาพักที่บ้านของเธอถือเป็นเรื่องต้องตอบแทนบุญคุณ หากตัดความรู้สึกสุดแหนหวงน้องปลาออกไปแล้วล่ะก็ นายหน้าดุก็นับว่าเป็นคนที่ ใช้การได้ อยู่เหมือนกัน หากคำตอบที่เขาพูดเป็นความจริง ก็นับว่าถูกใจสัตวแพทย์อย่างหล่อนไม่น้อยเลยทีเดียว

    แสงขาลพยักหน้า “แล้วมันก็ไม่ใช่ปลาคาร์ฟน้อย ตัวขนาดนั้น กินได้สองคน และน่าจะสองมื้อ” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ส่งสายตาเหมือนกำลังสำรวจ ประเมินร่างกายหล่อน “ถ้าคุณไม่กินจุนัก”

    มินตราส่งค้อนให้วงใหญ่ เธอไม่ทันคาดคิดว่าการเลี่ยงเนื้อสัตว์จะเป็นวิถีชีวิตของเสือ คาดเอาเองว่าเขาคงอยากทานเนื้อติดเลือดแดงๆ และนี่ถือเป็นความผิดพลาดของเจ้าถิ่นอย่างร้ายแรง

                    “ไม่บอกฉันนี่นา ว่านายเป็นนักมังสวิรัติ” หญิงสาวอ้อมแอ้มเบาๆ

                    “คุณถามผมสักคำไหมล่ะ” เสียงเรียบนั้นเอ่ยขึ้นทันควัน

                    มินตราอยากตบปากตัวเอง ไม่น่าพูดเลย ไม่น่าจริงๆ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×