ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Ships Rarely Sail Themselves l DanHoon

    ลำดับตอนที่ #2 : [NielWink] Ghost-free Certificate Service (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 60


    EPISODE 01 

    Ghost-free Certificate Service 

    Part: 2/2
    Pairing: Kang Daniel x Park Jihoon
    Genre: Mystery, Fluffy
    Rate: PG-13



    คังดาเนียลตื่นมาสักพักแล้ว เพราะถูกปลุกโดยแรงยวบที่เกิดบนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ทั้งที่เพิ่งหลับไปได้เพียงสี่ชั่วโมง แต่เขายังนอนนิ่งไม่ขยับ ปรือตาขึ้นเล็กน้อย เพ่งมองเงาตะคุ่มท่ามกลางแสงสลัวจากธูปอโรม่าที่กำลังมอด กลิ่นของใบโคลเวอร์ผสมกับสเปียร์มิ้นท์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนกำลังยืนอยู่กลางทุ่งหญ้ายามเช้าลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้อง คังดาเนียลค่อย สูดรับไอระเหยเข้าปอดอย่างใจเย็น ปล่อยให้ผู้บุกรุกได้สำรวจเขาจนพอใจ ใช่ สำรวจเขา 



    คนที่กำลังโน้มตัวอยู่เหนือร่างของเขาทำอย่างนั้นอยู่ร่วมนาทีแล้ว คังดาเนียลคิดว่าตัวเองจะอดทนจนกว่าจะได้รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัด แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อการสำรวจด้วยสายตาไม่เพียงพอ ฝ่ามือเย็นเฉียบจึงถูกทาบลงมาตามส่วนโค้งบนใบหน้าของเขา สัมผัสที่ได้รับทำเอาขนลุกซู่อย่างควบคุมไม่ได้



    "เล่นสนุกพอแล้วมั้ง" ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นดังกล่าวโดยอัตโนมัติ คังดาเนียลคว้าแขนของผู้บุกรุกไพล่หลังด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกดเข้าที่ไหล่บังคับให้อีกฝ่ายนอนคว่ำหน้าลงกับเตียง เพื่อลดโอกาสในการขัดขืน



    "ปล่อย! คุณจับตัวผมไว้ได้ยังไงกัน" คนที่ถูกล็อคตัวตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวจนถึงขั้นหวาดผวา เขาสะบัดตัวให้หลุดจากการกักกันด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี แต่ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าคังดาเนียลเกือบเท่าหนึ่งกับผิวเนื้อนุ่มนิ่มที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่ใช่พวกที่ชอบออกแรงหรือใช้กำลังมากนัก ความพยายามดังกล่าวจึงไม่เป็นผลเท่าที่ควร 



    "ไม่เอาแล้วคุณ ผมเจ็บ ปล่อยผม- นะ" พอตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ น้ำเสียงอ่อนแรงจึงถูกงัดมาใช้เหมือนกับรู้ว่าเขาแพ้ทางอะไรแบบนี้ และพอร่วมเข้ากับหางตาตกที่มีน้ำตาคลอ คังดาเนียลก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นมาเฟียใจโฉดที่ตกอับจนต้องไถเงินเอาจากเด็กน้อยที่ไม่มีทางสู้


    "ก็ได้ แต่ปล่อยแล้วห้ามหนี โอเคมั้ย" เขาสร้างข้อตกลง ถึงจะน่าสงสาร แต่ท่าทางตอนโดนขัดใจแบบนี้มันน่าทำให้ร้องน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ เจ้าแก้มกลมนี่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอเขาแทนที่จะเป็นโรคจิตขี้แกล้งอย่างองซองอู



    "อือ จะอยู่นิ่ง ๆ" รับปากอย่างเสียไม่ได้ พอถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ใช้มือป้อม ๆ ของตัวเองนวดไปตามจุดที่ถูกเขาบีบ 



    คังดาเนียลมั่นใจว่าแรงที่ใช้ตอนล็อคตัวเด็กคนนี้ไม่ใช่เบา ๆ แต่กลับไม่เห็นรอยแดงช้ำเกิดขึ้นบนผิวของผู้ถูกกระทำเลยแม้แต่รอยเดียว และถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังขยับปากขมุบขมิบไม่หยุด "ทำไมรู้สึกเจ็บได้นะ"



    "ไม่ต้องบ่น เจ็บก็ถูกแล้ว จะให้พี่อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้เราทำตามใจรึไง" พูดอย่างนั้นใส่เด็กที่กำลังทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ แล้วหย่อนเจลแก้ฟกช้ำที่อุตส่าห์เดินไปคุ้ยออกมาจากกระเป๋ากลับลงที่เดิมเมื่อเห็นว่าคงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ "ย่องเข้าหาคนอื่นตอนกำลังหลับไม่รู้หรอว่ามัน-" 



    "ไร้มารยาท แล้วก็น่าขยะแขยงด้วย ผมรู้ แต่ทุกทีไม่ได้มีใครรู้สึกตัวแบบคุณไง" อีกฝ่ายต่อประโยคจนจบด้วยตัวเอง ซึ่งพอฟังก็ทำให้รู้ได้ว่า สีหน้าหงอย ๆ ที่เขาเห็นอยู่ดูท่าจะไม่ได้มาจากความรู้สึกผิด แต่เป็นเพราะถูกจับได้ตอนกำลังเล่นซนมากกว่า



    "นี่แสดงว่าทำมาแล้วหลายครั้ง พี่ถามตรง ๆ นะ โรคจิตรึเปล่าเราน่ะ" เท่าที่สังเกต ระบบรักษาความปลอดภัยของโมเตลแห่งนี้ค่อนข้างหละหลวม ตอนแรกเขาจึงสงสัยว่าเด็กคนนี้อาจเป็นขโมย แต่ในเมื่อของทุกชิ้นยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน คังดาเนียลก็หาเหตุผลอื่นให้กับการที่เขาถูกบุกรุกห้องไม่ได้



    "ไม่ใช่! ผมไม่ได้ชอบทำอะไรอย่างเมื่อกี้จนติดเป็นนิสัยซะหน่อย จริง ๆ นะ คุณลองมาเป็นแบบผมสิ คือหมายความว่า เวลาคนเราเบื่อ ๆ อ่ะ จะปกติดีแค่ไหนก็เผลอทำอะไรบ้า ๆ กันได้ทั้งนั้นแหละ" เหมือนข้อกล่าวหานั้นจะรุนแรงเกินไป ผู้ต้องสงสัยถึงได้เบิกตากว้าง รัวคำพูดแก้ต่างให้ตัวเองด้วยความร้อนรน ซึ่งในสายตาเขานั่นก็ดู 'น่ารัก' ดี



    เสียที่ไหนล่ะ เขาควรไล่เด็กนี่ออกไปได้แล้ว



    "อืมก็เมกเซนส์อยู่ แต่ตอนนี้พี่ว่าเราน่าจะสนุกพอละ ทีนี้ก็-" คังดาเนียลเออออไปตามบท เอาเป็นว่าเขาจะไม่เอาความก็แล้วกัน "กลับห้องตัวเองซะนะ" 



    คว้าข้อมือเด็กประหลาดได้ก็กระตุกเข้าหาตัวเป็นเชิงนำทาง ในตอนแรกคนที่ถูกดึงก็ดูจะยอมตามมาอย่างสงบ แต่พอรู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ไหน คังดาเนียลก็ต้องทนฟังประโยค "แต่นี่ห้องผมนะ" "หยุดก่อน" "อย่าดึงดิ เสียแรงเปล่าน่า" วนอยู่เกือบสิบรอบ กึ่งลากกึ่งจูงไปถึงกลางโถงทางเดินแล้วปิดประตูใส่ เสียงประท้วงถึงหยุดลงได้ 



    แทนที่ความเงียบจะเข้ามาปกคลุมอีกครั้งกลับมีเสียงวัตถุถูกลากไปแล้วกระทบเข้ากับวัตถุอีกชิ้นดังขึ้น เขาถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้ผมด้วยความหงุดหงิด "ห้องข้าง ๆ แม่งเอาอีกแล้ว ทำอะไรเบา ๆ ไม่เป็นรึไงวะ"



    "ห้องข้าง ๆ ไม่มีใครอยู่หรอกนะคุณ" 



    เสียงตอบรับเหนือความคาดหมายทำให้คังดาเนียลถึงกับสะดุ้งสุดตัวเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้า เมื่อคนที่เขาเพิ่งลากออกไปกลับมายืนพิงขอบโซฟาอย่างสบายอารมณ์ภายในชั่วอึดใจที่เขาหันหลังเดินเข้าห้อง



    "คุณไม่เป็นไรนะ ไม่เอาน่า ทำหน้าเหมือนเคยเห็นวิญญาณครั้งแรกไปได้" คนตรงหน้าเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยขัดกับมุมปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มล้อเลียน



    "ก็ครั้งแรกไง!" พูดด้วยเสียงขึ้นจมูกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะเอะใจได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง "เดี๋ยวก่อน บอกพี่ทีว่าวิญญาณที่ว่าไม่ใช่เรา-"



    "นี่ยังไม่ชัดพออีกหรอ" คนที่อ้างตัวเป็นวิญญาณทำสีหน้าประหลาดใจ เกาหางคิ้วพร้อมงึมงำในลำคอ 



    มองข้ามความหนึบชาที่ยังคงตกค้างจากการเจอเหตุการณ์สั่นประสาทคังดาเนียลก็เกือบหลุดขำเพราะท่าทางน่าตลกตรงหน้าอยู่แล้ว แค่เพียงอีกฝ่ายไม่เลือกที่จะใจดีสาธิต 'ทักษะเฉพาะที่วิญญาณพึงมี' ให้เขาคลายสงสัย



    ทันทีที่คนตรงหน้าปลดการควบคุมร่างของตัวเองออกจากแนวตั้งฉากกับพื้นจนล้มเอียงมา เขาที่ตกเป็นเป้าหมายก็ยกมือขึ้นระดับอกเพื่อกันไม่ให้ถูกทิ้งน้ำหนักใส่จนเสียการทรงตัว แต่แทนที่จะได้รับแรงกระทำกลับรู้สึกเย็นวาบเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด 



    ร่างของคนที่เอนตัวมาหาทะลุผ่านเขาไปอย่างไม่น่าเชื่อ 



    ความรู้สึกเดียวกับการสะดุ้งตื่นหลังฝันว่าตกจากที่สูง คังดาเนียลใช้เวลาพักใหญ่ในการดึงสติให้สมองกลับมาประมวลผลได้ตามปกติ ถึงอยากทำเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งเห็นไปไม่เป็นความจริงก็ทำไม่ได้ ความมั่นใจที่ว่าเรื่องลี้ลับเป็นแค่อุปทานหมู่ ผีไม่มีอยู่จริงพังครืนลงไม่เป็นท่า 



    ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าเขาหน้าซีดเผือดขนาดไหน ตอนที่เข้าไปดึงมิเตอร์ตรวจวัดความดันอากาศให้พ้นมือเด็กซนที่กำลังจะกดปุ่มควบคุมเล่นอย่างนึกสนุกก็ได้แต่ภาวนาให้จังหวะชีพจรที่กำลังเต้นรัวไม่ส่งเสียงดังเกินไปจนอีกฝ่ายได้ยิน



    แค่คิดก็อยากจะปาอุปกรณ์ในมือทิ้งให้แหลกคาพื้น แต่คำนวณแล้วว่าไม่คุ้มกับค่าชดเชยจำนวนห้าหลักที่อาจจะต้องจ่ายให้กับอารมณ์ชั่ววูบ คังดาเนียลก็ได้แต่ปักหมุดกับตัวเองในใจ กลับไปเมื่อไหร่คงต้องบอกให้ฝ่ายจัดซื้อคอมเพลนกลับไปที่ซัพพลายเออร์ เครื่องบ้านี่ก็แค่กล่องโลหะโง่ ๆ ตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณตามที่อวดอ้างเอาไว้ในคู่มือได้ที่ไหนกัน ไม่ต้องแปลกใจแล้วว่าอะไรทำให้ความน่าเชื่อถือของบริษัทเป็นกราฟดิ่งมาตลอดสองปี



    โทษนั่นโทษนี่อย่างดุเดือด กว่าจะนึกได้ว่าต้องเริ่มพูดอะไรสักอย่างก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแบบเดียวกับตอนที่คุยโทรศัพท์กับองซองอูจากคนที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นวิญญาณแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์และแฝงตัวอยู่ในห้องนี้มาตั้งแต่แรก



    "ตลกอะไร เพิ่งมีคนมองเห็นตอนเป็นวิญญาณครั้งแรกรึไง" โทนเสียงสูงกว่าที่ตั้งใจไว้ เขากระแอมไอ เหลือกตาอย่างดุร้ายเพื่อกลบเกลื่อน



    "ก็ครั้งแรก" คำตอบยังคงเจือเสียงหัวเราะ



    ไม่ได้ผล 



    หลังจากที่หลุดเด๋อไปเขาก็เผื่อใจไว้อยู่แล้ว แต่แบบนี้หยามกันเกินไป เจ้าเด็กก้าวร้าวไม่กลัวเขาไม่พอ ยังปาดน้ำตาที่ไหล กุมท้องที่ปวดจากการหัวเราะหนักเกินไปให้เห็นอย่างเปิดเผย



    "ฟังดูเหงานะ ไม่มีความคิดจะไปเกิดใหม่ดูหรอ" เขาตอกกลับ คิดว่าจะรู้สึกดีขึ้นถ้าได้เอาคืนเด็กที่ทำให้เขาอับอาย แต่กลับได้ผลตรงข้ามเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายไหววูบจากคำพูดร้ายกาจของเขา



    "ทำไมถึงถาม" รอยยิ้มสดใสที่ถึงจะกระตุ้นความรู้สึกมันเขี้ยวแต่ก็เหมาะกับเจ้าตัวเลือนหายไปแล้ว บรรยากาศมาคุถูกแผ่ออกมารอบบริเวณอย่างรวดเร็วราวกับกดสวิตช์ 



    ความคิดว่าอยากดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบผุดขึ้นมาในหัว ก่อนจะถูกปัดตกไปในทันที คังดาเนียลมาในนามของบริษัท นี่จึงถือเป็นความรับผิดชอบของเขาส่วนหนึ่ง  



    "พี่เป็นเจ้าหน้าที่ออดิท สำรวจและปรับปรุงพื้นที่ที่สงสัยว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาตินั่นแหละที่พี่ทำ" 



    "การปรับปรุงที่ว่ามันหมายถึงการที่ผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก นั่นคือสิ่งที่คุณพยายามสื่อถูกมั้ย" เด็กหัวไวตีความอย่างตรงประเด็น พร้อมทวนประโยคอีกครั้งตามความเข้าใจเพื่อยืนยันว่าได้รับสารถูกต้อง



    "พี่แค่อยากช่วย" เขาพูด แสดงท่าทีประนีประนอม



    "ทำไมถึงคิดว่านั่นเป็นความช่วยเหลือ คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมแล้วด้วยซ้ำ" วิญญาณตรงหน้ากัดริมฝีปากพร้อมส่ายหน้าช้า ๆ อย่างไม่ยินยอม เขามองเห็นความผิดหวังเจืออยู่ในแววตาของอีกฝ่าย หรือไม่ก็ความเกรี้ยวกราด ใช่ ควรเป็นความเกรี้ยวกราด 



    คังดาเนียลชั่งใจ เขามันแย่เขายอมรับ ถูกต่อว่าจากเด็กน้อยที่น่าจะอายุไม่ถึงสิบแปดแถมยังเป็นวิญญาณก็สมควรอยู่หรอก แต่พูดมาขนาดนี้แล้วทำร้ายความรู้สึกคนฟังแค่ไหนก็ต้องใจแข็งต่ออีกหน่อยหรือเปล่า



    "งั้นเอางี้ จะว่าไงถ้าเราเริ่มจากทำความรู้จักกันก่อน" 



    แต่หลังจากบรรยากาศผ่อนคลายลงกว่านี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ใช่เพราะเห็นริมฝีปากสีซีดนั่นเริ่มขึ้นห้อเลือด เขาก็แค่ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้เด็กบางคนทำร้ายตัวเองจนเกิดแผลก็เท่านั้น ส่วนถ้าอีกฝ่ายยืนกรานที่จะอยู่ต่อยังไงค่อยเรียกให้องซองอูมาทำพิธีปัดเป่าก็ไม่สาย



    "ถ้าคุณไม่พยายามหาทางไล่ผมก็ตามนั้น ผมจีฮุน พัคจีฮุน" ว่าง่ายกว่าที่คิด แถมยังบอกชื่อเสร็จสรรพทั้งที่เพิ่งโต้เถียงกับเขาอย่างเผ็ดร้อนเมื่ออึดใจที่แล้ว



    “คังดาเนียล” ถึงจะยังปรับอารมณ์ไม่ทัน แต่เขาไม่พลาดที่จะแนะนำตัวกลับพร้อมรอยยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุด และพัคจีฮุนเพียงแค่ 'อืม' รับ 



    คนที่ได้รับการตอบรับอย่างเฉยชากระพริบตาปริบ มองตามหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปรื้อของในตู้ลอยติดผนังอย่างเก้อ ๆ



    "คุณจะดื่มชาหรือกาแฟ" พัคจีฮุนหันมองหน้าเขาเพื่อเอาคำตอบ ชูกล่องใส่ใบชาและกระปุกบรรจุผงกาแฟในมือแต่ละข้างประกอบการตัดสินใจ ก่อนจะเสริมต่อเมื่อเห็นคิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก "มารยาทของเจ้าบ้านที่ดีน่ะคุณ" 



    "งั้นขอเบียร์" ถ้าอยากบริการกันนัก ก็ถือว่าแขกอย่างเขาก็มีสิทธิเอาแต่ใจ ถึงจะเช้าไปหน่อย แต่สำหรับคังดาเนียล ในนาทีนี้ไม่มีอะไรจะเยียวยาเขาได้ดีกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เย็นจัดอีกแล้ว



    พัคจีฮุนพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจพร้อมเอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบที่ทำให้เขาคิ้วกระตุก "ได้เลย ชาเนอะ" 



    "แล้วจะถามทำไมแต่แรก" เขาว่า นับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ 



    "ก็ในตัวเลือกของผมมีแค่ชากับกาแฟ ถ้าอยากดื่มเบียร์คุณคงต้องหาทางเองแล้วล่ะ คังดาเนียล" คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเตรียมเครื่องดื่มอธิบายเรียบ ๆ ดอกคาโมมายล์แห้งสี่ช้อนชาถูกตักลงในกา ตามด้วยน้ำร้อนที่ยังไม่ถึงจุดเดือด ก่อนที่ฝากาจะถูกปิดสนิท



    "พยายามกวนโมโหพี่อยู่สินะ พัคจีฮุน" 



    ประโยคทักท้วงนี้ไม่มีความหมายอะไร เขาไม่ได้โมโหอย่างที่พูด แค่ไม่อยากมองอยู่เฉย ๆ เพราะถึงความเงียบจะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่พอไม่มีอะไรมาดึงดูดความสนใจ จังหวะการขยับตัวอย่างคล่องแคล่วของอีกฝ่ายก็ดูจะน่าเพลิดเพลินมากกว่าเดิม มากจนเกินพอดี



    "ไม่ได้กวน" พัคจีฮุนตอบพร้อมรอยยิ้มเย้า



    "งั้นเรียกพี่ว่าพี่สิ พี่ดาเนียลน่ะ" ในเมื่อคนตรงหน้าบริสุทธิ์ใจ ก็คงไม่ยากที่จะทำตามคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อยืนยัน แต่เขาอาจรู้จักอีกฝ่ายไม่พออย่างที่ถูกสบประมาทไว้



    "คุณอายุเท่าไหร่" พัคจีฮุนก็คือพัคจีฮุน วิญญาณเด็กจอมดื้อเปลี่ยนไปทำหน้าตึง ย้อนถามอย่างไม่ยอมลงให้



    "ยี่สิบแปด" 



    "ก็แค่ยี่สิบแปด" เสียง 'เฮอะ' ถูกส่งออกมาทางจมูก "แล้วมาบอกให้เรียกพี่ ฝันเหอะ ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้แน่"



    "พี่ได้ยินนะ" คังดาเนียลติงอย่างไม่จริงจังนัก เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนสองมาตรฐานก็คราวนี้ ท่าทางกับคำพูดที่นิยามได้ด้วยคำว่า 'กวนประสาท' สามารถเปลี่ยนเป็น 'น่าเอ็นดู' ได้เพียงแค่มาจากพัคจีฮุน 



    เผลอยกมือขึ้นไปวางบนกลุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง ก่อนจะชะงักค้างด้วยความไม่แน่ใจ ที่เขารู้ตอนนี้มีแค่สัมผัสลื่นมือที่ผละออกได้ยาก แต่การลูบหัวไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเท่าไหร่สำหรับคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน และในกรณีของเขากับพัคจีฮุนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงชั่วโมงยิ่งแล้วใหญ่



    คังดาเนียลลอบประเมินคนตรงหน้า พอได้เห็นอีกฝ่ายหลับตาพริ้มทั้งที่ยังทำสีหน้าติดรำคาญ ก็ควบคุมมุมปากของตัวเองไม่ให้ยกขึ้นไม่ได้อีก เขาไล้นิ้วมือไปตามกลุ่มผมนุ่มนิ่มด้วยจังหวะที่อีกฝ่ายน่าจะพอใจ รู้สึกเหมือนมีรูนี่และปีเตอร์ที่คงกำลังขดตัวนอนซุกกันอย่างสบายอารมณ์ใกล้ ๆ แค่ตอนนี้พวกเธออยู่ในร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กภายใต้เสื้อทูนิคสีขาวหลวมโพรกคนหนึ่งก็เท่านั้น 



    "พี่- คุณเอามือออก" เสียงกระซิบของพัคจีฮุนดึงเขากลับมาสู่ปัจจุบัน สรรพนามที่เลือกใช้ในตอนแรกถูกเปลี่ยนกลับอย่างฉับพลัน เมื่อเจ้าของประโยคสังเกตเห็นปฏิกิริยาตอบรับคล้ายจะล้อเลียนจากเขา



    "ไม่เรียกหรอ" คังดาเนียลถามด้วยความเสียดาย มองตามมือที่คว้ามือเขาออกจากศีรษะ เริ่มเกลียดนิสัยหัวเราะไปทั่วของตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ ถึงไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ลึก ๆ แล้วเขาคาดหวังให้มีคำขึ้นต้นนั้นอยู่หน้าชื่อ 



    "ไม่เรียก แล้วก็ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย เกรงใจกันบ้างสิ ถ้านับจริง ๆ คุณนั่นแหละที่ต้องเรียกผมว่าพี่ ตอนผมหลุดมาอยู่ในร่างนี้พ่อแม่คุณยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ อยู่มานานตั้งเท่าไหร่คุณจินตนาการไม่ออกหรอก"



    "อือ จินตนาการไม่ออก" ยอมรับแต่ยังไม่วายจะไล่ต้อน "แล้วมันเท่าไหร่ล่ะ ที่ว่านานน่ะ" เขากำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถึงการแต่งตัวของพัคจีฮุนจะค่อนข้างประหลาด- ไม่สิ หลงยุคไปบ้าง แต่สำนวนการพูดก็เป็นแบบที่คนสมัยนี้ใช้สื่อสารกันทั่วไป



    "ผมเลิกนับไปแล้วซะด้วยสิ ช่วงชีวิตของคนอื่น ๆ เหมือนเวลาที่กำลังนับถอยหลัง ในขณะที่ผมต่างออกไป วิญญาณน่ะอยู่เหนือกฎเกณฑ์พวกนั้น เอาจริง ๆ ช่วงแรกผมเคยใส่ใจกับมันนะ แต่แล้วยังไงอ่ะ จะผ่านไปนานแค่ไหนสุดท้ายผมก็ยังไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี" 



    "บอกพี่ได้มั้ยว่าเงื่อนไขคืออะไร ทำไมเรายังไปจากที่นี่ไม่ได้" เขาถามอย่างจริงใจ แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการสนทนานี้กำลังดำเนินไปอย่างมีผลประโยชน์แอบแฝง



    มือที่กำลังจัดเรียงกาน้ำชา แก้ว ถ้วยใส่นม น้ำตาล และบิสกิตที่เขามั่นใจว่าถูกหยิบออกมาจากเป้ของเขาให้เป็นเซตสำหรับสองคนเพื่อย้ายไปที่โต๊ะกาแฟหยุดชะงัก พัคจีฮุนกำลังลังเล



    "ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องตอบ ไปนั่งรอไป" เขาตัดบท ใช้ความไวกว่าชิงยกถาดที่จัดเรียงเรียบร้อยขึ้นมา ก่อนจะเบี่ยงศีรษะไปทางโซฟา



    แน่นอนว่าการกระทำนั้นขัดใจพัคจีฮุน เขย่งก็แล้ว กระโดดก็แล้ว ยังแย่งเซตชาที่โยกคลอนไปมาอย่างน่าหวาดเสียวกลับมาจากมือของเขาที่ชูขึ้นจนสุดแขนไม่ได้ ถึงจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ดื้อดึงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัดใจกระทืบเท้าเดินนำไป ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนโซฟาแรง ๆ จนเกิดแรงยวบไม่น้อย



    "ก็แค่นั้น" คังดาเนียลหัวเราะไล่หลัง เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายงอแงใส่มากกว่าที่จะมีสีหน้ากังวล 



    เดินตามมาถึงโต๊ะก็วางถาดลงตรงหน้าคนที่รออยู่แล้ว จากนั้นก็แทรกตัวนั่งบนอีกฝั่งหนึ่งที่ถูกเว้นไว้ให้ แต่โซฟาคู่แคบเกินไปสำหรับผู้ชายไหล่กว้างสองคน หรืออาจจะต้องแยกลักษณนามเป็นหนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คังดาเนียลควรคิดเกี่ยวกับวิธีการจัดแจงตัวเองไม่ให้เบียดคนข้าง ๆ จนเกินไปจนอีกฝ่ายจมไปกับพนักวางแขนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ 



    จมที่ว่า มีความหมายตรงตัว ร่างของพัคจีฮุนกว่าครึ่งหายไปกับพนักราวกับสามารถผสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ ถึงเจ้าตัวจะทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าถามเขา ภาพตรงหน้าออกจะดูผิดแผกกว่าจะปล่อยผ่าน



    เขาขยับตัวอยู่อย่างนั้นเพราะยังไม่ได้ท่านั่งที่สบาย จนกระทั่งเจ้าบ้านที่ดีถอนหายใจอย่างหมดความอดทน ยกกาน้ำชาขึ้นรินใส่แก้วโดยไม่รออีกต่อไป คังดาเนียลจึงจำเป็นต้องค้างอยู่ในท่าที่แขนข้างหนึ่งพาดกับพนักหลังโซฟาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



    "อ่ะ ขึ้นฟองจนได้" เสียงอุทานดังขึ้น ความรีบร้อนทำให้น้ำชาส่วนหนึ่งกระฉอกออกมา



    "ระวังหน่อย" คังดาเนียลดีดตัวขึ้นจากโซฟาโดยอัตโนมัติ แย่งกาน้ำชาต้นเหตุมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนฉวยมือที่ถูกน้ำร้อนขึ้นมาเป่าและซับให้แห้งด้วยผ้าซึ่งอยู่ใกล้มือที่สุด



    "ทำอะไรของคุณเนี่ย" อีกฝ่ายโวยวายเบา ๆ ย่นจมูกอย่างนึกรังเกียจเมื่อเห็นว่าผ้าที่ถูกแปะลงที่หลังมือของตัวเองเป็นขอบผ้าปูโต๊ะ แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ ก็หลุบสายตาต่ำเหมือนเด็กที่กำลังถูกผู้ปกครองสอบสวนหลังโดนจับได้ว่าแอบหนีออกจากบ้านกลางดึก ละความพยายามที่จะชักมือกลับ



    "ผมเป็นวิญญาณนะเผื่อคุณลืม แค่น้ำร้อนทำอะไรผมได้ที่ไหนกัน" พัคจีฮุนเสริมโดยไม่มองหน้าเขา ใช้ช้อนเขี่ยฟองเหนือผิวหน้าน้ำชาให้แตกทีละเม็ดเมื่อเขาพลิกมือที่ดูปกติที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งถูกน้ำร้อนลวกไปมาไม่หยุดเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีจุดไหนพุพอง คังดาเนียลจึงจะละมือออกมา และปล่อยให้อีกฝ่ายจดจ่ออยู่กับแก้วตรงหน้า 



    ระหว่างนั้นสองถึงสามคำถามสำหรับการทำลายความกระอักกระอ่วนที่เริ่มก่อตัวก็แวบขึ้นมาในหัว แต่เขายังเลือกจะเงียบ กวาดสายตาไปรอบห้องอย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนจะกลับมาจุดเดิม และเริ่มต้นฆ่าเวลาโดยการนับฟองชา



    บทสนทนาทิ้งช่วงไปนานพอที่รอยซึมของน้ำชาบนผ้าปูโต๊ะจะหยุดขยายวงกว้าง ตะกอนชาตกลงไปกองกันอยู่ที่ก้นแก้ว ไอน้ำสีขาวที่ระเหยขึ้นมารบกวนสายตาจางลงเหลือแค่ความร้อนที่กระทบใบหน้า เขาเขย่าขาอย่างใกล้จะหมดความอดทนเต็มที ชักสงสัยแล้วว่าอะไรทำให้พัคจีฮุนยังคงก้มหน้าไม่เลิก แค่จัดการกับฟองชาคงไม่ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทในระดับนั้น



    คังดาเนียลไม่เก่งด้านการวิเคราะห์ความคิดใคร แต่ถ้าเป็นเรื่องของการเรียกร้องความสนใจว่าไปอย่าง เขาน่ะถูกจัดอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างนึกสนุก เริ่มเคาะนิ้วบนโต๊ะไม้เป็นจังหวะจนน้ำชากระเพื่อมเป็นระลอก และ...



    “จะหยุดได้ยัง” พัคจีฮุนกำช้อนในมือแน่น ตวัดสายตาขึ้นมามองเขาในที่สุด



    "ถูกรำคาญซะแล้ว” คังดาเนียลกล่าวอย่างระมัดระวัง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้หลุดหัวเราะแต่คงทำได้ไม่ดีนัก แก้มกลมของคนตรงหน้าถึงได้พองขึ้นจากเดิมอีกเกือบเท่าตัวด้วยความไม่พอใจ “ทำไมเราดูมีปัญหากับฟองขนาดนั้นล่ะ”



    “จริง ๆ เลย ยังอ่านสถานการณ์ไม่เป็นเหมือนเดิม” พัคจีฮุนบ่นขึ้นเมื่อเขาตั้งคำถาม สีหน้าติดเหวี่ยงเปลี่ยนเป็นเหลือเชื่อและจบลงด้วยเสียงถอนหายใจอย่างปลง ๆ



    “เหมือนเดิม?” เขาถามย้ำคำลงท้ายประโยค



    "ปัญหาเรื่องฟองน่ะ ไม่ได้มีหรือไม่มี” พัคจีฮุนไม่คิดจะขยายความ แต่เลือกตอบคำถามแรกแทน "มันเริ่มจากพวกผู้หญิงในวงน้ำชา ตอนแรกพวกเธอแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างลดความกระดากอายในการแสดงความรักต่อบุรุษ แล้วก็ได้ผลซะด้วย สุดท้ายพอถูกเล่าต่อกันปากต่อปากก็กลายเป็นความเชื่อ"



    ก่อนจะได้ถามต่อ ความใคร่รู้ก็ถูกแทนที่ด้วยความพรั่นพรึง เมื่อเลื่อนสายตาไปสบเข้ากับนิสัยการกินแบบสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนในชีวิตของวิญญาณตรงหน้า 



    เขามองตามการโรยตัวของเกล็ดน้ำตาลที่ถูกเติมลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนผสมทั้งสองถูกทำให้เข้ากันด้วยการใช้ช้อนกวาดไปกลับเป็นเส้นตรงหนึ่งครั้งพอเป็นพิธี จากนั้นพัคจีฮุนก็ยกถ้วยขึ้นจิบโดยไม่รอให้น้ำตาลละลาย 



    คังดาเนียลตัวสั่นเพราะอาการมวนท้อง เขาก้มลงจิบชาในถ้วยของตัวเองบ้าง หวังให้ความขมของมันช่วยดับความรู้สึกหวานเลี่ยนในจินตนาการ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าอีกคนกำลังมองมาที่เขาอยู่แล้ว “ชาเป็นไง”



    "ก็อุ่น แล้วก็ขมดี" เขาหัวเราะแห้ง



    "อุ่นแล้วก็ขม–สินะ เหมือนจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมานานมากแล้วเลย" พัคจีฮุนคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง ถึงอย่างนั้นเขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ประโยคที่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทำให้รู้สึกจุกที่อกได้อย่างไม่น่าเชื่อ คังดาเนียลคิดว่าตัวเองพอจะเดาเหตุผลที่พัคจีฮุนถมน้ำตาลปริมาณมากขนาดนั้นลงในเครื่องดื่มแล้ว ไม่ใช่เพราะเป็นคนติดหวาน แต่เพราะเป็นวิญญาณที่เสียความสามารถในการรับรู้ต่าง ๆ ไปต่างหาก



    คังดาเนียลแตะแก้มของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย และได้รับเป็นรอยยิ้มจาง ๆ กลับมา 



    "ก่อนหน้านี้คุณได้นับจำนวนฟองชาในถ้วยตัวเองดูมั้ย" พัคจีฮุนถามขึ้น



    “อือ สี่ฟอง ไม่สิ ถ้ารวมฟองเล็กด้วยก็หก” เขาตอบ นึกภาพของแก้วชาแก้วนี้หลังจากที่น้ำชาเพิ่งถูกเติมลงไปใหม่ ๆ ตามไปด้วย “ใช่สิ นี่เรายังไม่ได้บอกพี่เลยว่าความเชื่อที่ว่าคืออะไร" 



    "นั่นสินะ" พัคจีฮุนครางรับในลำคอ ก่อนจะนิ่งไปสักพักเหมือนมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายให้ต้องขบคิด ส่วนเขาก็ไม่ได้เร่งรัดเอาคำอธิบาย คังดาเนียลรู้แล้วว่าควรใช้เวลายังอย่างไรให้คุ้มค่า การพิจารณาองค์ประกอบบนใบหน้าของพัคจีฮุนเป็นวิธีหนึ่งที่เขาเพิ่งค้นพบได้สด ๆ ร้อน ๆ



    "ฟองชาแต่ละฟองแทนจำนวนจูบที่คุณจะได้รับ" คำเฉลยของพัคจีฮุนทำเอาทุกสิ่งรอบตัวราวกับหยุดชะงัก 



    ไม่รู้ว่าเขาสองคนขยับเข้ามาใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ห้าเซนติเมตรหรือหกเซนติเมตร คังดาเนียลประมาณเป็นตัวเลขที่ถูกต้องไม่ได้ แต่ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ เขาสามารถนับจำนวนครั้งที่แสงของดวงอาทิตย์ยามเช้ากระทบเข้ากับดวงตากลมจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับได้อย่างแม่นยำ จมูกรั้นและริมฝีปากอวบอิ่มที่เขาพยายามมองผ่านในคราวแรกปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า จนคังดาเนียลอยากพิสูจน์ให้รู้ว่าผิวสัมผัสของมันจะเป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้หรือไม่



    "ดูเหมือนความเชื่อที่ว่าจะไม่มีทางเป็นจริงแล้วล่ะ" เขาพูดขึ้นก่อนจะเผลอทำอะไรเลยเถิดลงไป คงต้องโทษผลของแรงดึงดูดที่ทำให้ความรู้สึกมีผลต่อการเคลื่อนไหวเหนือการสั่งการของสมอง 



    "เราคงไม่จูบพี่ตามจำนวนฟองชาหรอกจริงมั้ย" จบประโยคมุขตลกแก้ขัดก็กลายเป็นแค่คำพูดโง่เง่า เมื่อพัคจีฮุนแตะริมฝีปากของตัวเองลงมาที่เปลือกตาของเขา



    "หนึ่ง" พัคจีฮุนนับ ดวงตาสีเข้มที่มีใบหน้านิ่งอึ้งและแดงจัดของเขาสะท้อนอยู่จับจ้องมาอย่างแน่วแน่ คังดาเนียลตัวแข็งทื่อ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่แสดงอาการประหม่าแม้แต่น้อย 



    "สอง" คราวนี้เป็นปลายจมูก สัมผัสแผ่วเบาที่ถ้าพัคจีฮุนคิดว่าจะสามารถสั่นคลอนจิตใจเขาได้ ก็ใช่ ความคิดนั้นถูกต้อง คังดาเนียลไม่ใช่พวกค่าประสบการณ์ต่ำ แต่คนที่กำลังขยับแขนไปมาด้วยท่าทีเก้กังอย่างไม่รู้ว่าควรวางมือเอาไว้ตรงไหนคือเขา ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้



    "สาม" และริมฝีปาก 



    ไม่ปล่อยให้เขารู้สึกอับอายในความอ่อนด้อยของตัวเองได้นาน สิ่งหนึ่งก็ฝุดขึ้นท่ามกลางกลุ่มหมอกขมุกขมัว ไม่ใช่ความทรงจำ แต่เป็นความรู้สึกคุ้นเคย เขารู้ว่าต้องประคองใบหน้าของพัคจีฮุนอย่างไรให้สัมผัสอีกฝ่ายได้ถนัด รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องผ่อนจังหวะลงแค่ไหนถึงจะพอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสสูดลมหายใจ รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแลกจูบกับอีกฝ่ายอย่างที่ทำอยู่นี้



    คังดาเนียลครางต่ำในลำคอเมื่อเจ้าเด็กซนใช้ลิ้นไล้เลียที่ริมฝีปากล่างของเขา ก่อนเริ่มขบเม้มกลับให้พัคจีฮุนได้รู้ว่าตัวเองชักใจกล้าเกินไป และมันทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน 



    เวลานี้ทุกอย่างที่เขาเคยลืมได้ย้อนกลับมา ทั้งอดีตของเขาที่พัคจีฮุนรู้ดี แต่ให้เวลาเขาระลึกถึงได้เองโดยไม่ยอมแม้แต่จะบอกใบ้ให้ฉุกคิด รวมทั้งความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่าย เขาจำมันได้ทั้งหมด



    ยกเว้นเพียงอย่างเดียว– พัคจีฮุนรอเขามานานแค่ไหนแล้ว 



    คังดาเนียลต้องการมากกว่านี้ อยากตอบแทนให้กับคนที่อดทนรอเขามาตลอดให้มากกว่านี้ เขาตวัดเอวอีกฝ่ายเข้ามาชิด สองแขนที่เคยพาดอยู่บนไหล่ของเขาเปลี่ยนมาโอบรัดบริเวณท้ายทอย ดวงตาฉ่ำน้ำช้อนมองขึ้นมา ปลายจมูกคลอเคลียกันในจังหวะที่ใบหน้ากลมเอียงรับความโหยหาที่เขาแสดงออกโดยการดูดดึงริมฝีปากอวบอิ่มจนบวมเจ่อ



    จนกระทั่งเสียงลมหายใจของพัคจีฮุนเริ่มขาดห้วง คังดาเนียลผละออกมาเพื่อที่จะกดจูบลงไปเร็ว ๆ อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เมื่อเจ้าตัวดื้อดึงยังคงรั้งเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย 



    "จีฮุนา เด็กดี" และอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายกระซิบว่า 'ผมคิดถึงพี่' ที่ปลายคาง แต่สัมผัสที่ควรนุ่มนิ่มกลับเบาบาง "ทำไม–" เขาหยุด รู้สึกว่าถ้าพูดต่อไปจะตอกย้ำว่าภาพที่เขากำลังเห็นและสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากให้เกิดขึ้นกำลังเกิดขึ้นจริง 



    ร่างของพัคจีฮุนกำลังจางหายไป 



    "ผมเป็นวิญญาณ และมันมีเงื่อนไข ความคาดหวังของผม ความต้องการสุดท้ายที่ทำให้ผมยังรอคือเพื่อได้เจอพี่ และผมก็ได้เจอ แค่นี้ก็ผมก็มีความสุขมากแล้ว” คนในอ้อมกอดอธิบาย มือเล็กลูบหลังของเขาอย่างอ่อนโยน 



    คังดาเนียลขบกรามแน่น เขาเพิ่งได้พัคจีฮุนกลับมา และกำลังจะสูญเสียไปอีกครั้งโดยไม่ทันได้เตรียมใจ แต่การแสดงความโกรธเคืองจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อการพบกันอีกครั้งของพวกเขาถูกจำกัดด้วยเวลาอย่างที่คนธรรมดาอย่างเขาฝ่าฝืนไม่ได้ ที่เขาต้องทำคือเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้เอาไว้และใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด



    "พี่ก็เหมือนกัน พี่มีความสุขมาก ขอบคุณนะที่อดทน" ซบหน้าลงกับไหล่ของเจ้าของสัมผัสปลอบประโลบ กดจูบลงไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะไม่สามารถแตะต้องร่างนุ่มนิ่มนี้ได้อีก กอดรัดพัคจีฮุนเอาไว้ราวกับอีกฝ่ายเป็นรูนี่ที่พร้อมหนีหายไปทันทีหากเขาพยายามพรมน้ำลงบนขนของเธอ



    "ผมเก่งใช่มั้ย" เสียงของพัคจีฮุนเริ่มสั่น แต่อีกฝ่ายก็ยังควบคุมมันไว้ได้อย่างดี "ถ้างั้น ยิ้มให้ผมหน่อยได้รึเปล่า"



    เขากลืนก้อนสะอื้นลงคอ รวบรวมความเข้มแข็งทั้งหมดเพื่อทำตามคำขอ ในหัวคิดซ้ำ ๆ ว่าอย่าร้องไห้ แต่แค่เห็นดวงตาที่เคยเป็นประกายสวยหม่นแสงลงขอบตาของเขาก็ร้อนผ่าว 



    “แบบนี้ผมก็พอจะจำได้แล้วว่าความรู้สึกอบอุ่นเป็นยังไง” 



    พัคจีฮุนหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แค่กลิ่นของชาคาโมมายล์ที่เจ้าตัวชงเองกับมือที่ทำให้เขามั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการ คังดาเนียลนิ่งอยู่พักใหญ่ สายตาจ้องค้างตรงจุดที่อีกฝ่ายเคยนั่ง จนกระทั่งน้ำตาหยุดไหล



    “ซองอู มึงไม่ต้องมาแล้ว ฝากบอกบอสด้วยว่าให้เตรียมสแตมป์ใบเซอร์ไว้ได้เลย พรุ่งนี้กูจะเข้าไปส่งรายงานฟรีโกสต์ที่บริษัท” เขาส่งข้อความเสียงไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะหลับตาลงจดจำรอยยิ้มมีความสุขของพัคจีฮุนในขณะที่ภาพยังคงปรากฏอย่างชัดเจน




    END



    Note: แต่งจนจบจนได้ อาจจะรู้สึกว่าโทนกับลำดับเรื่องแปลกๆ เพราะเราแต่งสะสมกันมานานมากๆ ไม่ค่อยมีเวลาเลยค่ะ ขนาดโมเม้นแดนฮุนที่ไม่ได้มีมาเยอะยังเก็บไม่ครบเลย แล้วก็ขอโทษคนที่ทวงนะคะ ที่เราไม่ยอมตอบคือไม่รู้ว่าจะจบได้เมื่อไหร่จริงๆ ยังไงก็ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบนะคะ รักค่ะ <3
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×