คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [NielWink] Keep a Weather Eye on the Cloud (2/5)
EPISODE 02
Keep a Weather Eye on the Cloud
Part: 2/5
Pairing: Kang Daniel x Park Jihoon
Genre: Slices of Life, Fluffy
Rate: PG-13
“ถ้าเปรียบความเป็นคังดาเนียลกับอะไรสักอย่าง ดวงอาทิตย์ในวันที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆอัลโตสเตรตัสคงทำให้เห็นภาพได้มากที่สุด กลุ่มก้อนก๊าซที่ให้ความรู้สึกอุ่นวาบเหมือนตอนที่เผลอกลืนโกโก้ร้อนจัดเข้าไปอึกใหญ่ ถึงในวันที่อากาศสดใสจะสว่างจ้าจนน่าหงุดหงิด แต่วันไหนที่แสงสีเหลืองของมันถูกบดบังด้วยแพเมฆหนาทึบก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังให้มีความอบอุ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แผ่ลงมา“
— พัคจีฮุน, 2017
- Keep a Weather Eye on the Cloud -
Kang Daniel x Park Jihoon
คลาสเริ่มไปไม่ถึงสิบนาที เสียงบรรยายของอาจารย์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหึ่ง ๆ คล้ายเสียงสั่นของปีกแมลงวัน คังดาเนียลกระพริบตาถี่เพื่อไล่ความง่วง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างพยายามกลั้นหาว นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้ามีครั้งที่สี่ตามมา เขากังวลเหลือเกินว่าปีกจะจมูกจะขยายจนแตะไปถึงหูได้
สะลึมสะลือไปช่วงหนึ่งซึ่งนานพอให้เข็มนาฬิกาติดผนังขยับอย่างแข็งขันได้ครบห้ารอบ แต่ถึงอย่างนั้นจอโปรเจคเตอร์ก็ยังคงหยุดอยู่ที่หน้าสไลด์เดิมที่ว่าด้วยเรื่องของเลเวลการปรับตัวเมื่อเผชิญกับวัฒนธรรมที่ต่างออกไป
สติของคังดาเนียลล่องลอยออกไปเรื่อย ๆ ทั้งที่เมื่อวานเขาเข้านอนก่อนละครหลังข่าวที่คุณนายคังต้องดูประจำทุกวันจะจบเสียอีก และถ้าอาการง่วงซึมและหาวไม่หยุดที่เป็นอยู่ไม่ได้เกิดจากการพักผ่อนน้อย ก็ต้องเป็นเพราะปัจจัยอื่น
คังดาเนียลทดสอบสมมติฐานที่เพิ่งคิดได้ โดยการสูดลมหายใจเข้าออกถี่ ๆ ก่อนจะพบว่า การขาดออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมองก็ไม่ใช่สาเหตุเช่นกัน คงไม่ดีแน่ถ้าจะหลับในคลาสให้อาจารย์ที่ขึ้นชื่อว่าเอาใจใส่พฤติกรรมของนักศึกษาเป็นที่หนึ่งอย่างอิมซางโฮจับได้ แต่ทันทีที่เขาตัดสินใจได้ว่าควรลุกจากเก้าอี้ แล้วไปล้างหน้าเพื่อเพิ่มค่าความต้านทานแรงดึงดูดที่บริเวณเปลือกตา ก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความกดดัน "ไปได้ครั้งละคนเท่านั้น คุณคัง"
น่ะ อาจารย์จำชื่อเขาได้เสียด้วย รู้สึกประทับใจในความใส่ใจจนน้ำตาแทบไหล แต่อาจารย์คงไม่รู้ว่าที่ออกไปก่อนหน้านี้คือเด็กหน้าง่วงไลควานลิน ตอนนี้มันคงหาที่เงียบ ๆ ซุกตัวหลับ กลับมาอีกทีก็หมดคลาสนั่นแหละ
คังดาเนียลประท้วงในใจ เขาอยากจะให้ข้อมูลใจจะขาดยังไงก็ได้แค่คิด การพาดพิงถึงคนคาดเดายากอย่างเจ้านั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดสักเท่าไหร่ ยูซอนโฮเพื่อนสนิทของมันยังอยู่ในห้อง มือผอมแห้งใช้จังหวะที่การสอนหยุดชะงักย้ายกระดาษคาร์บอนไปรองใต้กระดาษหน้าใหม่ระหว่างสมุดสองเล่ม ซึ่งถ้าเล่มหนึ่งเป็นของยูซอนโฮ อีกเล่มก็ต้องเป็นของไลควานลินอย่างไม่ต้องเดา
ถ้าการสงสัยในความสัมพันธ์ของคนอื่นไม่ใช่อะไรที่ดูสอดรู้เกินไป คังดาเนียลคงเดินเข้าไปถามเอากับเจ้าตัวอย่างไม่ลังเลว่า อะไรที่ทำให้เด็กที่ดูเนิร์ดอย่างยูซอนโฮกับพวกไม่สนโลกอย่างไลควานลินเป็นเพื่อนสนิทกันมาได้อย่างราบรื่นตั้งแต่ปีหนึ่ง
คังดาเนียลเลิกสนใจคนที่ยังวุ่นวายกับกระดาษในมือไม่หยุด สายตามองตามแสงที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างจนตกกระทบกับศีรษะในจุดที่ไม่มีเส้นผมปกคลุมของชายวัยเพียงสามสิบตอนต้นผู้มากไปด้วยความรู้แล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างปลง ๆ
งานวิจัยนู่นนี่ที่ผุดขึ้นมาปีละเป็นสิบ ๆ เรื่องเพียงเพื่อจะยืนยันว่าความเครียดและความจริงจังกับชีวิตมากเกินไปอาจทำให้ศีรษะล้านก่อนวัยอันควรเห็นท่าจะเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง คังดาเนียลยกมือลูบผมของตัวเองอย่างเผลอไผล เห็นแก่ความตั้งใจในการถ่ายทอดความรู้ของอาจารย์ เขาเลือกหย่อนตัวลงนั่งที่เดิม แล้วปล่อยให้เสียงบรรยายผ่านเข้าหูอีกครั้ง
"เอามั้ยคะ" ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ยืนหมากฝรั่งมาให้อย่างใจดี เธอพึมพำบอกเขาโดยไม่ละสายตาจากสมุดเลคเชอร์ของตัวเอง ผิวของเธอขาวซีดจนเห็นริ้วสีแดงจางบริเวณแก้ม ปลายจมูก และใบหูได้อย่างชัดเจนทั้งที่อุณหภูมิของห้องไม่น่าจะต่ำไปกว่า 25 องศาเซลเซียส
"แต้งกิ้วนะ โคตรง่วงเลย" เขารับซองฟอยล์แบน ๆ มาแกะเข้าปากแล้วยิ้มขอบคุณ ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองมีฮอตแพคลายเอพีชที่ใครก็ไม่รู้เอามาสอดผิดไว้ในล็อกเกอร์ของเขาติดตัวมาด้วย จึงหยิบออกมายื่นให้อีกฝ่ายที่ดูจำเป็นต้องใช้มากกว่าเป็นการแลกเปลี่ยน ฝั่งนั้นเอียงคออย่างงง ๆ แต่ก็ยอมรับไปในที่สุด
รสหวานของเมล่อนที่กระจายออกเมื่อเริ่มเคี้ยวช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีขึ้นมาหน่อย เขาเริ่มจับใจความได้บ้างแล้ว เหมือนคลื่นเสียงถูกปรับให้ตรงกับย่านความถี่ที่เขารับรู้ได้ในที่สุด คังดาเนียลพยายามจดตามเพื่อไม่ให้สติหลุดไปอีกครั้ง พลางกวาดตาสังเกตพฤติกรรมของคนในห้อง
สารภาพเลยว่าระหว่างที่มีองซองอูเป็นเพื่อน ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของมันทำเอาเขามีปัญหาในการไว้วางใจผู้คนเล็กน้อย แต่ช่วยไม่ได้เจ้านั่นชิคชะมัด เขาไม่เคยเจอใครที่ยอมทำลายภาพลักษณ์ตัวเองเพียงเพราะชอบเวลาที่ได้รับเสียงหัวเราะทุกครั้งที่ปล่อยมุขอย่างมันมาก่อน
แต่ก็เท่านั้นในเมื่อคลาสนี้มีเขาหลุดมาลงแค่คนเดียว และก่อนสอบมิดเทอมมีรายงานหนึ่งเล่มที่ต้องส่ง เขาจำเป็นเลือกเข้ากลุ่มอย่างระมัดระวัง ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นได้ค่อนข้างง่ายในระดับหนึ่ง แต่การทำงานเป็นกลุ่มมักมาพร้อมกับความวุ่นวาย
“...รายละเอียดก็ประมาณนี้ สิบห้านาทีที่เหลือ ผมจะให้พวกคุณจับกลุ่มกันตามความสมัครใจ คิดหัวข้อรายงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมได้บรรยายไปแล้วตั้งแต่ต้นเทอม จะจับประเด็นสเตอริโอไทป์ วิเคราะห์ตามทฤษฎีของฮอฟสตีด หรืออื่น ๆ ก็ตามสะดวก กำหนดทิศทางของรายงานไว้คร่าว ๆ แล้วมาสรุปให้ผมฟังข้างหน้านี้ ผมจะดูความเป็นไปได้และเพิ่มเติมเนื้อหาบางจุดที่ยังไม่ครอบคลุมให้ ทำเวลานะครับ ทั้งหมดมีหกกลุ่ม กลุ่มไหนคุยกับผมแล้วก็แยกย้ายได้เลย”
เลิกช้าไปครึ่งชั่วโมง
ทั้งที่เขากับเจ้าของหมากฝรั่งรสเมล่อนตกลงกับอย่างดีแล้วว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับถูกเธอเทเสียอย่างนั้น
“ขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉันเพิ่งรู้ว่าเพื่อนฉันตกลงกับเพื่อนที่เรียนอยู่อีกเซคเอาไว้ก่อนแล้วน่ะค่ะ ว่าจะฝากเพื่อนของเพื่อนคนนั้นที่มาเรียนเซคนี้คนเดียวไว้กับพวกฉัน ไม่งั้นเพื่อนของเพื่อนฉันคงรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนต้องมาเรียนคนเดียว” เธอรัวคำพูดด้วยสีหน้าหวาดระแวงมากกว่าจะรู้สึกผิดก่อนไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของเธอ
จู่ ๆ เขาก็คิดถึงฮวังมินฮยอนเพื่อนของเขาขึ้นมาจับใจ ถ้าเจ้านั่นอยู่ด้วย มันคงทำตัวเป็นล่ามถอดความให้อย่างรู้งาน แต่ในเมื่อไม่มี คังดาเนียลจึงเป็นแค่ไอ้โง่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้กับความรู้สึกเคว้งคว้างเพราะถูกลอยแพและความรู้สึกมึนเบลอเพราะได้ฟังประโยคซับซ้อนยากแก่การเข้าใจ จนถูกคว้าตัวมาอยู่ร่วมกับกลุ่มที่เหมือนกับเป็นส่วนผสมของบุคคลแปลกประหลาดอย่างที่เห็น
ยูซอนโฮที่เขาวิจารณ์ไว้เมื่อตอนต้นคาบหยิบกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วเริ่มจดชื่อสมาชิกในกลุ่มอย่างกระตือรือร้นทันทีที่จัดแจงที่นั่งเรียบร้อย แน่นอนชื่อของไลควานลินถูกเขียนลงไปเป็นคนที่สอง ตามด้วยชเวมียองที่ม้วนปลายผมสีม่วงของเธอด้วยปลายนิ้วตลอดเวลา เสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงเบาบางบ้างสองถึงสามครั้ง และเขา
คังดาเนียลถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน อีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือก่อนจะถึงคลาสต่อไปไม่เพียงพอให้เขาทำอะไรได้มากไปกว่าการต่อแถวจ่ายเงินค่าแซนด์วิชในมาร์ทที่แออัดไปด้วยนักศึกษา กดอเมริกาโน่จากตู้กดกาแฟอัตโนมัติ และจัดการอย่างแรกให้หมดโดยเร็วที่สุดระหว่างที่นั่งอยู่บนป๊อบบัส
แลปยีสต์มีควิสต้นคาบ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากเห็นนักศึกษาภาควิชาไมโครปีสามสักคนสับขาด้วยความร้อนรนผ่านเข้าไปในตึกคณะ
คังดาเนียลทำเวลาได้ดีมาตลอด ฉิวเฉียดยังไงก็ไม่ถึงกับเลทแม้แต่ครั้งเดียว อาจเพราะได้รับความเอื้อเฟื้ออยู่บ่อยครั้งเมื่อคนที่ยืนกระจายกันอยู่มักยอมหลีกทางให้เมื่อเขาวิ่งผ่าน
แค่บ่อยครั้ง ไม่ใช่ทุกครั้ง
ระหว่างทางเลี้ยวมุมไปหน้าลิฟต์ เสียงแจ้งเตือนแชทจากฮวังมินฮยอนก็ดังขึ้น เขาละสายตาจากทางเดินโดยไม่ลดความเร็วเพื่ออ่านข้อความที่ว่า ‘อาจารย์เข้าละ มึงเหลือเวลาวิ่งห้านาที รีบเลย’ และนั่นทำให้เขาชนเข้าอย่างจังกับคนคนหนึ่งที่เดินสวนมา
อีกฝ่ายสบถครั้งที่หนึ่งเมื่อตัวเองล้มกองไปกับพื้น และสบถครั้งที่สองเมื่อก้มลงสำรวจเชิ้ตขาวของตัวเองแล้วพบคราบสีน้ำตาลปรากฏขึ้นเป็นดวง
ถึงภาพตรงหน้าจะติดเบลอแต่คังดาเนียลแน่ใจว่าอเมริกาโน่ที่เหลือเกือบครึ่งแก้วได้ย้ายตำแหน่งจากมือของเขาไปอยู่บนเสื้อของคนที่ถูกชนแล้วเรียบร้อย
“โทษว่ะ มึงเป็นไงมั่ง” เขางึมงำ กระชับมือรอบต้นแขนข้างหนึ่งของคนที่กำลังพยายามชันตัวขึ้นจากพื้นแล้วพยุงให้ลุก ก่อนจะย่อตัวลงอีกครั้งเพื่อคลำหาแว่นตาที่กระเด็นหายไปอย่างลน ๆ
“แค่น้ำกระเด็นเอง ผมไม่เป็นไร” คู่กรณีตอบแค่นั้นด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งแต่ก็ฟังดูไม่ติดใจอะไรมาก
เขาเลื่อนสายตากลับไป หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสจึงได้เห็นลาง ๆ ว่าพออีกฝ่ายใช้นิ้วคีบเสื้อตรงจุดที่เปียกออกจากตัวแล้วปล่อยมือ เนื้อผ้าก็กลับไปแนบกับหน้าท้องของเจ้าตัวอีกครั้งอย่างดื้อดึง
นั่นแสดงว่าคนตรงหน้าไม่ได้แค่โดนน้ำกระเด็นใส่ กับปริมาณน้ำที่เยอะในระดับที่สามารถซึมผ่านความหนาของผ้าคอตตอนไปถึงผิวด้านในได้ควรใช้คำว่าถูกสาดน่าจะเหมาะสมกว่า
“เดี๋ยวดิ ขอกูหาแว่นก่อน แล้วเรามาเคลียร์กัน” เอาจริง ๆ คังดาเนียลอยากจะปล่อยให้เรื่องมันจบง่าย ๆ แบบนั้น แต่มือดันไวกว่าความคิด เขาคว้ามือที่แกว่งอยู่ตรงหน้าเอาไว้ทันทีที่เห็นว่าอีกคนทำท่าจะเดินจากไป
นิ้วมือสั้นป้อมที่ไม่ได้นิ่มนุ่มแต่ก็ไม่ถึงกับหยาบกระะด้าง
คังดาเนียลรู้สึกว่าคนที่ถูกชนน่าจะเป็นคนรู้จัก คุ้นมากแต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ใครสักคนที่มีส่วนสูงระดับปลายจมูกของเขา ตากลมโตโดดเด่นท่ามกลางองค์ประกอบอื่นบนใบหน้าที่พร่ามัว และเสียงติดห้าวแบบที่ทำให้เขาคิดไปถึงพัคจีฮุน
ไม่หรอก เชิ้ตขาวกับสแลคดำออกจะธรรมดาเกินกว่าจะได้รับเกียรติให้เข้ามาอยู่ในคอลเลคชั่นเสื้อผ้าของพัคจีฮุนไม่ใช่หรือไง
“ไม่ต้องก็ได้ ผมจะกลับหอพอดี” เขาถูกปฏิเสธอีกครั้ง
“ฟังนะ คือกูรีบอยู่ไง รีบมากแบบมาก ๆ” คังดาเนียลตั้งใจจะรัวคำอธิบายในทีเดียว ถึงอย่างนั้นแค่เกริ่นเรื่องยังไม่ทันจบก็ถูกตัดบทขึ้นมาดื้อ ๆ
“นั่นแหละ ก็ตกลงตามนี้มั้ย ผมจะไปแล้ว”
“บอกว่าฟังก่อนไง” เขาสวนกลับพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดกันเป็นปมอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่จะมีวิธีการตอบโต้อย่างไรที่ดีกว่าในเมื่อคนที่ถูกรั้งไว้ยืนยันจะไปท่าเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความรับผิดชอบ
“ทำไมตื้อ” จากน้ำเสียงเจ้าของประโยคจะกำลังบึนปากด้วยความไม่พอใจ ชักสีหน้ารำคาญ หรือทำหน้าบึ้งตึงกันแน่นะ ความสงสัยที่ว่าทำเขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ คังดาเนียลโคลงหัวเพื่อสลัดคำถามไร้สาระ
เกือบห้านาทีที่ทั้งสองถกเถียงกันอยู่อย่างนั้นอย่างไม่มีใครยอมใคร กระทั่งเสียงรัวแชทที่ดังจากมือถือของคังดาเนียลเงียบไป “เอาล่ะ มาคุยกันดี ๆ ดีมั้ย“
เขาค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ ตอนแรกอาจจะแค่เกือบเลท แต่ตอนนี้ดูท่าจะเลทเข้าจริง ๆ และในเมื่อเลทไปแล้ว เขาก็มีเวลาเหลือเฟือที่จัดการกับก้อนเปียกชุ่มตรงหน้า
“ล็อคเกอร์กูอยู่แค่ตรงนั้น ถ้ามึงจะเปลี่ยนเสื้อ” เขาพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ล็อคเกอร์สำหรับนักศึกษาที่เรียงกันเป็นแถวบริเวณใต้บันได
“ไม่รบกวนดีกว่า ผมเปลี่ยนทีเดียวที่หอได้” ดูเหมือนอเมริกาโน่ต้นเหตุจะยังซึมได้อีกเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้คนตรงหน้าเริ่มรวบชายเสื้อเพื่อบิดน้ำออกแล้ว “สภาพของผมไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”
‘แย่ขนาดนั้นแหละ มากกว่านี้ก็ตกท่อน้ำทิ้งแล้วมั้ง’ คังดาเนียลลงความเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายขัดแย้งกับความจริงอย่างสิ้นเชิง เชื่อถือไม่ได้ และขอคอมเมนต์เพิ่มเติมด้วยว่า ‘คนอะไรวะแม่ง หัวดื้อชะมัด’
“คือกูไม่โอเคหรอกนะถ้ามึงจะไปทั้งแบบนี้ แต่ในเมื่อมึงยืนยันว่าไม่อะไร อย่างน้อยก็เอาเบอร์กูไป จะค่าซักรีดหรือค่าเสื้อตัวใหม่ก็ได้เก็บที่กู” คิดหาทางออกที่คิดว่าน่าจะเข้าข่ายวิน-วินโซลูชั่นมากที่สุดได้ก็นำเสนอแบบรวบรัดเพราะรู้สึกได้ว่าเริ่มมีคนเข้ามามุงอยู่รอบตัวมากขึ้น
“ไม่ต้อง—”
“หรือจะให้กูขอร้อง พูดกันง่าย ๆ แล้วยื่นมือถือมา อย่าลืมปลดล็อคด้วย” เขาโน้มน้าวด้วยรูปประโยคที่แทบไม่ต่างจากการขู่กรรโชก พลางขยับนิ้วมือข้างขวาที่แบอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างเรียกร้องเมื่อไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่คาดหวัง ส่วนอีกมือก็คว้าแว่นตาที่เจออยู่ตรงปลายเท้าแบบที่พลาดนิดเดียวคงถูกเหยียบจนแหลกขึ้นมาสวม
พอมือถือถูกวางลงมาก็กดเบอร์ลงไปแล้วโทรออกโดยไม่สนใจเสียงเดาะลิ้นที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล คังดาเนียลรอกระทั่งโนติที่แสดงอยู่เต็มหน้าล็อคสกรีนจำพวก 'ทามสั้บ' 'แจกควิสละ' 'มึงสายไอ่สัด' 'ลาไปเลย' 'พนหาใบรรพมาด้วย อย่าลืม!!' 'โดนหารสิบมึงแดกปลาชัว' ถูกแทนที่ด้วยอินคัมมิ่งคอลจึงกดวาง
“นี่เบอร์กู โทรมาละกัน“ เขาย้ำพร้อมเมมเบอร์ให้เสร็จสรรพ ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อจะพบว่าดวงตาสีเข้มกำลังมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
วินาทีเดียวกันนั้นเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหัวราวกับกำลังถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วมหาศาล ชั่วขณะหนึ่งที่ทุกอย่างรอบตัวดูเชื่องช้าจนแทบสงบนิ่ง มีแค่เขาและคนตรงหน้าเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนไหว
คังดาเนียลคือบุคคลที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่านาซ่า
คล้ายกับโมเดลศึกษาของปรากฏการณ์ดวงดาวใกล้กับหลุมดำถูกจำลองให้เห็นตรงหน้าในขนาดย่อส่วน ต่างกันก็ตรงที่บริเวณใกล้เคียงและปริมณฑลของมันที่มักจะดีดวัตถุใด ๆ ที่โคจรเข้าใกล้ทิ้งด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงจนถูกเรียกว่า 'พื้นที่ขาดแคลนดวงดาว' กลับอัดแน่นไปด้วยดวงดาวนับร้อย
เขาเดาถูก เป็นพัคจีฮุนจริง ๆ
“เนียล” คังดาเนียลไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร นานทีเดียวที่เขาจดจ่อความสนใจทั้งหมดไว้ที่ประกายแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงตาของคนตรงหน้า จนกระทั่งเสียงดีดนิ้วดังขึ้นเรียกสติ “ยังอยู่กับผมมั้ย”
“อยู่—อยู่ อยู่ดิ ยืนอยู่ที่เดิมเลยนี่ไง” เขาตอบรับอย่างตะกุกตะกัก ถอนสายตาโดยการมองข้ามไหล่ของคนที่สูงน้อยกว่าออกไปที่เด็กปีหนึ่งเจอร์เดียวกับเขาสองคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังแทน แต่แค่ครู่เดียว เสียงของพัคจีฮุนก็เรียกสายตาของเขาให้กลับมามองเจ้าตัวอีกครั้ง
“แล้วสรุปยังไง” พัคจีฮุนคาดคั้น
เขาอ้าปากพร้อมจะตอบรับ แต่เปลี่ยนเป็นตั้งคำถามทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังร้องขอ “อะไรยังไง”
“มือถือ” พัคจีฮุนพูดพลางเอี้ยวตัวเข้ามาหวังจะคว้ามือถือในเคสลายกระต่ายสีชมพูที่อยู่ในมือของเขา
คังดาเนียลชักมือหนีพร้อมกับถอยหลังหนึ่งก้าว เขาเพิ่งรู้ตัวว่าพัคจีฮุนยืนอยู่ใกล้เกินไป และเขาเห็นจุดที่น้ำเปียกโชกจนซึมไปถึงผิวของอีกฝ่ายได้ชัดเกินไป
“หมดเรื่องแล้ว ผมก็ควรได้มันคืนแล้วไม่ใช่หรอ”
“เปลี่ยนแผน” เขาว่า สายตาหยุดเอาไว้แค่หน้าผากของอีกฝ่าย ปมคิ้วแสดงให้เห็นความไม่พอใจต่างจากน้ำเสียงที่ยังคงราบเรียบ
“ว่าไงนะ” พัคจีฮุนทวนคำถาม ระยะห่างถูกร่นลงอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อรอคำตอบ
“ขอกลับไปข้อตกลงแรก ไปเปลี่ยนชุด แล้วกู—เราจะไม่วอแวนายอีกเลย”
พูดไปแล้วก็กระดากปาก คังดาเนียลแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า ‘เรา’ มันผ่านมานานแค่ไหน อาจจะเป็นตอนที่เขาอยู่เกรดสิบก่อนที่คิมแจฮวานเพื่อนสมัยเด็กของเขาย้ายไปอยู่เวียนนา หรือไม่ก็ช่วงเกรดสิบสองที่เขายังรู้จักความกากกรังขององซองอูไม่ดีพอ แต่ก็นั่นแหละ จู่ ๆ จะให้ใช้กูมึงกับพัคจีฮุนเลย เขาก็ตะขิดตะขวงใจอยู่หน่อย ๆ
“แต่เราตกลงกันแล้ว เบอร์ผมเนียลก็เมมแล้ว ทำไมเรื่องมันวกกลับมาเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ก็เมื่อกี้กู—เรายังไม่เห็นนี่หว่าว่าจี้เปียกขนาดนี้ เธอเปียกโชกเลยนะเว้ย ซึมถึงพุง จะปล่อยให้เดินโท่ง ๆ ให้ใครต่อใครมองได้ไงวะ อนาจารในที่สาธารณะ ถูกตำรวจลากไปนี่เรื่องใหญ่กูบอกเลย” เขาอธิบาย ทันเห็นอีกคนทำหน้าแหยงแวบหนึ่งตอนที่ถูกเรียกว่าจี้
“เอาเรื่องนี้ก่อนนะ ถ้าเนียลสะดวกกูมึงก็กูมึง” พัคจีฮุนพูดหลังถอนหายใจยาวเหยียด ดูเหมือนจะเกลียดที่ถูกเรียกว่าจี้ไม่ใช่เล่น “แล้วก็อย่ามาขู่ให้ขำดีกว่า แค่เสื้อเปียกเดี๋ยวก็แห้ง อนาจารอะไรกัน”
คังดาเนียลเลิกคิ้วกับประโยคสุดท้าย ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ อีกครั้ง จากสี่ห้าคนที่มองดูเหตุการณ์อยู่ในตอนแรกเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสิบคนแล้ว สี่คนแค่มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หนึ่งคนหลุดเสียงกรี๊ดออกมาเบา ๆ สองคนกำลังซุบซิบอย่างตื่นเต้น สามคนพยายามจะถ่ายรูปหรือไม่ก็คลิปเก็บไว้
คังดาเนียลขยับตัวเล็กน้อยเพื่อบังคนตรงหน้าเขาให้พ้นจากการมองเห็น ถึงจะเป็นพัคจีฮุนที่ด้านชากับสายตาผู้คนก็ควรจะรู้สึกตัวบ้างสิวะ
“ให้คิดใหม่” เขาว่า
พัคจีฮุนเม้มปากพร้อมกับกรอกตาด้วยความรำคาญใจ “งั้นถอดเสื้อ”
“ของมึงนะ” คังดาเนียลเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ ยื่นมือออกไปข้างหน้าในท่าเตรียมพร้อม เผื่ออีกฝ่ายจะเริ่มปลดกระดุมของตัวเอง
“ของเนียล” พัคจีฮุนแก้ ชี้นิ้วที่ระดับอกของเขา
“ห้ะ” เขาลดสายตาลงตาม ไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อถึง
“สเวตเตอร์ของเนียล” พัคจีฮุนพูดอีกครั้ง ชี้มาที่เขาแล้วหมุนเข้าหาตัว คังดาเนียลไม่แน่ใจว่ามีอะไรน่าตลก แต่มุมปากของพัคจีฮุนกำลังกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ถอดมันมาให้ผม”
“เน่ามากนะเว้ย กูใส่ไม่ซักมาเกือบเดือนแล้วนะ”
“ผมไม่ถือ”
“แต่กู—“ คังดาเนียลพูดแค่นั้นแล้วถอนหายใจ เขาถอดสเวตเตอร์ออกและส่งให้กับพัคจีฮุน เสื้อส้มลายตารางตัวนี้เป็นตัวโปรดที่แม่ของเขาถักให้เองกับมือ แต่ไม่เป็นไร เขาไม่อยากถูกมึนตึงใส่เป็นครั้งที่สอง
เจ้าของสเวตเตอร์มองตามขณะที่อีกฝ่ายดึงปลายแขนเสื้อแล้วเริ่มพับทบให้พ้นข้อมือ พัคจีฮุนดูจะไม่ถือตัวอย่างที่เขารู้สึกเมื่อสักสองนาทีที่แล้วอีกต่อไป
“เหมือนจะใหญ่ไปป่ะวะ อย่างกะเอาเสื้อพ่อมาใส่” เขาหลุดวิจารณ์อย่างอดไม่ได้ และอีกฝ่ายตอบกลับด้วยการเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย หลังจากนั้นคังดาเนียลก็เรียนรู้ว่าควรสงบปากสงบคำ
บทสนทนาดูท่าจะสิ้นสุดลงแค่นี้จนกระทั่งพัคจีฮุนยกเสื้อของเขาขึ้นมาทดสอบกลิ่น
“ไหนว่าเน่าไง เนี่ยกลิ่นยังดีอยู่เลย” เจ้าของประโยคพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้าราวกับได้พบกับเรื่องที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิต
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น โดยเฉพาะตอนนี้ที่เสื้อคลุมของเขาถูกคนที่เขาทำอเมริกาโน่หกใส่ปล้นไป แต่ใบหน้าของคังดาเนียลกำลังลุกเป็นไฟ
พัคจีฮุนแม่งไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขานี่แหละที่เป็นเอามาก
TBC
ความคิดเห็น