ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [PRODUCE101] What We Need is _ _ _ _

    ลำดับตอนที่ #2 : 02WWNis : That awkward moment

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 60


    ฟังเพลงคลายความหัวร้อนสำหรับ EP.10 กันค่ะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเหมือนเดิม 55555

     

     

    What We Need is _ _ _ _

    Chapter02 : That awkward moment

    #whatNielWinkneed

     

     

     

    ระหว่างทางมาอิงลิชวิลเลจแตกต่างจากที่เคย ไม่มีคนชวนคุย  ผมว่างพอจะนั่งมองวิวข้างทางที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สลับกับใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์  เวลาหนึ่งชั่วโมงเชื่องช้าจนผมเบื่อ  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอต่อไป

     

    ผมรู้ข่าวพร้อมคนอื่น เป็นครั้งแรกที่ผมต้องการคำตอบจากประธาน

     

    “ฉันสั่งให้ออก แต่ควอนฮยอบขออยู่ต่อเลยมีข้อตกลงว่าห้ามอันดับตกและห้ามโดนคัดออก” คำพูดของประธานชัดเจนในหู  ผมนิ่งค้างหลังรู้ความจริงเรื่องข้อตกลง 

     

    ทำไมฮยอบฮยองถึงย้ำผมนักหนาว่าให้คงตำแหน่งเดิมไว้ให้ได้ ตอนนี้ผมรู้เหตุผลแล้ว

     

    ภายใต้รอยยิ้มใจดีนั่น  ผมจึงไม่เก็บไปคิดอะไรให้มากความและทำตามคำบอก ขวนขวายทุกสิ่งอย่างเพื่อยืนอยู่ตรงนี้จนไม่ทันสังเกตอาการผิดปกติ มีบางครั้งผมสงสัยก็ได้รับคำตอบเพียงถ้าตัวเองโดนคัดออก ยังไงก็กลับไปเจอกันที่ค่ายอยู่แล้ว

     

    “รายการไม่ไว้ใจตั้งแต่คราวจงยอน อย่าหวังจะมีที่ยืน มาขนาดนี้เพราะโชคช่วยเท่านั้นล่ะ” ประโยคต่อมาพังทลายความพยายามของผมจนหมดสิ้น

     

    ต่อให้คว้ารางวัลมาได้ ผมยังคงเป็นตัวพ่วงไม่ใช่ตัวเลือก  และไปไม่ถึงคนที่ถูกเลือกด้วยซ้ำ

     

    แต่ผมกำลังกลับไปยังอิงลิชวิลเลข  สถานที่ถ่ายทำรายการโปรดิวซ์หนึ่งศูนย์หนึ่ง  เพราะผมปฏิเสธการยอมแพ้ ไม่ออกจากรายการตามคำสั่งประธาน

     

    “ในเมื่อคุณยืนยันไม่ออก ก็ตามนั้น” ความมั่นใจบนใบหน้าของประธาน  ทำให้ผมสับสนแต่ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนใจ

     

    “ถ้าคุณยังหาพื้นที่ยืน หาแอร์ไทม์ในรายการไม่ได้.. คุณเตรียมใจไว้แล้วกัน”  พูดจบก็เอ่ยปากไล่ออกจากห้อง  ผมโค้งตัวตามมารยาท  แต่ยังไม่ทันเปิดประตู  เสียงเรียบนิ่งของประธานก็ดังขึ้นเสียก่อน

     

    “อันดับหนึ่งได้มาง่ายๆ รายการไม่ต้องการหรอกเพราะมันไม่สนุก” ผมปิดประตูและเดินออกมา เก็บทุกอย่างไว้ในนั้น  หวังว่ามันจะไม่ออกมาเพ่นพ่านรบกวนจิตใจของผม

     

    ผมยอมรับว่าไม่มั่นใจในการตัดสินใจครั้งนี้เท่าไหร่  เมื่อตัวคนจุดประกายความหวังก็ไม่อยู่แล้ว แต่ผมยังจำคำพูดได้เป็นอย่างดี ต่อให้อยากล็อคเก็บมันไว้แค่ไหนก็ทำไม่ได้  นึกถึงฮยอบฮยองที่ไม่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวแต่เป็นแรงผลักดันเดียวที่ผมมีอยู่  นึกถึงประธานผู้บงการทุกอย่างแล้วเหนื่อยจนอยากหยุดเดินแต่เป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการพิสูจน์ว่าคำพูดของเขามันไม่จริง

     

    เสียงของฮยอบฮยองและประธานทำให้ผมเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ทั้งที่ยังไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อเลือกแล้วหันหลังกลับไม่ได้ ผมต้องรับผิดชอบทางเลือกของตัวผมเองนับจากนี้ไป

    ผมไม่ได้อยู่เพราะโชคช่วย ไม่ได้เป็นตัวพ่วง และผมจะยืนให้ได้ด้วยตัวเอง

     

    ถึงต้องเสียอะไรไปบ้างก็ไม่เป็นไร

     

    ได้รับกับสูญเสียเป็นของคู่กัน

     

     

     

    บรรยากาศการอัดรายการวันนี้ยิ่งให้ความรู้ต่างจากเดิมมากขึ้น เริ่มจากผมที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่หน้าเด็กฝึกทุกคน มันเด่นก็จริง แต่เหมือนยิ่งตอกย้ำไปใหญ่ว่าผมไม่มีใครแล้ว

     

    วิธีที่ดีที่สุดเมื่อต้องการจะเก็บงำความรู้สึกด้านลบคือทำความรู้จักกับมันให้ดี เมื่อได้เรียนรู้มากจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็จะรับมือได้ดีกว่าใคร แล้วตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นห้ามนึกถึงมันโดยเด็ดขาด

     

    จะบอกว่าผมเข้าใจความอ้างว้างและผิดหวังจนอยู่กับพวกมันได้ก็ไม่ผิดนัก

     

    ผมมัวแต่คิดมากไปจนลืมเลือกโพสิชั่นไว้ในใจ  คิดอย่างรวดเร็วตอนเห็นแผ่นป้ายสีต่างๆ อยู่ตรงหน้า คัดจนเหลือสองเพลงสุดท้ายในหมวดแดนซ์  เป็นตัวเลือกที่เสี่ยงทั้งสองเพลง  ผมคิดภาพตัวเองตอนเต้นอยู่ในเพลงไม่ออกเลย  มันอาจจะเสี่ยงเกินไป..

    Right Round  ถ้าจำไม่ผิดน่าจะออกแนวคลับแดนซ์รึเปล่านะ..

     

     

    “ทำไมฮยองเลือกเพลงนี้ล่ะครับ” แซมถามหลังจากเดินมาต่อหลังผม เจ้าเด็กนี่แสร้งทำเป็นลืมว่าเมื่อครู่เพิ่งเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้นด้วยการถามผมแทน  ไม่คิดอยากแกล้งเด็กอีกเลยกลั้นขำแล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    “ไม่รู้แฮะ.. จิตสัมผัสมั้ง” แซมทำหน้าเหรอหราหลังผมตอบ ไม่ทันพูดอะไรก็กลับมาอ้าปากค้างอีกรอบ ผมนึกได้ว่าจีซองฮยองคงเข้ามาแล้วจึงหันไปมอง

     

    “จะ.. จีซองฮยองเป็นโวคอลเหรอครับ”  แซมเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้อีกครั้ง  ฝ่ายคนโดนถามเพียงยักคิ้วหลิ่วตาให้แต่ไม่พูดอะไร ผมมองปากแซมที่หุบแล้วอ้าออก  หูยังได้ยินเสียงฮัมเพลงจากหน้าทางเข้า

     

    ยังไม่ทันขยับหัวไปทางไหน คนครอบตำแหน่งอันดับสี่ก็มายืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้า พร้อมพลิกแผ่นป้ายในมืออย่างภูมิใจนำเสนอ

     

    Get Ugly” พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง  ผมเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ

     

    ใบหน้าหล่อดูดีของซองอูฮยอง ผู้พกความมั่นใจเต็มร้อยไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่าเขาเป็นคนที่มีสไตล์การเต้นคล้ายผม  ดันมาอยู่ทีมเดียวกันแบบนี้  ผมจะไปหาจุดยืนตรงไหน

     

    เอาจริงๆ มากกว่าความกังวลคือผมโล่งใจไปเกินครึ่งที่ได้คนเก่งมีความสามารถมาร่วมทีมตั้งสองคน

     

    “อยู่กับสองคนผู้โด่งดัง น่ากลัวจังแฮะ” ซองอูฮยองพูดก่อนกระตุกยิ้มยียวนอยางที่เจ้าตัวชอบทำบ่อยๆ คำพูดกับสีหน้าแววตาสวนทางกันสุดๆ  คนอะไรปล่อยออร่ามั่นใจออกมาเต็มเปี่ยมขนาดนี้

     

    ผมเหลือบเห็นโอ้มายก็อดบนหน้าของแซมเป็นครั้งที่สี่  ทำไมคนอื่นใช้เวลาเลือกเพลงน้อยกว่าผมเยอะเลย  
    ถ้าซองอูฮยองเข้ามาแล้ว งั้นคนต่อไป.. อันดับที่ห้า?

     

    จีซองฮยองหัวเราะเสียงดัง ผสมกับของเขาคนนั้น เผลอสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ได้ยินหัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น  อยากรู้ว่าเขาเลือกอะไร  คนที่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับฮยอบฮยอง.. คังแดเนียล

     

    ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีที่เห็นแผ่นป้าย  Get Ugly ในมือของผู้ครองอันดับห้า  รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกแม้จะโดนมองผ่านไป  ไม่ได้สบตากัน  แซมยังคงรูปปากไว้เหมือนเดิมแต่เอามือปิดไว้  ซองอูฮยองยิ้มอย่างอารมณ์ดี  และแดเนียลฮยองที่กำลังก้มตัวกลั้นขำอยู่หลังสุด

     

    “นัดกันมาแน่เลย” จีซองฮยองแซวพร้อมชี้นิ้วมาทางกลุ่มผม  จะไปนัดยังไงได้ล่ะ  ตอนอยู่ข้างนอกผมก็ยืนหัวโด่อยู่คนเดียว

     

    “จะนัดกันยังไงล่ะ  ผมยืนกันคนละฝั่งเลยนะครับ”  แซมเถียง  ผมพยักหน้าอีกแรง

     

    “ของแบบนี้เขาใช้จิตสัมผัสกัน” จีซองฮยองตอบมาแบบนี้   แดเนียลฮยองส่ายหัวดิก   ซองอูฮยองยักไหล่  แต่ดันตอบคล้ายผมจนโดนคนเด็กกว่ามองหน้าอย่างสงสัย  ผมจำต้องเลี่ยงเจ้าหนูแซมผู้ช่างถามด้วยการหันไปสนใจเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาแทน  จนปัญญาจะอธิบายว่ามันเป็นเพียงมุขตลก

     

    “เหมือนจะไม่ใช่ Get Ugly นะ”  ผมพึมพำอยู่คนเดียว  ภาวนาในใจเพราะอันดับที่หกอย่างฮยองซอบ เพื่อนอีกคนจากคลาสเอ  ถึงไม่ได้คิดว่าเป็นคู่แข่งกันแต่มันอดกังวลไม่ได้

     

    “โว้ว!” คำอุทานตามด้วยเสียงหัวเราะของฮยองซอบทำเอาผมไม่กล้าคาดเดา จนเพื่อนหน้ากระต่ายเดินมาต่อแถว  ผมยังคิดแง่ดีว่าอาจจะแกล้ง  แต่มือของแดเนียลฮยองจับพลิกแผ่นป้ายในอ้อมแขนฮยองซอบขึ้นมา

     

    คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเข่าอ่อน  นั่งกองอยู่กับพื้น  การมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายของเด็กฝึกอันดับต้นไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้

     

     

     

    “ทีมเราต้องมีกี่ค---“

     

    “ขาดอีกหนึ่งใช่ไหมฮยอง”

     

    ผมยังไม่ทันถามจบดี  เสียงทุ้มของฮยองหัวเคยชมพูก็ขัดก่อน  บังเอิญว่าคนโดนถามเป็นคนเดียวกันคือซองอู
    ฮยอง คนกลางคิดครู่เดียวก็เอ่ยปากตอบทั้งสองคำถาม

     

    “เพลงนี้กำหนดไว้หกคน  ตอนนี้ขาดแค่หนึ่ง” ตอบพร้อมมองหน้าผมที  หันไปมองแดเนียลฮยองที พอซองอูฮยองเขยิบถอยไปหน่อย  สายตาผมกับแดเนียลฮยองก็สบกันอีกครั้ง  และฝ่ายนั้นเมินหน้าหนีก่อนอีกแล้ว

     

    มันไม่ใช่ครั้งแรกเพราะตั้งแต่ยืนอยู่แถวเดียวกัน  เวลาผมคุยกับคนในทีมทีไร  แดเนียลฮยองจะมีส่วนร่วมด้วยทางอ้อมเสมอ  ผมหมายถึงอ้อมชนิดที่ว่าเหมือนเราสองคนคุยกันผ่านคนกลาง

     

    ระยะห่างแค่นี้ผมมั่นใจยิ่งกว่าตอนจัดอันดับรอบแรกมากว่าเขามองผมอยู่จริงๆ ที่มันไม่เหมือนเดิมคือผมเห็นรอยยิ้มฟันกระต่ายของเขาแต่มันไม่ได้ถูกส่งมาให้ผม เพียงแค่ยืนมองเท่านั้น

    อันที่จริงแล้ว.. ยิ้มครั้งนั้นผมคงคิดไปเอง

     

    แดเนียลฮยองไม่ใช่คนใจดี

     

    หรือผมไม่มีสิทธิ์รับมัน?

     

     

     

    แอบคิดคนเดียวในใจว่าถ้าควอนฮยอนบินฮยองมาอยู่ด้วย  ซองอูฮยองกับแดเนียลฮยองคงหัวเสียพิลึก  คนหลังนี่ผมเก็บไว้เป็นกรณีพิเศษเพราะอยากเห็นหน้าตอนโกรธ   ถ้ายิ้มให้กันไม่ได้ก็เบ้ปากมองบนใส่กันคงง่ายกว่า

     

    ผมกำลังทำหน้าแบบนั้นอยู่.. ไม่ใช่ยิ้ม แต่เป็นเบ้ปาก

     

    เก็บอาการไวพอกับการกอดไม่ถึงหนึ่งวินาทีของสองคนหลังสุด ผมตั้งชื่อให้เรียบร้อยว่าหมีใหญ่กับกระต่ายน้อย  สกินชิพไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอก  แต่แค่ลุ้นฮยอนบินฮยองว่าจะเลือกโพสิชั่นอะไร  มันไม่ถึงกับต้องกอดเพื่อนผมนี่

     

    รอยยิ้มฟันกระต่าย.. ฟันจริงๆ ด้วย

     

    คิดชื่อให้ไม่ผิดหรอก

     

     

     

    ผมหยุดคุยกับแซมตอนได้ยินชื่อเพื่อนนามสกุลพัคจากค่ายแบรนด์นิวมิวสิค หลังจากสมาชิกคนล่าสุดของทีมเป็นฮยองซอบ  ผมก็ทำใจปลงกับความกังวลว่าจะไม่มีจุดยืนแล้ว  ถ้าจะมีคนเก่งมาอยู่ด้วยอีกสักคน  ผมยินดีมาก และจะมากขึ้นหากคนนั้นเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างพัคอูจิน

     

    “รู้สึกเหมือนอูจินจะมาอยู่นี่แฮะ ฉันอยากให้เขามานะ” ผมยืนอยู่หน้าสุด จะพูดอะไรก็ต้องหันกลับไป คราวนี้ผมจงใจพูดข้ามหมีตาตี่ไปหาฮยองซอบ กระต่ายโดนหลังหมีบังจนแทบมองไม่เห็น

     

    “เฮ้ยใช่ๆ อูจิน! ถ้าเลือกเพลงนี้ก็คงดีเนอะฮยอง” ผลตอบรับเป็นอย่างที่คิด นอกจากจะเมินสายตาผมยังต่อด้วยพูดรัวพร้อมตีไหล่ซองอูฮยองไปด้วย เห็นหัวกลมของฮยองซอบขยับขึ้นลงหงึกหงักอยู่หลังสุด คนถัดจากผมอย่างแซมก็ตบมือฉาดใหญ่แสดงว่าเห็นด้วย

     

    “เออ ฉันก็ขอให้เป็นแบบนั้น” ซองอูฮยองใช้วิธีพูดเหมือนตอนที่เขาโดนถามเรื่องจำนวนสมาชิกในการตอบผมกับแดเนียลฮยอง

     

    เป็นการสื่อสารทางอ้อมที่ทำให้ได้คุยกันครบทุกคน เริ่มจากผมที่ชะเง้อถามฮยองซอบ แม้จะเขย่งสุดเท้ายังเห็นแค่หัวของเพื่อนหน้ากระต่ายโผล่มา  ต่อด้วยหมีหัวเคยชมพูผู้ไม่ชอบการติดต่อทางตรงกับผม  ทวนเรื่องที่ผมพูดให้ซองอู
    ฮยองฟัง  แล้วแซมกับฮยองซอบค่อยตอบรับอีกที

     

    “อูจินฮยองเข้ามาแล้ว!” แซมลั่นอยู่ข้างหูจนผมสะดุ้งหลุดจากความคิดประหลาด

     

    เมื่อสมาชิกคนสุดท้ายหรือก็คือพัคอูจินมายืนต่อแถวทีม Get Ugly เท่ากับว่าได้คนครบแล้ว พวกผมได้นั่งลงกับพื้นกันเสียที

     

     

     

    ผมเป็นคนกว้างขวางในหมู่เพื่อนและรุ่นน้องพอสมควร หลังจากไม่ต้องห่วงว่าผมต้องอยู่ทีมเดียวกับใครบ้างแล้ว เลยต้องมาเหนื่อยลุ้นเผื่อเพื่อนคนอื่นอีก ด้วยตอนที่เด็กฝึกทั้งสามจากค่ายมารูกระจายกันไปคนละเกรด จนได้ทำความรู้จักกับหลากคนหลายกลุ่มแล้วค่อยเอามาแชร์ให้กันหลังกลับไปที่ค่าย

     

    จงยอนฮยองเป็นคนเล่าเรื่องหมีตัวโตผมสีชมพูให้ฟัง  ตอนนั้นผมไม่อยากรับรู้เท่าไหร่ เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันก็มีเยอะอยู่  ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนกรอกหูจนจำได้ว่าสนิทกันจากความชอบหมุนตัวคลุกพื้นหรือที่เรียกทั่วไปว่าบีบอย

     

    อย่างตอนแดนซ์แบทเทิลที่จงยอนฮยองตีลังกาเปิดฟลอร์อย่างตื่นตาตื่นใจ เขาเอามาโม้กับผมอยู่นาน แถมพูดอีกว่าหมีตัวเดิมชอบเชือกรองเท้าสีแสบตา  เวลาเดินในกลุ่มเกรดเอแล้วหาง่ายดี

     

    นึกถึงแล้วก็คิดถึงจงยอนฮยองคู่แฝดเชือกรองเท้าของผม

     

    ว่าแต่หมีฮยองที่บอกว่าชอบนัก  ทำไมถึงเมินผม ทั้งที่ตอนนี้ผมก็ยังใส่มันอยู่  แต่ผมก็ไม่อยากเอาเรื่องเล็กน้อยนี่ไปถาม  เหตุผลคือผมมักไม่สนิทกับเหล่าฮยอง  ถ้าซี้กันเร็วอย่างไม่ต้องมัวเกรงใจกันมากเหมือนฮยองที่ค่ายทั้งสองคนของผม  อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

     

    ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กไม่นอบน้อม  ไม่สนใจเลขอายุ  แต่แค่ไม่ชอบใจยามต้องทำตามที่คนอาวุโสกว่าสั่ง  เมื่อก่อนถึงกับเคยเถียงฮยอบฮยองว่าผมไม่ใช่เด็กดื้อ  นั่นมันเกือบปีมาแล้ว

     

    ถ้าเป็นตอนนี้..  ผมยอมรับว่าดื้อจริง

     

    ยิ่งกับฮยองคนที่ใจดีไปทั่วแต่จงใจเว้นผมไว้  ผมจะดื้อให้ดู

     

     

     

    แพจินยองเพื่อนสนิทหน้าเล็กกำลังยืนคุยเล่นอยู่กับลูกหมีอีอูจิน ผมอดโล่งใจไม่ได้หลังเห็นเพื่อนคุยเล่นกับน้องเล็กของรายการ พอเลิกคุยก็กลับไปหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ดีแล้วที่เข้าหาคนอื่นบ้าง ถึงน้องเล็กอย่างอูจินจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกคนก็ตาม  ใครๆ  ต่างก็รักเด็กน้อยคนนี้ทั้งนั้น  ผมเองก็ด้วย

     

    โดยเฉพาะหมีตัวโตที่เอาแต่พูดชมลูกหมีวนไปวนมา  จนโดนซองอูฮยองเอ็ดไปทีหนึ่งอย่างไม่จริงจัง

     

    ยิ่งจำนวนคนในห้องมากขึ้นเท่าไหร่  โอกาสเลือกของคนด้านนอกก็น้อยลงเท่านั้น  ผมเอาเวลานั่งกังวลว่าในโพสิชั่นแดนซ์จะต้องแข่งกับใครบ้าง  มาภาวนาให้บยอนฮยอนมินเพื่อนอันดับที่ห้าสิบสองได้เพลงตามที่ต้องการ  ตอนนี้เหลือ Right Round และ Pop  จำนวนคนเพลงแรกมีเยอะกว่าและมันเหมาะกับฮยอนมินมากกว่า  ก่อนโล่งใจเมื่อเพื่อนได้เพลงแรก

     

    “งั้นอันดับที่ห้าสิบห้าลงไปก็เลือกได้แค่นี้สิครับ” แซมกระซิบอยู่ด้านหลัง  ผมผงกหัวรับคำแต่ไม่ได้หันไปมองด้วยใจกำลังจดจ่ออยู่ตรงหน้าทางเข้า  คนครองอันดับหนึ่งในรอบกรุ๊ปแบทเทิลเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

     

    พัคอูดัมร้องไห้ออกมาอย่างหนัก  ห้องที่เคยเสียงดังกลับเงียบกริบ แม้จะได้ยินเสียงพูดอยู่บ้างแต่ผมไม่ได้สนใจจะฟัง  มองคนที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ตัวเองทำได้ดีมากที่สุดพร้อมซึมซับความเจ็บปวดนั้นด้วย จากทีแรกผมยอมรับว่าเสี่ยงและไม่มั่นใจมากด้วยความสามารถการเต้นผมไม่ได้เด่นเหนือใคร พอมาเห็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกแบบนี้  ผมเลยลบความคิดนั้นทิ้งไป

     

    หลังจากนั้นก็เหลือที่ว่างอยู่แค่เพลงเดียว คนที่เหลือต้องอยู่ทีม Pop ในโพสิชั่นแดนซ์ไปโดยปริยาย แต่เรื่องน่าเศร้ามีได้ไม่นาน  เมื่อคนอื่นรวมถึงผมต่างให้กำลังใจกลุ่มสุดท้าย  ทุกคนเข้าใจกันดีในฐานะเด็กฝึกว่าต่อให้ไม่ได้เลือกในสิ่งที่ทำ  ยังต้องทำมันให้ดีเพื่อแสดงความสามารถออกมา  และเพื่อต่อไปอาจจะได้เลือกหรือเป็นคนที่ถูกเลือกบ้าง

     

     

     

    ผมสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่เข้าห้องพักที่เหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว  เว้นแต่ไม่มีฟูกที่ตัวผมเคยใช้นอนวางอยู่กลางห้อง  ทั้งหน้าตารูมเมทก็ต่างจากเดิม  มีแซมคนเดียวที่เคยนอนห้องเดียวกันตอนรอบกรุ๊ปแบทเทิล

     

    “ฉันจองที่เดิม” ซองอูฮยองปีนขึ้นเตียงชั้นสองบนตู้เก็บของฝั่งขวา  ไม่ถามความเห็นคนอื่นที่ยืนอออยู่หน้าประตูเลยสักนิด

     

    “ผมขอนอนริมนี้นะครับ  แดดตอนเช้ามันแยงตา” ฮยองซอบทำแบบเดียวกัน  เพื่อนหน้ากระต่ายขึ้นไปตำแหน่งเดียวกันกับซองอูฮยอง  แต่เป็นฝั่งซ้าย

     

    “ผมอยากนอนใกล้หน้าต่าง”

     

    “..ขอนอนข้างบนได้ไหมครับ?”

     

    “อยากนอนสูดอากาศข้างบน”

     

    แซมและอูจินพูดขึ้นพร้อมกัน  ก่อนตามมาติดๆ ด้วยเสียงของหมีตัวใหญ่กลางห้อง  พร้อมชี้นิ้วยาวไม่เหมาะกับหน้าหมีไปที่เตียงด้านบน  ตรงข้ามซองอูฮยอง

     

    “มีเปลมาผูกต่อข้างบนไหมครับ นอนกลางอากาศคงสดชื่นน่าดู”  ผมพูดหน้านิ่ง  อันที่จริงตั้งใจแขวะหมีบางตัว 

     

    “เปลเล็กไปมั้ง  ไม่น่าพอหรอก” ซองอูฮยองตอบแบบนี้ แสดงว่าเข้าใจผม

     

    “งั้นฮยองนอนข้างล่างเองดีกว่า” ฮยองหน้าหมีพูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มใจดี  เขาไม่ได้ส่งมันให้ผมเหมือนเดิม

     

    “อูจินมานอนนี่สิ” เสียงฮยองซอบดังมาจากด้านบน พร้อมชี้ไม้ชี้มือไปยังเตียงชั้นสองติดหน้าต่างที่อยู่ตรงข้าม  ตอนแรกเพื่อนคนนี้ก็ทำตัวไม่ถูก  อาจด้วยไม่กล้าเลือกที่นอนตามใจ  แต่พอหมีตัวโตยิ้มให้แล้วตบบ่าย้ำว่าไม่เป็นไร  พัคอูจินเลยพยักหน้ายอมปีนขึ้นไปแต่โดยดี

     

    “ผมขี้เกียจปีนแล้วแฮะ นอนข้างล่างแล้วกัน”  แซมพูดเองเออเอง  โยนกระเป๋าลงเตียงด้านล่างซ้ายมือ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงเตียงสองชั้นฝั่งขวา

     

    ผมเงียบ  อีกคนที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องก็เงียบ  ข้อดีหนึ่งเดียวของการนอนเตียงเดีย--- ไม่สิ.. นอนเตียงสองชั้นเดียวกันจะมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย  แต่จะรับรู้ทุกอิริยาบถยามขยับตัว  ผมถึงได้ยอมนอนฟูกตอนรอบซังนัมจา เพราะมันน่ารำคาญ  ยิ่งตัวใหญ่ขนาดนี้ผมไม่มีทางได้นอนอย่างสงบ

     

    “เลือกยากมากก็นอนด้วยกันไป” ซองอูฮยองทำลายความเงียบ  หมีตาตี่ขยับตัวปีนขึ้นเตียงบน  กับคนอื่นยังใจดีจะสละที่นอนให้  แล้วทำไมกับผมถึงไม่ถามสักคำว่าอยากนอนตรงไหน  จนกว่าจะหายข้องใจในพฤติกรรมแปลกๆ  ของหมีฮยอง  แม้แต่ในความคิดผมก็จะเรียกเขาว่าหมีต่อไป

     

    ผมวางกระเป๋าลงข้างเตียง เอาหมอนมากอดแล้วนั่งชันเข่าพิงผนังอยู่ระหว่างเตียงทั้งสองฝั่ง เหลือบมองเตียงที่สั่นอย่างหงุดหงิด

     

    ยอมรับว่ามันไม่ได้สั่นขนาดนั้น  แต่ในเมื่อผมตั้งตัวอคติกับหมีตัวโตหัวเคยสีชมพูนี่แล้ว จะทำอะไรมันเลยขัดใจไปหมด

     

    ผมคงหวังมากเกินไป  อยากเจอคนที่เข้าใจกันแบบฮยองที่ออกไปแล้วทั้งสองคน  แถมไม่ว่าจะลองมองมุมไหนๆ ฮยองหน้าหมีจงใจเมินผมอย่างชัดเจน  ผมจะทำแบบเดียวกันกลับบ้างมันก็ไม่ผิดอะไร

     

    “โอกาสนี้องค์ประชุมได้เข้ามาพร้อมกันแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดการประชุม ณ บัดนี้” ซองอูฮยองตั้งท่าเคร่งขรึมหลังจากทุกคนเข้าประจำที่นอนกันเรียบร้อย  ยกเว้นผม 

     

    ที่สำคัญคือไม่มีใครขำ  ทุกคนนั่งนิ่งตัวตรงตั้งใจฟังกันหมด   ผมก็ทำตาม

     

    จะทำตัวไร้สาระก็ต้องไปให้สุด

     

    “ข้าพเจ้ามีเรื่องสำคัญจะมาแจ้งให้ทราบ..”

     

     

     

     

    TALK02,,*

    หมดคำพูดกับ EP.10… ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาให้ความผีนี้  งั้นขอบ่นคุณแดนกับจฮุน พีดีนิมพยายามกีดกันซีนสองคนนี้อยู่ด้วยกันเหลือเกิน พีคสุดในทุกตอนที่ออกอากาศมาก็ยืนข้างกันรอประกาศอันดับกับตอนเลือกเซ็นเตอร์.... เอออ เขาไม่สนิทกันหรอกหน่า เคยอยู่ทีมเดียวกันแค่อาทิตย์เดียวจะไปสนิทอะไร นี่คู่แข่งกันตะหาก ห้าห้าห้า

     

    **ไม่ใช่ฟิคเครียด แต่แต่งตลกไม่ได้ ฮื่อออ**

    ***ติชมได้ บอกคำผิดก็ได้ อยากเห็นรีแอคชั่นของคนอ่านเหลือเกิน***

     

    ไม่มีใครคุยด้วยเลย เสียใจมากนะ ; ___; >> DOT.F

    แปะแท็กปิดท้าย >> #whatNielWinkneed  

    ^+++^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×