คงไม่ต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแต่อย่างไรในเรื่องของเนื้อเรื่องของ แฟนฉัน ที่แทบทุกคนน่าจะพอรับรู้(จนอาจจะเบื่อเลี่ยนกันไปแล้ว)จากสื่อต่างๆ แต่ก็ขอบอกกล่าวกันคร่าวๆ ว่า แฟนฉัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ เจี๊ยบ วันหนึ่ง เขาได้ข่าวการแต่งงานของเพื่อนหญิงในวัยเด็กของเขา ทำให้เขารำลึกไปถึงวัยเด็กที่เคยใช้ชีวิตช่วงนั้นร่วมกับเด็กหญิงเพื่อนบ้านที่ชื่อ น้อยหน่า คนนี้ เรื่องราวในวัยเด็กระหว่างเขากับน้อยหน่าคงจะลงเอยด้วยดี ถ้า เจี๊ยบ ไม่ได้เติบโตขึ้นจนรู้สึกว่าเขาเบื่อหน่ายกับการเล่นขายของ เล่นพ่อแม่ เล่นโดดหนังยางกับเพื่อนแถวบ้านที่เป็นกลุ่มหญิงล้วน และพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองได้ไปเล่นฟุตบอล เล่นกระบี่ไร้เทียมทาน กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายบ้าง และหาก เจี๊ยบ จะโตมากกว่านั้น เขาคงคิดได้ว่า การได้เล่นอะไรลุยๆ เฮๆ กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายนั้น มันไม่คุ้นค่าเลยกับการที่จะต้องเสียเพื่อนหญิง (ที่เขาคิดว่าน่าเบื่อ) คนที่รู้ใจและเอาใจใส่เขาไปซะทุกอย่าง และมันก็ไม่คุ้มเลยกับความรู้สึกดีๆ ของเธอที่ต้องถูกทำลายลงไปด้วยมือของเจี๊ยบเอง
แฟนฉัน เป็นหนังที่น่าจะใช้คำว่า "หนังดี" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ (แม้จะไม่ดีในระดับ 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ Last life in the Universe ก็ตามที) ด้วยการวางโครงเรื่องที่แน่นหนา เนื้อเรื่องที่เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ลีลาการเล่าเรื่องที่สนุกสนาน ส่งผลให้ตัวหนังดำเนินเรื่องไปสู่ประเด็นหลักที่ต้องการพูดถึงได้อย่างลงตัวและเร้าอารมณ์อย่างมากมายทีเดียว นอกจากฉากสนุกสนาน ด้วยอารมณ์ตลกระดับถึงกึ๋น ในช่วงครึ่งเรื่องแรกน่าจะทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่หัวเราะกันจนน้ำตาเล็ดได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นก็เป็นความยากในระดับหนึ่ง เพราะการชงมุข ปล่อยมุขตลก นั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับหนังเด็ก ที่ตัวละครหลักทุกคนอยู่ในวัยเฉลี่ยที่ 10 ขวบแบบนี้ แต่ความยากที่มหาหินมากไปกว่าฉากตลกเหล่านี้คือการเปลี่ยนโทนเรื่องจากโทนตลกเข้าสู่โทนจริงจังที่เน้นการแตกหักของตัวละครหลักในช่วงหลังของเรื่องต่างหากที่ทำให้ แฟนฉัน พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนังระดับคุณภาพที่เข้าถึงอารมณ์หนักๆ แต่คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของเด็กได้ดีน่าชื่นชม ซึ่งคงต้องขอบคุณบทภาพยนตร์ที่แน่นเหลือหลาย อีกทั้งการดำเนินเรื่องเป็นขั้นเป็นตอนแต่ก็มีการหยอดมุขไปเรื่องๆ ไม่ได้เล่าเรื่องกันแบบทื่อมะลื่อแต่อย่างไร
ฉากหนึ่งที่น่าจะเป็นการบอกว่า แฟนฉัน มีการดำเนินเรื่อง ปูอารมณ์ของเรื่องมาได้ถูกทางคงจะเป็นฉากที่ เจี๊ยบ ตัดสินใจไปง้อ น้อยหน่าที่บ้าน แต่แสร้งเบี่ยงเบนเป้าหมายเพราะความเขินระคนรู้สึกผิดด้วยการไปนั่งให้พ่อน้อยหน่าตัดผมให้แทน และพอ น้อยหน่า เดินผ่านออกไปจากบ้านด้วยท่าทีเมินเฉย เจี๊ยบ ก็สำบัดผ้าคลุมตัดผม วิ่งตาม น้อยหน่าไป พร้อมกับเพลงเชยๆ ของ Hot pepper singer ขึ้นมาว่า "..ดังแก้วบาง เขาทุบทิ้งแตก..." หากเป็นหนังเรื่องอื่นๆ ผมคงฟันธงไปว่าฉากนี้เป็นฉากที่เชย ไร้รสนิยม อย่างให้อภัยไม่ได้เลย เพราะระดับอารมณ์และการถ่ายภาพ การจัดภาพมันไม่ต่างอะไรจากงาน MV สั่วๆ งานหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ด้วยความที่ แฟนฉัน มีการวางอารมณ์ และการลำดับเนื้อเรื่องมาอย่างดี ทำให้ผู้ชม "อิน" ไปกับอารมณ์ของทั้ง เจี๊ยบ และ น้อยหน่า ได้ง่าย และทำให้ฉากนี้กลายเป็นฉากเด็ดที่นอกจากจะตลก(ไม่ออก)แล้ว ยังให้ความรู้สึกอึ้งลึกๆ อย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย ซึ่งฉากนี้ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากฉากที่เล่นอารมณ์หนักๆ ของหนัง และเป็นฉากที่ "เกือบดีที่สุด" ฉากหนึ่งของหนังเลยทีเดียว นั่นคือฉากที่ เจี๊ยบ เดินไปตัดหนังยางกระโดดของ น้อยหน่า ในฉากนี้ เปิดมาที่ เจี๊ยบ เดินไปตัดหนังยางด้วยความรู้สึกปกติที่คิดแต่ว่า ถ้าตัดแล้วก็จะได้เข้ากลุ่มเด็กชาย แต่ปฏิกิริยาที่ น้อยหน่า แสดงออกมานั้น ทำให้ เจี๊ยบ ต้องสะอึก และเริ่มรู้สึกผิดอย่างคาดไม่ถึง คำพูดของ น้อยหน่า ที่ว่า "เจี๊ยบตัดหนังยางเราทำไม?" "เจี๊ยบทำยังงี้ทำไม?" คงไม่ได้แค่ทำให้ เจี๊ยบ สะอึกเท่านั้น แต่ความรู้สึกของผู้ชมก็พุ่งกระฉูดขึ้นมาเอ่อเป็นน้ำตาคลอเบ้าอยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่อารมณ์ก่อนหน้านั้นในฉากก่อนหน้านี้ ยังเป็นอารมณ์ขำขันอยู่แท้ๆ เหล่านี้ล้วนแสดงถึงการเดินเรื่อง การสั่งสมอารมณ์(แบบสั่งได้)ของหนังให้กับผู้ชมอย่างได้ผลนั่นเอง
ในฉากไคลแมกซ์นั้น น่าจะเอาใจคนที่ชอบหนังประทับใจในระดับ "ทำน้อยได้มาก" ได้เป็นอย่างดี เพราะหากฉากนี้ เจี๊ยบ สามารถเอาหนังยางไปให้ น้อยหน่า ได้ในที่สุด ก็เท่ากับว่า "ปม" ของหนังถูกคลายลงโดยอัตโนมัติ และอารมณ์ของการ "ถวิลหาอดีต" ของ เจี๊ยบ ตอนโต ก็จะไร้ประโยชน์ไปทันที อีกทั้งการที่ให้ฉากๆ นี้จบลงเป็นที่เป็นอยู่ ยังช่วยเพิ่มระดับความลึกและความจี๊ดที่ผู้ชมจะได้รับในฉากปิดท้ายได้งดงามและลงตัวมากที่สุด
ส่วนฉากที่น่าจะเรียกได้ว่า "ดีที่สุด" ของหนัง คงเป็นฉากที่พ่อของน้อยหน่า มาเคาะประตูบ้านเจี๊ยบ แล้วให้พ่อของเจี๊ยบที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแทบตลอดชีวิตตัดผมให้ ในคืนวันสุดท้ายก่อนที่เขาจะย้ายบ้านออกไป ความโดดเด่นที่สุดที่ทำให้ฉากนี้ขึ้นแท่นฉากที่ดีที่สุดคงจะเป็นการใช้ภาพและความนิ่งบอกเล่าความรู้สึกที่หนักๆ อึ้งๆ ของตัวละครในฉากนี้ได้อย่างลงตัวและเข้าถึงอารมณ์โดยที่ไม่มีบทพูดใดๆ เลย ซึ่งเข้าข่าย "ไม่ทำเลยแต่ได้มาก" ซึ่ง เป็นหนึ่งในฉากประเภท "ดูง่ายแค่ทำยาก" เพราะความนิ่งของตัวฉากมักจะขัดแย้งกับอารมณ์ของผู้ชมเสมอ แต่ถ้าหนังเรื่องไหนทำออกมาได้ดี ฉากประเภทนี้มักจะเป็นฉากประเภท "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" เสมอ ลองดูฉากหลวงพ่อโล่แล่นเรือไปทิ้งทุ่นเป็นครั้งสุดท้าย จาก 15 ค่ำเดือน 11 ดูแล้วกัน ว่ามันเข้าข่าย "น้ำนิ่งไหลลึก" ขนาดไหน อีกทั้ง ฉากนิ่งๆ สั้นๆ ฉากนี้ แสดงให้เห็นถึง "วิถีชาวบ้าน" ของคนไทยได้อย่างแนบเนียนที่สุด เพราะคนเราทำอาชีพเดียวกัน เห็นกันมาเป็น 10 ปี ทะเลาะกันมาเป็น 10 ปี แต่ก็ไม่ได้แตกหักกันไปสักที คงจะบอกถึงความผูกพันเป็นนัยๆ ได้อยู่แล้ว และเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องมาแยกจากไปมีวีถีทางเดินใหม่ สิ่งสุดท้ายที่ควรจะทำก็คือ "การมาบอกลา" และแสดง "ความนับถือ" ที่เขามีให้อีกฝ่ายมาโดยตลอด และจะมีวิธีไหนที่ดีมากไปกว่านี้ได้อีกสำหรับช่างตัดผมไม้เบื่อไม้เมา 2 คนนี้
อย่างไรก็ดี แฟนฉัน กลับต้องถูกลดทอนจากความเป็นหนังไร้ที่ติ จากองค์ประกอบด้านดนตรีประกอบที่ขาดทิศทาง ไม่มีธีมหลักเป็นของตัวเองอย่างโดดเด่นจริงจังเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลายๆ ฉากที่ควรจะเร้าอารมณ์ ความประทับใจได้มากกว่านี้ ต้องเสียไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ แต่ถึงกระนั้น ด้วยความที่ตัวหนังสร้างอารมณ์หลักมาได้ดีโดยตลอดในแง่ของการเล่าเรื่องและการสั่งสมอารมณ์ประทับใจ ทำให้ดนตรีประกอบที่ไร้เอกภาพเหล่านั้นไม่มีผลกระทบต่อความประทับใจที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่นัก
แม้ว่าตัวหนัง แฟนฉัน จะกำกับด้วยผกก.หน้าใหม่ถึง 6 คน (ผมคงขอสงวนพื้นที่โดยการไม่ลงรายชื่อ) แต่ตัวหนังโดยรวมก็มีความต่อเนื่องและมีการเดินเรื่องไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ และผลดีอีกประการหนึ่งของการมีผกก.มากขนาดนี้คือ รายละเอียดที่ใส่ลงไปในหนังอยู่ในระดับมากมายจนทำให้หนังแน่นมากขึ้นและเสริมให้ตัวหนังมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้น เพราะรายละเอียดเหล่านั้น อาจจะไปกระทบใจใครหลายๆ คนเข้าก็ได้ เช่นการขับมอเตอร์ไซค์ลงเนินแบบมีสไตล์ เด็กมาตบแปรงลบกระดานหน้าตึกจนฝุ่นฟุ้ง ฯลฯ
คงต้องบอกว่า แฟนฉัน เป็นหนังไทยอีกหนึ่งเรื่องที่ทุกคนไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าระดับของศิลปะในมุมมองของงานศิลป์จะเทียบไม่ได้กับหนังชั้นครูเรื่องอื่นๆ แต่มันก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนที่ได้ชมมีความสุขและได้รับความรู้สึกดีๆ จากตัวหนังได้ และ แฟนฉัน น่าจะเป็นหนังไม่กี่เรื่องในชั่วชีวิตของคนดูหนังทุกคนที่น่าจะยอมที่จะลืมข้อด้อยต่างๆ ที่อาจจะมีในหนัง เพราะความอิ่มเอมใจที่ได้รับนั้น มันประเมินค่ามิได้เลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับข้อด้อยเพียงกระผีกเหล่านั้น
|
ความคิดเห็น