ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุพเพพาดกลอน

    ลำดับตอนที่ #3 : หนี้บุญคุณ

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 58


    เมื่อเบลล์ถึงสวนดอกกุหลาบ อสูรก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว เธอร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ และพูดเสียงแผ่วเบาหลายๆ รอบ ว่าเธอรักอสูร และเมื่อน้ำตาเธอหยดลงบนอสูร อสูรก็ได้ฟื้นคืนชีพขึ้น และร่างกายเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงเป็นเจ้าชายโฉมงาม พร้อมทั้งเล่าเรื่องให้เบลล์ฟังว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นางฟ้าสาปให้เขากลายเป็นอสูรที่อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว วิธีเดียวที่จะทำให้คำสาปหายคือการได้รับรักแท้

                    มินตราปิดหนังสือเทพนิยายลง ถอนหายใจแรงก่อนบรรจงเสียบเก็บไว้ที่ชั้นหนังสือตามเดิม หล่อนมีนิยายเรื่องเดียวกันนี้หลายเล่ม หลายเวอร์ชั่นหลายสำนักพิมพ์ เมื่อใดก็ตามที่พบ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เทป ซีดี เธอกวาดมาเรียบตั้งแต่เด็กจนมาถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเด็กผู้หญิงทุกคนฝันอยากเป็นเจ้าหญิง มินตราเองก็คิดว่าเสือใจดีที่ช่วยชีวิตเธอในป่าวันนั้น หากไม่ได้เป็นเทวดาแปลงร่างมา ก็อาจจะเป็นเจ้าชายที่ถูกสาป

    จนในวันที่ได้กลายเป็นสัตวแพทย์หญิงมินตรา โลกวิทยาศาสตร์ก็ค่อยๆ ทำให้เธอเชื่อว่าเรื่องเจ้าชายถูกสาป ไม่มีวันมีอยู่จริงบนโลกใบที่เธอยืนอยู่อย่างแน่นอน เธอปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องราวในป่า เสือโคร่งลายพาดกลอนที่ปรากฏตัวช่วยให้พ้นจากกรงเล็บหมี แล้วใช้เขี้ยววิเศษอันสวยงามรักษาบาดแผลให้หายในพริบตา แน่นอนว่าเมื่อเล่าออกไปด้วยความบริสุทธิ์ซื่อตรง กลับไม่มีใครเชื่อ แพทย์ที่ตรวจร่างกายให้เธอในวันนั้น ลงความเห็นว่า เด็กหญิงมินตราตกใจเสียจนประมวลเหตุการณ์จริงผสมกับจินตนาการ ผู้ใหญ่ทุกคนเชื่อคำพูดของหมอเพราะนั่นคือ วิทยาศาสตร์

    วันนั้นมินตราน้อยได้สมมุติฐานใหม่ทาง วิทยาศาสตร์ว่า ความตกใจทำให้คนสร้างจินตนาการได้ชัดเจนราวกับเรื่องจริง

    ถึงวันนี้แม้หล่อนจะทำใจให้เชื่อไปได้แล้วว่า เหตุการณ์ในวันนั้นถูกผสมกับ จินตนาการแต่เธอก็ไม่เคยลืมภาพเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวนั้นได้เลย ดีเสียอีกในเมื่อมันปนจินตนาการ เด็กน้อยก็เสริมเติมต่อเรื่องราว ผนวกเข้ากับเทพนิยายเรื่องโปรด กลายเป็นความฝันสวยงามที่หล่อเลี้ยงหล่อนมาตั้งแต่เด็กจนเต็มสาว หล่อนอารมณ์ดีทุกครั้งเวลาจินตนาการว่าสักวัน เสือในป่าที่เธอตั้งชื่อว่า เจ้าเขี้ยวจะกลายร่างเป็นคนแล้วมาตามหาหล่อนจนเจอ

    แม้จะมีคนพูดว่าเรื่องประหลาดมักเกิดขึ้นได้ในทุกวัน แต่ใครจะนึกว่าชีวิตธรรมดาๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง จะมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จู่ๆ ชายหนุ่มรูปงาม โผล่เข้ามาในคลินิกซ้ำยังอ้างว่าเป็นเสือโคร่งตัวนั้น นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นการได้รับความช่วยเหลือจากเสือโคร่ง หรือเรื่องเขี้ยวเพชรวิเศษที่ละลายหายวับไปบนอก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่ไม่ได้ปะปนด้วยจินตนาการของเด็กอย่างแน่นอน

     “ตกลงนายเป็นคนจริงๆ หรือเปล่า แสงขาล หรือเป็นแค่จินตนาการอีกครั้งหนึ่งของฉัน” มินตราพึมพำกับตัวเอง

    หล่อนเข้ามาที่คลินิกแต่เช้า และคิดว่าคงจะเช้าเกินไปสำหรับผู้มาเยือนที่คงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อตรวจอาการของแมวสองตัวที่อยู่ในห้องพักฟื้น แวะทักทายกับเจ้าถุงทองเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงเลือกที่จะนั่งรอที่มุมต้อนรับลูกค้าด้านหน้า ส่วนแขกคนสำคัญเธอรับรองเขาที่ห้องด้านในสุดของคลินิก ห้องพักผ่อนที่เจ้าของคลีนิคจัดไว้เป็นมุมพักผ่อนส่วนตัว และบ่อยครั้งก็กลายเป็นห้องนอนเวลาเธอมีธุระติดพันที่นี่ เครื่องใช้ไม้สอยที่อำนวยความสะดวกจึงมีอยู่ครบครัน

    มินตรานั่งทบทวนเรื่องราวเก่าๆ มือบางลูบอกของตกไล่ไปทางด้านซ้าย ไม่ต้องใช้ดวงตามอง แค่ผิวสัมผัสก็ทำให้รู้ขนาดของรอยแผลที่พาดขวางอยู่ตั้งแต่กลางหน้าอกจนถึงทรวงอกด้านซ้าย แผลเป็นที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็หาคำตอบไม่ได้ ว่าเหตุใดมันจึงสมานตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่มีรอยตกสะเก็ดหรือรอยอื่นใดทั้งสิ้น ทิ้งไว้เพียงรอยที่แผลเพิ่งสมาน เห็นได้ชัดเจนว่าสีผิวของเด็กน้อยบริเวณนั้น ซีดกว่าผิวส่วนอื่นในร่างกาย กลายเป็นรอยเล็บลากเป็นทางยาวสามรอย เหมือนแผลที่ถูกกรีดที่หายมาแล้วเป็นเดือน ทั้งที่คราบเลือดยังแห้งกรังยังติดอยู่กับแผล

    เด็กน้อยไม่รู้ตัวหรอกว่าเล็บหมีตวัดโดนร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ จนร่างแม่หมีลับตาไปแล้ว เสือลายพาดกลอนตัวนั้นก็ย่างสามขุมเข้ามาหา มินตรากลั้นใจยืนตัวแข็ง ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีแม้แต่แรงจะยกขาขึ้น เข้าใจทันทีว่าเสือสู้กับหมีเพื่อที่จะแย่งอาหารกัน ซึ่งก็คือหล่อน เหยื่อตัวน้อยผู้หลงป่า    

      เจ้าลายพาดกลอนไม่มีวี่แววจะทำร้าย กลับตรงเข้ามาใช้จมูกดุนร่างของหล่อน ชนลงไปเบาๆ แข้งขาที่แข็งอยู่ก็อ่อนยวบ ทิ้งร่างน้อยลงก้นกระแทกพื้น

    ไม่ต้องกลัว

    เสียงเหมือนทั้งปลอบทั้งสั่ง เสียงนั้นดังมาจากสักแห่งใกล้ๆตัว มินตราน้อยกวาดตามองก็ไม่เห็นใคร นอกจากเธอกับเสือ หล่อนนึกในใจว่าอาจจะเป็นเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา หรือไม่เช่นนั้นก็เสียงของเสือตัวนี้นั่นล่ะ ทันใดนั้นเสือโคร่งพาดกลอนก็ยอบตัวลง ข้างๆ เด็กหญิง  เด็กหญิงขยับเบี่ยงตัวหนีก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ก้มลงดูถึงเพิ่งเห็นเสื้อที่ฉีกขาดเป็นริ้ว เสือโคร่งเริ่มขยับทีละน้อย เอาคางมาพาดที่ต้นขาดั่งจะทำความคุ้นเคย

    ถ้าจะตายก็คงตายไปนานแล้ว นี่มันคงจงใจไม่ทำอะไรเรา หรือไม่ มันก็ยังไม่หิว มินตรานึกบอกกับตัวเอง ทั้งที่ใจก็เต้นโครมคราม จะหันหลังวิ่งต่อให้กล้าก็วิ่งไม่ไหว ขาสั้นๆ สองขา คงไม่มีทางเร็วไปกว่าเสือสี่เท้าแน่ๆ หรือจะหาไม้ใกล้ตัวมาเป็นอาวุธสู้เสือ แม้จะยังเป็นเด็กน้อยแต่จากตรรกะเท่าที่สมองเล็กๆ ประมวลออกมาบอกไว้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้  

    หลายนาทีผ่านไป จนแผลเริ่มปวดตุบ เลือดที่ปากแผลจากแค่ซึมๆ ก็เริ่มทะลักรินออกมามากขึ้น เด็กน้อยค่อยเลื่อนมือแตะที่ร่างกายของเสือบ้าง เมื่อเห็นว่าเจ้าลายพาดกลอนยังนิ่ง หล่อนก็ค่อยย่ามใจเลื่อนมือมาเกาที่คาง หวังว่าเสือกับแมวคงมีวิธีการเอาใจไม่ต่างกัน แต่ไม่หล่อนก็ต้องตกใจเมื่อพ่อเสือโคร่งตัวใหญ่เปลี่ยนที่เป็นลุกขึ้นยืนคร่อมเด็กหญิงร่างเล็กไว้

    เจ้าโคร่งยิงฟันโชว์แผงเขี้ยวในปาก ไม่มีการคำราม ข่มขู่ หรือโชว์กรงเล็บบนอุ้งเท้าแต่อย่างใด แต่แค่นั้นก็ทำให้มินตราปล่อยโฮอย่างเต็มที่ด้วยความกลัว

    มินตราเห็นความแปลกประหลาดนั้นเต็มสองตาเขี้ยวสัตว์แปลกตาที่มินตราไม่เคยเห็นจากไหนมาก่อน ไม่ว่าจากหนังสือแบบเรียนหรือสารคดีใดๆ เขี้ยวนั้นใสเหมือนแก้ว มีความแวววาวสูงและยังมีสีเหลือบเงิน เหมือนเครื่องประดับมากกว่าเป็นฟันสัตว์ มันก้มลง... ก้มลง มาหาร่างเล็ก

    “พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยมินนี่ด้วย” เสียงร้องไห้โฮดังขึ้น น้ำตาทะลักออกมามาแข่งกับเลือดที่บาดแผล

    เจ้าเสือโคร่งพยายามเล็งเขี้ยวนั้นให้จิ้มลงตรงแผล และทันทีที่เขี้ยวใสแปลกตานั้น โดนปากแผลแท่งเขี้ยวที่เหมือนผลึกแก้วใสนั้นก็หลุดออกจากปากของเสือโคร่ง เด็กหญิงสงบลงอย่างฉับพลันดวงตาที่มีหยาดน้ำใสเกาะพราวขนตา เบิ่งกว้างด้วยความอัศจรรย์ใจ

    เขี้ยวใสสีสวยเหลือบเงินนั้น มันหลอมละลายกลืนลงไปในเนื้อของเด็กหญิง ดั่งปากแผลของเด็กน้อยกลืนกินผลึกแก้วนั้นเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว เขี้ยวแก้วหายวับไปกับตาพร้อมๆ กับที่ปากแผลก็ปิดสนิทลง ไม่หลงเหลือรอยฉีกขาดของแผลสดอีกแล้ว มีเพียงรอยแผลเป็นเป็นริ้วนูนแดง และคราบเลือดที่ยังชื้นแฉะเปียกเสื้อที่ขาดวิ่น

    มินตราตื่นตากับสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และจบลงภายในชั่วพริบตา

    “นายช่วยฉันไว้ ขอบใจมากนะ เจ้าเขี้ยว” เด็กหญิงเอื้อมจับลูบจับเนื้อตัวของเสือโคร่งตัวใหญ่ อย่างหมดความหวาดกลัว “ชื่อเขี้ยว ชอบไหม นายจะได้นึกถึงเขี้ยวที่นายให้ไว้กับฉันด้วย”

    “คุณพระ นั่นมินนี่ อยู่ตรงนั้น” เสียงร้องดังมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของมินตรา เจ้าโคร่งดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถอนตัวออกจากร่างเล็กที่มันยืนคร่อมอยู่   

     เด็กน้อยหันไปมองตามต้นเสียง เห็นแม่ของหล่อนยืนเอามือทาบอกเบิกตากว้าง ชาวบ้านที่มีปืนเริ่มล้อมตีวงกันเข้ามาพร้อมตั้งท่าเหนี่ยวไก

    “อย่ายิง เดี๋ยวโดนลูกผม” เสียงของนายตำรวจพนา พ่อของมินตราดังขึ้นตามหลังเสียงของมารดาติดๆ เขาบอกชาวคณะที่มาด้วยกันอย่างตื่นเต้น “มินนี่ยังไม่ตาย ลูกผมยังไม่ตาย”

    “ถ้านายยังเสียงดัง มันอาจขย้ำลูกนายจนเป็นศพเดี๋ยวนี้”

    เจ้าของเสียงดุ เฉียบขาดคนนั้น มินตราจำได้ดีว่าเขาคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน

    มินตราเห็นการรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็วของชาวคณะผู้มาใหม่ รวมพ่อกับแม่ของมินตราแล้วทั้งหมดมีกันห้าคน และสามคนในนั้นมีปืน สายตาทุกคนจับจ้องมาที่ร่างเสือโคร่งอย่างหมายชีวิต เด็กน้อยผุดลุกขึ้นยืนกางแขนออกจนสุดตัว แต่ร่างเสือลายพาดกลอนนั้นใหญ่โตกว่าเด็กน้อยหลายเท่านัก 

    “อย่ายิงนะคะ เขาไม่ได้ทำร้ายหนู” มินตราตะโกนตอบกลุ่มผู้ใหญ่ที่ย่างใกล้เข้ามา

    เสียงคำรามดังก้องป่า เสือโคร่งก้มหัวลงต่ำยอบตัวเหมือนพร้อมกระโจนเข้าใส่กลุ่มมนุษย์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ยืนจ้องคุมเชิงกันนิ่ง ราวกับว่า ณ ที่แห่งนั้น ทุกชีวิตเป็นเพียงรูปปั้น

    เด็กน้อยคนเดียวเท่านั้นที่กล้าขยับตัว หันไปบอกเสือใหญ่เสียงห้วนดัง “หนี”

    เพียงชั่วพริบตา เสือโคร่งที่อยู่ในท่าพร้อมกระโจนเข้าสู่ฝ่ายตรงข้าม กลับสะบัดร่างหมุนกลับหลังอย่างว่องไว กระโดดหนีเข้าไปในพงไม้ เสียงกระสุนนัดแรกก็ดังขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุกคนว่าสะโพกด้านด้านหนึ่งของเสือถูกกระสุนเจาะ ก่อนร่างลายพาดกลอนจะถลาเข้าพงไม้ พ่อของมินตราวิ่งเข้ามาอุ้มลุกสาวไว้ กระสุนอีกหลายนัดระดมยิงตามร่างของเสือโคร่งที่หายลับเข้าไปในป่า

    “ยิงกระหน่ำแบบนั้น อย่างไรก็เข้า ถ้าดวงดีมันคงสิ้นใจเป็นซากอยู่ไม่ไกลนี้หรอก”

    ได้ฟังพวกผู้ใหญ่พูดแค่นั้น หัวใจของเด็กน้อยก็หายวาบ “โธ่...เขี้ยว” มินตราพยายามชะเง้อ เพ่งสายตาเข้าไปในพงป่า

    “ตะวันจะตกแล้ว ไว้มาตามดูพรุ่งนี้เถอะ พายัยหนูไปโรงพยาบาลก่อน”  ใครบางคนในกลุ่มพูดขึ้น

    แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขัด เพราะในคณะที่ไปมีไม่กี่คน สองคนในทีมเป็นพ่อแม่ของมินตราซึ่งไม่ได้ชำนาญในการล่าสัตว์ ส่วนคนที่เหลือก็นายพรานมือสมัครเล่น ไม่มีใครเสี่ยงออกแยกจากคณะเพื่อเข้าไปตามล่าเสือโคร่งตัวใหญ่นั้น แม้จะมั่นใจว่ามันได้รับบาดเจ็บก็ตาม

                    ไม่มีข่าวคราวใดๆ เรื่องเจ้าเขี้ยวอีก ไม่มีใครพบซากศพ นั่นเป็นข่าวดีว่าเจ้าเขี้ยวน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ข่าวร้ายคือขี้ยวไม่ใช่เสือวิเศษ ไม่ใช่เทวดาจำแลง เพราะวันนั้นมันเจ็บ มันมีแผล มันโดนทำร้ายจนได้เลือด

    “จริงสิ ถ้าบาดเจ็บก็ต้องมีแผล”

                    หญิงสาวอยากคุยกับเขาเรื่องบาดแผลในป่าวันนั้น เพราะคนในหมู่บ้านต้องการปกป้องเธอ จึงได้ทำร้ายเขา หากต่างคนต่างอยู่ และเอไม่เป็นต้นเหตุเพลิดเพลินหลงเข้าไปในป่า เขาก็คงไม่ต้องเจ็บตัว เมื่อคืนที่พูดคุยกันช่วงสั้นๆ ยังไม่ได้เอ่ยขอโทษเรื่องนี้เลยสักคำ ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้หนักแน่น ว่าหากหล่อนได้พบกับเสือตัวนั้นอีกครั้ง เอจะกล่าวคำขอโทษ แม้ว่าเสือตัวนั้นจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ก็ตาม แต่ชะตาชีวิตเล่นตลกราวปาฏิหาริย์ ไม่เพียงแต่เสือตัวนั้นจะฟังภาคนรู้เรื่อง ยังกลายเป็นคนมาปรากฏตัวที่นี่ต่อหน้าต่อตา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×