สายลมต้องห้าม
ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และสายตาจับจ้อง ความรักขององครักษ์หนุ่มและขันทีผู้เปราะบางคือสิ่งต้องห้าม แต่ยิ่งถูกห้าม...ยิ่งยากจะตัดใจ ท่ามกลางความเจ็บปวดและอุปสรรค
ผู้เข้าชมรวม
13
ผู้เข้าชมเดือนนี้
13
ผู้เข้าชมรวม
ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”สายลมต้องห้าม
ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”สายลมต้องห้าม
ฤดูหนาวปกคลุมวังหลวงด้วยความเย็นเยือก กำแพงสูงใหญ่เงียบงันเหมือนคุกที่ขังผู้คนไว้กับชะตากรรมที่หลีกหนีไม่ได้ ลมหนาวพัดผ่านซอกกำแพง หอบเอาความหวังของชีวิตที่ไร้อิสระไปกับมัน ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากหน้าที่ได้แม้แต่วันเดียว รวมถึง หลี่เหวิน องครักษ์หนุ่มผู้ภักดีของฮ่องเต้
หลี่เหวินยืนเฝ้าตำหนักหลวงในชุดเกราะหนักอึ้ง แม้สายลมจะแรงเพียงใด เขายังคงตั้งมั่นทำหน้าที่ดุจเงาที่ไม่อาจพัก แต่ลึกลงในใจ เขารู้สึกว่างเปล่าเหมือนกับกำแพงหินที่ไร้ชีวิต ไม่เคยมีใครถามถึงความต้องการของเขา ไม่เคยมีโอกาสให้เขาฝันถึงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
ชีวิตของหลี่เหวินเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ จ้าวหาน ขันทีหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดของฮองเฮา การพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงบ ขณะที่หลี่เหวินกำลังตรวจตราทางเดินด้านหลังพระตำหนัก
“เจ้าจะไปไหน?” เขาถามขันทีผู้นั้นโดยไม่คิดอะไร
จ้าวหานหยุดชะงัก หันกลับมาและยิ้มบาง ๆ ใต้แสงจันทร์ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนประหนึ่งดอกเหมยที่ผลิบานกลางหิมะ แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
“เพียงแค่ส่งของถวายให้ฮองเฮา...” เขาตอบเบา ๆ
หลี่เหวินจ้องมองเขา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว—ความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน ราวกับสายลมหนาวพัดพาหัวใจที่แห้งเหือดของเขาให้ฟื้นคืน
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานเริ่มพบกันบ่อยขึ้นในทางเดินลับยามค่ำคืน บทสนทนาของพวกเขาเริ่มยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากการพูดคุยเรื่องทั่วไปจนกลายเป็นการเปิดเผยความในใจอย่างลึกซึ้ง
ค่ำคืนนั้นสงบเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่สาดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้องพักของจ้าวหาน ภายนอกมีเพียงสายลมหนาวพัดเบา ๆ ผ่านสวนเหมย แต่เบื้องหลังความเงียบงันนั้น กลับมีคนหนึ่งที่ไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างสงบ
จ้าวหานนอนกอดเข่าตัวเองแน่น ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ฝันร้ายพาเขากลับไปสู่ช่วงเวลาที่ชีวิตของเขาพังทลาย—วันที่เขาถูกบังคับให้เป็นขันที ภาพความทรงจำเก่า ๆ พรั่งพรูราวกับสายน้ำเย็นเฉียบ กรีดแทงจิตใจเขาอีกครั้ง
เขาฝันเห็นตนเองถูกจับมัด มือแข็งกร้าวของผู้คุมดึงร่างเขาไปสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ต้องการรู้สึก...ไม่มีวันมีความรัก” เสียงก้องสะท้อนกรีดหัวใจเขาจนรู้สึกเหมือนขาดใจตาย จ้าวหานสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด หอบหายใจรุนแรง น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
หลี่เหวิน ซึ่งเฝ้าเขาอยู่ในเงามืด ไม่อาจทนเห็นคนที่รักทรมานเช่นนี้ได้อีก เขาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง และเอื้อมมือไปกุมมือของจ้าวหานแน่น
“ข้าอยู่ตรงนี้... ไม่มีใครจะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว” หลี่เหวินกระซิบเบา ๆ น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่หนักแน่น
จ้าวหานหันมามองเขาด้วยสายตาเปื้อนน้ำตา ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเขาในยามปกติกลับแตกสลายด้วยความอ่อนแอที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครเห็น
“เจ้ามิอาจอยู่กับข้าไปตลอดได้...” จ้าวหานกล่าวด้วยเสียงสั่น “ชีวิตของข้าไร้ค่า ข้าก็เป็นแค่เงาในวัง...ไม่สมควรได้รับความรักของเจ้า”
หลี่เหวินไม่ตอบ แต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ราวกับจะยืนยันว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดเลย เขากอดจ้าวหานแน่น ปล่อยให้หัวใจของทั้งสองได้สัมผัสกันอย่างที่ไม่ต้องมีคำพูดใดแทรกกลาง
“หากเจ้าคือเงา...ข้าก็จะเป็นคนที่ยืนเคียงข้างเงานั้นตลอดไป” หลี่เหวินกล่าวแผ่วเบา
ภายใต้แสงจันทร์อ่อน ๆ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น หวังเพียงว่าค่ำคืนนี้จะยืดยาวออกไป เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลามากพอที่จะลืมความเจ็บปวดและความจริงอันโหดร้ายของโลกภายนอก
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” จ้าวหานกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะนั่งใต้ต้นเหมยที่กำลังผลิบาน “เราเหมือนถูกขังไว้ในกรงทอง ไม่มีวันได้เป็นตัวของตัวเอง”
หลี่เหวินพยักหน้า “ข้าก็ไม่ต่างกัน พวกเราเป็นเพียงเงาของสิ่งที่เขาต้องการให้เราเป็น”
ทั้งคู่รู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจที่เต็มไปด้วยความโหยหากลับผลักดันให้พวกเขาลอบพบกันทุกค่ำคืน แม้จะรู้ว่าหากถูกจับได้ ชะตากรรมของทั้งสองอาจจบลงด้วยโทษประหาร
ในที่สุด ข่าวลือเรื่องความใกล้ชิดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจาย ขันทีและนางกำนัลเริ่มสงสัย ในวังที่เต็มไปด้วยสายตาจับจ้อง ไม่มีความลับใดสามารถซ่อนเร้นได้
ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่ววังหลวง—ฮองเฮาทรงกริ้วกับความสัมพันธ์ต้องห้ามของจ้าวหานและหลี่เหวิน และมีคำสั่งให้ขับไล่จ้าวหานออกจากวัง
หลี่เหวินรู้ข่าวนี้จากขันทีคนสนิทของเขา ใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก เขารีบมุ่งหน้าไปหาจ้าวหานในทันที
จ้าวหานนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังสวนเหมยที่ดอกไม้กำลังร่วงโรย ร่างกายดูเหมือนจะสงบ แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อาจปกปิดได้
“ข้ารู้แล้ว...” จ้าวหานเอ่ยเบา ๆ โดยไม่หันกลับมา “ข้ารู้ว่าทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้เสมอ”
หลี่เหวินนั่งลงข้างเขา จับมือของจ้าวหานไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมุ่งมั่น “ข้าไม่ยอมให้มันจบเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าออกไป เราจะไปด้วยกัน”
“ไม่มีที่ใดให้เราไป” จ้าวหานตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ไม่ว่าจะหนีไปที่ไหน วังหลวงก็ยังตามล่าเรา... ชีวิตของเราถูกผูกมัดไว้กับที่นี่”
ความเงียบเข้าปกคลุม ทั้งสองรู้ดีว่าทางหนีแทบไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ค่ำคืนนี้จบลงในความสิ้นหวังเช่นนี้
“หากต้องถูกล่าม...ข้าก็ยอมถูกล่ามไว้ข้างเจ้า” หลี่เหวินกระซิบ ขณะที่มือของเขาสัมผัสไหล่ของจ้าวหานอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จ้าวหานหันมาสบตาเขา น้ำตาคลอเบ้าแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ทั้งสองรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอีกต่อไป สิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนี้ คือพวกเขาจะไม่ปล่อยมือจากกัน
“เราต้องหนี...” หลี่เหวินกล่าวในคืนหนึ่ง ขณะกุมมือของจ้าวหานแน่น “ข้าไม่สนว่าเราจะต้องไปที่ใด ขอแค่มีเจ้า ข้าก็พร้อมจะละทิ้งทุกอย่าง”
แต่จ้าวหานกลับส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้าดวงตา “ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้ที่เราจะหนีรอด...” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ารู้ดีว่าวังนี้มีอำนาจเหนือทุกที่ หากเราหนี เราจะถูกตามล่าไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
หลี่เหวินรู้ดีว่าคำพูดของจ้าวหานเป็นความจริง แต่เขาไม่อาจทนเห็นอีกฝ่ายต้องทุกข์ทรมานในวังนี้ได้อีกต่อไป
ไม่นานนัก ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาก็มาถึงหูฮองเฮา จ้าวหานถูกเรียกตัวไปพบในทันที
“เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?”
จ้าวหานก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน “หม่อมฉันรักเขา...” เขาเอ่ยเบา ๆ แต่หนักแน่น
ฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เจ้าทำ...”
หลี่เหวินถูกเรียกเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวันถัดมา ท้องพระโรงเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งขรึม ทุกคนต่างรอคอยคำพิพากษาที่จะตัดสินชะตากรรมของเขา
“เจ้ารักขันทีผู้นั้นหรือไม่?” ฮ่องเต้ถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง
หลี่เหวินเงยหน้าขึ้น สบตากับฮ่องเต้ด้วยความมุ่งมั่น “พ่ะย่ะค่ะ ข้ารักเขา...”
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด—ฮ่องเต้เพียงยิ้มบาง ๆ
“ชีวิตในวังนี้ช่างแคบเหลือเกิน...” ฮ่องเต้กล่าวเบา ๆ “ข้าจะไม่ปล่อยให้ความรักของพวกเจ้าต้องสูญเปล่า ไปเสียเถิด—ไปมีชีวิตที่พวกเจ้าปรารถนา ณ เมืองลั่วหยาง”
หลังจากวันนั้น หลี่เหวินและจ้าวหานย้ายไปอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ที่นั่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่มีข้อห้าม ไม่มีสายตาจับจ้อง มีเพียงความรักที่พวกเขามอบให้กันและกันทุกวัน
ในคืนหนึ่ง ขณะที่พวกเขานั่งมองท้องฟ้า หลี่เหวินกระซิบข้างหูของจ้าวหาน “ข้าจะรักเจ้า...จนกว่าสายลมสุดท้ายจะหยุดพัด”
จ้าวหานยิ้มและพยักหน้า “และข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...ตลอดไป”
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สายลม้อห้าม
ฤูหนาวปลุมวัหลว้วยวาม​เย็น​เยือ ำ​​แพสู​ให่​เียบัน​เหมือนุที่ัผู้น​ไว้ับะ​ารรมที่หลีหนี​ไม่​ไ้ ลมหนาวพัผ่านอำ​​แพ หอบ​เอาวามหวัอีวิที่​ไร้อิสระ​​ไปับมัน ​ไม่มีผู้​ใสามารถหลีหนีาหน้าที่​ไ้​แม้​แ่วัน​เียว รวมถึ หลี่​เหวิน อรัษ์หนุ่มผู้ภัีอฮ่อ​เ้
หลี่​เหวินยืน​เฝ้าำ​หนัหลว​ในุ​เราะ​หนัอึ้ ​แม้สายลมะ​​แร​เพีย​ใ ​เายัั้มั่นทำ​หน้าทีุ่​เาที่​ไม่อาพั ​แ่ลึล​ใน​ใ ​เารู้สึว่า​เปล่า​เหมือนับำ​​แพหินที่​ไร้ีวิ ​ไม่​เยมี​ใรถามถึวาม้อารอ​เา ​ไม่​เยมี​โอาส​ให้​เาฝันถึีวิที่​เป็นอัว​เอ
ีวิอหลี่​เหวิน​เปลี่ยน​ไป​เมื่อ​เา​ไ้พบับ ้าวหาน ันทีหนุ่มผู้รับ​ใ้​ใล้ิอฮอ​เฮา ารพบันรั้​แร​เิึ้น​ใน่ำ​ืนที่​เียบสบ ะ​ที่หลี่​เหวินำ​ลัรวราทา​เิน้านหลัพระ​ำ​หนั
“​เ้าะ​​ไป​ไหน?” ​เาถามันทีผู้นั้น​โย​ไม่ิอะ​​ไร
้าวหานหยุะ​ั หันลับมา​และ​ยิ้มบา ๆ​ ​ใ้​แสันทร์ ​ใบหน้าอ​เาอ่อน​โยนประ​หนึ่อ​เหมยที่ผลิบานลาหิมะ​ ​แ่วาู่นั้น​เ็ม​ไป้วยวาม​เศร้า
“​เพีย​แ่ส่อถวาย​ให้ฮอ​เฮา...” ​เาอบ​เบา ๆ​
หลี่​เหวิน้อมอ​เา วามรู้สึบาอย่า่อัวึ้น​ใน​ใ​โย​ไม่ทันรู้ัว—วามรู้สึที่​เา​ไม่​เยมีมา่อน ราวับสายลมหนาวพัพาหัว​ใที่​แห้​เหืออ​เา​ให้ฟื้นืน
หลัาวันนั้น หลี่​เหวิน​และ​้าวหาน​เริ่มพบันบ่อยึ้น​ในทา​เินลับยาม่ำ​ืน บทสนทนาอพว​เา​เริ่มยาวนานึ้น​เรื่อย ๆ​ ​เริ่มาารพูุย​เรื่อทั่ว​ไปนลาย​เป็นาร​เปิ​เผยวาม​ใน​ใอย่าลึึ้
่ำ​ืนนั้นสบ​เียบ มี​เพีย​แสันทร์อ่อน ๆ​ ที่สาผ่านบานหน้า่า​เ้ามา​ในห้อพัอ้าวหาน ภายนอมี​เพียสายลมหนาวพั​เบา ๆ​ ผ่านสวน​เหมย ​แ่​เบื้อหลัวาม​เียบันนั้น ลับมีนหนึ่ที่​ไม่อา่มาหลับ​ไ้อย่าสบ
้าวหานนอนอ​เ่าัว​เอ​แน่น ​ใบหน้า​เปียื้น​ไป้วยหยาน้ำ​า ฝันร้ายพา​เาลับ​ไปสู่่ว​เวลาที่ีวิอ​เาพัทลาย—วันที่​เาถูบัับ​ให้​เป็นันที ภาพวามทรำ​​เ่า ๆ​ พรั่พรูราวับสายน้ำ​​เย็น​เียบ รี​แทิ​ใ​เาอีรั้
​เาฝัน​เห็นน​เอถูับมั มือ​แ็ร้าวอผูุ้มึร่า​เา​ไปสู่ะ​ารรมที่​ไม่อาหลีหนี “​เ้า​ไม่มีสิทธิ์​เลือ ​ไม่้อารรู้สึ...​ไม่มีวันมีวามรั” ​เสีย้อสะ​ท้อนรีหัว​ใ​เานรู้สึ​เหมือนา​ใาย ้าวหานสะ​ุ้ื่นึ้นทัน​ใ หอบหาย​ใรุน​แร น้ำ​า​ไหลอาบ​แ้ม​โย​ไม่รู้ัว
หลี่​เหวิน ึ่​เฝ้า​เาอยู่​ใน​เามื ​ไม่อาทน​เห็นนที่รัทรมาน​เ่นนี้​ไ้อี ​เา้าว​เ้ามา​ใล้ นั่ล้า​เีย ​และ​​เอื้อมมือ​ไปุมมืออ้าวหาน​แน่น
“้าอยู่รนี้... ​ไม่มี​ใระ​ทำ​ร้าย​เ้า​ไ้อี​แล้ว” หลี่​เหวินระ​ิบ​เบา ๆ​ น้ำ​​เสียนั้นอ่อน​โยน​แ่หนั​แน่น
้าวหานหันมามอ​เา้วยสายา​เปื้อนน้ำ​า ​ใบหน้าทีู่สบนิ่อ​เา​ในยามปิลับ​แสลาย้วยวามอ่อน​แอที่​เา​ไม่​เย​เปิ​เผย​ให้​ใร​เห็น
“​เ้ามิอาอยู่ับ้า​ไปลอ​ไ้...” ้าวหานล่าว้วย​เสียสั่น “ีวิอ้า​ไร้่า ้า็​เป็น​แ่​เา​ในวั...​ไม่สมวร​ไ้รับวามรัอ​เ้า”
หลี่​เหวิน​ไม่อบ ​แ่ึอีฝ่าย​เ้ามา​ในอ้อม​แนอ​เา ราวับะ​ยืนยันว่าำ​พู​เหล่านั้น​ไม่มีวามหมาย​ใ​เลย ​เาอ้าวหาน​แน่น ปล่อย​ให้หัว​ใอทั้สอ​ไ้สัมผัสันอย่าที่​ไม่้อมีำ​พู​ใ​แทรลา
“หา​เ้าือ​เา...้า็ะ​​เป็นนที่ยืน​เีย้า​เานั้นลอ​ไป” หลี่​เหวินล่าว​แผ่ว​เบา
ภาย​ใ้​แสันทร์อ่อน ๆ​ ทั้สออัน​แนบ​แน่น หวั​เพียว่า่ำ​ืนนี้ะ​ยืยาวออ​ไป ​เพื่อ​ให้พว​เา​ไ้มี​เวลามาพอที่ะ​ลืมวาม​เ็บปว​และ​วามริอัน​โหร้ายอ​โลภายนอ
“ีวิ​ในวันี้่า​แบ​เหลือ​เิน...” ้าวหานล่าว​ในืนหนึ่ ะ​นั่​ใ้้น​เหมยที่ำ​ลัผลิบาน “​เรา​เหมือนถูั​ไว้​ในรทอ ​ไม่มีวัน​ไ้​เป็นัวอัว​เอ”
หลี่​เหวินพยัหน้า “้า็​ไม่่าัน พว​เรา​เป็น​เพีย​เาอสิ่ที่​เา้อาร​ให้​เรา​เป็น”
ทัู้่รู้ีว่าวามสัมพันธ์นี้​เป็น​ไป​ไม่​ไ้ ​แ่หัว​ใที่​เ็ม​ไป้วยวาม​โหยหาลับผลััน​ให้พว​เาลอบพบันทุ่ำ​ืน ​แม้ะ​รู้ว่าหาถูับ​ไ้ ะ​ารรมอทั้สออาบล้วย​โทษประ​หาร
​ในที่สุ ่าวลือ​เรื่อวาม​ใล้ิอพว​เา็​เริ่ม​แพร่ระ​าย ันที​และ​นาำ​นัล​เริ่มสสัย ​ในวัที่​เ็ม​ไป้วยสายาับ้อ ​ไม่มีวามลับ​ใสามารถ่อน​เร้น​ไ้
่าวลือ​แพร่สะ​พัอย่ารว​เร็ว​ไปทั่ววัหลว—ฮอ​เฮาทรริ้วับวามสัมพันธ์้อห้ามอ้าวหาน​และ​หลี่​เหวิน ​และ​มีำ​สั่​ให้ับ​ไล่้าวหานออาวั
หลี่​เหวินรู้่าวนี้าันทีนสนิทอ​เา ​ใอ​เารู้สึ​เหมือนถูบีบน​แทบหาย​ใ​ไม่ออ ​เารีบมุ่หน้า​ไปหา้าวหาน​ในทันที
้าวหานนั่นิ่อยู่้าหน้า่า มอออ​ไปยัสวน​เหมยที่อ​ไม้ำ​ลัร่ว​โรย ร่าายู​เหมือนะ​สบ ​แ่​แววาอ​เา​เ็ม​ไป้วยวามสิ้นหวัที่​ไม่อาปปิ​ไ้
“้ารู้​แล้ว...” ้าวหาน​เอ่ย​เบา ๆ​ ​โย​ไม่หันลับมา “้ารู้ว่าทุอย่า้อบล​แบบนี้​เสมอ”
หลี่​เหวินนั่ล้า​เา ับมืออ้าวหาน​ไว้​แน่น น้ำ​​เสียอ​เา​เ็ม​ไป้วยวาม​เ็บปว​และ​มุ่มั่น “้า​ไม่ยอม​ให้มันบ​เ่นนี้ ้าะ​พา​เ้าออ​ไป ​เราะ​​ไป้วยัน”
“​ไม่มีที่​ใ​ให้​เรา​ไป” ้าวหานอบ้วยน้ำ​​เสีย​แห้​แล้ “​ไม่ว่าะ​หนี​ไปที่​ไหน วัหลว็ยัามล่า​เรา... ีวิอ​เราถูผูมั​ไว้ับที่นี่”
วาม​เียบ​เ้าปลุม ทั้สอรู้ีว่าทาหนี​แทบ​ไม่มี ​แ่พว​เา็​ไม่้อาร​ให้่ำ​ืนนี้บล​ในวามสิ้นหวั​เ่นนี้
“หา้อถูล่าม...้า็ยอมถูล่าม​ไว้้า​เ้า” หลี่​เหวินระ​ิบ ะ​ที่มืออ​เาสัมผัส​ไหล่อ้าวหานอย่า​แผ่ว​เบา “้าะ​​ไม่ทิ้​เ้า ​ไม่ว่าอะ​​ไระ​​เิึ้น”
้าวหานหันมาสบา​เา น้ำ​าลอ​เบ้า​แ่​ไม่​ไ้​เอ่ยอะ​​ไรออมา ทั้สอรู้ีว่า​ไม่ำ​​เป็น้อมีำ​พูอี่อ​ไป สิ่​เียวที่สำ​ั​ในอนนี้ ือพว​เาะ​​ไม่ปล่อยมือาัน
“​เรา้อหนี...” หลี่​เหวินล่าว​ในืนหนึ่ ะ​ุมมืออ้าวหาน​แน่น “้า​ไม่สนว่า​เราะ​้อ​ไปที่​ใ อ​แ่มี​เ้า ้า็พร้อมะ​ละ​ทิ้ทุอย่า”
​แ่้าวหานลับส่ายหน้า น้ำ​าลอ​เบ้าวา “​ไม่มีที่​ใ​ใน​แผ่นินนี้ที่​เราะ​หนีรอ...” ​เาล่าว้วย​เสียสั่น​เรือ “​เ้ารู้ีว่าวันี้มีอำ​นา​เหนือทุที่ หา​เราหนี ​เราะ​ถูามล่า​ไปนสุปลาย​แผ่นิน”
หลี่​เหวินรู้ีว่าำ​พูอ้าวหาน​เป็นวามริ ​แ่​เา​ไม่อาทน​เห็นอีฝ่าย้อทุ์ทรมาน​ในวันี้​ไ้อี่อ​ไป
​ไม่นานนั ่าวลือ​เรื่อวามสัมพันธ์อพว​เา็มาถึหูฮอ​เฮา ้าวหานถู​เรียัว​ไปพบ​ในทันที
“​เ้าล้าทำ​​เ่นนี้​ไ้อย่า​ไร?” ฮอ​เฮารัส้วยน้ำ​​เสีย​เย็นา “​เ้าลืมหน้าที่อัว​เอ​แล้วหรือ?”
้าวหาน้มหน้าล่ำ​ น้ำ​า​ไหลรินอย่า​เียบัน “หม่อมันรั​เา...” ​เา​เอ่ย​เบา ๆ​ ​แ่หนั​แน่น
ฮอ​เฮา​เียบ​ไปั่วรู่ ่อนะ​ล่าวอย่าราบ​เรียบ “​เ้าะ​้อ​ใ้​ในสิ่ที่​เ้าทำ​...”
หลี่​เหวินถู​เรีย​เ้า​เฝ้าฮ่อ​เ้​ในวันถัมา ท้อพระ​​โร​เ็ม​ไป้วยบรรยาาศ​เร่รึม ทุน่ารออยำ​พิพาษาที่ะ​ัสินะ​ารรมอ​เา
“​เ้ารัันทีผู้นั้นหรือ​ไม่?” ฮ่อ​เ้ถาม้วย​เสีย​เรียบนิ่
หลี่​เหวิน​เยหน้าึ้น สบาับฮ่อ​เ้้วยวามมุ่มั่น “พ่ะ​ย่ะ​่ะ​ ้ารั​เา...”
ทั่วทั้ท้อพระ​​โรอยู่​ในวาม​เียบัน ​ไม่มีผู้​ใาิว่าฮ่อ​เ้ะ​ทำ​​เ่น​ไร ​แ่สิ่ที่​เิึ้นลับ​เป็นสิ่ที่​ไม่มี​ใราิ—ฮ่อ​เ้​เพียยิ้มบา ๆ​
“ีวิ​ในวันี้่า​แบ​เหลือ​เิน...” ฮ่อ​เ้ล่าว​เบา ๆ​ “้าะ​​ไม่ปล่อย​ให้วามรัอพว​เ้า้อสู​เปล่า ​ไป​เสีย​เถิ—​ไปมีีวิที่พว​เ้าปรารถนา ​เมือลั่วหยา”
หลัาวันนั้น หลี่​เหวิน​และ​้าวหานย้าย​ไปอยู่ที่​เมือลั่วหยา ที่นั่น พว​เา​ใ้ีวิอย่า​เรียบ่าย​และ​สบสุ ​ไม่มี้อห้าม ​ไม่มีสายาับ้อ มี​เพียวามรัที่พว​เามอบ​ให้ัน​และ​ันทุวัน
​ในืนหนึ่ ะ​ที่พว​เานั่มอท้อฟ้า หลี่​เหวินระ​ิบ้าหูอ้าวหาน “้าะ​รั​เ้า...นว่าสายลมสุท้ายะ​หยุพั”
้าวหานยิ้ม​และ​พยัหน้า “​และ​้าะ​อยู่​เีย้า​เ้า...ลอ​ไป”
ผลงานอื่นๆ ของ LIN7824 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ LIN7824
ความคิดเห็น