ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Digimon : Olympians' Dangerous [y]

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 5 วลีแห่งสัตว์เทพ

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 55


    ตอนที่ 5 ศิษย์และครูคู่อาฆาต

    งั้นสรุปว่าเราควรจะปล่อยตัวไดมง มาซารุบุตรแห่งเฮอร์มีส โดยให้เขากลับมาทำหน้าที่ส่งสาส์นให้เหล่าทวยเทพตามเดิมสินะ องค์มหาเทพแห่งโอลิมปัสกล่าวสรุปหลังจากที่ประชุมสภาเทพโอลิมเปียนลงมติ เอกฉันท์ว่าจะปล่อยตัวมาซารุให้เป็นอิสระ เพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้าต่างแดน นอกจากนี้บรรดาเทพโอลิมเปียนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะลดโทษลงกึ่งหนึ่ง สร้างความยินดีให้กับเฮอร์มีสเป็นอย่างมาก

                    แม้ ว่าก่อนหน้าที่ประชุมสภาโอลิมเปียนจะไม่เห็นชอบกับการที่ซุสปราศัยว่าจะปลด ปล่อยมาซารุให้เป็นอิสระ เนื่องจากตามบทบัญญัติข้อที่สามหมื่นเก้าร้อยเก้าสิบของกฎหมายโอลิมปัสระบุ ว่าหากบุตรธิดาแห่งเหล่าเทพเจ้ากระทำการอุกอาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งแก่ มนุษย์และเทพทำให้บิดามารดาของตนต้องอับอายขายหน้า โทษสถานเดียวคือจำคุกชั่วกัปชั่วกัล์ป และที่ประชุมได้ลงมติว่าจะให้เฮอร์มีสกลับมาทำหน้าที่ส่งสาส์นอีกครั้ง แต่ซุสไม่เห็นด้วยจึงใช้อำนาจของตนที่อยู่เหนือกฎหมายเกลี้ยกล่อมเทพเจ้า องค์อื่นๆโดยอ้างเหตุผลว่าเฮอร์มีสได้มอบอำนาจสิทธิ์ขาดในการส่งสาส์นให้มา ซารุแล้ว เฮอร์มีสจะกลับมาทำหน้าที่เดิมอีกไม่ได้ โดยซุสได้หยิบยกเอาบทบัญญัติข้อที่สามร้อยเก้าสิบมาอ้างอย่างหน้าตายว่า เทพเจ้าที่มอบอำนาจให้บุตรธิดาแห่งตนแล้วจะไม่สามารถทวงอำนาจอันเคยเป็นของ ตนกลับมาได้อีกไม่ว่ากรณีใดๆ

    เหตุผลของซุสทำให้เหล่าเทพโอลิมเปียนบางส่วนเริ่มคล้อยตาม ในขณะที่บางส่วนยังคัดค้านด้วยเหตุผลที่ว่ามาซารุไร้มารยาท แต่ซุสก็ได้พูดกับเหล่าเทพเจ้าว่าเขาจะจัดการส่ง อาจารย์ไป สอนมารยาทให้มาซารุทันทีหลังจากที่มาซารุถูกปล่อยตัว เหตุผลของซูสทำให้เหล่าเทพเจ้าบางพวกที่ไม่เห็นด้วยต้องยอมลงมติจะปล่อยมาซา รุให้เป็นอิสระและลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

    หลัง จากที่ประชุมสภาเทพโอลิมเปียนลงมติเป็นเอกฉันท์แล้ว ซุสก็จัดการให้เหล่าองครักษ์ของเขาถือโองการไปประกาศต่อหน้ามาซารุและผู้คุม คุก มาซารุจึงได้รับการปล่อยตัว เขาจึงรีบไปเข้าพบซุสที่สภาประชุมเทพโอลิมเปียน

    ขอบคุณนะครับองค์มหาเทพที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง เด็กหนุ่มผมสีแดงอมชาโค้งศีรษะลงอย่างกระเปิ๊ปประป๊าปอย่างซาบซึ้งระคนดีใจ ที่บรรดาเทพโอลิมเปียนให้โอกาสเขากลับมาทำงานอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดด้วยความดีใจไปรอบๆห้องโถง โพไซดอนหันมากระซิบกับซุสว่า

    ข้าว่ายังต้องสอนมารยาทให้เจ้าเด็กโง่คนนี้อีกเยอะนะน้องข้า ซุสพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับพี่ชาย ซุสบอกให้มาซารุหยุดกระโดดซึ่งเจ้าตัวก็รีบหยุดทันที จากนั้นองค์มหาเทพก็พูดกับมาซารุว่า

    ข้ามีงานชิ้นสำคัญให้เจ้าทำ

    งานอะไรเหรอครับ บอกมาได้เลยครับ เดี๋ยวมาซารุคนนี้จัดให้!  ผู้ที่เพิ่งได้รับอิสระรีบอาสางานแข็งขันอย่างอารมณ์ดีแต่แล้วรอยยิ้มก็มลายหายไปทันทีเมื่อจ้าวแห่งท้องฟ้าเอ่ยขึ้นว่า

    ยัง ข้าจะยังไม่บอกเจ้าตอนนี้ ข้าบอกแค่เพียงว่างานนี้อาจจะยากสำหรับเจ้าเพราะมันต้องอาศัยความมีมารยาท และความอดทน ไม่ใช่ใช้กำลังเหมือนที่เจ้าทำอย่างครั้งก่อนซุส ว่า ทำเอาคนที่ถูกว่ากระทบหน้าเจื่อนลงทันทีเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสอง ร้อยปีก่อนที่เขาอาละวาดใส่เทพองค์หนึ่งแห่งเขาพระสุเมรุ เพราะไมพอใจที่เทพองค์นั้นว่ากระทบกระเทียบบิดาของเขา แต่คนถูกว่าก็รับคำ

    ข้าได้เตรียม อาจารย์สอนมารยาทไว้ให้เจ้าแล้วจ้าว จอมนภากาศพูด มาซารุขมวดคิ้วด้วยความงงงวย แค่เรื่องมารยาทต้องมีอาจารย์สอนด้วยเหรอ แค่หาหนังสือสอนมารยาทผู้ดีอ่านแค่นั้นก็พอแล้ว แต่มาซารุก็ไม่ได้ทักท้วงกลับถามว่า

    แล้วว่าแต่ อาจารย์ที่ท่านว่าน่ะ ใครเหรอครับ

    จ้าวนภากาศปรบมือเป็นการให้สัญญาณ อาจารย์ที่ถูกซุสทาบทามไว้ก็เข้ามาก่อนจะส่งยิ้มเยาะให้มาซารุ ส่วนมาซารุก็อึ้งจนแทบพูดไม่ออกเมื่อพบ อาจารย์ สอนมารยาทที่ซุสกล่าวถึง

    โทม่า!!

    เด็ก หนุ่มผมแดงอมชากลับมาที่พระราชวังของเฮอร์มีสเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง จากห้องพักของเขาก็เห็นพระราชวังอาธีน่าซึ่งเป็นบ้านของโทม่าอยู่ถัดจากพระ ราชวังเฮอร์มีสไปไม่ไกลนัก ภาพเหตุการณ์ที่ราชาแห่งเทพโอลิมเปียนบอกให้โทม่าสอนเรื่องมารยาทให้กับเขา ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมอง คิดแล้วก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

    แม้ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินชีวิตของเขาเสียใหม่ แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่เขาทำให้เขากังวลใจมากนัก แต่สิ่งที่เขากลัดกลุ้มมากที่สุดจนแทบไม่อยากทำตามคำบัญชาของซุสก็คือเขาไม่ อยากพบกับอริเก่าซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็น อาจารย์ของ เขาต่างหาก คิดแล้วมาซารุยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่าเดิมก่อนจะถอนหายใจซึ่งไม่รู้ว่าเป็น ครั้งที่เท่าไรของวันนี้แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาปลดความทุกข์ออกจากอกได้

    วัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแสงอรุณของวันใหม่สาดส่องมายังหน้าต่างที่ทำจากทองคำ กระทบกับอัญมณีที่ประดับอยู่บนผนังจนเกิดประกายแวววาวพราวระยับงามตา จนคนที่นอนอยู่บนเตียงทองคำยกมือเรียวขึ้นขยี้ที่ดวงเนตรคมกริบก่อนที่ดวงตา งามจะเปิดขึ้นรับเช้าวันใหม่  คนเพิ่งตื่นลุกขึ้น นั่งพลางบิดขี้เกียจไปมาเป็นการกระตุ้นร่างกายให้สดชื่น แต่แล้วความสุขก็แทบเลือนหายไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาต้องเผชิญในอีกไม่ช้านี้

    เสียงเครื่องยนต์ของรถคันหนึ่งดังสะนั่นจนเจ้าของผมสีแดงอมชาต้องลุกจากเตียงไปดูที่หน้าต่างหาต้นตอของเสียง ก็พบรถยนต์ยี่ห้อ โอลิมปัส แคมรี่ ในสภาพที่เครื่องยนต์ยังไม่ถูกดับจอดอยู่หน้าทางเข้าพระราชวังเฮอร์มีส คนขับยังอยู่ภายในรถ

    มาซารุมองอย่างสงสัยว่ารถคันนั้นเป็นพาหนะของผู้ใด แต่แล้วสิ่งที่เขาสงสัยก็กระจ่างชัดเจนเมื่อชายหนุ่มผู้เป็นคู่อริของเขาลง มาจากรถ มาซารุอ้าปากหวออย่างไม่คิดว่าโทม่าจะมาหาเขาเช้าตรู่แบบนี้ นี่เขาจะทำอย่างไรดี เขายังไม่อยากพบหน้าอริเก่าในเวลาแบบนี้นะ แล้วที่สำคัญไม่อยากเรียนอย่างไร้ความสุขด้วย นี่เขาจะทำอย่างไรดี...

    มาซารุเดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นรองเท้าติดปีกคู่ที่ขโมยมากจากเฮอร์มีสซึ่งวางอยู่ข้าง เตียงนอน ทันใดนั้นเองคำตอบก็ผุดขึ้นตรงหน้า

    ใช่แล้ว...เขาต้องหนี!

    เชิญ นั่งก่อนสิโทม่า บุรุษวัยกลางคนผู้ถือคทางูไขว้สองตัวผายมือเชิญผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายของ เขาให้นั่งที่เก้าอี้โซฟาตัวยาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจที่ลูกชายของตนจะมี ครูสอนมารยาทสักที ก่อนจะเอามือข้างที่ว่างยกการินน้ำชาให้คุณครูของบุตรชาย

    ขอบคุณครับคุณครูคนใหม่นั่งลง

    ไปตามมาซารุมาซิเฮอร์มีสหันไปสั่งแม่บ้านฮาร์ปี้* ผู้มีส่วนหัวเป็นหญิงสาวแต่ลำตัวเป็นมนุษย์ผู้หญิงและส่วนล่างเป็นนกตนหนึ่ง ซึ่งเธอก็โค้งคำนับรับคำก่อนจะรีบทำตามคำบัญชาของผู้เป็นนาย ระหว่างรอเฮอร์มีสก็ชวนโทม่าสนทนาเรื่องต่างๆไปพลางๆรวมไปถึงเรื่องของมาซา รุบุตรชายจอมแสบด้วย

    แย่แล้วค่ะ แย่แล้วๆๆๆฮาร์ปี้ตัวเดิมวิ่งกลับมา ทำให้การสนทนาของเจ้าของพระราชวังและผู้มาเยือนยุติลง

    มี อะไรฮาร์ปี้ผู้เป็นนายเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าตาตื่นตระหนกของคนรับใช้ ฮาร์ปี้จึงรีบรายงานข่าวร้ายที่ทำให้ผู้เป็นนายตกใจแทบสิ้นสติ

    คือว่า...คุณชายมาซารุ...หนีไปแล้วค่ะ!!

    ว่าไงนะ!! หนีออกไปได้ยังไง!!” ผู้เป็นเจ้าของวังเอ่ยอย่างตกใจก่อนจะรีบรุดไปที่ห้องพักของบุตรชายตัวแสบ โดยมีบุตรแห่งอาธีน่าวิ่งตามหลังอดีตผู้ส่งสานส์ให้เหล่าทวยเทพไปจนถึงห้อง พักของอริเก่าที่บัดนี้กำลังจะกลายเป็นศิษย์ของเขา

    บ้าเอ๊ย!! อุตส่าห์เตือนแล้วว่าห้ามผิดนัดแท้ๆ แหม...แสบจริงๆเลยเจ้าลูกคนนี้ จ้าวแห่งการโจรกรรมสบถอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าภายในห้องพักและทั่วทั้ง พระราชวังไม่มีแม้เงาของบุตรชาย  

    หึ...ฝากไว้ก่อนเถอะมาซารุ!” บุตรของเทพีแห่งปัญญาและการสงครามก็หงุดหงิดเช่นเดียวกัน เขารู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายหักหน้าทางอ้อมได้แต่ครางในลำคออย่างเจ็บใจ ในขณะที่เฮอร์มีสหันไปบอกทหารใต้บังคับบัญชาของเขาให้ออกตามหาเจ้าลูกชายตัว แสบนั่นเอง โทม่าก็เหลือบไปเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนเตียง เขากำลังจะหยิบขึ้นเปิดอ่าน

    แต่แล้วเจ้าจดหมายก็ก็เปิดออกทันใดนั้นเองนวมของเล่นสีแดงก็พุ่งออกมาจากซอง จดหมายปะทะใบหน้าหล่อเหลาอย่างแรงจนผู้ถูกชกล้มกลิ้งไปบนพื้น เฮอร์มีสรีบวิ่งมาดูผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายอย่างเป็นห่วงพลางมองไปที่จดหมาย ฉบับนั้นซึ่งบัดนี้ริมฝีปากขนาดใหญ่ปรากฏบนหน้าซองแล้วส่งเสียงกรีดร้อง แหลมออกมาเป็นถ้อยคำตามเนื้อความที่ผู้เขียนจารึกไว้ภายใน

    หมัดนี้สำหรับที่นายส่งฉันเข้าคุก! แล้วก็...นายอย่าคิดนะว่าคนอย่างฉันจะยอมรับนายเป็นครู หน้าตาบ้านนอกอย่างนายน่ะฉันไม่มีวันญาติดีด้วยหรอก! แล้วจำไว้อย่ามายุ่งกับฉันอีก! ไม่อย่างนั้นคราวหน้าจะไม่ใช่แค่ชกแน่แต่ฉันจะปล้นนายให้หมดตัวเลยคอยดู!! จากไดมง มาซารุ สิ้นเนื้อความนั้นจดหมายก็ติดเปลวเพลิงขึ้นมาแล้วสลายกลายเป็นฝุ่นผงไป ทิ้งให้โทม่าขบกรามแน่นอย่างโกรธจัดที่ถูกผู้เป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องและอริ หักหน้า ส่วนเฮอร์มีสก็หัวเสียเช่นกันที่บุตรชายทำให้เขาอับอายขายหน้าจนแทบแทรกแผ่น ดินหนี

    เฮอร์มีสหันมาสั่งทหารใต้บังคับบัญชาของเขา

    ตามหา ตัวมาซารุให้เจอ ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปทำงานในนรกใต้พิภพ คำสั่งเหี้ยมและเฉียบขาดของผู้เป็นนายพาให้เหล่าทหารตัวสั่นด้วยความหวาด กลัว แต่ถึงกระนั้นก็รับคำแล้วรีบออกไปทำตามคำบัญชาของเจ้านายทันที

    อัน ที่จริงผมออกตามหาคนเดียวก็พอแล้วครับคุณลุง โทม่าหันมาพูดกับผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของมารดาในขณะที่มือข้างหนึ่งคลำใน หน้าด้านที่ถูกชก เฮอร์มีสขมวดคิ้วด้วยความสงสัยถามไปว่า

    เจ้า จะตามหาลูกชายของข้ายังไง เรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ไหน โทม่าได้ยินคำถามก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยดูหล่อเหลาแทนคำตอบ ซึ่งเฮอร์มีสเห็นดังนั้นก็พอจะเดาได้ในทันทีว่าบุตรชายตัวแสบของเขาอยู่ ณ แห่งใด

     

    ณ สถานที่ลึกลับ

    ร่างสูงใหญ่นอนซบอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงในห้องนอนที่ตามผนังประดับด้วยนิลหลังจากบทรักอันเร่าร้อนผ่านพ้นไปใต้ร่างของเขามีร่างเปลือยของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังหอบกระเส่า ร่างของเธอชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อเช่นเดียวกันกับชายหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นไฟรักก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

    ต่อที่ http://g4.buildboard.com/viewtopic.php?topic=173&forum=320&id=36 ก่อนที่ไฟรักจะดับลงในชั่วโมงถัดมา

    ร่างเปลือยเปล่าชื้นเหงื่อของสาวสวยและหนุ่มหล่อนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่ดูเหมือนว่าธิดาแห่งอะโฟรไดท์จะยังไม่อิ่มในอารมณ์รัก หากแต่อารมณ์ของเธอก็แทบดับลงเมื่อหนุ่มหล่อเอ่ยถามขึ้นว่า

    “เรื่องที่ฉันให้เธอจัดการน่ะไปถึงไหนแล้ว” ได้ยินคำถามนั้น อารมณ์ใคร่ของฮิคาริก็แทบมอดดับลงทันทีเมื่อนึกถึงภารกิจที่ร่างสูงผู้มอบบทพิศวาสให้เมื่อครู่มอบหมายให้เธอไปทำ

    “ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ ฉันแค่ทราบมาว่าสาเหตุที่พวกเทพเจ้าจะจัดการประลอง ก็เพราะกลัวคำพยากรณ์จะเป็นจริงค่ะ” ธิดาคนงามของอะโฟรไดท์ตอบเสียงอ้อมแอ้มแกล้งทำเป็นหลุดความจริงออกมา ทั้งที่ซุสเคยให้บรรดาลูกหลานเทพเจ้ารับปากไว้แล้วว่าห้ามบอกใคร ทาเคชิขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องคำพยากรณ์ก็ถามด้วยความสงสัย

    “คำพยากรณ์เหรอ คำพยากรณ์อะไร”

    “เอ่อ...คือ....” ฮิคาริแสร้งทำเป็นตกใจ ก่อนจะแสร้งกลบเกลื่อนบอกว่าไม่มีอะไรเพื่อให้ทาเคชิคาดคั้นความจริง แล้วก็เป็นตามที่ฮิคาริวางแผนไว้ ทาเคชิลุกพรวดขื้นนั่งพลางดึงฮิคาริให้ลุกขึ้นตามก่อนจะเขย่าตัวเธอให้บอกความจริง

    “คำพยากรณ์อะไร! บอกมา” ทาเคชิเผลอบีบแขนฮิคาริอย่างแรงจนเป็นรอยแดงช้ำ

    “ทาเคชิ...ปล่อยนะ ฉันเจ็บ...” ธิดาแห่งอะโฟรไดท์แสร้งบีบน้ำตาทั้งที่ไม่ค่อยเจ็บเท่าไร หยดน้ำตาคลออยู่ตรงเบ้าก่อนจะไหลลงอบแก้มพร้อมกับเริ่มสะอึกสะอื้นประหนึ่งว่าเจ็บจริง บุตรแห่งโพไซดอนได้สติรีบปล่อยแขนหญิงสาว ก่อนจะดึงเธอมากอดปลอบ ในใจรู้สึกหวั่นไหวเล็กๆเมื่อเห็นน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคมสวยไม่ขาดสาย

    “ฉัน...ขอโทษ ตกลงจะบอกฉันได้รึยังเรื่องคำพยากรณ์นั่น” หนุ่มหล่อเอ่ยขอโทษพร้อมกับถามเรื่องคำพยากรณ์ในขณะที่มือข้างหนึ่งโอบกอดสาวสวย ส่วนมืออีกข้างลูบศีรษะได้รูปของอีกฝ่าย ฮิคาริผละศีรษะออกจากอ้อมอกกว้างใหญ่ ทาเคชิใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มนวลเนียน ความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกำลังก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของเขา

    สาวน้อยแรกรุ่นพยักหน้าทำเป็นยอมจำนนก่อนจะเอ่ยคำพยากรณ์ออกมา

    “ในยามที่ดวงอาทิตย์หลับใหลไม่สิ้นสุด... สองผู้มีอำนาจจักเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย... อำนาจแห่งสามมหาเทพจักสำแดงเดช... ก่อเกิดไฟแห่งความพินาศ โลกจักถล่ม... หนึ่งเทพเจ้าถูกตัดวิญญาณโดยสตรีผู้เลอโฉม... ทางเลือกหนึ่งจักดับลมหายใจแห่งวีรบุรุษ... ยุคทองแห่งเหล่าเทพเจ้าดำรงอยู่หรือดับสูญ...นี่ล่ะค่ะที่ฉันฟังมา”

    “อืม...” ทาเคชิครางรับรู้ แล้วดึงฮิคาริมากอดไว้ก่อนจะพูดเรื่องการประลองยุทธิ์ของเหล่าเทพเจ้าที่ฮิคาริเคยเปรยกับเขาไว้

    “ฉันอยากให้เธอเข้าร่วมการประลองนั่น” ได้ยินดังนั้นสาวน้อยแห่งอะโฟรไดท์ก็ผละแผงอกขาวแกร่งออกเบาๆแล้วเงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะให้คำตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูใสซื่อ มือข้างหนึ่งตวัดกอดคออีกฝ่ายอย่างยั่วยวน

    “ตกลงค่ะ ฉันจะเข้าประลองและจะคว้าชัยชนะมาให้ได้ รวมทั้งสายฟ้าแห่งซุส และตรีศูลแห่งโพไซดอนด้วยค่ะ ส่วนหมวกล่องหนแห่งฮาเดสจ้าวผู้ครองนรกใต้พิภพนั่นฉันจะหาทางจัดการเอง ฉันสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้ทำให้คุณผิดหวัง” ฮิคาริให้คำมั่นสัญญาแข็งขัน ทาเคชิได้ยินคำสัญญาก็ยิ้มออกแล้วดึงหญิงสาวมากอดอีกครั้งแล้วจุมพิตแรงๆตรงเรือนผมของเธอ เผลอสูดกลิ่นหอมของเรือนผมงามเข้าเต็มปอดจนความรู้สึกวาบหวามบางอย่างผ่านเข้ามาในใจของเขา

    “ทำได้ดีแบบนี้ ต้องให้รางวัลซะหน่อยแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนของแฝดผู้พี่ของทาเครุ แววตาที่เปล่งประกายวิบวับ อีกทั้งรอยยิ้มกริ่มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาบอกให้เธอรู้ในทันทีว่าเขาต้องการอะไร แต่ก็อยากจะแกล้งขัดใจเขาดูบ้างจึงปัดมือหนาที่กำลังซุกซนกับเรือนร่างของเธอออก

    “อือ...พอแล้วน่า...ฉันต้องกลับโอลิมปัสแล้วนะ” ร่างบางปรามขณะที่หยิบเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมทับเสื้อชั้นใน เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฮิคาริในชุดแจ๊กเก็ตสีดำ กางเกงสีดำขายาว ที่เข็มขัดตรงเอวเป็นแหล่งเก็บอาวุธชั้นยอดทั้งปืน มีดสั้น และระเบิดที่ยังไม่ถูกใช้งาน เท้าของเธอสวมรองเท้าบู๊ทส้นเข็ม เส้นผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นแล้วใช้มีดที่มีลวดลายสวยงามตรงด้ามต่างปิ่นปักเกล้าปักลงที่ผม

    ทาเคชิมองการแต่งตัวของเธอแล้วก็หัวเราะคิกคิดว่าแนวการแต่งตัวของเธอเวลาที่อยู่กับเขา ช่างแตกต่างกับเวลาที่อยู่ในโอลิมปัสยิ่งนัก เมื่ออยู่กับเขาเธอจะไม่ปิดบังสไตล์การแต่งตัวของเธอเลย เธอชอบเสื้อผ้าสีดำที่ทำให้เธอดูสวย เปรี้ยว ดุ แต่เมื่ออยู่ที่โอลิมปัสเธอกลับสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ทำให้เธอดูสวยหวาน อีกทั้งบุคลิกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เวลาอยู่กับเขาเธอดูเป็นสาวมั่น ไม่กลัวใคร สวย ดุ แตกต่างกับเมื่ออยู่ที่โอลิมปัสซึ่งเธอดูอบอุ่น อ่อนโยน ดูใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมทันคน

    “ฉันต้องไปแล้วนะคะ มีอะไรคืบหน้าจะมารายงานใหม่ บาย” ฮิคาริกดจมูกบนแก้มสากอย่างเอาใจเขา ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ทาเคชิอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง กลิ่นหอมจากเส้นผมของร่างบางยังติดปลายจมูกไม่เลือนหาย อีกทั้งความรู้สึกวาบหวามหวั่นไหวที่แล่นพล่านในจิตใจของเขามันคืออะไรกันนะ ความรักอย่างนั้นหรือ

    ไม่...เขาจะต้องไม่มีความรักให้กับผู้ใด โดยเฉพาะ...ผู้หญิงที่เขากำลังหลอกใช้!!

    “หึ...ไว้เสร็จงานนี้เมื่อไหร่...ฉันจะตอบแทนเธอให้ถึงใจเลยทีเดียว ยางามิ ฮิคาริ!! แต่ก่อนอื่น...ฉันขอรู้หน่อยละกันนะว่าเธอมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง ถึงเวลาเสร็จงานจะได้ฆ่าได้ถูกจุด!!” เขาพูดน้ำเสียงเหี้ยมไร้ความปรานี และที่เขาต้องตรวจสอบจุดอ่อนก่อนจะถึงเวลาทำจริง เนื่องจากว่าเทพเจ้าแห่งขุนเขาโอลิมปัสนั้นมีพลังอมตะ แต่...การอยู่ยงคงกระพันนับร้อยปีก็ใช่ว่าจะไร้จุดอ่อน เทพเจ้าทุกองค์บนเขาโอลิมปัสไม่ว่าจะเป็นเพียงเทพองค์เล็กที่ไม่มีบทบาทสำคัญอะไร หรือจะเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งเหนือบัลลังก์โอลิมปัสจะมีจุดอ่อนบนร่างกายที่แตกต่างกันออกไป บางองค์มีจุดอ่อนที่ข้อเท้าหรือข้อมือ บางองค์จุดอ่อนก็อยู่ที่หน้าท้อง หากเทพเจ้าถูกทำร้ายที่บริเวณจุดอ่อนก็ทำให้บาดเจ็บสาหัส หรืออาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ วิธีที่จะสังเกตได้ว่าส่วนใดของร่างกายเป็นจุดอ่อนจะดูได้จากโลหิตที่ไหลออกมาจากบาดแผล เลือดที่อยู่ตรงบริเวณจุดอ่อนจะเป็นสีเขียวมรกต ส่วนบริเวณอื่นจะเป็นสีแดงสด

    ทุกอย่างในโลก...ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็น แม้เขาจะพูดเสียงเหี้ยมแต่ดวงตากลับมีแววหวั่นไหวลึกๆเหมือนไม่อยากสังหารฮิคาริตามที่ตนเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ความรู้สึกแบบนี้...มันคืออะไรกันหนอ...

    ว่าแล้วเขาก็เรียกคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านนอกเข้ามา ก่อนจะสั่งการบางอย่างและเมื่อทำภารกิจสำเร็จแล้วให้ไปรายงานเขาที่พระราชวังใต้มหาสมุทร ซึ่งคนสนิทผู้นั้นก็รับคำแล้วรีบวิ่งออกไปเพื่อทำตามคำบัญชาของเจ้านาย

    ฮิคาริกำลังเดินเลือกซื้อสินค้าอยู่ในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังอะโฟรไดท์ เธอเดินเรื่อยมาจนถึงชั้นวางของมีขนมขบเคี้ยวหลายยี่ห้อ ฮิคาริเอื้อมมือไปหยิบขนมถุงหนึ่งทันใดนั้นเองก็มีอีกมือหนึ่งโผล่มาจับไหล่ของเธอ ฮิคาริสะดุ้งตกใจเกือบจะจับเจ้าของมือทุ่มลงกับพื้น โชคดีที่เธอหันไปมองก็พบชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกับทาเคชิราวกับเป็นคนเดียวกันกำลังส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ ส่วนมือของเขาก็จับไหล่ของเธออยู่

    “ทาเคช...เอ่อ...ทาเครุ” ฮิคาริเกือบพลั้งปากพูดชื่อทาเคชิเพราะใบหน้าของสองพี่น้องทาเคอิชินั้นเหมือนกันมากจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร โชคดีที่เปลี่ยนคำพูดได้ทัน

    “ไง...มาซื้อของเหรอจ๊ะ คนสวย” ทาเครุถามอย่างอารมณ์ดีที่ได้มาพบหญิงสาวที่เขาหมายปอง รอยยิ้มเก๋บาดใจของชายหนุ่มทำให้เธอนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของเขา สองพี่น้องนี้ช่างดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนพี่...ดูเงียบขรึม โหดเหี้ยม เอาแต่คอยสั่งงานให้เธอทำ หรือไม่ก็เรียกให้ไปบริการทางเพศ ส่วนคนน้อง...แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นเพลย์บอย ดูไม่ค่อยเอาไหน แต่กลับทำให้เธอโวยวายสติแตกได้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

    “ฮิคาริ...ฮิคาริ!” ทาเครุเรียกหลายครั้ง ทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวก่อนจะรีบตอบคำถามเขา

    “ใช่ นี่ไง” เธอชูถุงพลาสติกให้อีกฝ่ายดู ทาเครุยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์

    “เธอได้ของทุกอย่างที่ต้องการไปแล้ว...แล้วไม่อยากได้ตัวและหัวใจฉันไปครองบ้างเหรอ” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยน้ำเสียงทะเล้น เลยถูกกำปั้นเล็กทุบเข้าที่อย่างแรงจนชายหนุ่มร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด ฮิคาริทำเสียงเขียวใส่ขณะที่หัวใจดวงน้อยเต้นส่ำไม่เป็นจังหวะโดยไม่มีสาเหตุ

    “หึ สมน้ำหน้า!!! เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับฉันมันต้องเจออย่างนี้แหละ!!” ฮิคาริแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก่อนจะถือถุงพลาสติกที่บรรจุสินค้าที่เธอเลือกซื้อแล้ววิ่งออกไป ทิ้งให้ทาเครุที่กุมหน้าท้องด้วยความเจ็บปวดยืนมองเธอด้วยสายตาเคียดแค้น

    “คอยดูเถอะนะ...ฮิคาริ...สักวันฉันจะทำให้เธอรับรักฉันให้ได้!! คอยดู!!” ทาเครุลั่นวาจาออกมา สายตาจับจ้องร่างบางที่วิ่งออกไปจนลับตาอย่างมาดหมาย...

    “อีตาทาเครุบ้า! เทพอะไรวะทำให้ฉันหงุดหงิดได้ตลอดเวลาจริงๆ” ฮิคาริบ่นอุบขณะอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งข้างพระราชวังอะโฟรไดท์ตามลำพัง พอคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาที่พบเมื่อครู่แล้วหัวใจเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นอีกครั้ง โธ่เอ๊ย!...บ้าจริง...ทำไมเธอต้องใจเต้นทุกครั้งที่ทะเลาะกับทาเครุด้วยนะ...เวลาคนเราทะเลาะกันมันต้องหงุดหงิดสิ...ไม่ใช่รู้สึกสุขใจอย่างนี้...ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน...

    มันจะใช่ความรักอย่างที่ท่านแม่อะโฟรไดท์เคยเล่าให้เธอฟังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยหรือเปล่านะ...

    ฮิคารินั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างคิดอะไรเพลินๆโดยที่ไม่รู้ตัวว่าภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ มือเรียวนุ่มข้างหนึ่งปัดสมุดรายการอาหารตก เธอก้มลงจะเก็บทำให้เธอเห็นบางอย่างในกระจกที่อยู่ด้านหน้าเธอ ชายชุดดำสวมแว่นตาดำคนหนึ่งกำลังเงื้อมีดขึ้นจะแทงเธอจากด้านหลัง ในจังหวะที่คมมีดพุ่งเข้าหา ร่างบางพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็วแล้วตวัดขาข้างหนึ่งใส่มือหนาข้างที่ถือมีด จนมีดตกลงบนพื้น

    ชายชุดดำจะคว้ามีดอีกเล่มที่เสียบอยู่กับเข็มขัดขึ้นมาฟาดฟันใส่หญิงสาว ฮิคาริเองก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ เธอม้วนหน้าหลบวิถีคมมีดได้อย่างหวุดหวิดแล้วลุกขึ้นยืน พลางคว้ามีดสั้นซึ่งเหน็บอยู่กับเข็มขัดที่เอวขึ้นมารับคมมีดของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที

    เธอออกแรงต้านคมมีดของศัตรูอย่างสุดแรงเกิดจนเขาต้องถอยตามแรงของเธอ ฮิคาริฉวยจังหวะที่เขาก้าวถอยบิดข้อมือเขาจนมีดหลุดออกจากมือ แล้วยกเข่าข้างหนึ่งกระแทกเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายหลายทีจนเขาทรุดกองกับพื้น เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้เขารอดตามมาขึ้นคร่อม มือข้างหนึ่งขยำคอเสื้อเขาไว้ ส่วนอีกข้างถือมีดจ่อลำคอยาวสีคล้ำของอีกฝ่าย

    “ใครส่งแกมา” ฮิคาริถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับแฝงความโหดเหี้ยมไร้ความปรานี

    “ฉ...ฉันไม่รู้...” ชายชุดดำตอบเสียงเครือ แต่นัยน์ตาหลุกหลิกมีพิรุธ

    “หึ...ไม่รู้งั้นเหรอ...ฉันไม่เชื่อ!!!” ฮิคาริตะคอกใส่ “บอกมา...เจ้านายแกเป็นใคร อยากจะบอกกับฉันหรือว่าอยากจะให้มีดของฉันส่งแกไปบอกกับฮาเดสจ้าวผู้ครองนรกใต้พิภพห๊ะ!!” สาวสวยตะคอกขู่ แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะปริปากสารภาพว่าใครเป็นผู้จ้างวานเขา ฮิคาริเห็นชายชุดดำที่อยู่ใต้อาณัติเธอแต่นิ่งเงียบก็ทำท่าจะเอาใบมีดปาดคออีกฝ่าย

    “ได้...ไม่บอกใช่มั้ย...งั้นก็ตรียมตัวลงนรกได้แล้ว!!” ในจังหวะที่ฮิคาริกำลังจะปาดคอชายชุดดำนั่นเอง อีกฝ่ายก็รีบยกมือขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขายอมแพ้และจะยอมสารภาพว่าใครเป็นผู้จ้างวานเขา

    “เดี๋ยวก่อน!! ฉ...ฉันยอมบอกแล้ว”

    “ใคร”

    “เอียงหูมานี่สิ” ชายชุดดำบอกน้ำเสียงแหบแห้ง ฮิคาริก็เอียงหูเข้าใกล้กับริมฝีปากของอีกฝ่าย

    “ใคร” ฮิคาริถามซ้ำอีก

    “เธอ...” ชายคนนั้นเว้นเสียงไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “เธอไงที่โง่!!

    ชายคนนั้นฉวยจังหวะที่ฮิคาริกำลังอึ้งกับคำตอบและไม่ทันระวังตัว ยกเข่าข้างหนึ่งกระแทกเข้ากับหน้าท้องฮิคาริจนเธอจุกล้มไปด้านข้างเขา ชายชุดดำรีบลุกขึ้นกระชากร่างบางอย่างแรงก่อนจะจับคู่กรณีโยนใส่ตู้กระจกตรงแคชเชียร์ ร่างเล็กกระแทกกับตู้กระจกตรงแคชเชียร์อย่างแรงจนกระจกแตกเกิดเสียงดังเพล้ง ร่างของเธอร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับเศษกระจกตกลงกระจายเกลื่อนพื้น ปลายแหลมของเศษกระจกใหญ่ชิ้นหนึ่งทิ่มเข้าที่ท้องของฮิคาริจนแผลลึก เลือดสีเขียวมรกตไหลรินออกมาจากบาดแผลเป็นสิ่งบ่งบอกว่าบริเวณท้องคือจุดอ่อนของร่างกายอมตะของฮิคาริ

    “ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในที่สุดฉันก็ทำงานที่นายสั่งมาสำเร็จ!! ฉันรู้จุดอ่อนของนังนี่แล้ว!! ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ชายชุดดำหัวเราะสะใจเมื่อเห็นคู่กรณีกำลังดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าหวานซีดเซียวชื้นเหงื่อบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังรู้สึกเจ็บปวดกับบาดแผลมากเพียงใด

    “ก...แก!!!” ฮิคาริฝืนลุกขึ้นยืนทั้งที่มือกุมหน้าท้องที่มีเลือดสีเขียวไหลไม่หยุด พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาโกรธแค้น สายตาหวานคมเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์มังกรดำที่ต้นแขนซึ่งโผล่พ้นผ้าออกมาของอีกฝ่ายก็เดาได้ทันทีว่า ใคร ส่งชายคนนี้มา

    ชายปริศนามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของฮิคาริอย่างเดาใจไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก่อนจะได้พูดอะไร ฮิคาริก็กรีดมีดลงกับแขนตัวเองไม่ยั้ง สร้างความตกใจให้หับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวคิดจะทำอะไร...

     

    ณ สภาโอลิมเปียน

    “ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี เจ้าPhosอะไรนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือทำอะไรที่บ่งบอกว่าจะยึดอำนาจจากพวกเราเลยซักนิด” โพไซดอนเอ่ยเสียงเครียดขณะที่นั่งประชุมอยู่ในสภาเทพโอลิมเปียน ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยบรรดาเทพเจ้าต่างๆจากทั่วทุกมุมโลก

    “ท่านยังจำได้ไหม ซุส เมื่อนานมาแล้วพวกท่านเหล่าเทพโอลิมเปียนได้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา 16 ตัว ข้าคิดว่าพวกท่านน่าจะเรียกสัตว์พวกนั้นกลับมา...” ยังไม่ทันที่ท่านเทพโอดินแห่งดินแดนแอสการ์ด จะพูดจบก็ต้องชะงักเมื่อเสียงตวาดของซุสดังขึ้น

    “ไม่ สัตว์พวกนั้นเขาหลับใหลไปนานมากแล้วนะ จะให้ข้าปลุกพวกเขาขึ้นมาคงไม่ได้ อีกอย่างสัตว์เหล่านั้นเขามีที่สิงสถิตของเขาแล้ว อย่าดึงพวกเขาเข้ามายุ่งกับพวกเราอีกเลยดีกว่า”

    “แต่พวกสัตว์พวกนั้น มีพลังแกร่งกล้านะท่าน ไม่งั้นเมื่อตอนที่พวกท่านสร้างมันขึ้นมาใหม่ๆ คงไม่เรียกพวกมันว่า สัตว์เทพหรอก!!!” คราวนี้ซุสอึ้งไปเล็กน้อย เพราะมันเป็นอย่างที่โอดินพูดจริงๆ

    “นั่นสินะ ที่จริงพวกเราน่าจะเรียกพวกสัตว์เทพกลับมาอีกครั้งนะ แต่เอ...สัตว์พวกนั้นมันชื่ออะไรกันบ้างนะ ข้าลืมเสียแล้ว” เทพีมามาคายีแห่งอินคา เอ่ยถาม

    “ข้าจำได้ มันเป็นสร้อยวลีที่คล้องจองกันมาก อินทรีเวหา มัจฉาวารี มณีกุญชร มังกรโลกันต์ ราชันย์สิงห์เตโช โมรีพันเนตร เกษตรนาคราช พยัคฆ์ฆาตจอมยุทธ เทวครุฑโยธา ปัญญาวิหค พฤกษกสุวาน โคกาลสุริยัน ดวงจันทร์มฤคี อัคนีอาชา เทพธิดาทรงหงส์ ภุชงค์ส่งสาร หรือที่เรียกว่า วลีแห่งสัตว์เทพ ยังไงล่ะ แล้วข้าก็จำได้อีกว่าตอนนั้นพวกท่านแต่งกลอนขึ้นมา แล้วใส่ทำนองเพลงเพื่อร้องให้พวกมันฟังโดยเฉพาะนี่นะ” พระอินทร์ตรัสขึ้น ทำให้เฮอร์มีสที่นั่งเครียดคิดเรื่องลูกชายอยู่รู้สึกอยากจะคลาดเครียดขึ้นมาบ้าง จึงหยิบพิณขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า

    “งั้น ข้าจะร้องบทกวีนั้นให้ฟังเป็นการคลายเครียดแล้วกัน” ไม่รอคำตอบรับจากเหล่าเทพองค์อื่น มือเรียวของเฮอร์มีสก็เริ่มดีดพิณ บรรเลงเพลงที่เขาจำได้ดีว่าเป็นเพลงที่พวกเขาเหล่าเทพโอลิมเปียนแต่งให้กับเหล่าสัตว์เทพเมื่อหลายพันปีก่อน

    ยามาโตะ ทาเครุ ไทจิ โคอิจิ โคจิ ทาคาโตะ ทาคุยะ และอิซึมิเองก็ตั้งใจฟัง เพราะเพลงที่เฮอร์มีสกำลังเล่นนี้เกิดก่อนพวกเขาหลายพันปีทีเดียว

     อินทรีเวหาเหิน                   บินเพลิดเพลินเริงหรรษา........

    รำร่ายที่ปลายฟ้า                                   กลีบเมฆาพราวอำไพ........

                    มัจฉาวารีร้อง                       ท่วงทำนองเสนาะใส........

    นบนอบมอบดวงใจ                            แด่เทพไทโพไซดอน........

                    มณีกุญชรชาติ                      เยื้องลีลาศงดงามงอน........

    ทรงอิทธิฤทธิ์รอน                               ในนครแห่งจินดา........

                    มังกรโลกันต์แกล้ว              เกล็ดกายแพร้วพริ้งแพรวตา........

    น้อมจิตดวงชีวา                                   แด่ราชาแห่งความตาย........

                    ราชันย์สิงห์เตโช                  ดวงเพลิงโอฬารเฉิดฉาย........

    ชีวิตดั่งเม็ดทราย                                  แด่วรกายองค์เทวี........

                    โมรีพันเนตรฟ้อน                เยื้องกรายกรอ่อนอินทรีย์........

    ใจรักน้อมภักดี                                     แด่รานีแห่งวิมาน........

                    เกษตรนาคราช                     ธำรงธาตุธัญญาหาร........

    ร่ายรำแสนสำราญ                               ในลำธารแห่งชีวัน........

                    พยัคฆ์ฆาตจอมยุทธ           ศาสตราวุธแดนสวรรค์........

    พิทักษ์องค์เทวัญ                                  รุกโรมรันดัสกร........

                    เทวครุฑโยธา                       ทัพปักษารบราญรอน........

    สถิตทิศอุดร                                          แดนสิงขรธรณี........

                    ปัญญาวิหคสรวล               เสียงอึงอวลมวลปักษี.......

    เพราะพริ้งดั่งดนตรี                            ก้องธานีแห่งปัญญา........

                    พฤษกสุวานหาญ                ดลบันดาลพรรณพฤกษา........

    ร่ายกลมนตร์มายา                               ป้องผืนป่าพนาลัย........

                    โคกาลสุริยัน                         ล้วนรูปพรรณสุวรรณใส........

    แสงทองผ่องอำไพ                              ส่องดวงใจไร้ตัวตน........ 

    ดวงจันทร์มฤคี                    เริงฤดีกลางสายชล........

    แสงจันทร์กระจ่างมล                         ส่องตัวตนในสายธาร........

                    จ้าวอัคนีอาชา                       เรืองฤทธาเดชาชาญ........

    น้อมจิตดวงวิญญาณ                           แด่ลมปราณแห่งคิรินทร์........

                    เทพธิดาทรงหงส์                งามเอวองค์หมดมลทิน........

    แหวกว่ายบนสายสินธุ์                        ท่องธารรินสีนิลเรือง........

                    ภุชงค์ส่งสารคล้อย              ล่องลอยลมชมฟ้าเหลือง........

    ยามต้องแสงรองเรือง                         ประเทืองเด่นเป็นพริ้งแพรว.......

    เหล่าทวยเทพนั่งสดับเพลงที่จ้าวแห่งการโจรกรรมขับขานด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ นี่พวกเขาไม่ได้ฟังเพลงอันไพเราะจับจิตอย่างนี้นานเท่าใดแล้วนะ เหล่าทวยเทพหารู้ไม่ว่าเพลงที่พวกเขาเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นและกำลังนั่งฟังอยู่นี้นั้นได้ดังออกไปจากเทวสภาโอลิมเปียนไปจนถึงโลกมนุษย์แต่หามีมนุษย์ผู้ใดได้ยินไม่ มีเพียงเหล่านางไม้ รุกขเทวดาและเหล่าสรรพสัตว์ที่มนุษย์คิดว่ามีเพียงในตำนานซึ่งสิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้นที่ได้ยิน และร่ายรำไปตามจังหวะของเสียงเพลงอย่างสนุกสนานครึกครื้น ไม่เว้นแม้แต่เหล่านางไม้ในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเอเธนส์

    ...โรงเรียนเอเธนส์ไฮสคูล...

    “อ๊ะ...” เด็กหนุ่มมนุษย์ผมสีดำมันขลับในชุดนักเรียนเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีดำขลับมองท้องฟ้าสีครามด้วยสีหน้าฉงน ในขณะที่เขายืนอยู่หน้าอาคารเรียนกับเพื่อนชายอีกสองคน

    “เป็นอะไรไปน่ะ ไทกิ?” เพื่อนชายที่ยืนเคียงข้างเอ่ยถามขึ้น เด็กหนุ่มชื่อไทกิหันมามอง

                    “เซ็นจิโร่...ฮิโรคาสึ...เพลงที่ดังอยู่นี่มันเพลงอะไรกัน เพราะจัง...” คำตอบของไทกิสร้างรอยฉงนบนใบหน้าของเพื่อน เพราะเซ็นจิโร่ไม่ได้ยินเสียงเพลงอะไรเลย นอกจากเสียงนักเรียนคุยกันดังจ๊อกแจ๊ก

    “เพลงเหรอ? ฉันไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยสักท่อน อย่ามาอำกันน่า คุโด้  ไทกิ” เซ็นจิโร่ออกเสียงชื่อเต็มขิงเพื่อนอย่างชัดเจนเป็นเชิงล้อเลียน ทั้งเขา ฮิโรคาสึ และไทกิต่างก็เป็นชาวญี่ปุ่นที่ได้ทุนการศึกษามาเรียนในประเทศกรีซ

    “นั่นสิ ฉันก็ไม่ได้ยินนะ” เด็กหนุ่มอีกคนนามฮิโรคาสึรีบยืนยัน

    “ต...แต่ว่า...ฉันได้ยินจริงๆนะ” ไทกิยืนยัน แล้วหันไปมองรอบๆเหมือนค้นหาที่มาของเสียงเพลง แต่เขากลับไม่ได้ยินมันแล้ว นัยน์ตาดำขลับเหลือบมองภารโรงสูงวัยกำลังกวาดใบไม้อยู่แถวนั้นหันมามองเขาเล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจงานของตนเองต่อ ไทกิจึงไม่ได้สนใจอะไรภารโรงสูงวัย เขาหันกลับมามองเพื่อนทั้งสอง

    “ฉันได้ยินจริงๆนะ เนื้อมันร้องว่า อินทรีเวหาเหิน...บินเพลิดเพลินเริงหรรษา....รำร่ายที่ปลายฟ้า...กลีบเมฆาพราวอำไพ...มัจฉาวารีร้อง...ท่วงทำนองเสนาะใส...นบนอบมอบดวงใจ...แด่เทพไทโพไซดอน...มณีกุญชรชาติ... เยื้องลีลาศงดงามงอน...ทรงอิทธิฤทธิ์รอน ในนครแห่งจินดา...มังกรโลกันต์แกล้ว...เกล็ดกายแพร้วพริ้งแพรวตา..น้อมจิตดวงชีวา...แด่ราชาแห่งความตาย...ราชันย์สิงห์เตโช...ดวงเพลิงโอฬารเฉิดฉาย...ชีวิตดั่งเม็ดทราย...แด่วรกายองค์เทวี...โมรีพันเนตรฟ้อ... เยื้องกรายกรก่อนราตรี...ใจรักน้อมภักดี...แด่รานีแห่งวิมาน...เกษตรนาคราช...ธำรงธาตุธัญญาหาร...ร่ายรำแสนสำราญ...ในลำธารแห่งชีวัน...พยัคฆ์ฆาตจอมยุทธ...ศาสตราวุธแดนสวรรค์...พิทักษ์องค์เทวัญ...รุกโรมรันดัสกร...เทวครุฑโยธา...ทัพปักษารบราญรอน...สถิตทิศอุดร...แดนสิงขรธรณี...ปัญญาวิหคสรวล...เสียงอึงอวลมวลปักษี...เพราะพริ้งดั่งดนตรี...ก้องธานีแห่งปัญญา...พฤษกสุวานหาญ...ดลบันดาลพรรณพฤกษา...ร่ายกลมนตร์มายา...ป้องผืนป่าพนาลัย...โคกาลสุริยัน...ล้วนรูปพรรณสุวรรณใส...แสงทองผ่องอำไพ...ส่องดวงใจไร้ตัวตน...ดวงจันทร์มฤคี...เริงฤดีกลางสายชล...แสงจันทร์กระจ่างมล...ส่องตัวตนในสายธาร...จ้าวอัคนีอาชา...เรืองฤทธาเดชาชาญ...น้อมจิตดวงวิญญาณ...แด่ลมปราณแห่งคิรินทร์...เทพธิดาทรงหงส์...งามเอวองค์หมดมลทิน...แหวกว่ายบนสายสินธุ์...ท่องธารรินสีนิลเรือง...ภุชงค์ส่งสารคล้อย...ล่องลอยลมชมฟ้าเหลือง...ยามต้องแสงรองเรือง...ประเทืองเด่นเป็นพริ้งแพรว......

    “นายน่ะหูฝาดแล้ว เลิกคิดเรื่องนี้แล้วรีบกลับอพาร์ตเม้นท์กันดีกว่า ฝนจะตกแล้วนะ” เพื่อนชายทั้งสองคนต่อว่า แล้วรีบเข้าไปดันหลังไทกิเป็นเชิงบอกว่าให้เลิกคิดเรื่องเพลงแล้วกลับอพาร์ตเม้นท์กันดีกว่า  ส่วนไทกิ แม้จะคิดว่าตนหูฝาดไปแต่ก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่ได้หูฝาดอยู่ดี เพราะเสียงเพลงอันไพเราะจับจิตนั้นยังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท

    หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสามหันหลังเดินออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว ภารโรงสูงวัยค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นค่อยๆกลายสภาพกลับคืนเป็นใบหน้าสวยหวานของมาซารุ แขนและขาเหี่ยวย่นค่อยๆคืนสภาพหนุ่มแน่น สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังบางของเด็กหนุ่มที่ชื่อไทกิที่ยังเห็นอยู่ไม่ไกล

    ทำไมกัน...ทั้งที่ปกติแล้วมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถได้ยินเสียงเพลงของเทพเจ้าได้นี่นา...

    แล้วทำไม...เด็กคนนั้นถึงได้ยินล่ะ?...

    เด็กคนนั้นเป็นใครกัน...

    นายเป็นใครกันแน่...คุโด้ ไทกิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×