คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 ธนูมหาประลัย
ณ พระราชวังของซุส
พระราชวังของเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าซึ่ง ทำจากหินอ่อนที่ส่งตรงจากดินแดนแอสการ์ดทั้งหลัง ภายในพระราชวังตกแต่งประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาอัญมณีต่างๆที่ส่งตรง จากนรกใต้พิภพ อีกทั้งตามผนังก็ยังตกแต่งไปด้วยภาพถ่ายของบรรดาเทพและเทพีแห่งโอลิมปัสทุกองค์ด้วย
ชาย วัยกลางคนในชุดสูสีน้ำเงินเข้มมีเนคไทสีกรมท่าผูกอยู่กับคอเสื้อ อีกทั้งมีใบหน้าหล่อเหลาละม้ายคล้ายยามาโตะแต่ดูทรงพลังกว่า ตรงคางมีรอยเหมือนเพิ่งโกนเครามาหมาดๆ ดวงตาสีฟ้าที่สวมแว่นตาไร้กรอบจับจ้องหนังสือพิมพ์รายวันของสำนักพิมพ์ ‘โอลิมปัส ซีซียู’ อยู่ในห้องโถงนั่งเล่นของวัง
เขาผู้นี้คือ... ‘ซุส’ ราชาแห่งปวงเทพโอลิมปัส
ขณะ ที่ซุสกำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษากรีกโบราณนั่นเองสมุนคน หนึ่งของซุสก็เข้ามา เขาโค้งคำนับให้ผู้เป็นนายเหนือหัว ซุสละสายตาจากหนังสือพิมพ์ก่อนจะถอดแว่นตาไร้กรอบออกแล้วเอ่ยถามสมุนว่า
“มีอะไรเหรอ”
“นาย ท่านครับ ท่านไทจิและท่านยามาโตะมาแล้วครับ” สมุนรายงาน ซุสมองหน้าสมุนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกว่าให้พาสองคนนั้นเข้า มาได้ ซึ่งสมุนก็รุ้งานจึงเดินออกไปรับไทจิและยามาโตะเข้ามา
“นี่ฉันต้องได้พบท่านปู่ซุสก่อน!” เสียงหวานของผู้เป็นหลานดังเข้ามา ทำเอาซุสละสายตาจากหนังสือพิมพ์อีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อหาที่มา ของเสียงเอะอะ ก็พบว่าไทจิผู้เป็นหลานและยามาโตะผู้เป็นบุตรชายกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทาง ทุ่มเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ฉันต่างหากที่ต้องได้พบพ่อก่อน!” ยามาโตะเถียงอย่างไม่ยอมลงให้ไทจิ
“ฉันต่างหาก! ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องรายงานท่านปู่ก่อน!” ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งอะพอลโลเถียงอย่างไม่ยอมลงให้บุคคลตรงหน้า อย่างไรเสียเขาก็จะไม่ยอมญาติดีกับนายยามาโตะนี่เด็ดขาด! ยามาโตะทำท่าไม่พอใจก่อนจะเอาสิทธิ์ความเป็นเชื้อสายของซุสมาอ้าง
“ฉันเป็นบุตรชายของซุส ดังนั้นฉันต้องได้พบก่อน!”
“แต่หน้าที่ของแนมันสำคัญกว่าหน้าที่ของนายนะ” ไทจิเอาเรื่องหน้าที่มาอ้าง ซึ่งยามาโตะเองก็ไม่ยอมจึงยกเรื่องหน้าที่มาอ้างบ้าง
“ใครบอก! หน้าที่ของนายมันแค่ชักพระอาทิตย์ขึ้นทุกเช้า แต่หน้าที่ฉันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายเลยนะ ถ้าไม่ได้ฉันตรวจตราท้องฟ้าทุกหนึ่งร้อยปีล่ะก็ป่านนี้นายคงได้ไปทัวร์นรก กันแล้ว!” คำพูดของผู้เป็นโอรสแห่งเจ้านภากาศทำเอาผู้เป็นโอรสแห่งอะพอลโลเบะปากด้วยความหมันไส้ก่อนจะพูดจาถากถางให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น
“ตรวจตราท้องฟ้าเหรอ เฮอะ! ตรวจเรื่องผู้หญิงบนโลกนี้มีพอที่จะเป็นที่รองรับอารมณ์ใคร่ของนายมมากกว่าน่ะสิ! โธ่เอ๊ย!! ท่านปู่อุตส่าห์วางใจให้ตรวจท้องฟ้าแต่ดันไปหิ้วหญิงซะงั้น!”
“ก็ ยังดีกว่านายละกัน ฉันน่ะไม่ต้องไปทนอยุ่กับดวงอาทิตย์ทั้งวันแบบนายหรอก ได้นอนสบายๆไม่ต้องทำอะไร ส่วนนายมันก็ต้องทำงานทั้งวันล่ะวะ” ยามาโตะเถียงไม่ยอมแพ้
“อย่างน้อยฉันก็ได้ทำประโยชน์ด้วยการให้แสงสว่างกับชาวโลก ไม่ได้ทำตัวไร้สาระไปวันๆแบบนายหรอกนะ อ้อ! ไม่สิอย่างนายเขาไม่เรียกทำตัวไร้สาระหรอก อย่างนายเขาเรียกว่า เอ...เรียกว่าอะไรน้า....” ไทจิเอ่ยพลางทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แล้วก็ยิ้มเยาะออกมาแล้วด่าว่า
“อย่างนายเขาเรียกว่าเป็นไอ้โรคจิตเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ไม่รู้ว่าเกิดมาเป็นลูกท่านปู่ซุสได้ยังไง ท่านปู่ออกจะเป็นคนดี ไม่รู้ว่ามีลูกเลวๆอย่างนายได้ยังไงกันนะ หน้าตาก็ดีแต่น่าเสียดาย...ใจไม่น่าบอดเลย! ให้ตายสิ” ไทจิเอ่ยเสียงเยาะพลางเน้นเสียงตรงคำว่า ‘เป็นไอ้โรคจิตเลี้ยงเสียข้าวสุก’ กับ ‘หน้าตาก็ดีแต่น่าเสียดาย...ใจไม่น่าบอดเลย’
“นี่นาย!!” ยามาโตะเดิอดดาลกับคำพูดของไทจิจนเข้าไปกระชากคอเสท้ออีกฝ่าย แต่ไทจิไม่สะทกสะท้านกลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอให้ยามาโตะ ยิ่งทำให้เขาเดือดดาลมากขึ้น ซุสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาแทรกห้ามทัพ
“เอาล่ะพอได้แล้วทั้งสองคน” ซุสห้ามด้วยเสียงเรียบเฉยแต่ทั้งไทจิและยามาโตะก็ไม่สนใจจนซุสเริ่มกริ้ว
“ข้าบอกว่าให้หยุด!!!!” ประกาศิตของซุสดังสนั่นจนได้ยินทั่วทั้งโอลิมปัส
เปรี้ยง!!!!
เสียง ประกาศิตบวกกับความโกรธของซุสส่งผลให้เมฆทะมึนเคลื่อนตัวสู่ท้องฟ้าเหนือ ประเทศกรีซและมีฟ้าผ่าลงกลางกรุงเอเธนส์ ทำเอาประชาชนที่กำลังดำเนินชีวิตตามเส้นทางของแต่ละคนถึงกับรีบเก็บข้าวของ แล้วเข้าสู่ตัวอาคารเพราะคิดว่าฝนจะตก อีกทั้งอีกซุสยังกระทืบเท้าขวาด้วยความกริ้วจนแผ่นดินบนโอลิมปัสไหวและเกิด รอยแยก ไทจิและยามาโตะตกใจเมื่อเห็นซุสเริ่มโมโหจึงรีบหยุดการกระทำของตนทันทีเพราะ เกรงว่าจะถูกลงทัณฑ์
“พวกข้าหยุดแล้วท่านพ่อ” ยามาโตะหันมาบอกผู้เป็นบิดาของตน ซุส ได้ยินบุตรชายเอ่ยดังนั้นจึงคลายความโกรธลง และเมื่อความโกรธหายไปท้องฟ้าเหนือประเทศกรีซที่ดำมืดสนิทก็หายไปด้วย ทำเอาประชาชนมองท้องฟ้าด้วยความอัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ หากแต่เป็นฝีมือของเจ้าแห่งท้องนภา
“ดี” ซุสเอ่ยก่อนจะพูดต่อ “ทีนี้พวกเจ้ามีอะไรก็ว่ามา”
“คือท้องฟ้า....” >>ยามาโตะ
“คือดวงอาทิตย์....”>>ไทจิ
ทั้ง ยามาโตะและไทจิต่างก็เอ่ยถึงเรื่องของตนโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองหันหน้ามองกันอย่างไม่พอใจต่างคนต่างจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ซุสเห็นดังนั้นก็กระแอมหนึ่งทีเรียกสติของไทจิกับยามาโตะกลับมา
“เอาเป็นว่าให้บุตรชายข้าพูดก่อนก็แล้วกัน” เจ้าแห่งท้องนภาเอ่ยอย่างตัดปัญหาทำให้ไทจิไม่อาจขัดได้
ยามาโตะเหลือบมองผู้เป็นหลานพลางส่งยิ้มหยันให้อย่างผู้ชนะ ทำเอาไทจิจับจ้องผู้เป็นอาอย่างกับจะกินเลือดเนื้อ หึ! อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีวันญาติดีกับผู้เป็นน้องชายของพ่อเขาได้หรอก! ไม่มีวัน!!
“คือ...ท้อง ฟ้าที่ข้าไปสำรวจมันก็ไม่มีอะไรหรอกนะครับท่านพ่อ ก็สงบสุขดี....” ยามาโตะรายงานหน้าที่ของตนพลางจับจ้องไทจิที่กำลังนั่งฟังเขารายงานอย่าง เบื่อหน่าย
พอยามาโตะรายงานจบชายหนุ่มหน้าสวยผู้เป็นนัดดาแห่งซุสก็หยิบเอกสารของตนออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วรายงานบ้าง
“ขออนุญาตรายงานครับท่านปู่”
“เชิญ” เจ้าแห่งท้องนภาอนุญาตให้ไทจิ เขาจึงเริ่มรายงานผลงานของตน
“เมื่อ เช้าผมได้ชักพระอาทิตย์ขึ้น ใช้อุณหภูมิ........” ไทจิเริ่มรายงานผลงานของตนพลางชำเลืองมองยามาโตะที่มองเขาด้วยสายตาเบื่อ หน่ายทำนองว่ารายงานเรื่องไร้สาระแต่ไทจิก็ไม่สนใจยังคงรายงานต่อไป พอรายงานจบก็ขอตัวจะกลับ
“ผมรายงานจบแล้ว งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ชายหนุ่มหน้าสวยเอ่ยพลางยื่นขึ้น
“ผมก็ขอตัวก่อนเหมือนกันครับท่านพ่อ” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายซุสลุกขึ้นยืนจะออกไปบ้างแต่...
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงทรงพลังเอ่ยขึ้นทำเอาทั้งผู้เป็นบุตรชายและหลานชายหยุดชะงักพร้อมกับ หันไปมองเจ้าแห่งท้องนภากาศพร้อมกันอย่างสงสัยใครู่ร้ว่าเรียกพวกเขาทำไม ซุสชำเลืองมองไทจิแล้วบอกว่า
“เจ้า กลับไปได้แล้ว....”เอ่ยเว้นวรรคเล็กน้อยพลางชำเลืองมองผู้เป็นบุตรชายแล้ว พูดเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยความทรงพลังที่ทำเอาผู้ถูกมองถึงเสียวสันหลัง อย่างบอกไม่ถูกและเริ่มรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้าใกล้เขา
“ส่วน ยามาโตะ...เจ้าต้องอยู่ก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” คำพูดของบิดาทำเอาผู้เป็นบุตรชายเสียวสันหลังวาบรู้ตัวดีว่าบิดาจะสนทนากับ เขาด้วยเรื่องทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบ เขาอยากจะหนีออกจากวังนี่แทบจะทันทีหากแต่ถ้าเขาหนีล่ะก็ซุสคงไม่ยอมยก ตำแหน่งเจ้าแห่งท้องฟ้าให้เขาและตำแหน่งราชาแห่งเหล่าปวงเทพเทวารุ่นต่อไป ให้เขาแน่นอน
อีก ด้านหนึ่งของพระราชวังแห่งซุสซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารโรงยิมฝึกยิงธนู ตัวอาคารตัวทำจากหินอ่อนส่งตรงจากอิตาลีทั้งหลัง ภายในถูกตกแต่งด้วยอัญมณีจากนรกใต้พิภพ ภาพวาดเหล่านักรบและวีรบุรุษกรีกตกแต่งประดับประดาตามผนังโรงยิมเป็นการ เตือนสติว่าจะต้องเข้มแข็งและอดทนเหมือนเหล่าวีรบุรุษในภาพวาดเหล่านี้
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียง คมดาบปะทะกันดังมาจากห้องลานประลองดาบ เด็กหนุ่มสองคนฝาแฝดซึ่งกำลังซ้อมฝีมือดาบกันอยู่ โดยคนพี่อยู่ในชุดนักรบกรีกโบราณป็นฝ่ายฟาดดาบรุกหาน้องชายของตนที่อยู่ใน ชุดนักรบเช่นเดียวกัน น้องชายเบี่ยงตัวหลบอย่างคล่องแคล่วก่อนจะตอบโต้กลับด้วยการฟันเข้าที่ขา แต่โชคดีที่ผู้เป็นพี่ชายยกเท้าขึ้นยันดาบน้องชายไว้ทำเอาดาบของน้องชายหลุด ออกจากมือ เป็นโอกาสให้พี่ชายจับน้องชายทุ่มกองกับพื้น
น้อง ชายจะลุกขึ้นต่อสู้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอคมดาบของพี่ชายจ่ออยู่ที่ลำคอ เขาฮึดฮัดขัดใจเล็กน้อยที่แพ้พี่ชายแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อิจฉาถึงขนาดจะทำร้าย พี่ชายตัวเอง เขาถิดหน้ากากนักรบออกเผยให้เห็นผมสีน้ำเงินยาวที่ถูกรวบไว้ ใบหน้าคมสันหล่อเหลา อีกทั้งดวงตาสีน้ำเงินรับกับใบหน้าหล่อเหลาได้อย่างดี
เขาผู้นี้คือ... ‘มินาโมโตะ โคจิ’ โอรสองค์เล้กแห่งแอรีส เทพแห่งสงคราม
“นาย แพ้แล้วนะ น้องชายตัวน้อย” ผู้เป็นพี่เอ่ยพลางเอาดาบออกจากคอน้องชาย ถอดหน้ากากนักรบออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเหมือนโคจิราวกับเป็นคนเดียวกัน แต่ต่างกันตรงทรงผมที่ยาวเพียงประบ่าเท่านั้นและไม่ได้รวบผมแบบน้องชาย
ใช่แล้ว...เด็กหนุ่มผู้นี้คือ... ‘คิมูระ โคอิจิ’ โอรสแห่งแอรีสและเป็นพี่ชายฝาแฝดของโคจิ
เขายื่นมือไปจะช่วยฉุดโคจิลุกขึ้น แต่ถูกโคจิปัดออกพลางลุกขึ้นเองแล้วพูดอย่างไม่พอใจที่พี่ชายมาหาว่าเขาเป็น ‘น้องชายตัวน้อย’
“นี่โคอิจิ! ฉันบอกนายมากี่ร้องกี่พันครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่า ‘น้องชายตัวน้อย’น่ะ”
“หรือ ไม่จริงล่ะ ก็นายเป็นน้องชายฉันนี่นา พ่อน้องชายตัวน้อย” โคอิจิยังแกล้งแหย่น้องชายไม่เลิก ทำเอาโคจิมองหน้าอย่างไม่พอใจก่อนจะเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ว่า
“ถึง เราจะเป็นพี่น้องกัน แต่ฉันกับนายเราเกิดห่างกันแค่หนึ่งนาทีเท่านั้นเองนะ นายแก่กว่าฉันแค่หนึ่งนาทีเท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มผู้เป็นน้องเถียงไม่ยอมแพ้ ยังไงซะเขาจะไม่ยอมให้พี่ชายมาเรียกเขาแบบนี้หรอกถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัว เองเกิดทีหลังโคอิจิก็เถอะ
“ถึง จะหนึ่งนาทีนายก็เป็นน้องชายตัวน้อยของฉันอยู่ดีนั่นล่ะ” โคอิจิยังแหย่น้องชายไม่เลิกเพราะสำหรับเขาแล้วการแกล้งน้องชายฝาแฝดเป็น เรื่องที่สนุกที่สุดในชีวิต
“ไม่ใช่นะ!! ฉัน ไม่ใช่น้องชายตัวน้อยของนายนะ นี่เราจะเถียงเรื่องนี้กันไปอีกกี่พันปีเนี่ย” ว่าแล้วน้องชายก็ระบายอารมณ์ด้วยการทิ้งดาบลงแล้วคว้าปืนที่ตนถนัดที่ เสียบอยู่ใต้ชุดเกราะนักรบขึ้นมายิงรัวใส่พี่ชาย
โค อิจิก็กระโดดหลบกระสุนอย่างคล่องแคล่วพลางคว้าปืนที่ตนถนัดที่เสียบอยู่ตรง เข็มขัดตรงหัวเข่ามายิงสาดใส่น้องชายเช่นกันซึ่งโคจิก็กระโดดหลบอย่างคล่อง แคล่ว ทำให้กระสุนนัดหลายนัดที่ออกมาจากปากกระบอกปืนของโคอิจิพุ่งทะยานออกไปจาก ประตูทางทิศตะวันตกของลานประลองดาบทำเอาสองหนุ่มตกใจ
“แย่แล้ว!!” ทั้งสองหนุ่มเอ่ยพร้อมกันอย่างตกใจ เพราะรู้ว่ากระสุนนี้สั่งทำพิเศษจากห้องทำงานของเฮเฟตุสในปล่องภูเขาไฟ และกระสุนนี้จะสามารถลัดเลี้ยวหลบสิ่งของที่ขวางหน้าได้และจะไม่หยุดการ เคลื่อนที่จนกว่าจะถูกอาวุธอื่นปะทะจึงจะหยุดการเคลื่อนไหวได้
“ยัยนั่นกำลังซ้อมยิงธนูอยู่ที่นั่นด้วย อันตรายแล้ว!” โคอิจิพูดพลางนึกถึงใครบางคนก่อนจะรีบวิ่งไปทางประตูทิศตะวันตกของลานประลองแล้ววิ่งตามกระสุนไปโดยมีโคจิวิ่งตามหลัง
อีกโรงยิมซึ่งเป็นลานฝึกซ้อมยิงธนู
ปัก!!
เสียง ลูกธนูปักเข้าตรงจุดสีแดงกลางเป้ายิงธนูอย่างแม่นยำ โดยลูกธนูถูกส่งออกมาจากคันธนูไม้ของเด็กสาวร่างบอบบางในชุดนักกีฬายิงธนู ผู้เป็นเจ้าของผมสีเหลืองยาวสยายปิดแผ่นหลัง อีกทั้งดวงตาหวานสีเขียวมรกตที่รับกับดวงหน้าหวานกำลังจับจ้องลูกธนูที่ปัก อยู่ตรงจุดสีแดงกลางเป้าอย่างพอใจ
เธอผู้นี้คือ... ‘โอริโมโตะ อิสึมิ’ ธิดาแห่งอาทีมีส เทพีแห่งดวงจันทร์
อิ สึมิกดปุ่มสีแดงที่อยู่ตรงโต๊ะวางของทันใดนั้นเองพื้นกระเบื้องตรงเป้ายิงก็ เปิดออกพรอ้มกับมีเป้ายิงอันใหม่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจากพื้น ส่วนเป้ายิงอันเก่าถูกส่งลงไปใต้พื้นกระเบื้อง เด็กสาวหันไปหยิบลูกธนูที่อยู่ในซองบนโต๊ะมาเสียบที่คันธนูอีกดอก ก่อนจะง้าวเส้นธนูจนคันธนูโก่งพลางเล็งเตรียมยิง แต่...
“เฮ้~~~ อิสึมิ~~~”
เสียง หวานใสร้องทักเด็กสาวจากทางด้านหลัง เธอรีบเบนทิศทางจากเป้ายิงเปลี่ยนมาเป็นเล็งใส่เจ้าของเสียงเตรียมป้องกัน ตัวอย่างคล่องแคล่วตามประสามือแม่นธนู ทำเอาเด็กหนุ่มร่างบางผู้เป็นเจ้าของเสียงหวานใสถึงกับชะงักพร้อมกับยกมือ ขึ้นเสมอศีรษะเป็นการบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย อิสึมิลดธนูลงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างบอบบางในชุดจ๊อกกิ้งผู้เป็นเจ้าของผม สั้นสีน้ำตาล ใบหน้าหวานละม้ายคล้ายผู้หญิงอีกทั้งดวงตาสีน้ำตาลแดงรับกับใบหน้าหวานในมือ ของเขาถือกระเป๋าใบใหญ่
“ท...ทาคุยะ...” เด็กสาวเอ่ยนามผู้มาเยือนที่เกือบจะถูกเธอยิงธนูใส่ ใช่แล้ว...
เด็กหนุ่มผู้นี้คือ... ‘คัมบาระ ทาคุยะ’...โอรสแห่งเฮเฟตุส เทพแห่งไฟ และการช่าง
“เฮ้อ...เกือบ ไปแล้วสิเรา เกือบถูกลูกสาวของอาเทมีสฆ่าตายซะแล้วสิ” ทาคุยะบ่นอุบ ทำเอาบุตรสาวแห่งอาเทมีสรีบขอโทษขอโพยลูกพี่ลูกน้องหนุ่มเป็นการใหญ่
“ขอโทษน่าก็นายเข้ามาไม่ให้ซุ่มเสียงแบบนี้ใครเค้าจะรู้ล่ะ”
“ไม่ เป็นไรหรอก เออนี่...ฉันเอาธนูแบบใหม่มาให้ตามที่เธอขอแล้วนะ” เขาว่าพลางวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะ แล้วเปิดกระเป๋าออกเผยให้เห็นคันธนูสีขาวประดับทองคำแท้ตรงกางคันธนูมีปุ่ม ทำจากทองคำ ทำเอาเด็กสาวทิ้งธนูไม้ทันทีแล้วหยิบคันธนู่ประดับมองคำขึ้นมาพิจารณาอย่าง สนใจตามประสาคนชอบยิงธนู
“แล้ว...ลูก ธนูกับสายที่จะใช้ยิงอยู่ไหนล่ะ” เด็กสาวถามอย่างนึกขึ้นได้เมื่อไม่เห็นสายธนูกับลูกธนู เด็กหนุ่มร่างบางส่งยิ้มให้อิสึมิก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มทองคำตรงกลางคัน ธนู ทันใดนั้นเองสายที่ใช้ยิงก็ปรากกฏออกมาพร้อมกับมีลูกธนูตรึงอยู่ตรงสายนั้น
“เวลา เธอต้องการจะยิงให้กดปุ่มเมื่อกี้อ่ะนะ แล้วสายยิงกับลูกธนูจะปรากฏขึ้นมาเอง ธนูอันนี้จะใช้พลังจากดวงจันทร์ซึ่งอยู่ปลายลูกศร แล้วฟังให้ดีนะคุณสมบัติของมัยสามารถปะทะกับลูกกระสุนได้ ส่วนพลานุภาพของมันเวลาปะทะกับกระสุนนั้น.......” ทาคุยะยังอธิบายไม่จบก็ถูกขัดขึ้น
“อย่าง นี้ใช่มะ” อิสึมิโก่งธนูเตรียมยิงทำเอาทาคุยะตกใจหลับตาปี๋ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นก็เห็นลูกธนูพุ่งเฉียดศีรษะเขาไปปะทะกับลูกกระสุนปริศนา ที่พุ่งเข้ามาทางประตู ด้วยแรงปะทะทำให้ทั้งลูกธนูและกระสุนตกลงสู่พื้นกระเบื้องแล้ว....
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แรง ปะทะของอาวุธทั้งสองทำให้เกิดระเบิดจนทั้งทาคุยะและอิสึมิลอยออกจากลานธนู แล้วในจังหวะที่ทั้งสองกำลังจะตกถึงพื้นนั่นเอง โคอิจิและโคจิก็เข้ามาพอดีทำให้ร่างของทาคุยะตกลงในอ้อมแขนโคจิส่วนอิสึมิ ตกลงไปในอ้อมแขนโคอิจิพอดี
“ปลอดภัย ดีใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มของแฝดผู้พี่เอ่ยถามคนที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ทำเอาเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้น ทำให้ดวงตาหวานสบตากับดวงตาคู่คมเข้า ใบหน้าหวานเริ่มแดงระเรื่อเมื่อลมหายใจร้อนเป่ารดกันตรงใบหน้า เสียงหัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของชาย ที่เธอแอบรักมาตลอด...ชายผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ...
“ม...ไม่ เป็นไรหรอก แล้วก็ช่วยปล่อยด้วย” อิสึมิบอกเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนที่มีต่อผู้ชายคนนี้ เสียงหัวใจยังเต้นไม่หยุดราวกับเพิ่งวิ่งรอบจักรวาลมาสักสิบรอบ
“อืม...” แล้วโคอิจิก็ปล่อยอิสึมิลง ส่วนโคจิก็ปล่อยทาคุยะลงเช่นกัน
“คราวหลังระวังหน่อยละกันนะ ถ้าเกิดเป็นข้ารับใช้ที่เขาป้องกันตัวไม่ทันเข้ามาแล้วโดนธนูล่ะก็อาจตายได้นะ” โคจิเตือนด้วยสีหน้านิ่งแต่น้ำเสียงแฝงความห่วงใย แต่นั่นก็ทำให้ทาคุยะรู้สึกหมั่นไส้ลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากจนต้องกระแนะกระแหน
“นี้พ่อคุณ...ฉันว่าพวกนายเตือนตัวเองดีกว่านะ ว่าคราวหลังจะยิงปืนกันก็กรุณาไปยิงที่สนามยิงปืนด้านหลังวังท่านลุงแอรีสซะ ไม่ใช่ที่นี่ ดีนะที่อิซึมิเขาไว ยิงธนูป้องกันกระสุนพวกนี้ไว้ได้ทัน ไม่งั้นก็ได้ตายกันหมดแล้ว! ทำอะไรหัดระวังซะบ้าง ถ้ามีคนตายพวกนายจะโดนท่านปู่ซุสลงโทษให้ไปอยู่ในคุกที่นรกใต้พิภพสักห้าร้อยปี ฉันจะหัวเราะให้ฟันหักเลย”
“เอาเป็นว่าขอโทษละกัน ฉันไปล่ะ” ว่าแล้วเทพหนุ่มหน้าตายด้านก็เดินออกไปไม่สนใจคำพูดของบุตรแห่งเฮเฟตุสแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ทาคุยะรู้สึกหมั่นไส้มากยิ่งขึ้น
“ฮึ่ย!! มันน่าส่งไปทำงานในนรกใต้พิภพจริงๆเลย!! ไอ้คนแบบนั้นน่ะ”
“เอาน่าทาคุยะ นายก็รู้นี้ว่าโคจินิสัยยังงี้มาตั้งนานแล้ว” สาวน้อยผมทองเอ่ย พลางหัวเราะในใจนึกเห็นด้วยกับคำพูดของทาคุยะ เออ...มันก็น่าส่งไปนรกใต้พิภพจริงๆล่ะ เผื่อว่าความร้อนในนรกใต้พิภพจะช่วยละลายความตายด้านทางใบหน้าของเจ้านั้นออกไปบ้าง
อีกมุมหนึ่งของโลกมนุษย์
“เฮ้ย!! ขโมย!!” เสียงหนึ่งร้องขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดดำมีผ้าคลุมหน้าฉกฉวยกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงของชายวัยกลางคนคนหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป ชายวัยกลางคนนั้นก็รีบวิ่งตามหมายจะเอากระเป๋าสตางค์คืน เขาวิ่งไปจนถึงหน้าตลาดแต่ปรากฏว่าเด็กวัยรุ่นคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย...
“หายไปไหนวะ โธ่เว้ย!!” ชายวัยกลางคนสบถอย่างหัวเสีย โดยที่ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นมองเขาอยู่จากดาดฟ้าตึก
“ฟู่~ เกือบไม่รอดแล้วสิเรา” เด็กหนุ่มถอนหายใจโล่งอก พร้อมกับปลดผ้าคลุมใบหน้าออกเผยให้เห็นผมสีแดงอมชายาวประบ่า ดวงตาสีเหลืองอมเขียวที่งดงาม รวมทั้งสีผิวน้ำผึ้งดูมีเสน่ห์ เขาคนนี้คือ...
ไดมง มาซารุ....โอรสแห่งเฮอร์มีสเทพแห่งการเดินทาง การลักขโมย และบทกวี
“วันนี้ขโมยรองเท้ามีปีกของพ่อมาใส่ออกมาเที่ยวนี้มันสนุกจริงๆ” มาซารุว่าพลางยิ้ม ถอดรองเท้ามีปีกออก ใช่แล้ว...รองเท้ามีปีกนี้น่ะเขาขโมยมาจากเฮอร์มีส โดยการเอายานอนหลับชั้นดีที่ซื้อจากพระอินทร์แห่งเขาพระสุเมรุมาใส่ในอาหารทิพย์ให้พ่อกิน พอพ่อหลับเขาก็แอบเข้าไปขโมยรองเท้ามีปีกที่เฮอร์มีสซ่อนไว้ใต้ที่นอนมาใส่ออกไปเที่ยว
“ขโมยได้กี่ชิ้นกันนะวันนี้ เอ๊ะ! ไม่สิ...เขาไม่เรียกขโมย เขาเรียกว่าของทุกชิ้นของพวกมนุษย์เป็นของเทพเจ้าต่างหาก เพราะเทพเจ้าเป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้น มนุษย์ต้องรู้จักสำนึกบุญคุณซะบ้าง” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“มันใช่อย่างที่แกที่คิดที่ไหนกัน เจ้าลูกบ้า!!~” เสียงคุ้นหูดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มผมแดงอมชาตกใจมาก เขาหันไปตามเสียงก็พบชายวัยกลางคนถือคทางูไขว้สองตัว* แต่งชุดสูทสีดำ สวมรองเท้ามีปีก หน้าตาละม้ายคล้ายมาซารุแต่ดูเปี่ยมด้วยเสน่ห์มากกว่า เขาผู้นี้คือ...เฮอร์มีส....เทพแห่งการเดินทาง การโจรกรรม และบทกวี
“ท...ท่านพ่อ!!”
“ก็เออสิ”
“เป็นไปได้ไง! ยานอนหลับนั่นน่าจะได้ผลนานกว่านี้นี่นา” เด็กหนุ่มผมแดงอมชาหลุดปากออกมา ก่อนจะได้สติแล้วรีบปิดปาก เฮอร์มีสเดินตรงเข้ามาหาลูกชายคนสุดท้อง แล้วกำปั้นใหญ่ก็เขกเข้ากับศีรษะของเจ้าลูกชายตัวแสบอย่างแรงจนหัวโน ทำเอามาซารุแทบน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย!! พ่อเขกหัวผมทำไมเจ็บนะ” ปากพูดมือก็คลำศีรษะไปมา
“อยากรู้มั้ยล่ะว่าฉันมาที่นี่ได้ไง”
“แล้วมาได้ไงอ่ะ” เจ้าลูกชายถามด้วยความสงสัย
“จะใครล่ะ ก็ฉันพามาไง” เสียงบุรุษหนุ่มอีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรากฏกายขึ้น เด็กหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของผมสั้นสีทอง ดวงตาสีฟ้าที่สวยงดงามดุจอัญมณีเดินเข้ามาหาสองพ่อลูก
“โทม่า!!”
มาซารุเอ่ยนามบุรุษผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ เขาคนนี้คือ โทม่า เอช นอร์ไทน์ โอรสแห่งอาธีน่าเทพแห่งปัญญาและสงคราม ดวงตาสีฟ้าเย็นจับจ้องเด็กหนุ่มผมสีแดงอมชาก่อนจะพูดน้ำเสียงเรียบ
“ฉันเป็นคนพาพ่อนายมาเองแหละ”
“รู้ได้ไงว่าฉันอยุ่ที่นี้!?” ร่างบางถามไม่เข้าใจ ในเมื่อเฮอร์มีสก็โดนเขาวางยานอนหลับ แล้วเขาก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าจะออกมาข้างนอก โทม่ายิ้มที่มุมปากก่อนจะหยิบไอแพตรุ่นโอลิมปัสขนาดจิ๋วออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“นี้ไง ไอแพตเครื่องนี้แหละที่ฉันใช้ติดตามนายมา ไอแพตเครื่องนี้สามารถจับรัศมีของเทพโอลิมปัสได้ ก็เลยเจอนายไง” เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่งดงามเอ่ยเสียงเยาะ ทำให้มาซารุไม่พอใจอย่างมาก เขาเบ้หน้าก่อนจะบอกว่า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายมิทราบ”
“เกี่ยวสิ เพราะว่าฉันเป็นคนวานให้โทม่ามาดูแกเนี่ยแหละ มานี้! กลับไปกับฉัน ท่านซุสรู้เรื่องแล้วฉันเลยมาจับแกไปให้ท่านซุสพิพากษาความผิดเรื่องที่แกมาสร้างความวุ่นวายไง!” เฮอร์มีสตอบแทนโทม่า มาซารุถึงกับอึ้งไม่คิดว่าซุสจะรู้เรื่อง
“โทม่า...จับมาซารุไปส่งตัวให้ซุสที”
“ครับ มานี้ไปหาซุสกับฉันซะ!!” ว่าแล้วโทม่าก็ตรงเข้าไปจับตัวมาซารุ มาซารุทำท่าจะดิ้นแต่ไม่ทันได้ทำอะไรก็หายตัววับไปพร้อมกับโทม่า ส่วนเฮอร์มีสก็ใส่ศีรษะเอือมระอากับพฤติกรรมของบุตรชายสุดท้อง...
“โอ๊ย!! ปล่อยฉันนะ!! ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด! ปล่อยฉัน!!” เด็กหนุ่มผมแดงอมชาโวยวายพลางดิ้นขณะที่ถูกทหารของซุสโยนเข้าไปในคุกแห่งเขาโอลิมปัสตามคำพิพากษาของจอมเทพแห่งโอลิมปัส เหล่าทหารเอกแห่งซุสจับมาซารุล่ามโซ่ตรวนชนิดพิเศษไว้ทั้งแขนและขากันไม่ให้นักโทษหนี
“ปล่อยฉันนะเว้ย!! พวกแกไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ!!”
“ใช่ ถ้าเป็นยามปกติพวกเราไม่มีสิทธิ์จับท่านเข้าคุก แต่นี้ท่านมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้บัญชามาแล้วว่าท่านจะถูกคุมขังอยู่อย่างนี้จนกว่าจะองค์มหาเทพจะมีคำสั่งให้ปล่อยท่าน ท่านจึงจะเป็นอิสระ ทีนี้ท่านคงเข้าใจแล้วนะ อย่าได้คิดหนีเป็นอันขาด” หนึ่งในทหารตอบก่อนจะเดินออกไปจากห้องขังพร้อมเพื่อนทหารแล้วใส่กุญแจห้องขังชนิดพิเศษไว้ ปล่อยให้มาซารุโวยวายเพียงลำพังในห้องขัง
“เป็นไงบ้างมาซารุ สบายดีมั้ยในคุกอ่ะ” น้ำเสียงคุ้นหูทำให้เด็กหนุ่มผมแดงอมชาต้องหันไปมองก็พบเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่สวยงามยืนยิ้มเยาะให้เขาอยู่ ทำเอามาซารุแค้นแทบกระอักเลือดอยากจะเข้าไปซัดคนตรงหน้าแต่เพราะมีลูกกรงเหล็กกั้นอยู่จึงทำได้แค่มองด้วยสายตาแค้นเคือง
“อยากรู้ก็เข้ามาอยู่เองสิ!!”
“ไม่ล่ะ ฉันไปก่อนดีกว่า พอดีว่ามีนัดกับท่านน้าอะโฟรไดท์ แต่ฉันอยากจะไปถึงพระราชวังแห่งความรักเร็วหน่อยเผื่อว่าจะได้เจอฮิคาริจัง” บุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีฟ้าที่งดงามเอ่ยชื่อลูกพี่ลูกน้องที่เขาแอบหลงรักก็หัวใจพองโตคับอกทันที เขาหมายมาดปรารถนาจะได้เธอคนนั้นเป็นคู่ครอง
“อ้อ! อย่าคิดหนีเด็ดขาดนะ เพราะถ้านายหนี...ฉันจะไม่ปรานีแน่ ต่อให้เป็นลูกของท่านลุงเฮอร์มีสก็เถอะ” โทม่าชี้หน้าก่อนจะเดินจากไป ส่วนมาซารุกำมือแน่นด้วยความโกรธจัด
“หนอย...ไอ้บ้าโทม่า!! ให้ฉันหลุดไปก่อนเถอะ...นายได้เจอดีแน่!!” มาซารุพึมพำอย่างแค้นใจ รอก่อนเถอะ...รอให้เขาออกจากห้องขังไปได้ก่อน...จะได้เจอดีแน่...
โทม่า เอช นอร์ชไทน์!!
เกร็ดความรู้
*คทางูไขว้สองตัวเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางเนื่องจากในเทพปกรณัมกรีกว่าเฮอร์มีสพบงูสองตัวกำลังทะเลาะกัน เขาจึงเอาคทาทิ่มระหว่างงูสองตัวเพื่อห้ามไม่ให้วิวาทกัน งูทั้งสองเลยเลื้อยมาพันรอบคทาแล้วเอาหัวหันเข้าหากันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลาง
ความคิดเห็น