ลำดับตอนที่ #101
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #101 : การสร้างพีระมิด(น่าสนใจมากมาย)
มหาพีระมิดสร้างขึ้นได้อย่างไร ?
พีระมิดแห่งเมืองกิซา (Giza) เป็นสิ่งมห้ศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลกมานานถึง 4,000 ปีแล้ว สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด ก็คือ คนโบราณสร้างพีระมิดใหญ่ยักษ์ขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่อาศัยเครื่องมือง่าย ๆ ไม่ได้ใช้แม้กระทั่งลูกล้อ ซึ่งเพิ่งเริ่มมีใช้กันในอียิปต์ เมื่อหลายร้อยปีหลังจากนั้น ในเมืองกิซาใกล้เมืองไคโร มีพีระมิดที่สำคัญอยู่ 3 องค์ สร้างขึ้นเป็นสุสานของฟาโรห์ 3 องค์ซึ่งถือกันว่าเป็นสมมติ เทพ พีระมิดองค์ใหญ่ที่สุดและสร้างเป็นอันดับแรกเรียกกันว่า "มหาพีระมิด" เป็นอนุสรณ์สถานของฟาโรห์คูฟู (Khufu - ชาว กรีก เรียกว่า คีออปส์ - Cheops) ครองราชย์ในช่วงเวลาประมาณ 2,590 - 2,567 ปีก่อนคริสต์ศักราช มหาพีระมิดนี้สูง 146 เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านยาว 229 เมตร รวมเนี้อที่กว่า 33 ไร่ ใช้ก้อนหินประมาณ 2,300,000 ก้อน แต่ละ ก้อนหนักมากกว่า 2 ตันครื่งโดยเฉลี่ย บางก้อนหนักกว่า 15 ตัน และหลังแผ่นหินแกรนิตของห้องเก็บพระศพหนักถึง 50 ตัน แต่ก่อนนักท่องเที่ยวไต่จากมุมหนึ่งของพีระมิดขึ้นสู่ยอดได้ ซึ่งช่วยให้รู้ซึ้งถึงขนาดมหึมาของก้อนหินแต่ละก้อนได้เป็น อย่างดี แต่ทางการเพิ่งห้ามการปีนป่ายเมื่อไม่นานมานี้ เพราะมีนักท่องเที่ยวประสบอุบัติเหตุกันไปหลายราย ก้อนหินแต่ละก้อน ที่จัดเรียงกันเป็นขั้นบันไดนี้ แต่ละขั้นสูงเท่ากับโต๊ะอาหารทีเดียว แต่ในสมัยโบราณนั้น องค์พีระมิดจะมีหินปูนเนี้อเนียนหุ้มเอาไว้ ซึ่งภายหลังถูกเซาะออกไปใช้สร้างอาคารอื่น พีระมิดเหล่านี้สร้างอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ พื้นข้างใต้เป็นหินแกร่ง หินที่เห็นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงใช้เป็นฐานของรูปสลัก สฟิงซ์ ปัจจุบันนี้ชานเมืองกรุงไคโรขยายมาจนถึงเชิงพีระมิดแล้ว แต่ในช่วงเวลาที่สร้างขึ้นนั้นบริเวณนี้เป็นทะเลทรายอันห่างไกล ระหว่างการก่อสร้างพีระมิด คนงานต้องพักอาศัยอยู่ในบริเวณก่อสร้าง ส่วนเครื่องยังชีพต่าง ๆ ก็ใช้ลาขน หรือใช้คน แบกหาม หรือใช้เลื่อนชักลากมา เพราะในเวลานั้นชาวอียิปต์ยังไม่ได้ใช้ม้าหรืออูฐเป็นพาหนะ อันที่จริงระหว่างที่มีการสร้างพีระมิด 3 องค์แห่งกิซานั้น ความคิดเรื่องพีระมิดไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด พีระมิดที่ เก่าแก่ที่สุดนั้นมีลักษณะเป็นขั้นบันได สร้างขึ้นที่เมืองซักการา เมื่อ 2,660 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ส่วนพีระมิดตามรูปแบบที่แท้จริง คือ ด้านข้างมีผิวเรียบนั้นพระบิดาของฟาโรห์คูฟูเป็นฟาโรห์องค์แรกที่โปรดให้สร้างขึ้น ณ ทางตอนเหนือของดารูว์ แต่พีระมิด แห่งกิซานี้ยิ่งใหญ่กว่าพีระมิดอื่นใด แม้แต่ดีโอโดรุส ซิคูลุส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกสมัย 100 ปีก่อนคริสต์ศักราชก็ยังบันทึก ว่า " ความมหึมาและฝีมือช่างของผู้สร้างพีระมิดแห่งนี้ ทำให้ผู้พบเห็นตื่นตะลึงและอัศจรรย์ใจยิ่งนัก" ที่ประทับของดวงพระวิญญาณแห่งฟาโรห์ ชาวอียิปต์โบราณเชื่อมั่นว่า หลังจากที่คนเราตาย วิญญาณจะยังคงอยู่ จึงต้องเตรียมการอย่างดีที่สุด เพื่อให้ดวงวิญญ าณได้เสวยผลบุญจากชีวิตหลังความตาย ยิ่งผู้ตายเป็นคนสำคัญมากเท่าใดการเตรียมการก็ต้องยิ่งประณีตละเอียดขึ้นเท่านั้น ดัง นั้นสำหรับองค์ฟาโรห์แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมการอย่างวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าของผู้ใด พระราชกรณียกิจแรกของฟาโรห์องค์ใหม่เมื่อขึ้นเสวยราชย์ คือ การจัดสร้างสุสานของพระองค์เอง ซึ่งการก่อสร้าง อาจใช้เวลาตราบเท่าอายุขัยของพระองค์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าทรงต้องการให้วิจิตรมากน้อยเพียงใด นี่คือเหตุผลว่าทำไม สุสานหลวง หลายแห่งในอียิปต์จึงถูกทิ้งไว้กลางคัน เพราะเมื่อฟาโรห์เสด็จสวรรคต งานทั้งหลายก็ยุติลงด้วย ยกเว้นแต่การจัดเตรียมห้อง บรรจุพระศพ สุสานของฟาโรห์เป็นที่สถิตของดวงวิญญาน หรือ คา (ka) ซึ่งเปรียบเสมือนกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่กับกายเนื้อขณะเมื่อ ฟาโรห์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ชาวอียิปต์เชื่อกันว่า คา จะดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่กายเนื้อยังคงสภาพอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอาบยา ร่างของผู้ตายเพื่อรักษามิให้เน่าเปื่อย นอกจากนี้ คา ยังต้องมีทุกสิ่งที่ผู้ตายเคยทำเคยใช้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นการเซ่นสังเวย อาหารจึงนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง หน้าที่หลักของสุสาน คือ เพื่อปกป้องร่างและปกป้องร่างและสมบัติของผู้ตายจากมิจฉาชีพ อีกประการหนึ่งคือเมื่อ แสดงอำนาจและความมั่งคั่งของเจ้าของ ฟาโรห์เสด็จสู่ชีวิตหลังความตายพร้อมด้วยพระราฃสมบัติมหาศาล พวกชนชั้นสูงก็บรร จุมากมายไว้ในสุสาน แม้แต่ผู้มีฐานะค่อนข้างต่ำต้อยก็ยังมีอาหารบรรจุหม้อไหฝังไปกับร่างด้วย คลื่นแรงงานชาวนา หากแม้นว่าฟาโรห์จะทรงขาดแคลนอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่พระองค์ไม่ทรงขาดอย่างแน่นอน คือ เวลาและแรงงาน นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อ เฮโรโดตุส อ้างคำบอกของพระชาวอียิปต์ในสมัยของเขาเอง (450 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ว่าพีระมิด ใช้คนงาน 100,000 คน ทำงานคราวละ 3 เดือน ซึ่งก็มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือยืนยันคำบอกเล่านี้ คือในแม่น้ำไนล์ ในแต่ละปีจะ ท่วมพื้นที่เพาะปลูกเป็นเวลา 3 เดือน ทำให้ชาวนาเพาะปลูกอะไรไม่ได้ ช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีแรงงานให้ใช้เหลือเฟือ เฮโรโดตุส กล่าวว่า การก่อสร้างมหาพีระมิดใช้เวลาถึง 20 ปี ซึ่งยังไม่รวมเวลาอีก 10 ปีในการเตรียมพื้นที่ ก่อสร้าง ตลอดจนการสร้างวิหาร 2 หลังสำหรับพิธีศพและการสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างวิหาร 2 หลังนั้น ทางเชื่อมนี้ใช้ขนส่ง ก้อนหินจากแม่น้ำไนล์ด้วย สันนิษฐานว่าในแต่ละช่วงเวลาคงจะมีแรงงานฝีมือประจำทำเลก่อสร้างประมาณ 4,000 คน และ คงจะมีอีกมากมายที่ทำงานสกัดหินอยู่ในเหมืองและลำเลียงหินไปยังกิซา งานสร้างพีระมิดเริ่มด้วยการสกัดและตัดแต่งหินแต่ละก้อน หินที่ใช้เป็นหลักคือ หินปูน ส่วนหนึ่งนำมาจาก เหมืองใกล้ที่ก่อสร้าง แต่หินปูนสีขาวเนื้อละเอียดที่ใช้หุ้มผิวนอกของพีระมิดนั้นมาจากเหมืองข้างหน้าผาที่เมืองทูรา ซึ่งอยู่ห่าง ออกไป 13 กิโลเมตร ทางคนละฝั่งของแม่น้ำไนล์ สำหรับหินที่ใช้กรุภายในผนังห้อง คือ หินแกรนิต จากเหมืองที่เมืองอัสวาน ซึ่งอยู่เหนือลำน้ำขึ้นไป 960 กิโลเมตร ร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ตามหินแสดงให้เห็นวิธีการทำงานในเหมืองโบราณเหล่านี้ คือ คนงานจะใช้สิ่วทองแดง เซาะลงไปจนถึงชั้นหินปูน แล้วจึงแยกเอาหินปูนออกจากเนื้อหินทีละก้อน สิ่วทองแดงนี้ทำได้โดยการเผาเพื่อตีขึ้นรูป แล้วจุ่มลง ในน้ำจนเนื้อทองแดงแกร่ง หินปูนคือหินตะกอนซึ่งมักแตกออกเป็นชั้นในทางแนวนอนและเป็นรอยร้าวได้ง่ายตามแนวตั้งซึ่งคุณสมบัติทั้ง สองนี้ทำให้การสกัดหินสะดวกขี้น หินแกรนิตเป็นหินอัคนี จึงไม่มีรอยแยกตามธรรมชาติแบบหินปูน วิธีสกัดคือเขาจะก่อไฟบน ผิวของหินแกรนิต เมื่อหินร้อนได้ที่ก็ราดน้ำเย็นลงไป ทำให้หินส่วนบนซึ่งมีตำหนิแยกออก เผยให้เห็นเนื้อหินแกรนิตคุณภาพดี อยู่ข้างใต้ ชาวอียิปต์แยกหินแกรนิตแต่ละก้อนออกจากเนื้อหินได้โดยการใช้ก้อนหินโดเลอไรต์ตอกทั้ง 4 ด้าน เพราะหิน โดเลอไรต์มีเนื้อแข็งกว่าหินแกรนิต จากนั้นก็แยกก้อนหินจากเนื้อหินข้างใต้ โดยช่างหินจะเซาะฐานล่างของก้อนหินให้เป็นร่อง แล้วตอกลิ่มไม้ลงไปตามร่องนี้ จากนั้นเอาน้ำราดลงไปบนลิ่มไม้ เมื่อลิ่มเปียกน้ำก็จะพองตัว และแยกก้อนหินให้หลุดออกจาก เนื้อหินดังกล่าว ขั้นต่อไปคือ การแต่งก้อนหินปูนและแกรนิตให้เข้ารูปโดยใฃ้สิ่วทองแดงและก้อนหินโดเลอไรต์เป็นอุปกรณ์ มี การค้นพบก้อนหินโดเลอไรต์ที่เหมืองหินในเมืองอัสวานหลายก้อนด้วยกัน การแต่งก้อนหินอย่างหยาบ ๆ คงจะทำกันที่เหมือง แต่การตกแต่งขั้นสุดท้ายนั้น ทำกันที่จุดก่อสร้างซึ่งมีช่าง ฝีมืออยู่ จากนั้นก็ยกหินใส่ในไม้โยกแล้วโยกเอาก้อนหินลงใส่ในจุดที่ต้องการ ระหว่างการสกัดหินเป็นก้อน เขาก็เตรียมพื้นที่ก่อ สร้างพีระมิดไปพร้อมกันด้วย การปรับระดับพื้นที่ก่อสร้างนั้นคงใช้วิธีเดียวกับการสกัดก้อนหิน คือ ตอกด้วยก้อนหินโดเลอไรต์ ก่อนแล้วเซาะด้วยสิ่วทองแดง ซึ่งคงต้องอาศัยช่างหินที่ชำนาญ แม้จะไม่มีเครื่องมือวัดระดับใช้ แต่ชาวอียิปต์ก็รู้กฎธรรมชาติว่า น้ำจะไหลไปรวมที่ระดับใดระดับหนึ่งเสมอ ดังนั้นเขาจึงขุดคูล้อมรอบบริเวณเนินซึ่งจะเป็นที่ตั้งของพีระมิด แล้วขุดคลองชักน้ำ จากแม่น้ำไนล์ให้ไหลมาหล่อเลี้ยงคู เฮโรโดตุส กล่าวว่าน้ำที่ไหลเข้ามาทำให้ เนินดูดังเกาะกลางทะเล จากนั้นเขาก็ก่อทำนบโคลนล้อมเนิน แล้ววิดน้ำจากคูให้เข้ามาท่วมขังโดยอาศัย "ชาดูฟ" (shaduf) ซึ่งเป็น อุปกรณ์ประเภทถังประกอบกับเครื่องถ่วงน้ำหนัก ปัจจุบันก็ยังมีใช้กันอยู่ในประเทศอียิปต์ หลังจากนั้นคนงานก็จะเซาะร่องแคบ ๆ หลายร่องพาดขวางทั่วบริเวณ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของพีระมิด เซาะจนลึก ลงไปจนถีงระดับน้ำในคูรอบเนิน แล้วปล่อยให้น้ำไหลเข้าตามร่องต่าง ๆ จนน้ำปรับตัวอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด อันที่จริงสำ หรับมหาพีระมิด เขาไม่ได้ปรับระดับพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ เพียงแต่ปรับบริเวณรอบนอก ทิ้งเนินส่วนที่อยู่ตรงกลางเอาไว้ แล้ว สร้างตัวพีระมิดขึ้นรอบล้อม อันที่จริงการปรับระดับพื้นที่ฐานของมหาพีระมิดมีความผิดพลาดไปบ้าง กล่าวคือ ฐานทางด้านทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือนั้น เอียงสูงกว่าทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เล็กน้อย สันนิษฐานกันว่าในวันที่มีการปรับระดับนี้อาจมีกระ แสลมแรงพัดผ่านทำให้ระดับน้ำในร่องทั้ง 2 ด้านไม่เท่ากัน การวางตำแหน่งพีระมิดต้องละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะมหาพีระมิด ด้านทั้ง 4 ตั้งประจันแนวทิศทั้ง 4 เกือบจะ ไม่ผิดเพี้ยน นักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ มีความชำนาญในเรื่องนี้มากและคงกำหนดตำแหน่งของพีระมิดตามตำแหน่งของดาวดวง สำตัญเป็นแน่ ซึ่งนักดาราศาสตร์ในปัจจุบันคิดว่าคงจะเป็นดาวแอลฟา แดรโคนิส ซึ่งสมัยนั้นอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ การสร้างมุมของพีระมิดให้ได้ฉากคงมิใช่เรื่องยากสำหรับชาวอียิปต์ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่า รูปสามเหลี่ยมที่แต่ละ ด้านมีสัดส่วนเป็น 3 : 4 : 5 หน่วยนั้น จะได้มุมฉากโดยอัติโนมัติ ชาวอียิปต์คงใช้ไม้ฉากซึ่งคล้ายกับของช่างไม้และช่างปูนในปัจ จุบัน การทำให้มุมของหินแต่ละก้อนได้ฉากเที่ยงตรงก็คงใฃ้กรรมวิธีเดียวกัน ส่วนการกำหนดเส้นแนวของด้านต่าง ๆ ของพีระมิด ก็คงอาศัยเชือก ช่างรังวัดของฟาโรห์คูฟูทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เพราะทุกด้านของมหาพีระมิดมีความยาวใกล้เคียงกันมาก จะผิดกันไม่เกิน 18 เซนติเมตรในความยาว 230 เมตร เขาคงใช้เชือกช่วยวัดแนวเส้นตรงขณะก่อสร้าง ส่วนการกำหนดเส้นแนว ตั้งก็คงใช้ลูกดิ่งช่วย แต่เดิมนั้นมหาพีระมิดสูง 146.6 เมตร แต่ต่อมาส่วนยอดบางส่วนและผนังรอบนอกที่ห่อหุ้มอยู่ได้หลุดออก ไปทำให้ปัจจุบันสูงเพียง 137 เมตร และมียอดตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแทนที่จะมียอดแหลม ก่อนเริ่มก่อองค์พีระมิดขึ้นไปเขาจะสร้างห้องเก็บพระศพก่อนโดยเจาะโพรงลงไปในหินใต้ฐานของบริเวณที่จะ ก่อพีระมิด ซึ่งก็คงจะเป็นการเตรียมการล่วงหน้า เผื่อว่าฟาโรห์คูฟูสวรรคตลงก่อนการสร้างพีระมิด ชาวอียิปต์มีลาไว้ใช้งานกันไม่มากและอาจมีวัวใช้งานอยู่บ้าง ดังนั้นการขนส่งก้อนหินขนาดใหญ่จากเหมือง สู่ทำเลก่อสร้างจึงต้องอาศัยแรงคนด้วย ภาพวาดฝาผนังของอียิปต์แสดงภาพคนจำนวนมากกำลังช่วยกันลากหินหนัก ๆ หรือ ลากเรือบรรทุกหินล่องมากตามแม่น้ำอย่างยากเข็ญ พวกคนงานจะขนก้อนหินบรรทุกเลื่อนไม้ลากมาตามทางเดินจากเหมืองไปยังแม่น้ำไนล์ซึ่งอยู่ไม่ไกล ก้อน หินส่วนใหญ่จะขนส่งทางน้ำและคงลำเลียงกันในช่วงที่แม่น้ำไนล์เอ่อท่วม การยกหินลงเรือหรือแพนั้นคงอาศัยคานงัดและเชือก แล้วล่องข้ามแม่น้ำไปยังทางเดินบนฝั่งที่นำไปสู่บริเวณก่อสร้าง จากนั้นก็ขนต่อด้วยวิธีการเดียวกัน เพื่อไปยังโรงงานที่มีช่างหิน คอยรับช่วงทำงานขั้นต่อไป เขามักใช้ทรายหรือเศษหินเนื้อแข็งเป็นผงขัดแต่งก้อนหินเพื่อให้หินแต่ละก้อนเรียงต่อกันได้สนิท ห่างกันไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งมิใช่แต่เพียงตามขอบนอกเท่านั้น แต่เป็นดังนี้ทั่วทั้งด้านซึ่งมีขนาด 3.25 ตารางเมตรทีเดียว รอยต่อของหินปูนที่หุ้มด้านนอกพีระมิดยิ่งแนบสนิทกว่านั้นขนาดแผ่นกระดาษก็ไม่สามารถลอดผ่านได้ คนงานจะใช้เลื่อนบรรทุกก้อนหินลากขึ้นไปตามทางเลื่อนที่สร้างขึ้นชั่วคราว เพื่อนำก้อนหินไปวางลงในตำ แหน่งที่ต้องการ ปูนเนื้อละเอียดที่ฉาบอยู่ระหว่างของก้อนหินแต่ละก้อน อาจใช้เป็นสารหล่อลื่นให้หินก้อนบนเลื่อนลงทับก้อน ล่างได้ง่าย เฮโรโดตุส ได้รับการบอกเล่ามาว่า ก่อนที่จะสร้างพีระมิดเสร็จสิ้นลง งานขั้นสุดท้ายจะทำจากยอดลงสู่ฐาน คือเมื่อ สร้างทางลาดสูงขึ้นเรี่อย ๆ จนจรดยอดบนและวางหินชิ้นยอดเสร็จ ช่างหินก็จะเริ่มขัดแต่งผิวหินปูนสีขาวเนื้อละเอียดที่หุ้มพีระ มิดโดยเริ่มขัดจากด้านบนลงด้านล่าง เมื่อขัดแต่งบริเวณใดเสร็จ ก็จะค่อย ๆ รื้อทางลาดแต่ละระดับออกไป การสร้างห้องเก็บพระศพ ขณะที่สร้างองค์พีระมิดอยู่นั้น เขาจะสร้างห้องเก็บพระศพห้องที่ 2 เหนือพื้นล่างจองพีระมิดเล็กน้อยเพื่อ เตรียมการล่วงหน้าไว้เผื่อฟาโรห์คูฟูสวรรคตไปก่อน ห้องเก็บพระศพนี้มิใช่ห้องสุดท้ายซึ่งจะอยู่บริเวณใจกลางพีระมิด สูงจาก พื้นล่าง 42 เมตร ทางเข้าอันลี้ลับซับซ้อนไปสู่พีระมิดท้าทายความพยายามของนักสำรวจและโบราณคดีมาช้านาน ทางเข้า ดังกล่าวอยู่ทางทิศเหนือ สูงจากพื้นดินประมาณ 16.75 เมตร จากช่องทางเข้านี้มีทางลาดลงทำมุมประมาณ 26 องศา ลงสู่ห้องเก็บพระศพใต้ดินซึ่งสร้างเป็นห้องแรก แต่ในที่สุดแล้วไม่ได้ใช้ เมื่อขึ้นสู่ระดับฐานของพีระมิด จะพบทางซึ่งแต่เดิมปิดอำพรางไว้ด้วยประตูหิน ทางเส้นนี้เดินขึ้นสูงชัน และมีเพดานต่ำมาก ต้องค้อมจนตัวงอจึงจะผ่านไปได้ จากนั้นจะถึงทางเดินตัดผ่านในแนวราบนำไปสู่ห้องเก็บพระศพห้องที่ 2 ที่ปัจจุบันเรียกชื่อกันผิด ๆ ว่า " ห้องราชินี " แท้ที่จริงไม่มีพระศพราชินีองค์ไดเก็บไว้ในนั้น ทางลาดอันสูงชันจะนำขึ้นสูงต่อไปจนถึง "อุโมงค์หลวง" ซึ่งยาว 46 เมตร และสูง 8.5 เมตร มีแท่นตั้ง เรียงอยู่ 2 ฟาก อุโมงค์หลวงนี้ เดิมเป็นที่เก็บหินแกรนิตขนาดมหึมา 3 ก้อนโดยวางไว้บนนั่งร้านเหนือแท่นดังกล่าว หิน 3 ก้อนนี้ภายหลังใช้ปิดปากทางเข้า สุดอุโมงค์หลวงเป็นห้องเก็บพระศพห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องเรียบ ๆ ขนาดประมาณ 5เมตร x 10เมตร เพดานสูง 6 เมตร เพดานทำด้วยแผ่นหินขนาดมหึมา 9 แผ่น และเพื่อลดน้ำหนักของเพดานเสียบ้าง เขาจึงแบ่ง ช่องว่างให้มีช่องว่าง 5 ช่องแล้วครอบด้วยหลังคายอดแหลม ทางทิศเหนือและใต้มีช่องลมเล็ก ๆ ที่ทะลุขึ้นไปสู่ภายนอกพีระมิด อยู่ 2 ช่อง สันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นตามความเชื่อทางพิธีกรรม คือ อาจใช้เป็นทางเข้าและออกของวิญญาณหรือ "คา" ของ ฟาโรห์ ในห้องเก็บพระศพนี้มีหีบพระศพทำด้วยหิน มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะนำเข้ามาตามทางได้จึงน่าจะนำเข้า มาวางไว้ในขณะก่อสร้างเช่นเดียวกับก้อนหินในอุโมงค์หลวง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น