คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 งานหนังสือ
บทที่ 1
งานหนังสือ
“อะ...อ้าว รีบวางทำไมล่ะ? คุณ...คุณ !!” ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจที่ได้เชือดเฉือนยัยเจ้าของนามปากกาตัวยึกๆ ยือๆ ชนิดที่ถึงน้ำถึงเนื้อเมื่อครู่
...เคร้ง !! หมดยกที่หนึ่ง ฝ่ายแดงเป็นต่อสิบหนึ่ง...
สิ้นเสียงระฆังหมดยกจากรายการมวยวันเสาร์ทางทีวีที่ตั้งอยู่มุมห้องทำงานซึ่งน่าจะเรียกรวมกับห้องหนังสือผสมห้องนอนเสียมากกว่า กระตุกมุมปากของร่างที่นั่งเอนหลังอย่างสบายใจบนเก้าอี้บุนวมให้หงายโค้งขึ้น
แน่นอน...ยกแรกผมชนะเห็นๆ ฮะๆๆ อย่างยัยหนอนชาเขียวเรอะจะลับฝีปากมาต่อคำกับผมได้ มันเร็วไปสิบปีล่ะมั้ง? พลังวัตรของเจ้ายังไม่แก่กล้าพอ...ฮะๆๆ
ยิ่งคิด รอยยิ้มโค้งมุมปากก็กลายสภาพ ‘นายอินทรชิต’ ให้เป็นนายแบบโฆษณายาสีฟันซึ่งสนับสนุนรายการศิลปะป้องกันตัวประจำชาติ ที่กำลังคั่นรายการอยู่ในจอสี่เหลี่ยมขนาด 21 นิ้วเบื้องหน้าไปเสียแล้ว
...ฟันสะอาดสดใส เมื่อใช้ ดาลี่...ชิ้ง...
มือข้างขวาที่ถนัดถูกยกขึ้นมาหมายจะใช้หนุนหัวให้สูงดูรายการมวยไทยที่ชื่นชอบ แต่กลับไปวางแปะอยู่ตรงขอบตาที่อาจจะคล้ำลงไปเพราะจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันอย่างติดเป็นนิสัยแทน
ก็ขอบตาข้างนี้แหละ ที่แม่เจ้าประคุณเจ้าของร่างบอบบางจนแทบจะกลายเป็นนางแบบเอธิโอเปีย ประเคนกำปั้นน้อยๆ เต็มไปด้วยกระดูกเข้าปะทะอย่างจัง เดือดร้อนต้องเดินตุปัดตุเป๋เข้าร้านสะดวกซื้อ หาผ้าเย็นสักผืนมาประคบก่อนเลือดจะมาคั่งเป็นวงรอบดวงตา แต่ถึงกระนั้น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแบบงูๆ ปลาๆ (Snake Snake
Fish Fish
) ของบัณฑิตนิเทศฯ เอกสื่อสารฯ จากมหาวิทยาลัยเปิดอย่างผม ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แถมได้ที่ระลึกจากความรีบร้อนของตัวเองเป็นรอยเขียวรอบตาไปอีกเกือบสัปดาห์
คนอะไร ตัวก็เล็ก ผอมก็ผอม หมัดดันหนักชะมัด !!
คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย จนต้องคอยตามปัดรังควานกับแม่ตัวดีอยู่เนืองๆ ก็...ทั้งๆ เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าจะรับฟังเหตุผลกันก่อนจะออกอาวุธในท่าพระรามแผลงศรตรงเข้าตาขวากรรมการแบบปังเดียวจอดยังงั้น
อ๊ะ!! อย่าเพิ่งด่วนสรุปให้ผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น อาฆาต พยาบาท อะไรพันธุ์นั้น หนังสือธรรมะที่อ่านเป็นประจำช่วยเกลาจิตใจให้รู้สึกสงบได้มากพอดูจนบางครั้งยังเคยคิดออกบวชไม่สึกเสียด้วยซ้ำ แต่...มันติดอยู่เพียงแค่...ผมดันเกิดมาเป็นคนความจำดีเลิศประเสริฐศรีอย่างเดียวนี่สิ เลยต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถีแห่งโลกมนุษย์...
นิ้วชี้กับกลางเริ่มทำงานเป็นจังหวะคลึงรอบหางตาด้วยความเคยชิน รอยยิ้มคลี่กว้างก่อนหน้าชักจะหรี่ลงเมื่อย้อนนึกถึงวันเกิดเหตุอันแสนทุลักทุเล...วันเทศกาลหนังสือประจำปีครั้งที่ผ่านมา
ก็...วันนั้น...
‘ชิดในหน่อยเพ่ ชิดในหน่อย อย่าไปคนเดียวแบ่งให้คนอื่นไปด้วย แบ่งให้คนอื่นไปด้วย...’
สุ้มเสียงเหมือนไม่ค่อยเต็มใจพูดดังอยู่แถวประตูที่กำลังเปิดอ้าออกรับผู้โดยสารใหม่เข้าสู่ตัวรถโดยสารขนาดกลางทรงสี่เหลี่ยมยาว หลายคนกำลังก้าวลงบันได ทว่า...อีกกว่าสองเท่ากำลังก้าวขึ้นมาแทนที่ว่างในห้องโดยสารของพาหนะแบบสองประตูยี่สิบหน้าต่างคันนี้
‘ขอโทษครับๆ’ ร่างสูงได้สัดส่วนแบบนักกีฬาหันกลับไปเอ่ยปากพลางถอยร่นอย่างคำที่ได้ยินจากปากกระเป๋ารถเมล์ มือข้างซ้ายหอบเอาแฟ้มกระดาษ เอ 4 ที่ไม่ได้แม้แต่ถูกหนีบแน่นเข้าอย่างเรียบร้อยเอาไว้ รวมถึงหนังสือแนวปรัชญาของเซนอีกสองเล่ม
คนที่ก้าวขึ้นมาใหม่เอง ก็ถูกบอกแกมบังคับให้เบียดเสียดจนช่องว่างน้อยที่สุดไม่แตกต่างกัน
หญิงสาวร่างบอบบาง ยืนหอบแฟ้มเอกสารท่าทางเก้ๆ กังๆ หันหน้าหันหลังอยู่ตรงหน้าก็จำต้องถอยเข้ามาอีก จนกลิ่นหอมกรุ่นของแชมพูจากเส้นผมยาวสลวยดำมันวาวที่ถูกรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อยนั้นโชยแตะปลายจมูกคนยืนข้างหลัง
ชุดที่สวมใส่อย่าง...เสื้อยืดตัวเล็กสีขาว กางเกงยีนผ้ายืดสีมอ กับรองเท้าผ้าใบสีอ่อนบ่งบอกถึงความเป็นกุลสตรีแสนเรียบร้อยซึ่งเหลือน้อยนิดเต็มทีของเจ้าตัว หากเป็นกางเกงยีนตัวโคร่ง เสื้อเชิ้ต กับรองเท้าผ้าใบสีเข้ม ตัดผมซอยสั้นแบบดาราญี่ปุ่น หลายคนคงคิดว่าเจ้าของใบหน้าเรียว คิ้วยาวสวย กับปากบางๆ ที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกมันวาวตรงหน้า เป็นแมวการ์ตูนขนดำท้องขาวคู่กัดหนูสีน้ำตาลตัวนั้นแน่ๆ
‘ค่าโดยสารด้วยๆ แก๊บๆ ‘
เสียงเรียกพร้อมกับลีลาการขยับกระบอกตั๋วส่งมาเตือนให้ผมละสายตาออกจากหญิงสาวที่ยืนเบียดอยู่ตรงหน้า ควานหาเหรียญมาจ่ายในอัตรา 7 บาทตลอดสาย
...ไปงานหนังสือ ห่างจากบ้าน ‘บักเขียบ’ สิบกว่ากิโลเมตร ถ้าไม่เกิดเหตุฝนตกอันแสนจะ...รถติด ซะก่อนล่ะก็...แค่สิบห้านาทีก็ถึง ไปทันก่อนเปิดงานเป็นชั่วโมงแหงๆ
(แต่น แตน แต๊นนนน สวัสดี๋ครับผ่อ แม่ พี่น่อง...หมู่เฮ่าซ้าวอิสาน สุผู้สุคนเด้อ ภาษาอีสานมื่อละค่ำ มื่อ...หนี่ ! ขอเสนอค่ำหว่า...’บักเขียบ’)
(...บักเขียบ เป็นสื่อของผลไม่สะนิดนึ่ง ซึ่งก็คื่อ เออะ ! ‘น้อยหน่า’ ในถี่หนี่ ! คึดหว่า น่ายอิ่นทรฉิต ค่งเว่าฮอด สื่อหมู่ผู่ซ้าย ข้นถี่ไปอาศัยซุกหัวน่อนน่ำแต่คื่น ก่อน เหอๆๆ ผู่ซ่ายอิหยังสิม่าสื่อ น้อยหน่า...ฮา...^0^)
รถเคลื่อนตัวอีกครั้งราวกับถูกกระชากด้วยพญาช้างสาร ทำเอาบรรดานักยิมนาสติกประเภทห่วงทั้งหลายพานจะทำท่าหมุนตัวกลับหลัง ตีลังกาใส่เกลียวสามรอบ ก่อนปลายเท้าแตะลงพื้นราวกับนกอินทรีตะครุบเหยื่อแล้วยืดอกชูมือขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยให้กรรมการยกป้ายคะแนนเต็มสิบเป็นเอกฉันท์หากไม่จับอุปกรณ์ให้แน่น
หนึ่งในนั้นก็คงเป็นแม่สาวห้าวรวบผมหางม้า เธอทำท่าจะหงายมาเกยร่างด้านหลัง โชคดีที่ยังเอื้อมมือไปจับห่วงไว้ทัน โชคร้าย...เธอถอยเท้าก้าวมาหมายจะกางฐานให้กว้างรับอาการไหวโยกของตัวรถ
‘อึก...’ อ๊า...!! เล็บขบที่เพิ่งไปรักษามา เต็มๆ เลย !!!
‘อุ๊ย !! ขอโทษค่ะ’ เธอหันกลับมามองคนโดนเหยียบเล็บขบอันแสนทะนุถนอม ไม่ให้แม้แต่อากาศเข้าเยี่ยมกลายโดยการพันผ้าตาข่ายขาวสามสี่ชั้นทำเป็นมัมมี่เล็บขบ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเจื่อนๆ ‘เจ็บมั้ยคะ ?’
‘เอ่อ...ไม่...ไม่เจ็บครับ ซี๊ด...’ พยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นปกติมากที่สุด แต่รู้สึกว่าตอนเวลาสูดลมหายใจเข้าลึกหวังบรรเทาความเจ็บลง กลับกลายเป็นลอดไรฟันที่กัดกันแน่นจนกรามนูนเป็นสันแทน
อูยยยย...เจ็บ...เจ็บยิ่งกว่าตอนอกหักสมัยเรียน ป. 3 ซะอี๊กกกก !!!
‘อ่ะ...แน่ใจ...เหรอคะ ?’ หญิงสาวจ้องใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนสีสลับกันไปมาเหมือนกับสันญาณไฟจราจรทำงานผิดปกติตรงสี่แยกที่เพิ่งผ่านมาเหมือนสำนึกในความผิดพร้อมกับถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจ เพียงแต่น้ำเสียงกลับบ่งบอกว่ารับรู้สิ่งที่พยายามปกปิดเอาไว้
อูย...ถ้ามาหลอกให้หลงรัก สุดท้ายก็ทิ้งไป แล้วตีสีหน้าแบบนี้ จะไม่ว่าอะไรสักคำเลย แต่นี่มัน...เล็บขบน่ะ เล็บขบ !!! เธอรู้จักม้ายยยยยย !!!
‘...ครับ ไม่เป็นไรจริงๆ ’
ทนไว้ๆ เดี๋ยวก็หาย เธอไม่ได้ตั้งใจๆ ท่องไว้ๆ อูยยยย...
‘ยังไงไหมก็ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบเท้าคุณจริงๆ ‘ คนตัวเล็กสีหน้าสลด เอ่ยขอโทษเสียงตะกุกตะกัก
‘อะ..ครับ ผมเข้าใจๆ ’
รอยยิ้มอย่างโล่งใจเผยออกมาพร้อมแววตาละมุนบนใบหน้าเรียวนวลใสนั้น แทบจะทำให้หายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง เพียงแต่ตอนนี้...คนร่างสูงยิ้มรับให้เธอไม่ออกจึงได้แต่ปั้นหน้าเฉยชาเท่านั้น
หญิงสาวร่างบอบบางหันกลับไปอยู่อิริยาบถเดิมก่อนหน้า ผมเองก็ยืดตัวให้ตรงขึ้นหลังพยายามระงับความเจ็บตรงหัวนิ้วโป้งเท้าซ้ายอยู่นาน ลองคะเนเทียบความสูงกับเธอ ดูเหมือนจะต่างกันราวครึ่งฟุตเห็นจะได้ มิน่าล่ะ ปลายนิ้วที่เกี่ยวห่วงที่จับข้างบนถึงไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไหร่
เอ๊ะ !! หรือนี่จะเป็นอุบัติเหตุรัก จากเล็บขบ ฮะๆๆ บ้าน่า...คิดอะไรเพี้ยนๆ ไปได้...
รถโดยสารประจำทางชะลอความเร็วก่อนจะถึงป้ายห่างจากสถานที่จัดงานเทศกาลหนังสือประจำปี ใกล้จะสุดสายแล้วผู้คนที่เบียดเสียดอยู่เต็มคันก่อนหน้าจึงบางตาลง เจ้าของร่างบางรีบก้าวขาไปหาประตูอย่างเร่งรีบ เช่นเดียวกับชายด้านหลังที่ตามเธอมาไม่ห่าง
‘อ๊ะ !!’
แผ่นกระดาษเอ 4 หนึ่งแผ่นในแฟ้มถูกลมจากด้านนอกที่ผ่านทางประตูเข้ามาพัดหลุดออกปลิวไปเบื้องหน้า ภาพการ์ตูนล้อเลียนที่ผมบรรจงเขียนเป็นหน้าตัวเองเอาไว้แจกแฟนๆ เรื่องสั้นเป็นของที่ระลึกสำหรับการรวมเล่มครั้งแรกกำลังจะหล่นลงพื้น
ตายล่ะ !!...เดี๋ยวโดนเหยียบเป็นรอยล่ะก็ไม่มีใครเอาแหงๆ !!!
ไวเท่าความคิด มือขวาที่ว่างก็รีบเอื้อมไปหมายตะครุบเจ้าแผ่นสีขาวนวลเปื้อนรอยหมึกเป็นภาพเจ้าชายอาหรับในสัดส่วนหนึ่งต่อสองยืนยิ้มเห็นฟันขาวเรียงตัวสวยทันควัน
‘กึก’
ยังไม่ทันคว้าเจ้ากระดาษนั่นได้ติดมือ รถเมล์ก็หยุดเคลื่อนเมื่อถึงป้ายให้จอดรับผู้โดยสารปากทางเข้าตึกจัดงานเทศกาลหนังสือประจำปีพอดี
‘หมับ’
เอ๋ !? พลาด...โธ่เอ๊ย !! หล่นพื้นจนได้สิน่า เดี๋ยวก็โดนเหยียบหรอก เพราะคนขับเบรกแท้ๆ เชียว...ว่าแต่...ไปจับโดนอะไรเข้าล่ะ ? นุ่มๆ หยุ่นๆ อย่าบอกนะว่า...อึ๋ย...กะ...ก้น !!
ทันทีที่มือเจ้ากรรมหลุดจากสัมผัส ร่างเล็กกว่าครึ่งฟุตตรงหน้าก็หันขวับกลับมา รอยย่นที่หัวคิ้วยกปลายหางจนชันขึ้นขับดวงตากลมแฝงแววขุ่นคลั่กให้ถลึงโตกว่าปกติกับเรียวปากสีชมพูระเรื่อที่โค้งคว่ำลงบนใบหน้ารียาวรูปไข่กำลังบ่งบอกอารมณ์ปะทุพร้อมจะระเบิดลาวาออกมาได้ทุกเมื่อของผู้เป็นเจ้าของ
‘อะ..เดี๋ย...ว’
‘บึ๊ก !!’ ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือร้องห้ามจบ กำปั้นเล็กๆ แบบหนังหุ้มกระดูก ก็ตรงเข้าเบ้าตาขวาผมจนเห็นดวงดาวระยิบระยับเอาตอนเกือบสิบโมงเช้าแบบนี้
‘อั่ก...’
‘อะ...ไอ้คนลามก !!! ไอ้วิปริต !!! อะ...ไอ้...โรคจิต...ไอ้...ฮึ่ม...’ สรรหาคำมาแทนตัวคนโดนชกไม่ออกแล้ว ก็สะบัดหน้าพรืดแล้วเดินลงบันไดจากไป ปล่อยให้ผมยืนกุมเบ้าตาพร้อมกับอาการมึนงงเหมือนนักมวยโดนน็อค
‘โหย...เพ่...หญิงไม่กิ๊กด้วย เล่นเง้เลยเหรอ...แสดดดด...’ เสียงกระเป๋าเด็กแนวจัด เปล่งออกมาเหยียดทันทีที่จบเหตุการณ์ ‘วันที่ดาวเต็มฟ้า’
ผมอ้าปากค้างหันไปมองรอบตัวด้วยตาข้างเดียว สัมผัสถึงบรรยากาศทะมึนราวกับพายุกำลังจะถาโถม สายฟ้ากำลังจะผ่าลงมาตรงกบาล แผ่นดินกำลังจะปริแยกสูบคนชั่วโรคจิตวิปริตลงสู่ก้นบึ้งแห่งนรกอเวจี ในรถโดยสารคันเล็กๆ ที่กำลังกลายสภาพเป็น ‘ศาลไคฟะ’ แถมมีสิทธิ์ถูกตัดสินลงทัณฑ์ด้วย ‘เครื่องประหารสหบาทา !!!’ จากบรรดาผู้ส่งสายตาขุ่นมากกว่ายี่สิบคู่
แผ่นกระดาษเจ้ากรรมถูกหยิบขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ไร้ประโยชน์ที่จะอธิบายเรื่องราวให้คนเหล่านี้ฟัง ขนาดคนที่โดนจับ...อ่า...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ยังเดินหนีไป ไม่ฟังสักนิด ทางที่ดีต้องอัปเปหิพาร่างลงจากรถโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
‘เมืองทอง-รังสิตๆ ก้าวเลยๆ ‘ กระเป๋ารถเมล์ยังคงทำหน้าที่เรียกผู้โดยสารเช่นเดิม ผู้คนทยอยขึ้นลงตามปกติ เพียงทุกอย่างสงบก็ได้เวลาไปยังป้ายต่อไป ‘อ่ะ...เล็ตสโก...ลูกเพ่...ฟืด...’
รถโดยสารสีขาวคาดแถบสติ๊กเกอร์น้ำเงินสามสี่แถบออกตัวไปไกลจากสายตาคนขากะเผลกที่มองตามด้วยความโล่งใจราวกับเพิ่งหลุดออกจากนรกขุม 18 เตรียมตัวไปจุติใหม่ในร่างมนุษย์ขาเป๋กับปานเขียวช้ำรอบเบ้าตาขวา
เฮ้อ...ไปซะที เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ อูย...เจ็บโว้ย !!!
สายตาที่ยังใช้การได้ดีอีกข้างกวาดมองหาร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ก่อนเท้าขวาภายใต้รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มซึ่งสภาพสมบูรณ์กว่าอีกข้างจะก้าวลากพาร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงผ้าลูกฟูกซุปเปอร์แบล็กไปหาเป้าหมายอย่างทุลักทุเล
ซวย !! ซุปเปอร์ซวยเลยโว้ย !!! อูยยยย...
กว่าจะลากสังขารที่ไม่ค่อยจะเต็มร้อยก้าวเข้าสู่งานพร้อมกับผืนผ้าเย็นแปะคลึงอยู่รองเบ้าตาได้ก็ปาเข้าไป 10.45 น. ไม่แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยงานก็เพิ่งจะเริ่ม ถึงจะยังไม่ได้แวะเข้าไปเยี่ยมคารวะผู้หลักผู้ใหญ่ของสำนักพิมพ์อย่างที่อยากทำให้เรียบร้อยก่อนก็ตามที แต่เรื่องแค่นี้ ~มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่าไม่มา~ หวังว่าพวกผู้อาวุโสทั้งหลายคงจะเข้าใจ
ผู้คนต่างทยอยกันเข้าสู่ตัวงานที่คลาคล่ำไปด้วยบูธโชว์หนังสือของแต่ละสำนักพิมพ์ เลือกหยิบ เลือกจับ เลือกจอง เป็นเจ้าของผลงานนักเขียนในดวงใจทำเอากองบรรณาธิการยิ้มกว้างจนไม่รู้ว่าไอ้ที่ยึดฟันไว้ไม่ให้หลุดออกจะโดนอากาศแห้งๆ เย็นจากเครื่องปรับอากาศเป่าให้กรอบเป็น ‘เหงือกเย็นอบแห้ง’ เอาตอนไหน ก่อนบรรดาแฟนคลับจะถลาไปรุมล้อมขอลายเซ็นกับของที่ระลึกจากมือนักเขียนชั้นเทพตัวเป็นๆ ที่พกติดไม้ติดมือมาแจกแทนเงินค่าจ้างเหล่าอาชาพักตร์ในเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า
‘เฮ้...ทางนี้ไอ้หนุ่มหน้าตาย!!’ เสียงร้องเรียกกับฉายาที่คุ้นเคยแบบนี้ หาใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ‘พี่ตู่’ หัวหน้ากอง บก. ผู้จับเอาเรื่องสั้นแนวปรัชญาขนาด 20 หน้า เอ 4 ของผมแต่ละเรื่องมา ‘โฮะ’ กันจนออกมาเป็น ‘หากชีวิต ลิขิตได้’ เล่มหนากว่า 100 หน้า เอ 4
(ต่อนยอน ต๊ะต่อนย้อนนนน ต๊ะต๋อนหย่อน ต๋อนยอนๆ...คูณณณณ ผู้โชมมมม เจ้า...กำเมืองวันละกำวันนี้ ! ขอเสนอกำว่า ‘โฮะ’ ^0^)
(...โฮะ เป๋นจื้อแก๋งชนิดนึ่ง ตี้เอาแก๋ง ผัด กับอะหยังหลายๆ อย่าง ตี้เหลือลุกงานปอยหลวง เออะ ! งานศพน่ะเจ้า...^o^’ เอามากนสูนกั๋น เอ่อ...คนรวมกันน่ะเจ้า...ฮา...^o^ ดังน้านนนน ‘โฮะ’ ในตี้นี้ จึงแป๋ได้ว่า เอาเรื่องสั้นตี้เหลือจิ้นดีๆ น้อยๆ อยู่ มารีมิกส์เป๋นหนังสือเล่มใหม่ ฮา...^0^ ออย...ใคร่เหนื่อยเน้อ...~_~” ฮา...)
ลากขาทุลักทุเล มือซ้ายหอบแฟ้มรูปการ์ตูนล้อเลียนกับหนังสือ ‘วิถีอย่างเซ็ง’ กับ ‘ตายแล้ว น่าจะไปผุดไปเกิด มาอยู่แถวนี้ทำไม?’ มือขวาโปะผ้าเย็นปิดตาไปหาคนสูงวัยกว่าด้วยรอยยิ้มที่เหมือนอยากจะบอกว่า...นี่ล่ะครับ ยิ้มที่ดีที่สุด ในเวลาลำเค็ญ จมทุกข์ตกสุข แบบนี้...
‘สวัสดีครับพี่ตู่ พี่แก้ว พี่อัญ พี่นก...’ ทั้งที่อยากจะยกมือประกบคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายใจจะขาด แต่...มือขวาว่างพอหยวนๆ กับผ้าเย็น เอ...มือซ้ายไม่ว่าง อ่า...เท้าซ้าย...เจ็บ...จะยกเท้าขวาขึ้นประกบมือขวา มันทำได้ที่ไหนกันเล่า !! งั้นผงกหัวเป็นกิ้งก่าตาเขียวก็พอ (@_-‘) ( _ _’) (@_-‘)
‘ฮะๆๆ ไปฟัดกับแมวที่ไหนมาล่ะ นายอินทรชิต...ฮะๆ’ คนใส่แว่นเลนส์เว้ากรอบทอง ร่างบึกบึน หัวเราะร่วนกับสภาพรุ่งริ่งตรงหน้าไม่วายให้อีกสามสาวใหญ่อมยิ้มออกมาสำทับ
‘เรื่องมันยาวน่ะครับพี่ตู่...’
‘ฮะๆๆ งั้น...ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า’ หัวหน้ากอง บก. ยังหัวเราะเสียงดัง ความระทมทุกข์ของผมท่าทางจะกลายเป็นการ์ตูนตลกในสายตาสั้นๆ ของแกไปเรียบร้อยเสียแล้ว
แต่เพียงท่าทีขำเสียเต็มประดาจบลง ชายใบหน้ารูปผืนผ้ากลับมีน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาแทน
‘เอ่อ...นี่ !! พี่อยากแนะนำคนให้รู้จักคนนึง เห็นว่าอยู่ขอนแก่นเหมือนกันกับนาย รู้จักกันไว้ก็ดี เผื่อวันหน้าอาจได้ทำงานร่วมกัน’ ก่อนจะเว้นช่วงเหลียวมองหาใครสักคนหนึ่ง ‘ไหม...หนอนไหม...ไอ้ไหมโว้ย !!! มานี่หน่อย...’
เอ๋...ชื่อคุ้นๆ แฮะ...เหมือน...เพิ่งได้ยินคำแทนตัวด้วยชื่อนี้ ตอนอยู่บนรถเมล์
‘เจ้าค่า...คุณ บก. ที่เคารพ...’ เสียงตอบกลับมาก็คุ้นอีกแฮะ
เสียงฝีเท้าเหมือนกึ่งวิ่งกึ่งเดินดังใกล้เข้าหาจากทางด้านหลัง ไม่นานเจ้าของร่างเล็กบอบบางก็มายืนอยู่ข้างๆ ร่างสูงกว่าครึ่งฟุตในกรอบสายตาอบอุ่นใต้แว่นกลมใสขอบทอง
เหลือบมองเจ้าของชื่อเรียกขานให้ใบหน้าต้องออกอาการอึ้ง
อ๋า...ยัยตัวแสบ !! มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย !!? แถมรู้จักกับพี่ตู่อีก !!!
‘เรียกไหมมามีอะไรด่วนรึเปล่าพี่ตู่ ? กำลังเมาท์กับพี่อิ๋วมันส์เลย’ เสียงเจื้อยแจ้วผ่านริมฝีปากบางราวคุ้นเคยกับผู้เรียกหาเป็นอย่างดี แต่กับสีหน้าเท่านั้นที่บอกความรู้สึกราวถูกขัดใจลึกๆ ข้างใน
‘อ้าว...ไอ้นี่ ไม่มี จะเรียกมั้ย ? เรียกมาก็ทำหน้าเหมือนเด็กงอแงไม่ได้กินไอติมแบบนี้น่ะ’
ทางฝ่ายคนเรียกก็ยอกย้อนไม่แพ้กัน สวนกลับจนคนไม่ได้กินไอติม หน้าง้ำลงแบบต้องขอเพิ่มอีกแท่ง
‘เออ...พี่อยากแนะนำให้รู้จักนักเขียนเรื่องสั้นประจำสำนักพิมพ์น่ะ เอ็งยังไม่เคยเจอไม่ใช่เหรอ ? คนนี้ไง...’
‘ค่า...’
ใบหน้าเนียนสวยได้รูปเงยขึ้นมองคนตัวสูงกว่า เรียวปากบางอ้าค้างแทบจะทันทีเมื่อสบใบหน้าคมกับผ้าสีขาวที่ถูกกุมปิดเบ้าตาขวาชัดเจน
‘อะ...’
‘คนนี้นามปากกา อินทรชิต ส่วนนี่ก็ หนอนไหม’ ผู้อาวุโสแนะนำเป็นทางการพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง ‘ทำความรู้จักกันไว้สิ’
‘อะ...ไอ้...คนโรคจิต !!!’
นั่นไง...คำแรกที่หลุดออกจากปากหญิงสาวที่เพิ่งรู้จักกันเป็นทางการครั้งแรก...กรรมหนอกรรม
‘อ่ะ...เดี๋ย...ว สิ...คุ...’
ไม่ทันได้อ้าปากอธิบายเรื่องราวเป็นครั้งที่สอง เสียงแข็งๆ ก็ชิงตัดหน้าส่งออกมาก่อน
‘นี่เหรอคะพี่ตู่ ไอ้นายราหูสติแตก ที่ชอบเข้าไปคอมเมนต์งานเขียนของคนอื่นแบบเห็นเลือดไหลซิบๆ อะไรนั่นน่ะ อ๋อ...มิน่าล่ะ โรคจิตแบบนี้นี่เอง’ แววเหยียดจากดวงตากลมโตกรีดมองร่างข้างๆ ตั้งแต่ปลายเท้าจรดเส้นผมเส้นสุดท้าย ริมฝีปากบางเบะแถมง้ำลงอย่างนึกขนลุกเวลายืนอยู่ใกล้ด้วยความขยะแขยงจนเห็นได้ชัด ทำเอาคนรับฟังนึกคำที่อยากพูดก่อนหน้าไม่ออก
อ่ะ...อะไรกันฟะ ? คอมเมนต์ให้พัฒนาขึ้นในทางที่ดีมันผิดตรงไหน ?
‘อ้าว...อยู่ดีๆ ไปว่าเขาโรคจิตแบบนั้นได้ไงไอ้ไหม ? เรื่องสั้นแนวเขาออกมาให้แง่คิดดีจะตายไป คนแบบนี้จะเป็นโรคจิตได้ไง ?’
เออ...เอาเข้าไป จากโรคจิตจากปากคนคนเดียวก็ปวดหัวจะบ้าตายอยู่แล้ว ยังจะมีลูกคู่มายกให้เป็นโรคจิตกำลังสองอีก ? ชาติที่แล้วผมเกิดเป็นผู้คุมสถานบำบัดผู้ป่วยจิตเวชรึยังไงเนี่ย !? โอ๊ยยยย...
‘ก็ตอนอยู่บนรถเมล์ ไอ้หมอนี่มัน...ฮึ่ม...มันเป็นคนโรคจิต !!’ ถึงตรงนี้ ดวงหน้าที่เคยสวยเริ่มยับย่นพลางหันกลับไปทำท่าเหมือนอยากฟ้องคนสวมแว่นฉอดๆ
แต่...ก่อนที่เธอจะเอาผมไปเร่เป็นสินค้าสามกำสิบบาทให้พี่ตู่ฟัง น้ำเสียงทุ้มราบเรียบก็เอ่ยออกมาขวางเสียงที่ดังกว่า 30 เดซิเบลโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียงให้เปลืองค่าเช่าจากปากเรียวบางได้ทันเวลา
‘โรคจิตๆ วิปริตๆ ผมว่าไอ้สองคำนี่มันคงไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่หรอกคุณหนอนไหม มันน่าจะเก็บเอาไว้ใช้กับยัยบ๊องสติแตกที่ไม่ยอมฟังคำอธิบาย พาลเอากำปั้นมาตั๊นเบ้าตาคนอื่นเขาเสียมากกว่า’
‘อ่ะ...กะ...กล้าดียังไงมาว่าฉันบ๊องสติแตกหา ไอ้...ไอ้...หน้าดำ’
เห็นขาทั้งสองข้างตกลงหลุมที่ตั้งใจวางเอาไว้อย่างจัง รอยยิ้มมุมปากบนใบหน้าคมเข้มก็กระตุกขึ้นพร้อมกับสายตาหรี่มองคนหน้าเขียวสลับเหลืองอย่างใจเย็น
‘หึๆ ผมว่าท่าทางสายตาคุณจะแยกแยะสีไม่ออกล่ะมั้งครับ ? ระหว่างผิวสีแทนกับดำน่ะ สงสัยคงต้องแวะร้านแว่นแถวหน้าทางเข้างานให้เขาเช็คสายตาแล้วตัดให้สักอันจะได้เห็นชัดๆ ขึ้น...’
‘อะ...ไอ้...’ ร่างบอบบางสั่นสะท้าน ริมฝีปากบางอ้าค้างพร้อมกับนัยน์ตาเขียวปั้ดส่งมาแทนคำพูดที่พยายามขุดลงไปลึกแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ
‘เอ่อ...พี่ตู่ครับ งั้นผมขอตัวไปมุมเรื่องสั้นก่อนนะครับ ท่าทางจะสายแล้ว ขี้เกียจหอบเอาของที่ระลึกกลับบ้านน่ะครับ’ สิ้นข้อหา ‘โรคจิต’ ได้เปลาะหนึ่งก็หาทางชิ่งก่อนที่เธอจะรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
‘อ่ะ...เอ่อ...ก็ดีเหมือนกัน ไปเหอะ เดี๋ยวใครแถวนี้จะกลายเป็นยัยบ๊องสติแตกไปจริงๆ ’ รอยยิ้มเจื่อนๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าผู้แก่วัยกว่าเป็นเชิงเห็นด้วยขณะเอ่ยปาก
“อะ...”
หันไปมองร่างเล็กข้างๆ เห็นเพียงท่าทีตกตะลึงในยามโดนสกรัมแบบสองต่อหนึ่ง ให้รอยยิ้มมุมปากยิ่งกดลึกอย่างพึงใจ
‘อืม...ความจริงผมว่า เป็นมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้วล่ะมั้งครับ ? ไม่ได้กำลังจะเป็น ฮะๆๆ ‘
เสียงระเบิดหัวเราะตามแบบผู้ชายเงียบขรึมฝีปากกล้า ดังกดดันคนโดนพาดพิงก่อนร่างสูงจะพยายามก้าวขาไปอีกทางให้ดูเป็นปกติทั้งๆ ความเจ็บแล่นแปลบจากปลายนิ้วโป้งเท้าซ้ายสู่ส่วนรับความรู้สึกจนอยากจะหาเก้าอี้มานั่งสักตัว
‘กะ...กรี๊...อุ๊บ...’ ทั้งๆ อยากกรีดร้องออกมาระบายอารมณ์เดือดปุด เจ้าของร่างเล็กกลับสกัดเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นสัมภเวสีสาวร้องโหยหวนออกมา ‘กะ...กลับมานี่นะ !! มาพูดกันให้รู้เรื่อง นายว่าใครยะ !!!’
ร่างสูงเพรียวแบบนักกีฬาก้าวช้าๆ ไม่ยี่หระกับเสียงตะโกนตามมา มีเพียงแผ่นหลังกว้างค่อยๆ ไกลออกห่างคนร้องเป็นเจ้าเข้าทรงที่เพิ่งผละออกมา
หึๆ นี่ยังไม่รู้ตัวอีกรึ ? ยัยหนอนไม้ไผ่...
‘โธ่เอ๊ย !! นึกว่าจะแน่...ที่แท้ก็ปอดนี่หว่า !!!’
สิ้นเสียงลั่นกลองท้ารบ ธงผ้าสีพื้นน้ำทะเลตรงกลางเขียนสีเขียวเป็นรูปตัวยึกยือมีจุดดำเป็นวงจุดใหญ่เว้นระยะห่างระหว่างปล้องประจำตัวผู้ส่งสารท้าก็ถูกชักขึ้น รอเพียงอีกฝ่ายชักธงตอบรับเท่านั้น
ส่วนผม...เพียงหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าคมหันกลับมาหาแม่ทัพหนอนชาเขียว รอยยิ้มมุมปากบิดโค้งขึ้นพร้อมกับสายตาทอแววดูแคลนถูกส่งไปเป็นนัยว่า...’ความสงบ สยบการเคลื่อนไหว’...หนึ่งในพิชัยยุทธอันเลื่องชื่อระบือนามของซุนกงจื๊อ
‘แน่หรือไม่แน่ ปล่อยให้ผลงานจากปลายปากกาเป็นเครื่องตัดสินจะดีกว่า แต่มีเรื่องหนึ่งที่แน่นอนที่สุด เมมโมรี่ขนาดกว่าพันล้านกิกะไบต์ในสมองผม คงไม่ถูกใช้เก็บไฟล์ขยะแสนไร้สาระของไวรัสตัวยึกยือให้เปลืองเนื้อที่เก็บข้อมูลอันมีคุณค่ายิ่งไปหรอกครับ คุณหนอนไหม...’
พูดจบร่างสูงเพรียวก็ฝืนเดินต่อ ถึงความเจ็บทางกายจะค่อนไปทางสาหัสเวลาก้าวขาทุกขณะแต่กับชัยชนะที่ฝากรอยเจ็บประทับลงกลางใจของข้าศึกกลับดึงรอยยิ้มให้กว้างขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
‘กะ...กรี๊ดดดดดดดดด...’
ฮะๆๆ สะใจๆๆ !! อยากได้ยินเสียงร้องโหยหวนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวกลับจากงานหนังสือ จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้นะ ยัยหนอนบุ้ง ก๊ากกกกกก...
ความคิดเห็น