ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+...เทพนิยาย...ประวัติศาสตร์...+~

    ลำดับตอนที่ #90 : สุสานแห่งอณาจักรฟาโรว์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 321
      1
      2 ต.ค. 50

    สุสานแห่งอาณาจักรฟาโรห์



    ในสมัยโบราณชาวอียิปต์เชื่อว่าส่วนประกอบทั้งหมดที่ปรุงแต่งความเป็นมนุษย์ที่มีวัฒนธรรม  ประกอบด้วยสติปัญญา  หิริ
    โอตตัปปะ  การอบรมสั่งสอนจากนักปราชญ์  และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่แฝงอยู่ในร่างมนุษย์นั้นก็คือ "คา" (Ka) 
     บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายได้ให้ความหมายของคา  แตกต่างกันไป  โดยจารึกเป็นภาษาเฮียโรกลีฟฟิก (ภาษาอักษรภาพ)  ซึ่งเพิ่งจะมีผู้แปลออกมาได้
    ในศตวรรษที่ 19 นี่เอง
    	มีผู้ได้ให้ความหมายของคำว่า "คา"  ว่า  คา  คือ  สิ่งประหลาดที่แฝงอยู่ในร่างกายมนุษย์  ในขณะที่มีชีวิตอยู่  คากับกายจริงของมนุษย์
    จะแยกกันไม่ออก  แต่หลังจากมนุษย์ตายแล้ว  มันจะแยกออกไปเป็นอิสระและคงอยู่ตลอดไป
    	แต่จากการค้นคว้าทดลองอย่างไม่เป็นทางการ  ได้สรุปว่า  คาน่าจะเป็นรังสีของมนุษย์  ทว่านักโบราณคดีบางคนได้กล่าวว่า  คาไม่ใช่สิ่งที่
    สมมติกันทั่วไป  มันเป็นกายทิพย์  หรือกายที่สองที่ถอดออกจากกายจริงของมนุษย์  บางครั้งก็อาจเป็นวิญญาณที่คอยคุ้มครอง  หรืออาจเป็นภูตผี
    ปิศาจประจำกายจริงก็ได้
    	ไม่ว่า "คา" จะมีความหมายอย่างไรก็ตาม  แต่ชาวอียิปต์เชื่ออย่างลึกซึ้งว่า "คา"  คือสิ่งที่แฝงอยู่ในร่างของมนุษย์อย่างแน่นอน
    	ตามฝาผนังในหลุมฝังศพหรือมหาวิหารต่าง ๆ จะยกย่องคา  โดยเขียนภาพระบายสีเป็นรูปนกที่กำลังบินผ่านไปในเขตมืดมิดระหว่าง
    ชีวิตและความตาย  ภาพเขียนเกี่ยวกับความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ  ได้แสดงให้เห็นว่าวิญญาณของผู้ตาย  จะต้องถูกนำไปเฝ้าเทพโอซิริสเพื่อรอ
    คอยคำพิพากษา  บรรดาลูกขุนแห่งสวรรค์จะนั่งรายล้อมคอยฟังคำสารภาพบาปจากวิญญาณของผู้ตายด้วยความตั้งใจ  ขณะเดียวกันเทพอะนูบิส  
    ซึ่งมีพระเศียรเป็นรูปหัวสุนัขจิ้งจอก  ก็ถือมาตราวัดตามที่เทพฮอรัส  ซึ่งมีพระเศียรเป็นหัวเหยี่ยว  จะเป็นผู้ชั่งน้ำหนักหัวใจของคนตายเปรียบเทียบ
    กับขนนก  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนความยุตธรรมและสัจธรรม  สัตว์ดุร้ายน่ากกลัวที่หมอบอยู่หลังภาพนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นหัวของจระเข้  
    ลำตัวเป็นร่างของสิงโต  ส่วนก้นและหางเป็นร่างของช้างน้ำฮิปโปโปเตมัส  หากหัวใจของคนตายมีน้ำหนักมากกว่าขนนกแล้ว  สัตว์ประหลาดที่นั่งอยู่
    จะกระโดดตะครุบหัวใจของคนตายทันที  แต่ถ้าหากหัวใจมีน้ำหนักน้อยกว่า  เทพเจ้าท็อตซึ่งมีพระเศียรเป็นรูปหัวนกกระสาจะทำหน้าที่คอยจดบันทึก  
    และคิดคำนวณ  จากนั้นก็จะประกาศคำตัดสินและจารึกลงในคัมภีร์แห่งการตัดสิน  ส่วนคาของคนตายจะถูกนำไปเข้าเฝ้าเทพเจ้าโอซิริส  ซึ่งจะ
    พิพากษาตัดสินอีกครั้งหนึ่งว่า สมควรจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์
    	สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนั้น  ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าความเป็นอมตะของร่างกายนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก  คือจะต้องคง
    สภาพอยู่โดยไม่เสียหาย  และไม่มีสิ่งใดรบกวน  หรืออาจกล่าวได้ว่า  ความเป็นอมตะของร่างหรือซากศพของคนตายนั้น  ถือว่าเป็นส่งสำคัญยิ่ง  
    เพราะเป็นทางผ่านของวิญญาณ  ความตายไม่ได้ทำให้ความเกี่ยวพันระหว่างวิญญาณกับศพของคนตายแยกออกจากกัน  หากศพเน่าเปื่อยวิญญาณ
    ขนองผู้ตายก็ไม่อาจกลับมาสวมร่างเดิมได้เลย  เท่ากับเป็นการทำให้วิญญาณดับสูญไปอย่างสิ้นเชิง  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอียิปต์หาทางรักษาศพคน
    ตายไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำมัมมีศพอาบยาไปเก็บไว้ในหลุมฝังศพ  ซึ่งจะตกแต่งห้องอย่างสวยงาม  มีอาหารเทียม  เมล็ดพันธุ์พืชใส่ไว้ในภาชนะ  
    พร้อมทั้งเครื่องประดับ  อาวุธ  ตลอดจนรูปปั้นทหาร  คนใช้  และข้าทาสพริพารทั้งหลาย  ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณคนตายอยู่ในภพใหม่อย่างมี
    ความสมบูรณ์พูนสุขอย่างเต็มเปี่ยม  รูปปั้นข้าทาสบริพารที่ถือว่าคอยช่วยเหลือคนตายนั้น  ชาวอียิปต์เรียกชื่อว่า "อูซับตี"  หรือ  ผู้ขานรับ  เนื่อง
    จากต้องคอยตอบรับคำสั่งของคา  ให้ช่วยเหลืองานต่าง ๆ
    	การทำมัมมี่ศพและความเชื่อทางศาสนาของชาวอียิปต์ค่อย ๆ ประสมประสานกันจนแยกไม่ออก  นับตั้งแต่กระบวนการอาบยาศพ  การ
    พันผ้าศพ  ทั้งหมดเกกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา  ซึ่งนักบวชต้องควบคุมโดยเริ่มจากคำสั่งพิเศษของนักบวชชั้นสูงให้เตรียมร่างศพของคนตาย
      เป็ฯที่ทราบกันทั่วไปว่า  แค่เพียงกระบวนการเตรียมศพเท่านั้น  ทำให้นักบวชทั้งหลายได้รับควมรู้เกี่ยวกับสรีรวิทยา  เคมีวิทยา  ชีววิทยา  และ
    ศาสตร์ด้านอื่น ๆ อีกมาก  เช่น  รู้จักใช้สารเคมีป้องกันศพเน่าเปื่อย  รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือผ่าตัดและกรรมวิธีในการผ่าตัด
    	เคยมีผู้ให้เหตุผลว่า  สาเหตุที่ชาวอียิปต์โบราณต้องหันมาทำพิธีฝังศพมากกว่าการเผาศพก็คือ  สภาพภูมิประเทศของอียิปต์ในยุคนั้นขาด
    แคลนเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันด้วย  ในสมัยแรก ๆ ชาวอียิปต์โบราณนิยมฝัศพริมฝั่งแม่น้ำไนล์มาก  แต่เนื่องจากเกิดน้ำท่วมบริเวณสองฟากฝั่งเป็น
    ประจำทุกปีจนสามารถกัดเซาะชายหาดพังทลาย  ทำให้ศพลอยเกลื่อนกลาดเป็นที่น่าสมเพชยิ่งนัก  นอกจากนั้นในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงหลังน้ำท่วม  
    จะพบเห็นซากศพที่ฝังไว้ในหหลุมพระศพกระจัดกระจายทั่วไป  กลายเป็นอาหารของฝูงแร้ง
    	ต่อมาชาวอียิปต์ได้แก้ปัญหาดังกกล่าวโดยนำศพที่กระจัดกระจายไปฝังในหลุมฝังพระศพแห่งใหม่ที่ขยายขึ้นไปตามบริเวณแนวเหนือ
    หาดทราย  ห่างจากริมฝั่งมากยิ่งขึ้น  โดยขุดหลุมและปูด้วยหินวางกองเป็นชั้น ๆ เรียงกันเป็นแถวแนวยาวต่อทอดกันไป  แต่เนื่องจากลหุมฝังศพ
    ส่วนใหญ่เป็นหลุมตื้น  จึงกลายเป็นเหยื่องของฝูงสุนัขจิ้งจอกซึ่งขุดคุ้ยกินซากศพ  ต่อมาการทำมัมมี่ศพได้รับการพัฒนาและเป็นที่นิยมกัน
    อย่างกว้างขวาง  นับตั้งแต่ชนชั้นสูงจนกระทั่งถึงชาวอียิปต์ชั้นกลางทั่วไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×