คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เด็กหญิงผู้หลงป่า
“พอ... หยุด... หยุดได้แล้ว” คุณหมอละล่ำละลักพูด “ฉัน... ฉันเชื่อนายแล้ว”
ริ้วลายพาดกลอนค่อยเลือนไปพร้อมๆ กับผิวเนื้อสีส้มก็อ่อนจางกลืนเป็นสีเนื้อในเวลาไม่นาน นิ้วมือเรียว ที่หดสั้นลงไปกลายเป็นอุ้งมือที่หนาป้อม พร้อมกับเล็บปลายแหลม ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพของมือมนุษย์ตามปกติ “ไม่บอกให้หยุด ผมก็หยุดอยู่แล้ว ปล่อยให้แปลงร่างเป็นเสือทั้งตัว เสื้อผมขาดแน่”
อารมณ์ฉุนวาบขึ้นดับความตกใจจนเกลี้ยง จ้ะ... กลัวเสื้อตัวเองขาด พ่อเสือสำอาง พ่อเสือเทวดา
...คิด...แต่ไม่กล้าพูด ...ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก้มหน้ากระชับเสื้อกาวน์ปิดเสื้อตัวในไว้ กาวน์ขาวถูกขยำเหมือนจะแหลกคามือ!
เมื่อครู่นี้เขายังเป็นบางอย่างในสายตาเธอ เป็นหัวขโมย เป็นคนโรคจิต... เพียงไม่กี่นาทีถัดมา เขากลับกลายเป็นผู้มีบุญคุณต่อชีวิตเธอ เป็นแขกพิเศษที่มาเยือนในยามรัตติกาล พร้อมกับเรื่องราวประหลาดที่ยากเกินจะทำใจให้เชื่อ แต่จะว่าไปแล้วเรื่องเหลือเชื่อก็ไม่ได้เพิ่งเกิดแค่วันนี้ จุดเริ่มต้นมันมีตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีที่แล้วโน่น ในวันที่เธอยังไม่เต็มสิบขวบดี เป็นเด็กผู้หญิงชาวกรุงที่ดันหลงป่า เพราะวิ่งตามเจ้าแมวประหลาดตัวนั้น...
แมวตัวนั้นท่าทางรูปร่างไม่เหมือนแมวทั่วไป มันมีจุดดำเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วตัว แววตาสีเหลืองลุกวาวมองจ้องเธอไม่วางตาจากกิ่งไม้ใหญ่ที่ชายป่า พอเด็กหญิงเข้าไปใกล้ มันก็โผจากคบไม้หนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง เด็กน้อยลืมคำกำชับของผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปในป่าลำพัง ป่าไม่ใช่สวนสนุก ระวังจะกลับออกมาไม่ได้’
แต่แรกคิดว่าจะอยู่แค่ริมๆ ป่า มารู้ตัวอีกที เธอก็ถูกล้อมรอบด้วยไม้ใหญ่แต่ละต้นเป็นพันธุ์ไม้ที่เด็กเมืองกรุงไม่เคยรู้จัก รู้เพียงมัน รก ทึบ ชื้น เด็กหญิงยืนหมุนคว้างอยู่กลางป่า พยายามก้มลงเพ่งมองรอยเท้าตัวเองที่เพิ่งเดินย่ำผ่านมา โดยไม่มีใจจะแหงนหน้ามองหาเจ้าแมวประหลาดตัวนั้นอีก จนเสียง กร๊อบ ดังมาจากด้านหลัง มีนาน้อยสะดุ้งเฮือก หันขวับ พอเจ้าของเสียงปรากฏตัว รอยยิ้มรื่นก็เกิดขึ้นบนหน้าเด็กน้อย
“โธ่ ลูกหมีน่ะเอง แกทำให้ฉันใจหายหมดเลยรู้ไหม”
ลูกหมีตัวป้อมกลมน่ารัก มีนาคิดว่ามันน่าจะตัวเล็กกว่าตุ๊กตาหมีที่บ้านด้วยซ้ำ มันเอียงคอมองเธออย่างสงสัย นั่นยิ่งทำให้มีนานึกเอ็นดูจนนึกอยากอุ้ม แต่นึกถึงคำที่แม่สอนเวลาเธอขอจับตัวลูกแมว ‘เดี๋ยวแม่มันได้กลิ่นคน แล้วมันจะทิ้งลูก ไม่ให้นม’ เด็กหญิงมีนาเลยทำได้เพียงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วค้อมตัวลงไปคุยด้วย
“ฉันหลงป่า แกพอจะช่วยฉันหาทางออกจากป่าได้ไหม”
สิ้นประโยคเด็กน้อยเจ้าหมีก็กระโจนแผลว แล้ววิ่งนำไป ‘รู้ภาษาหรือเปล่านะ เจ้าตัวเล็ก’ มีนาคิดในใจ แต่อย่างไรก็คงยังดีกว่าเดินสะเปะสะปะตามลำพัง ไม่นานนักป่าก็โปร่งโล่งขึ้น พบเส้นทางที่มีรอยเท้าคนจางๆ เด็กหญิงเริ่มอุ่นใจ เดินมาอีกไม่กี่ก้าวก็พบกับลานโปร่งโล่ง กว้างขวาง เป็นลานที่อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทรใหญ่ ที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าแพรหลากสี รอบโคนต้นไทร มีก้านธูปแดงๆ ปักอยู่เรียงราย เด็กหญิงรู้ทันทีว่านี่คือลานที่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพูดถึงกันบ่อยๆ ‘ลานไทรสมิง’
“เก่งมาก เจ้าตัวน้อย” เด็กหญิงก้มหน้าลงไปคุยกับเจ้าสัตว์ตัวน้อย “ฉันจะรออยู่ตรงนี้ล่ะ อีกเดี๋ยวเดียวก็คงมีคนออกตามหาฉันถึงตรงนี้”
เด็กหญิงชาวกรุง พูดปลอบใจตัวเองเสียมากกว่าตั้งใจจะบอกกับเจ้าหมี ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวๆ ได้แต่ย้ำกับตัวเองว่า อีกประเดี๋ยวก็มีคนมา แต่ก่อนที่เธอจะได้รับความช่วยเหลือจากคน เสียงกรรโชกก็ดังขึ้นลั่นป่า
ผู้มาเยือนไม่ใช่ ‘คน’ อย่างที่หวัง แต่กลับเป็นหมีป่าตัวใหญ่ ไม่ต้องอาศัยความรู้เรื่องสัตว์ป่าเลย เพียงแค่มองจากสองตาก็พอรู้ว่ามันกำลังโกรธจัด
“ฉันไม่ได้ทำอะไรลูกแกนะ” ว่าพลางก้มลงพูดกับเจ้าตัวเล็ก ที่อยู่ๆ ก็เข้ามาเดินวนอยู่รอบขา “ไปหาแม่แกโน่น ไป๊ ชิ้ว!” มีนาน้อยกระทืบขาไล่เจ้าตัวเล็ก แต่แม่หมีกลับเข้าใจผิดกางกรงเล็บโผเข้าหาร่างเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว และอุ้งมือแม่หมีตวัดลงมาที่หน้าอกของเด็กน้อย พอดีกับมีนากระโดดถอยหลังอัตโนมัติ เล็บยาวที่ตวัดเข้าที่หน้าอกเด็กน้อยจึงลดแรงปะทะลงไปบ้าง แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้มีนาเซถลาเสียหลัก
เด็กหญิงมีนาได้เห็นแม่หมีใกล้ๆ จึงจะรู้ว่ามันบาดเจ็บ ที่ขนดำหนาของมันมีเลือดเปียกชุ่ม กระนั้นความเป็นแม่ก็ยังทำให้มันไม่ละความพยายามที่จะราวีศัตรู แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยแต่ก็เป็นศัตรู... เป็นผู้บุกรุกในสายตาของมัน และจังหวะที่มันกำลังฟาดอุ้งมือหนาซ้ำมายังเด็กหญิง ร่างสีส้มริ้วดำก็กระโดดเข้ากระแทกมีนาน้อยจนล้มลง แล้วใช้ลำตัวเข้ารับกรงเล็บของแม่หมีแทน
เสียงคำรามของทั้งสองประสานกันดังก้องป่า ทั้งเสียงหมีและเสียงเสือ ทั้งคู่ต่างบาดเจ็บ ... เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มองจ้องแม่หมีอยู่ครู่หนึ่ง หมีป่าตัวโตก็เปลี่ยนท่ายืนจากสองขา มาเป็นคลานสี่ขา ลูกตัวเล็กของมันวิ่งลนลานเข้าหาแม่ มีนาสาบานได้ว่านาทีนั้นเธอเห็นแม่หมีกอดลูกด้วยสองขาหน้า แล้วร้องไห้ ...
เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ยังคงยืนสงบนิ่ง... นิ่งจนเหมือนเป็นรูปปั้น ไม่มีแม้เสียงข่มคำรามใดๆ ... มันจ้องมองจนแม่ลูกทั้งคู่ เดินหายเข้าไปในป่า ทิ้งไว้แต่รอยเลือด หยดเป็นทาง
“แม่หมีตัวนั้นไม่รอด” ชายหนุ่มเล่าเรื่องอย่างละเอียด แล้วสรุปบทจบให้ฟัง
“ฉันเห็นมันมีแผลก่อนที่เจ้าเขี้ยว” หญิงสาวชำเลืองมองหน้าเขานิดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามอย่างเกรงใจ “เอ่อ...ก่อนที่นายจะเข้ามาเสียอีก มันถูกทำร้ายมาก่อน มาเห็นฉันอยู่กับลูกมัน ก็เลยยิ่งคลั่งใหญ่”
มีนาเลี่ยงที่จะใช้คำว่า ‘คุณ’ เพราะดูท่าว่าเขาจะรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งยังเคืองเรื่องเสื้อไม่หาย หล่อนรินชามะลิร้อนๆ เพื่อรับรองแขก เทคุ้กกี้ในโหลแก้วใส่จานเพื่อให้เขาแกล้มน้ำชา “ขอโทษเถอนะ... ฉันเผลอเรียกนายว่าเจ้าเขี้ยว เพราะฉันเรียกในใจของฉันคนเดียวแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เราเจอกัน”
“แสงขาล” เขาพูดโดยไม่ปรายตามองคุ้กกี้ที่เพิ่งยื่นให้ แสดงออกชัดเจนว่าสนใจชามะลิในถ้วยเป็นพิเศษ ทั้งจิบทั้งสูดหายใจเอาไอร้อนๆ เข้าไปในจมูกค่อนข้างแรง
“ชื่อนายหรือ” มีนาส่งยิ้มหวานให้ นึกหาวิธีผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ตามมารยาท “ชื่อเพราะจัง แล้ว...นายไม่ชอบชื่อที่ฉันตั้งให้หรือ”
เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางสง่างาม เยือกเย็น “ปัญญาอ่อน มนุษย์ที่ไหนจะชอบชื่อนั้น”
น้ำเสียงเย็นชาประกอบกับใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ทำให้ประโยคคำด่า หยาบคายกว่าที่มันเป็น ความเย็นของเขาทำให้มีนาร้อนวาบไปหมดทั้งหน้า ทั้งตัว หล่อนสูดหายใจลึก เม้มปากแน่น
พ่อเสือยังวางหน้านิ่งตะแคงคอถาม “ผมไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ไหม”
ความคิดเห็น