น้องสาวผมเป็นสัตวแพทย์ - น้องสาวผมเป็นสัตวแพทย์ นิยาย น้องสาวผมเป็นสัตวแพทย์ : Dek-D.com - Writer

    น้องสาวผมเป็นสัตวแพทย์

    ชีวิตสัตวแพทย์(มั้ง?) เพื่อนในคณะฝากมาลง..ลองเข้ามาอ่านๆดูนะฮะ

    ผู้เข้าชมรวม

    549

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    549

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 เม.ย. 52 / 11:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      น้องสาวผมเป็นสัตวแพทย์
          ตีหนึ่งกว่าแล้วที่เสียงโทรศัพท์กรีดร้องก้องห้องพัก ต้องเป็นมันแน่ๆ ที่แอบมาเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมเป็นเสียงแหลมเล็กดังถี่กระชั้นกวนประสาทได้ขนาดนี้ ผมควานหาเจ้าเครื่องต้นกำเนิดเสียงอย่างหงุดหงิด มันนะมัน มันคนเดียว
          ...แล้วมันยังกล้าโทร.มาอีกด้วย...
          "ฮัลโหล" เสียงผมหาเรื่องเต็มที ความจริงมันควรจะต้องรู้นะ ว่าคำว่ามารยาทสะกดอย่างไร
          "ปังปอนด์" เสียงตอบกลับมานั้นใส อย่างที่ผมอยากตบกบาลมันเหลือเกิน
          "ชื่อปอนเฉยๆเว้ย มีอะไร โทรมาซะวันใหม่แบบนี้" ผมดุมัน
          "เราไม่กลับบ้านนะคืนนี้" มันพูด "เดี๋ยวต้องเปลี่ยนมือกะพี่หมอตอนตีสองน่ะ"
          "เออๆ" ผมตอบรับ ว่าแต่ถ้ามันจะโทรมาบอกว่าไม่กลับบ้าน ทำไมเพิ่งโทรมาตอนนี้นะ
          "แค่นี้แหละ กลัวว่าจะตั้งข้าวรอ หวัดดีนะ"
          มันวางสาย แล้วผมก็นึกขึ้นได้  ผมเดินออกจากห้องนอนไปยังส่วนอเนกประสงค์ของห้องชุด ชามกระเบื้องใส่โจ๊กหมูแสนอร่อยวางอยู่บนโต๊ะอย่างเดียวดาย ผมเคยคิดว่าต่อให้ดึกแค่ไหน มันก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ของมัน หน้าที่ของมันคือการสวาปามโจ๊กหมูร้านเฮียชัยหน้าปากซอย ที่สั่งพิเศษชามละสามสิบห้าบาท วันนี้มันบอกแค่ว่ามีงาน ผมกลัวร้านเฮียแกจะปิดก่อนมันกลับ เลยหิ้วโจ๊กมาให้ แต่โจ๊กหมูชามนี้กลับต้องรอเก้อ ด้วยเหมือนว่าไอ้คนกินมันคงจะมีอะไรที่สำคัญกว่าต้องจัดการ...

          มันนั่นแหละ ไอ้ปั่น หรือจะเรียกให้ถูกต้องคือ มันชื่อน้ำปั่น ชื่อเหมือนนางเอกหนังสักเรื่อง แต่ตัวมันน่ะตรงข้ามทุกเรื่อง ข้อแรกคือมันไม่ได้สูงขาวหน้าหวาน และข้อสองคือมันไม่ได้มีความเป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่ มันนั่นแหละ...น้องสาวผม
          แม่ส่งมันมาจากบ้านนอกเมื่อประมาณห้าหกปีที่แล้ว เนื่องด้วยไอ้เด็กชนบทหน้าเซ่อตาซื่ออย่างมันดันสอบติดมหาวิทยาลัยชื่อดังในเมืองใหญ่ ผมซึ่งตอนนั้นเพิ่งเริ่มทำงานบริษัท ก็เลยต้องยอมๆแบ่งเสี้ยวห้องชุดให้มันเข้ามาซุกหัวนอนด้วย มันมาแรกๆ ก็คร่ำครวญสำนึกรักบ้านเกิดเป็นวรรคเป็นเวร ถามซ้ำๆน่ารำ คาญ ว่าทำไมสังคมเมืองมันถึงได้เป็นแบบนี้  ไอ้คำว่า "แบบนี้"  ของมันกินความหมายกว้างแค่ไหนผมไม่มั่นใจ แต่ที่แน่ๆมันไม่ปลื้ม มันบ่น มันเบื่อ จนผมเองก็แทบจะประสาทไปพร้อมมัน ไอ้น้องสาวตัวดีพร่ำๆถึงบุคคลในตำนาน และพูดถึงอะไรบางอย่างที่มันเรียกว่า "อุดมการณ์" จนบางทีผมก็ไม่แน่ใจ ว่ามันเป็นเด็กบ้านนอกเซ่อๆอย่างที่ผมเคยรู้จักตอนเด็กๆหรือไม่
          ตลอดเวลาที่มันเรียนหนังสือ มันทำตัวเหมือนไม่ได้เรียน ทั้งๆที่สายวิชาที่มันสอบติด เป็นการแพทย์อย่างหนึ่ง เพื่อนผมคนหนึ่งเรียนหมอ เห็นว่าท่องตำราจนดึกดื่นทุกคืน ไม่เคยไปเที่ยวเตร่ไร้สาระที่ไหน แถมยังไม่เคยทำกิจกรรมอะไรกับทางมหาวิทยาลัยเลย ต่างกันจริงๆ สำหรับไอ้ปั่นน้องผม มันตื่นเช้ามาให้อาหารปลากัดจีนสี่ตัวที่แต่ละตัวลวดลายขี้เหร่เหลือทน ตัวหนึ่งมีลายหลากสีเหมือนใครทำจานสีตกใส่ อีกตัวลายเลอะๆยิ่งกว่า อีกตัวสีชมพูซีดๆ และอีกตัวที่ลำตัวสีแดงเหมือนถูกเคลือบด้วยราสีขาวจนทั่ว หลังจากบำเรอปลากัดแล้ว มันก็จะทำการบ้าน ขอย้ำว่ามันทำการบ้านตอนเช้าตลอด ในฐานะพี่ชาย ผมควรที่จะเอ็ดมันว่าทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนเย็น แต่มันเถียงทุกครั้ง
          "ทำตอนเช้านี่ล่ะ หัวโล่งดี"  มันบอก
          แล้วมันก็อาบน้ำแต่งตัว กินอาหารเช้าที่ผมต้องเป็นคนเตรียมทุกวัน แล้วไปเรียน...ผมไม่รู้ว่าที่มหาวิทยาลัย มันเรียนอะไรและทำอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ พอกลับมาถึงห้องพัก มันจะต้องมีอะไรแปลกๆมาเซอร์ไพรส์ผมเสมอ
          อย่างวันนั้น มันหิ้วถุงพลาสติกใส่น้ำสีเหลืองๆมาด้วย ผมมองสงสัย เพราะมั่นใจว่าไม่น่าใช่น้ำซุปข้าวมันไก่เป็นแน่แท้
          "อะไร" ผมถาม มันยิ้ม ท่าทางภูมิใจเป็นล้นพ้น
          "ให้ทาย" มันยังมีหน้ามากวน ผมทำหน้าดุปรามมัน เพราะถึงทายไปก็ไม่ถูก ต้องเสียหน้าอยู่ดี
          "พลานาเรีย" มันบอกในที่สุด พร้อมยิ้มหน้าแป้น
          เท่าที่เรียนมา ไอ้พลานาเรียเนี่ย มันเป็นหนอนตัวแบนกินเนื้อนี่นะ ผมเห็นไอ้ปั่นเทน้ำเหลืองๆใส่ขวดน้ำตัดครึ่ง ตัวอะไรซักอย่างเล็กๆเป็นท่อนๆแหวกว่ายไปมาเริงร่า แล้วไอ้ปั่นมันก็หย่อนชิ้นตับสดลงไป เห็นมันมีสีหน้าบันเทิง เมื่อบรรดาพลานาเรียฝูงใหญ่กรูล้อมชิ้นตับไก่นั่น...ผมรู้สึก...จะเป็นลม
          ไอ้ปั่นหลงพลานาเรียมาก อาจจะน้อยกว่าปลากัดประหลาดของมันนิดหนึ่ง แต่ก็ถือว่าหลงมากอยู่ดี มันบอกว่ามันเอามาจากห้องแลบชีววิทยา แถมบอกอะไรเป็นการ์ตูน ว่ามันจะพยายามทำพลานาเรียแปดหัวให้ผมดู หลังจากนั้นแทบทุกวันมันจะนั่งส่องพลานาเรีย ทำก้อนน้ำแข็งมาวาง เอาตะเกียบคีบตัวหนอนมาวางบนน้ำแข็ง แล้ว ใช้มีดผ่าที่หัว มันทำแบบนี้หลายครั้ง และบางทีก็ซ้ำตัวเดิม ผมรายงานความคืบหน้าให้แม่รู้ เพราะกังวลว่าไอ้น้องสาวคนนี้มันกำลังสนุกกับการเบียดเบียนสัตว์อื่นหรือเปล่า แม่กลับหัวเราะ แล้วบอกว่าแม่เข้าใจมันนะ แถมย้อนถามผมอีกว่า ยังไม่ชินอีกหรือ...
          แต่เจ้าพลานาเรียที่รักก็มีอันถึงจุดจบเมื่อขวดเลี้ยงเกิดรั่ว น้ำไหลออกหมด กลับมาบ้านเจอแต่พลานาเรียตากแห้งน่าสงสาร ผมเป็นคนเก็บทิ้งเพราะไอ้ปั่นมันเอาแต่ซึมเศร้า  สาบานได้  ผมสาบานได้ ว่าตอนแรกที่ไอ้เจ้าพวกนี้มาใหม่ๆมันเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเรียวแบน แต่คราวนี้ เกือบทุกตัวหัวแยกเป็นแฉกตัวหนึ่งสี่หัวเป็นอย่างต่ำ  ท่าทางไอ้ปั่นมันไม่รู้ และผมเองก็ไม่ได้บอกมัน...
          หลังจากที่ไอ้ปั่นมันเลิกเศร้ากับพลานาเรีย มันก็คลั่งไคล้หมา ผมไม่ได้เลี้ยงหมา และในห้องชุดนี่เลี้ยงไม่ได้แน่ๆ แต่ไอ้ปั่นมันมีแหล่งหมาของมัน นั่นคือห้องสัตว์ทดลองที่คณะของมันเอง มันเล่าให้ฟังว่ามีหมาน่ารักๆอยู่เยอะแยะ มันออกจากบ้านเร็วขึ้น และกลับมาช้าทุกวัน มันบอกว่ามันไปช่วยเจ้าหน้าที่เลี้ยงหมาเหล่านั้น
          "หมาใครเขาเลี้ยงไว้วะ" ผมเคยถามมันอย่างสงสัย
          "รุ่นพี่เลี้ยงไว้ เป็นสัตว์ทดลอง" มันตอบ
          "ทดลองอะไร" ผมก็ยังสงสัยต่ออีกนิด เคยได้ยินแต่หนูทดลอง ไม่เคยได้ยินเรื่องหมาทดลองมาก่อน
          "..."มันอึ้งไปนิด "ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่เคยถาม" มันบอก
          ไอ้ปั่นยังคงขุนปลากัดประหลาดไม่ขาดตกบกพร่อง เปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์ แถมเก็บใบหูกวางมาตากแห้งเก็บไว้เป็นคลังยาอย่างดี ผมแอบเห็นเจ้าปลากัดตัวเมียท้องแล้วท้องอีก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีลูกปลาออกมาซักที (ก็จะมีได้ไงล่ะ แยกเลี้ยงนี่นา) แต่นอกเหนือจากบำรุงปลา มันยังสรรหาโปสเตอร์รายชื่อพันธุ์หมาพร้อมรูปประกอบสวยงามมาแปะเต็มผนังห้องชุด มันจัดแจงแบ่งส่วนห้องออกมานอนนอกห้องนอน จัดเป็นรูส่วนตัวที่รายล้อมด้วยรูปหมาและโหลปลากัด มันช่วยเขาเลี้ยงหมาทุกวัน จนวันหนึ่งช่วงปลายปีที่ไอ้ปั่นกลับมาบ้านแล้วนั่งซึมเหงา ถามอะไรก็ไม่พูดไม่จา ด่าก็ไม่โกรธ ผมรอจนอารมณ์มันเริ่มเป็นผู้เป็นคน มันก็เริ่มเล่าเรื่องราวออกมาเอง
          ผมฟังที่มันเล่าแล้ว...ก็เข้าใจมันจริงๆ แทบจะเป็นครั้งแรก ที่เห็นใจมัน
          ...หมาที่มันไปเฝ้าเช้าเย็น ให้อาหาร ชวนวิ่งเล่น พาไปเดินเล่น จับอาบน้ำ ตลอดจนขัดล้างกรงให้ ตอนนี้ ได้กลับสู่ผืนดินหมดเสียแล้ว เพราะคำว่าสัตว์ทดลอง มันเองไม่เคยรู้จักคำนี้ จึงเผลอเอาหัวใจเข้าผูกพัน แต่บัดนี้มันรู้แล้ว สัตว์ทดลองก็คือสัตว์ทดลอง มีชีวิตที่เหลือเพื่ออุทิศวิทยาทานแก่นักศึกษา ได้รับการผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้นักศึกษาสามารถปฏิบัติการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หมาทดลอง...ที่แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บจากบาดแผล แต่ก็ยังมีความเป็นมิตร และสามารถดึงรั้งหัวใจของไอ้เด็กปั่นน้องสาวผมให้หลงใหลมันได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
          วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการเรียนสัตว์ทดลอง รุ่นพี่ทุกคนได้ทำการผ่าตัดครั้งใหญ่ที่หมาจะเจ็บปวดมากเมื่อยามฟื้น และด้วยความทรมานทั้งตัวหมาและหัวใจของคนทำ สิ่งที่สูงส่งที่สุด คือการส่งเพื่อนผู้แสนดีทุกๆตัว กลับสู่ความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์...
          ...คืนนั้น ผมนั่งเฝ้ามันจนเช้า มันหลับไปก็จริง แต่ผมอยากแน่ใจว่ามันไม่ได้ฝันร้าย หรือจะตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก...ไอ้ปั่นน้องสาวผม... กับคนทั่วๆไปอย่างผม แม้เข้าใจเหตุผลของการเรียนดังกล่าว ยังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินเรื่องที่มันเล่า  แล้วตัวมันเอง ที่คลั่งหมากว่าใครๆ ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ที่มันจะปรับจิตของมันให้ปกติได้...
          ปิดเทอมมันไม่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน...มันไปฝึกงาน แล้วคนที่นั่นเขาเอาอะไรใส่หัวมันไม่รู้ มันกลับมาก็เอาแต่พูดถึงม้า และตั้งใจเอาจริงจังว่าจะเป็นหมอม้า แล้วมันก็เริ่มวงจรอนาจของมันอีก เช้าเย็น มันไปคอกม้าที่คณะมัน มันบอกว่าม้าพวกนี้เป็นสัตว์ทดลองเหมือนกัน แต่ต่างจากหมา ...
          "ม้าตัวนึงไม่ใช่ถูกๆ หาตามเทศบาลก็ไม่ได้ เพราะงั้นไม่มีทางแน่ๆปังปอนด์ ไม่มีทางที่ใครจะมาทำอะไรม้าพวกนี้แน่"
          "อั๊วชื่อปอนด์เฉยๆเฟ้ย!!"
          หลังจากนั้น เวลาดูหนังจีนกำลังภายใน ต้องมีไอ้ปั่นคอยพากย์ทุกฉากที่มีม้าวิ่งผ่าน มันแม่นสุดๆ แค่ฉากที่พระเอกจับม้าแล้วโหนตัวขึ้นขี่ มันก็บอกได้ว่าเป็นม้าพันธุ์อะไร ผสมกับอะไร บางมุมมันบอกอายุได้ด้วย แรกๆผมไม่เชื่อ เลยลองค้นอินเตอร์เน็ต โพสถามผู้รู้ ก็ได้คำตอบเดียวกับที่ไอ้ปั่นตอบอย่างไม่น่าเชื่อ
          พอวันเกิดผมมันเอาอะไรบางอย่างเป็นสีขุ่นๆโค้งๆมาให้ผม พอผมถาม มันก็ยิ้มแป้น
          "เราเรียนแต่งกีบม้า" มันบอก "แล้วเขาว่ากันว่าเกือกม้าเป็นสิ่งนำโชค แต่เราไม่มีตังค์ซื้อเกือก เลยตัดปลายกีบให้มันต่อกันยาวๆโค้งๆเป็นรูปเกือกแทน"
          "เอ็งเอาเล็บม้ามาให้ข้าเรอะ"
          "ว่าอีกก็ถูกอีก" มันยิ้ม และผมก็เพิ่งรู้หลังจากนั้นนานพอดู ว่าการใช้คีมตัดปลายกีบม้านั้น เป็นเรื่องที่ยาก และยากสุดยอด ในการที่จะตัดให้เนื้อกีบยาวต่อกันจนเป็นโค้งรูปเกือกม้า

          ไอ้ปั่นมันยังคงอยากเป็นหมอม้า แต่มันก็มีอะไรแปลกๆอยู่เรื่อย อย่างวันหนึ่งมันแบกคีมกลับมาบ้าน เป็นคีมอันใหญ่เท่าแขน น้ำหนักมหาศาลอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะสามารถแบกขึ้นรถเมล์มาถึงห้องพักได้ พอถามว่าเอามาทำอะไร มันก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์
          "ตอนวัว" มันตอบสั้นๆ ผมผงะ
          "อะไรนะ" ก็คิดว่าฟังผิดไป
          "ตอนวัว"มันย้ำ
          "จะตอนได้ยังไงฟระ" ผมสงสัย พลางรู้สึกเสียววาบๆ
          "ก็เอาไอ้นี่" มันหยิบคีมขึ้นมาง้าง ทำหน้าทำตาประกอบ "หนีบไข่วัวยังไงล่ะ" พร้อมหับคีมฉับรุนแรงจนผมสะดุ้ง หน้าผมคงสยองกับเรื่องราวของมันมาก มันจึงหัวเราะเสียงมารร้าย
          "กลัวละสิ" มันว่า "ระวังนะ ถ้าเผลอหลับละ จะหนีบให้เป็นหมันเลย"
          คืนนั้นผมเลยต้องล็อกห้องนอนแน่นหนา
         
          มันใช้คีมยักษ์นั่นตอนวัวจริงๆ มันเรียกว่า เบอร์ดินโซ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนภาคปฏิบัติวิชาปศุสัตว์ และจากคำบอกเล่า มันตอนวัวไปทั้งหมดแปดตัวในวันเดียว
          "แค่นี้ก็เหนื่อยจะตายแล้ว" มันบอก "จะให้ตอนมากกว่านี้ก็คงต้องเป็นคนแรงมากๆ" ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าแค่มันหนีบไข่วัวได้วันละแปดตัวเนี่ย ก็มากยิ่งกว่ามากแล้ว  ยิ่งฟังมันเล่าตอนจับบังคับวัวหนุ่มสุดคะนอง ผมยิ่งเสียวหลังวาบๆ ถ้าแม่มาได้ยิน แม่จะยังยอมให้มันเรียนสาขานี้อยู่มั้ยนะ
          มันเล่าว่า วัวดื้อ ต้องล้มวัว ล้มวัวคือการเอาเชือกพันตัวแล้วดึงให้มันล้ม จากนั้นก็จะมีทีมล้มวัวกรูเข้าไปกดวัวให้นอนติดพื้น ต้องพร้อมเพรียง เชื่อใจ จากนั้นจะมีคนมัดขา ไม่ให้วัวลุกขึ้นได้อีก แล้วพอมัดขาเรียบร้อย ไม่ว่าจะฉีดยา ป้อนยา หรือจับตอน ก็แล้วแต่เลยทีเดียว
          "เราเป็นคนมัดขาหลัง" มันอวดตำแหน่งของมันอย่างภาคภูมิ โดนเตะไปสองที แต่ไม่เป็นไร" ว่าแล้วก็เลิกเสื้อให้ดูรอยช้ำม่วงอี๋ที่พุง กับอีกรอยที่ต้นขาซ้าย "บังเอิญตอนนั้นมันล้าไง เลยขาอ่อนแรงชั่วขณะ ดีนะที่วัวไม่ทันดิ้นก็ตั้งตัวได้ เข้าไปกดทัน ไม่งั้นเพื่อนเราที่กดตรงอื่นต้องโดนเตะแน่" ยังจะมีหน้ามาห่วงคนอื่นๆ ผมรีบวิ่งหายามาทารอยช้ำมันให้วุ่น ผมดุมันมากมาย ว่าถ้าเหนื่อยก็คงต้องรู้ตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้น อีรอยช้ำพวกนี้ อาจจะเล็กน้อยไป ถ้าเทียบกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในความคิดผม
          ไอ้ปั่น มันก็เป็นเช่นนี้เอง ตัวมันเล็ก สูงไม่เกินร้อยหกสิบ แขนขาเป็นตะเกียบ แต่มันแข็งแรงพอตัว บางที มันเลยชอบทำอะไรเกินกำลัง โดยเฉพาะเรื่องการยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใหญ่ มันชอบสุดๆ ช้าง ม้า วัว ควาย กระทั่งอูฐ หรือคราวนั้นมันต้องไปฉีดวัคซีนให้กระทิงในสวนสัตว์ ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
          "มันไม่คุ้น" ไอ้ปั่นโชว์รอยช้ำที่ไหล่และรอยปูดลูกมะนาวที่หน้าผาก เหมือนจะเป็นการแก้ตัวแทนเจ้ากระทิงน้อยวัยสองปี ที่เพิ่งจะวิ่งชนหัวมันไปหมาดๆ
          ผมถอนใจ คิดอยู่ร่ำๆว่ามันจะมีโอกาสเรียนจบกับเขามั้ย หนังสือหนังหาไม่ค่อยจะอ่านให้ได้สาระ เอาแต่ฝึกงาน ออกภาคปฏิบัติลูกเดียว แถมออกทำงานแต่ละทีมันต้องได้บาดแผลกลับมาทุกครั้ง จนผมอ่อนใจ เลยจำเป็นต้องพูดอะไรให้มันฟังเสียบ้าง
          "มานั่งนี่ แล้วอ่านหนังสือ" ผมสั่ง มันทำหน้างงๆ แต่ก็มานั่งโดยดี
          "นึกไงขึ้นมาเนี่ยจะมาให้เราอ่านหนังสือ" มันถามหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้เลยว่าหน้าที่ของนักศึกษาที่ดีควรทำอะไร
          "ไม่อ่านหนังสือแล้วจะทำข้อสอบได้มั้ย"
          "ได้"
          "คะแนนล่ะเป็นไง เต็มทุกวิชาเลยรึ"
          "เปล่า  จะให้เราได้ เอ เลยรึไง"
          "ฟังข้านะ" ผมประสานมือทำท่าทางเป็นทางการ "แกจะอ่านหนังสือหรือไม่มันเป็นเรื่องของแก แต่การอ่านจะทำให้แกมีความรู้มากขึ้น มันไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อตัวแกหรอก แต่มันเป็นประโยชน์ต่อสัตว์อีกมากมายที่แกจะต้องรักษาในอนาคต" ผมไม่แน่ใจว่ามันคิดอะไร แต่พอพูดเท่านี้ มันก็คว้าหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านอย่างจริงจังในทันที

          ...ปลายปีนั้น มันได้เกรดสี่จุดศูนย์ศูนย์...

          ...สองวันแล้ว ที่ไอ้ปั่นไม่กลับมากินโจ๊กที่บ้าน ผมชักเริ่มจะชินกับวงจรชีวิตชีพจรลงเท้าของมันขึ้นมานิดหนึ่ง ตั้งแต่หลังวันรับปริญญา ที่แม่อุตส่าห์เดินทางจากบ้านนอกมาฉลองให้ลูกสาวสุดที่รัก มันอยู่เที่ยวกับแม่แค่สองวัน แล้วมันก็บอกอะไรบางอย่าง...
          "แม่จ๋า ปั่นได้งานทำแล้วนะแม่" มันประจบ หน้าบาน แต่ในน้ำเสียงแอบมีความกริ่งเกรงอะไรซ่อนอยู่    "ที่ไหนลูก" แม่ถาม มือก็ลูบหัวมันอย่างเอ็นดูเต็มที ผมก็หมั่นไส้เต็มทีเหมือนกัน
          มันชั่งใจครู่หนึ่ง แล้วมันก็ค่อยๆบอกชื่อหน่วยงานราชการที่มันเข้าสังกัดไปโดยไม่ปรึกษาครอบครัวแม้แต่คำเดียว ผมตะลึงค้าง แม่เองก็นิ่งไป ลูกหลานปลากัดแปดสิบสองโหลก็ดูเหมือนจะนิ่งงันไม่เคลื่อนกายให้น้ำไหวแม้แต่น้อย
          "ปั่น..." แม่เป็นคนเริ่มทำลายความเงียบ "ปั่นพูดจริงหรือลูก"
          ผมหันมองน้องสาว เห็นหน้ามันแค่ด้านข้าง เป็นข้างที่คิ้วมีรอยแผลเป็นสีขาวเส้นเล็กๆอันเกิดมาจากรอยหมีหมา ดวงตาของมันเหมือนจะมีเปลวไฟสีน้ำเงินไหวริกอยู่ ยากจะอธิบายได้ว่ามันคิดอ่านอะไร แต่ผมรู้สึกได้ และเข้าใจมันเป็นอย่างดี
          หน่วยงานที่มันได้งานทำ เป็นสถานที่อโคจรที่สุดเท่าที่ผมนึกออกสำหรับคนอาชีพอย่างมัน แม้ผมไม่ใช่คนในวงการการเมือง แต่จากข่าวคราวทั้งที่เป็นทางการและทั้งที่ฟังชาวบ้านเขาลือมา หน่วยงานนี้ แทบจะมีฉายาว่า "แวมไพร์" เป็นปรสิตตัวร้ายเกาะกินเลือดเนื้อแห่งประเทศชาติไม่จบสิ้น แถมอำนาจการบริหารขึ้นกับการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์  มีเนื้อหางานคือการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า แต่ทุจริตหากินกับป่าเป็นข่าวอยู่ทุกวี่วัน...แล้วไอ้ปั่น...ไอ้น้องสาวบ้าของผมคนนี้ มันจะเข้าไปทำอะไร
          "จ่ะแม่" นานเป็นชาติ กว่ามันจะตอบรับคำ มันคงจะรู้อยู่เหมือนกัน ว่าแม่เป็นห่วงมันมากมายขนาดไหน "ปั่นพูดจริง" แล้วมันก็เริ่มอธิบายสิ่งที่อัดอยู่ในหัวมัน มันบอกว่ามันอยากเป็นหมอสัตว์ป่า อยากทำงานอนุรักษ์
          "แล้วไง" ผมทะลุกลางปล้อง "เอ็งจะเอาชีวิตของเอ็งไป..."
          "ปอนด์" แม่ส่งเสียงปราม ดุผมให้เงียบ เพื่อที่ไอ้ปั่นมันจะได้พูด
          "สมบัติของชาติกำลังอยู่ในอันตราย แล้วมันสำคัญตรงที่สมบัติอันนั้น มันอาจจะเป็นคนไข้ของปั่นเมื่อไหร่ก็ได้" มันพูด คงคิดว่าพูดเท่ที่สุดแล้วสินะ "ในกรมนี้มันก็ไม่ได้มีแต่คนเลวหรอกนะแม่ คนดีก็มี มีเยอะด้วย แต่ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับคำสั่ง ปั่นเคยไปออกค่าย มีคนในกรมไปช่วยสอนงานในค่ายด้วย พวกเขาทุกคนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาบอกว่า พวกเขากำลังรอ"
          ไอ้ปั่นพูดมาถึงตรงนี้ แม่ก็เหมือนจะเข้าใจมัน แม่ลูบหัวมันเบาๆ
          "พวกเขากำลังรอคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างจ่ะแม่ คนที่มีวุฒิการศึกษาสูงพอที่จะเข้ามามีปากมีเสียงอะไรได้บ้าง คนที่กล้า ที่จะแก้ไขอะไรต่อมิอะไรได้"
          ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง แล้วประโยคสั้นๆก็ถูกเอ่ยขึ้น
          "ปั่นอยากเป็น...คนคนนั้น"
          "รู้ตัวใช่มั้ยว่าพูดอะไร" ผมถามเรียบๆ
          "ทุกคำ" มันพยักหน้า ตากลมๆของมันจ้องผมตรงๆ สาบานได้ ผมเริ่มจะกลัวมันแล้ว
          "แล้วรู้หรือยัง ว่างานที่ต้องทำน่ะ มีอะไรบ้าง คงไม่ใช่รับคนไข้เป็นรายๆเหมือนหมอตามโรงพยาบาลหรอกนะ" แม่ถาม เสียงของแม่ไม่แสดงความวิตกกังวลหรือความไม่มั่นคงใดๆเลย ผมนับถือแม่จริงๆ
          "กรมนี้ตอนนี้มีหมอสิบหกคน ถ้ารวมปั่นก็เป็นสิบเจ็ด ความจริงมีหมอเยอะกว่านี้แต่โดนย้ายบ้าง ออกเองบ้าง ส่วนใหญ่พอทำอะไรไม่ถูกใจก็โดนย้ายโดนปลด" มันโม้ก่อนจะตอบคำถามจริงๆ "งานก็ประมาณการวางแผนการจัดการทรัพยากร ดูกว้างๆอ่ะแม่ เพราะอะไรที่อยู่ตามธรรมชาติ เราไปจับต้องมันมากไม่ได้ แล้วก็จะมีแบ่งเป็นฝ่ายๆย่อยๆ แต่ละฝ่ายมีหน้าที่ต่างกัน แล้วแต่ว่าปั่นจะได้ทำฝ่ายไหน"
          ...ลงท้ายมันก็ยังไม่รู้รายละเอียดงานจริงๆอยู่ดี...เฮ้อ ไอ้ปั่นเอ๊ยยย...
       
          หลังจากนั้นมันก็แปลงร่างเป็นวิญญาณ ลอยไปลอยมาข้ามประเทศ มีงานให้มันทำแบบไม่ต้องกลัวเหงา เงินเดือนไม่ได้มากมาย แต่ใช้งานน้องผมเหมือนได้เงินเดือนเท่านายกฯ มันเก่งขึ้น ผมรู้ได้จากจำนวนรอยแผลบนร่างกายที่แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว เปรียบเทียบกับเรื่องราวการทำงานที่มันเล่าให้ฟัง บางทีมันพาพรรคพวกมานอนค้างที่ห้องพักเพราะความขลุกขลักในการเดินทาง พามาสองคนสามคนไม่ว่า เล่นมากันจะครบทั้งกรม เลยต้องขนโหลปลาไปเรียงในห้องน้ำ  แล้วขนผ้าห่มผ้าเช็ดตัวออกมาให้ปูนอนพื้นกันเกลื่อนห้อง แต่ผมก็ชอบพื่อนมัน  ทุกคนเป็นกันเอง ง่ายๆ เฮฮา แต่ก็มีสมอง
          ยิ่งนานวัน ไอ้ปั่นมันยิ่งไม่อยู่ติดที่ จะมีนานๆทีกลับมาบำเรอปลากัดทั้งแปดสิบสองตัวของมัน แต่ถึงเดี๋ยวนี้มันก็ยังชอบกินโจ๊กร้านเฮียชัย วันไหนที่มันบอกจะกลับบ้าน ผมเป็นต้องซื้อไว้ให้มันทุกครั้ง

          ...ผมจัดการล้างถ้วยชามเสร็จก็ตีสองเข้าไปแล้ว รู้สึกตื่นเต็มตาไม่อยากนอนต่อ เลยแวะไปดูลูกปลาครอกใหม่ที่ไอ้น้องสาวตัวดีแอบมาเพาะไว้ เป็นครอกที่พ่อสีขาว ส่วนแม่เป็นสีน้ำเงินอมเขียว เป็นปลากัดทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวด้วยกันทั้งคู่  ครอกนี้มีรอดอยู่แค่ห้าสิบกว่าตัว โทษฐานที่มันแอบเพาะโดยไม่บอกกล่าวเลยทำให้ผมไม่ได้มาคอยดูแลหวอดของพ่อปลา ไข่ปลาจึงร่วงเยอะมาก  ผมบี้ไข่แดงต้มสุกให้ลูกปลากิน ตั้งใจว่าเช้าๆจะไปซื้อไรแดงในตลาดมาบำรุงเสียหน่อย จะได้เติบโตกันถ้วนหน้า  บี้ไข่ไปก็สงสัยจริงๆว่าไอ้ปั่นมันมีอะไรต้องทำตอนตีสอง แล้วก็นึกสงสัยอีกว่า  คนอื่นๆที่เรียนจบรุ่นเดียวกับมันต้องทำงานแบบนี้ทุกคนมั้ยเนี่ย... แต่ช่วยไม่ได้... มันก็เคยบอกอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นคนเลือกเอง...
          ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ของเมื่อวานเอาเพลินๆ เผื่อจะเกิดง่วงขึ้นมาแล้วอยากกลับไปนอนต่อ แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหัวข้อข่าวเกี่ยวกับกรมที่น้องสาวตัวดีมันสังกัดอยู่  ข่าวว่าคดีทุจริตคดีหนึ่งถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโดยคนภายในกรม แล้วกำลังสอบสวนกันอยู่อย่างเข้มข้น มันไม่น่าสนใจอะไรเลย ถ้าไม่ได้บังเอิญว่าตัวการฟื้นฝอยหาตะเข็บเรื่องนี้มันมีนามสกุลเดียวกับผม
          ผมไม่รู้ว่าไอ้ปั่นมันจะอยู่ยั้งยืนยงไปได้อีกเท่าไหร่ในสถานที่ทำงานแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนักหนา ยังคงวิ่งข้ามภาค ข้ามจังหวัดไปปฏิบัติหน้าที่หมออย่างเต็มที่  ผมเปลี่ยนจากอ่านหนังสือพิมพ์เป็นนิยายผีเล่มละห้าบาทที่เพื่อนไอ้ปั่นเอามาทิ้งไว้ที่ห้องชุดของผมกองใหญ่ 
      "พี่ปังปอนด์จะได้เอาไว้อ่านแก้เหงาไงคะ" เพื่อนกันก็พอกัน
      "พี่ชื่อปอนด์เฉยๆโว้ยยยยยยยย…"

      ฟ้าสางแล้วเมื่อตอนที่ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากด้านหน้าห้องพัก ผมรีบเปิดประตู พบแก๊งไอ้ปั่นและผองเพื่อนร่วมสิบคนยืนทำตาปริบๆขอความเมตตากันอยู่ แต่ละคนท่าทางอิดโรยหน้าโทรมเป็นผีกระดูก ผมต้อนมันเข้าห้อง แล้วต้มน้ำร้อนชงช็อกโกแลตให้พวกมันกิน
      "เมื่อคืนทำอะไรวะ ไอ้ปั่น" ผมถาม
      "เมื่อคืนที่ไหนพี่ชาย เมื่อกี้ตะหาก" ไอ้เพื่อนมันพูดแทรกมา
      "เออ นั่นแหละ พวกเอ็งทำงานอะไรดึกดื่นขนาดนั้น"
      "รักษาแมวค่ะพี่" เพื่อนสาวร่างบึกของไอ้ปั่นตอบมาด้วยเสียงน่าเอ็นดู
      "เหมียวๆๆ" ทั้งแก๊งร้องเมี้ยวม้าวรับคำพร้อมกันเป็นลูกคู่  ผมเริ่มจะปวดกบาล
      "แมวอะไร รักษากันข้ามคืน" ผมสงสัย
      "เหมียวๆๆๆหง่าว" คราวนี้ลูกคู่เพิ่มเสียงแมวแก่มาอีกเล็กน้อย ผมง้างมือเตรียมเหนี่ยว แมวประหลาดทั้งสิบจึงเงียบเสียงลงได้
      "แมวป่าหัวแบนนะปังปอนด์" ไอ้น้องสาวเป็นคนตอบ "เป็นเนื้องอกที่กล้ามก้น"
      "คอคซิเจียสน่ะครับพี่"
      "อั๊วฟังภาษาหมอไม่รู้เรื่องเว้ย" ผมโวยวาย
      "ก็กล้ามก้นไง" ไอ้ปั่นว่า
      "ตอบอย่างนั้นมันไม่สแปซิฟิคเลยนะ อาจารย์จะว่าเอา"
      "เราว่ามันก็ฟังง่ายดีนะ"
      "แต่เราว่ามันไม่ใช่ก้นนะ ถ้าก้นต้องเป็นแอนัสสิ จริงมะ"
      "เราว่า..."
      "เราว่า..."
          "ไม่ใช่นะ เราว่า..."
      ...
      แล้วอีแก๊งหมอผสมเจ้าหน้าที่แก๊งนี้ก็เถียงกันเซ็งแซ่จนผมเองก็เริ่มไม่อยากรู้แล้วว่าพวกมันไปทำอะไรกันมา ผมรู้แต่ว่าทุกๆสิ่งที่คนเหล่านี้ได้ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
      ...อย่างน้อย ก็สำคัญจนไอ้ปั่นสละโจ๊กเฮียชัยอันแสนอร่อยไปทำได้ 
      ...อย่างน้อย การที่น้องสาวของผมได้ใช้เวลาถึงหกปีเพื่อร่ำเรียน เสียแรงในการฝึกฝนมากมาย  ทุกสิ่งที่ผ่านมามันมีค่า
      และในวันนี้ แม้ไอ้ปั่นมันจะต้องลำบากในการทำงาน แต่ผมรู้ดีว่ามันมีศักยภาพมากพอ จากที่มันเคยพูดในวันนั้น ว่ามันอยากจะเป็นคนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง...
      ...บางที...สัตวแพทย์ตัวน้อยๆอย่างมัน อาจจะเป็นผู้กำหนดชะตาของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้


      จบจ้า

      อ่านแล้วเป็นยังไงเข้ามาคุยกันนะครับ..^ ^
      ปล.ตัวละครแต่งขึ้นแต่เนื้อหาเกี่ยวกับรายละเอียดวิชาชีพเป็นเรื่องจริงนะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×