ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 สหายนักสืบ

    ลำดับตอนที่ #2 : มงกุฎทับทิม ...อธิศ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 57


    “นี่อธิศ นายจะพาพวกเราเข้าไปในป่าทำไม พวกเราควรจะกางเต้นท์ รวมกับคนอื่นๆ นะ”  พีระตะโกนถามผมขณะที่เรากำลังมุ่งหน้า เดินเข้าป่าลึกไป

    “ถ้าตั้งแค้มป์รวมกับคนอื่นๆ มันก็ไม่ใช้การตั้งแค้มป์ของจริงน่ะสิ” ผมตอบพีระ  ผมสังเกตเห็นว่าวรี มีอาการแปลกๆ ตลอดเวลาที่เดินเข้าป่าไป เป็นระยะๆ สายตาก็สอดส่ายไปทั่ว ราวกับเธอเห็นบางอย่าง แต่ผมก็มิได้ใส่ใจกับเธอมากนัก เพราะมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นได้จากวรีอยู่แล้ว

    อ้อ ผมลืมบอกไป วรีก็มีสิ่งที่แปลกกว่าคนอื่นอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งสิ่งนี้พีระไม่ได้บอกเอาไว้ สิ่งที่แปลกที่สุดของวรีก็คือ ดวงตา

                    ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดดวงตาของวรีถึงได้แปลกนัก เหตุเพราะดวงตาของวรีเป็น สีฟ้านั้นเอง คงจะมีไม่บอกนัก ที่คนเอเชียจะมีดวงตาสีฟ้าเหมือน คนยุโรป อาจจะไม่แปลกอะไรถ้าวรีเป็นลูกครึ่ง แต่เพราะเธอคือคนไทยแท้นั้นเองถึงได้แปลก 

    ส่วนตัวผมเอง คงไม่ต้องแนะนำตัวอะไรมากมายนัก เพราะทุกท่านคงจะรู้จักผมไปแล้ว จากเรื่อง ตราบาปสีแดง  ของ พีระ เพื่อนสุดเลิฟของผมเอง แต่เขาก็ดันลืมบอกนิสัยของตัวเองไป ผมจึงต้องบอกอุปนิสัยของพีระให้แทน

    พีระเป็นคนที่อ่อนโยนมาก แต่ไม่ได้อ่อนแอ เขาเป็นคนที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอ แต่แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก เหตุนี้เอง จึงทำให้พีระกลายเป็นน้องเขยของผม เพราะอะไรน่ะเหรอ ผมไม่รู้หรอกวรีคงบอกเรื่องนี้ได้เอง

    “เออๆ แล้วนายจะไปตั้งแค้มป์ที่ไหนล่ะอธิศ” พีระหันมาถามอีกครั้งหลังจากเดินไปได้สักพัก

    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ วรี”

    “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันว่าฉันได้ยินเสียงน้ำนะ เรารีบไปดูกันก่อนเถอะ” ว่าเสร็จ วรีก็พาเดินไปยังต้นตอของเสียงน้ำ

    เมื่อไปถึง ภาพที่เราเห็นก็คือลำธารขนาดเล็กอยู่ต่อหน้า พวกเราทั้งสามจึงเดินเข้าไปเพื่อเตรียมที่จะตั้งแค้มป์กันที่นั้น หลังจากกางเต้นท์ เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เตรียมที่จะก่อไฟ ก็พลันได้ยินเสียงดังก้องออกมาจากอีกฝังของแม่น้ำ เป็นเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดจากอะไรบ้างอย่าง ซึ่งผมคิดว่าเป็นคน

    “อธิศเราไปดูกันเถอะ” พีระหันมาสั่งผม ซึ่งผมก็ทำตาม หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ไปถึงสถานที่ที่ว่า และสิ่งที่อยู่ต่อหน้าของเราก็คือ ชายแก่อายุราวห้าสิบกำลังนอนอยู่ ที่ขามีท่อนไม้ไม่ใหญ่นักเสียบอยู่

    วรีรีบวิ่งไปหาชายคนนั้นทันที่ ผมกับพีระจึงรีบเดินเข้าไปช่วยพยุงและพาเดินกลับไปยังเต้นท์ของพวกเรา

    หลังจากให้วรีทำแผลเบื้องต้นให้เขาเรียบร้อยแล้ว ชายคนนั้นก็ร้องออกมาเสียงดัง ด้วยภาษไทยแปร่งๆ แต่ผมจะเขียนให้มันเข้าใจง่ายขึ้น

    “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย!!! ได้โปรดผมต้องแย่แน่ๆ ช่วยด้วย!!!

    “เอาล่ะๆ คุณเป็นอะไรมากไหมครับ” พีระถามชายชรา ชายคนนั้นไม่ยอมตอบ เพียงแค่ร้องขอความช่วยเหลือเท่านั้นผมจึงถามเขา

    “คุณมีเรื่องเดือดร้อนอะไรครับ”

    “ช่วยด้วย มันหายไปแล้ว!! มันหายไปแล้ว!!

    “อะไรจะหายก็เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ดิฉันว่าคุณไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า” วรีพูดแทรก

    “โอ้ บาดแผลของผมมันไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มงกุฎทับทิม ได้หายไปแล้ว!!!” ผมเห็นวรีส่ายหัวอย่างระอา ผมจึงถามชายชรา

    “คุณชื่ออะไร แล้วมงกุฎทับทิมคืออะไร”

    ชื่อของชายผู้นี้ผมขอไม่เขียนชื่อจริงนะครับ เพราะว่าผมได้สัญญากับเขาไว้ และผมขออนุญาตสงวนคำสนทนาบางช่วงไว้นะครับ

    “ผมชื่อ อารีอา มามูรา (ชื่อสมมุติ) มงกุฎทับทิมเป็นของพระมหากษัตริย์ แห่งประเทศ..... (ขอไม่กล่าวถึง)  ซึ่งมันได้หายไป โอ้ ผมควรทำอย่างไรดี มันหายไปแล้ว ถ้าผมกลับไป ผมคงต้องตายแน่ ที่ทำมงกุฎอันล้ำค่าหายไป”

    “แล้วทำไมคุณไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะ” พีระถาม ผมจึงพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

    “ผมแจ้งตำรวจไม่ได้หรอก เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”

    “แล้วคุณมาบอกพวกเราทำไมล่ะค่ะ” วรีถามบ้าง

    “เพราะผมไม่มีใครที่จะขอความช่วยเหลือได้ นอกจากพวกคุณ”

    “ทำไมล่ะครับ??” พีระถามบ้าง หลังจากเดินมาหยุดยืนข้างๆ ผม

    “ก็ในเวลานี่ ผมไม่มีใครแล้วนี่ครับ” ชายชราทำหน้าเศร้า

    “งั้น คุณอยากให้พวกเราช่วยอะไรล่ะครับ” ผมถาม  อารีอามองหน้าพวกเราที่ล่ะคน ก่อนจะบอกด้วยความดีใจ

    “โอ้ พระเจ้าส่งคนมาช่วยผมแล้ว!! อ๋อ ขอโทษที่ผมดีใจไปหน่อย พวกคุณช่วยผมตามหามงกุฎทับทิมได้ไหมครับ ผมรับรองว่าถ้าหามงกุฎเจอแล้ว ผมจะให้รางวัลอย่างงามเลย”

    “ผมไม่ต้องการรางวัลหรอก ผมแค่อยากจะช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนเท่านั้นเอง” เพื่อนของผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    “อ๋อ ผมขอโทษที อย่าถือโทษผมเลย”

    “ไม่เป็นไร เอาล่ะ คุณพอจะบอกได้ไหมว่า มงกุฎอยู่กับคุณครั้งสุดท้ายตอนไหน”

    “ผมจำไม่ได้ อ้อ ตอนนั้นผมกำลังนอนในห้องพักต่างอากาศของเพื่อนผมอยู่ ผมจำได้ว่าเอามงกุฎใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้อง จากนั้นผมก็เดินไปนอน หลังจากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคลุกคลัก...”

    “เสียงอะไรนะครับ คลุกคลักเหรอ”

    “ครับ มันดังคลุกคลัก”

    “อ๋อ ครับ”

    “จากตู้ผมจึงเดินไปเปิดที่ตูเสื้อผ้า มงกุฎที่แสนสำคัญได้หายไปแล้ว ผมจึงรีบหยิบไฟฉาย แล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อตามหาขโมย....”

    “ทำไมคุณถึงต้องไปตามหาขโมย คุณรู้ได้ไงว่ามีขโมย” ผมถาม

    “เพราะผมเห็นรอยเท้าเดินออกประตูน่ะ ผมลืมบอกไป”

    “มีแค่นี้เหรอครับ”

    “ครับ มีเพียงเท่านี้”

    “งั้นเชิญเล่าต่อเลยครับ”

    “เมื่อผมเดินออกไปข้างนอก คือ ผมเดินตามรอยเท้ามันมา ผมก็ส่องไฟฉายมองตามรอยเท้ามันไปเรื่อยๆ แล้วผมก็เดินไปเจอหน้าผาเข้า ผมจึงกะว่าจะเดินกลับ ก็มีคนผลักผมตกหน้าผา โชคดีที่ข้างล้างมีต้นไม้อยู่เยอะ ผมจึงไม่ค่อยเป็นอะไรมากนัก นอกเสียจากบาดแผลที่ขาเท่านั้น แล้วจากนั้นผมก็ได้เจอพวกคุณ”

    “แล้วทำไมคุณไม่ยอม บอกเพื่อนคุณล่ะ” วรีถามบ้าง

    “ผมตกใจมาก พอผมเห็นรอยเท้าผมก็เลยรีบเดินตาม  คิดแต่ว่าต้องเอามงกุฎคืนมาเท่านั้น เพราะว่ามงกุฎชิ้นนี้เป็นของกษัตริย์ของผมเสียด้วย ผมจึงต้องตามหามันอย่างที่สุด ไม่งั้น ไม่งั้น!!!...

    “เอาล่ะๆ ผมเข้าใจคุณ ว่าแต่คุณจะสามารถพาผมไปหาเพื่อนคุณได้ไหม” ผมถาม

    “อ๋อ ได้ ได้ ได้!! ผมจะพาคุณไป”  อารีอาดูจะดีใจมาก เพราะผมเห็นเขารีบเดินนำไปอย่างรวดเร็ว

    และแล้วเราก็มาถึง บ้านพักต่างอากาศของเพื่อนอารีอา ผมมองสำรวจที่หน้าประตู เป็นไปอย่างที่อารีอาพูด เพราะที่ตรงบริเวณนั้นยังเห็นรอยเท้าอย่างเด่นชัด ถึงแม้ว่ารอยเท้าของชายตรงหน้าจะเดินทับแล้วก็ตาม

    “นี่อธิศนายจะให้พวกเราเป็นนักสืบจริงๆ เหรอ?? ฉันว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยนะ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ใช่นักสืบสักหน่อย” ผมได้ยินพีระที่ยืนอยู่ข้างๆ กระซิบบอก

    “แหม ก็คนเขากำลังเดือดร้อน จะให้ฉันนิ่งดูดายจนมีคนตายอย่างนายหรือไง”

    “เชอะ!!! ผมยิ้มให้กับพีระอย่างขบขัน ก็หมอนี่ไปไหนก็มีคนตายนี้หน่า

    “เอาล่ะๆ คุณอารีอาค่ะช่วยเรียกเพื่อนของคุณด้วยค่ะ เราจะได้เริ่มงานซะที” วรีออกคำสั่งกับอารีอา

    “เห็นมั้ยพีระ วรียังเห็นว่าเป็นงานเลย นายก็คิดซะว่าเราทำงานอยู่ล่ะกัน” ผมตรอกพีระเล็กน้อย ฝ่ายพีระไม่พูดอะไรมากนอกจากคำว่า “เหรอ!!!

    เมื่อชายชราไปเรียกเพื่อนของตนเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้พบกับชายชราอายุน่าจะเท่าอารีอา แต่กับมีความเจ้าเล่ห์ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กล

    “สวัสดีครับ ผมต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ ที่นำความเดือดร้อนมาให้ เพื่อนของผมเล่าให้ผมฟังทั้งหมดแล้วล่ะครับ เรื่องที่ขอให้พวกคุณมาช่วยหามงกุฎ ผมว่าพวกคุณอย่าเสียเวลามายุ่งจะดีกว่านะครับ รนจะหาเรื่องให้ตัวเองกันเปล่าๆ”

    ผมทำทีไม่สนใจในการพูดจาจิกกัดเล็กน้อยของชายชรา

    แต่ก็ขอสักนิดแล้วกัน

    “ผมคงไม่ยุ่งไม่ได้หรอกครับ เพราะผมมันเป็นคนชอบสาระแนเรื่องชาวบ้านน่ะครับ อ้อ ผมขอแนะนำตัว ผมชื่ออธิศ เรียกสั้นๆว่า อธิศ ก็ได้ครับ ส่วนนี้ วรี เรียกเธอว่า วรี ก็ได้ครับ ส่วนนี้พีระ เรียกเขาว่า พีระก็ได้ครับ” ผมแอบกวนประสาทเล็กน้อย

    “อ้อครับ งั้น ผมมีชื่อว่าคาวา ยานา เรียกผมสั้นๆ ว่าคาวา ก็ได้” ดูเหมือนเขาจะทำเป็นไม่คิดอะไร

    “งั้นยินดีที่ได้รู้จักครับคุณควาย เอ้ย!! คุณคาวา ยานา” ผมยิ้มให้กับคาวา ยานาซึ่งถลึงตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มงานในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา

    ผมเดินสำรวจดูตามพื้นกระเบื้องที่มีรอยดินรูปรองเท้า ด้วยความรู้สึกแปลกใจนิดๆ แล้วลองใช้มือแตะดู ก่อนจะเดินไปที่ห้องที่อารีอาพักอยู่

    “ห้องดูรกจัง สงสัยคงไม่ค่อยทำความสะอาดแน่ๆ” ผมได้ยินวรีบ่นเบาๆ โชคดีที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ เนื่องจากต้องการให้พวกเราสืบกันเอง

    จากนั้นก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

    “นี่ก็หาเบาะแส กันมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ ไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากรอยเท้าที่อยู่บนพื้น”

    “เดี๋ยว ฉันมานะ” ผมขอตัว ก่อนจะเดินลงบันไดลงไปดูรอยรองเท้าที่เดินไปทางหน้าผา ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

    เป็นไปอย่างที่ผมคิดจริงๆ

    ผมเดินไปยังห้องนั่งเล่น ก็พบกลับคุณคาวานั่งเปิดเพลงฟังอยู่ ผมเดินไปรอบห้อง ก่อนจะพบกับสิ่งที่ผมหาหล่นอยู่ รอบแจกันดอกไม้ มันก็คือดินนั้นเอง

    ท่านผู้อ่านบางคนอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเรื่องมันเป็นเช่นไร

    ในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปตรวจแจกันนั้นเอง เจ้าของบ้านก็เรียกผมไว้เสียก่อน

    “คุณจะทำอะไรกับแจกันของผมน่ะ!!

    “ผมก็แค่เห็นดินตกอยู่ ผมก็เลยจะเก็บให้เท่านั้นเอง หรือคุณมีอะไร??” ผมพูดพลางแกล้งมองอย่างสงสัย

    “ไม่เป็นไร นี้บ้านผม ผมจัดการเองได้” ว่าแล้วเขาก็รีบมาเก็บเศษดินโดยรอบทันที ในจังหวะที่เขารุกจากโซฟานั้นเอง ผมก็ได้พบกับสิ่งที่ตามหาอย่างที่สองแล้ว

                    เอาล่ะ ผมจะจบเรื่องนี้เอง!!!

                    ผมเดินขึ้นไปหา วรี พีระ และคุณอารีอา เพื่อบอกข่าวดี

                    “จริงหรือครับ ที่คุณเจอมงกุฎทับทิมแล้ว”

                    “ครับ ผมเจอแล้ว”

                    “มันอยู่ไหนครับบอกผมที”

    “อยู่ห้องนั่งเล่นครับ” ผมกล่าวเท่านั้น ก่อนจะพาทุกคนลงมาห้องนั่งเล่น เมื่อลงมาถึงผมก็ได้พบกับเจ้าของบ้าน ซึ่งกำลังยืนงง ที่จู่ๆ พวกเราทั้งสี่ก็ลงมาข้าง

    “มีอะไรกันเหรอครับ” คาวา ถามหน้าซีด หลังจากมองหน้าของผม แตกต่างจากครั้งแรกที่ได้พบกันอย่างสิ้นเชิง

    “คุณอธิศบอกว่า พบมงกุฎทับทิมแล้วคาวา!!

    “จะ...จริงหรือครับ” คาวา ยานา เสียงสั่นถาม ผมไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น ก่อนจะพูดออกมาว่า

    “ตู้เสื้อผ้า...”

    เมื่อผมพูดจบ คาวา ยานา ก็หน้าซีดไปถึงคอ จากนั้นก็เดินหน้าเศร้าเข้ามาหาผม แต่ก่อนที่เขาจะสารภาพ

     ผมก็พูดตัดบทแทนโดยบอกให้เขาพาไปที่สวนก่อน  โดยไม่ให้พีระ วรี และ อารีอา ตามไปด้วย

    ชายชราพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำผมไปยังสวนด้วยสีหน้าเศร้าสลดเมื่อถึงสวนแล้วคาวา ยานาก็เริ่มพูดทันที

    “คุณคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้วล่ะซิ” ผมพยักหน้า

    “ทำไม?? คุณถึงรู้ผมก็ทำได้สมจริงแล้วนะ”

    “รอยเท้าไง ก่อนที่จะมาที่นี้ ผมได้ถามเรื่องรอยเท้านิดหน่อยกับคุณอารีอา เขาบอกผมว่าเขาเห็นรอยเท้าเดินออกจากห้อง แต่เขาไม่ได้บอกผมว่ามีรอยเท้าเดินเข้ามาในห้อง ผมคิดว่าคุณคงรีบร้อนมากในขณะที่เพื่อนคุณหลับทำรอยเท้าขาออก แต่ลืมทำขาเข้า ตอนแรกผมก็คิดว่าคงไม่ใช่แต่พอมาดูในห้องผมก็รู้ได้ทันที ว่าคุณคงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมทำรอยเท้าตอนเข้าห้อง คุณจึงรีบทำมันขึ้นมา เพราะผมลองจับดูก็พบว่ารอยเท้าขาออกมันแห้งแล้ว แต่ในขณะที่ขาเข้ายังชื้นอยู่เล็กน้อย

                    “หลังจากที่ผมรู้แล้วว่ารอยเท้าที่คุณอารีอาเห็นเป็นของปลอมที่คุณสร้างขึ้น  ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าคุณนำมงกุฎไปซ่อนไว้ ก่อนจะเดินตามคุณอารีอาไป...”

                    “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะต้องเอามงกุฎไปซ่อนล่ะ ผมอาจจะถือไว้กับมือ แล้วเดินตามอารีอาไปก็ได้”

                    “ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น แต่ประกอบกับคำพูดของคุณอารีอาบอกว่าได้ยินเสียงคลุกคลักด้วยแล้ว ก็คิดได้อย่างเดียวว่าคุณจะต้องซ่อนไว้ในตู้แน่นอน อ้อ คุณคงสงสัยก็ได้ว่าเสียงคลุกคลัก อาจเป็นเสียงเปิดตู้ก็ได้แต่ตู้ที่ไหนกันล่ะ จะดังคลุกคลัก เพราะฉะนั้นมงกุฎทับทิมจะต้องอยู่ที่ตู้นั้น และเมื่อผมได้ตรวจดูแล้วผมก็พบกับสวิทช์ที่มีกลไกอย่างที่คิดจริงๆ แต่มงกุฎไม่อยู่แล้ว

                    ผมจึงเดินไปยังห้องนั่งเล่น  ซึ่งผมจะหารองเท้าที่คุณใส่ซะก่อน เพื่อนำมาเป็นหลักฐาน และผมก็พบมันอยู่ในแจกันนั้นเอง ซึ่งที่นั้นผมพบเศษดินอยู่ด้วย บวกกับท่าทีรนรานของคุณด้วยแล้วยิ่งชัดใหญ่ เป้าหมายที่สองของผมต่อไปก็คือมงกุฎและผมก็ได้พบในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งก็คือตอนที่คุณลุกจากโซฟา เพื่อมาทำความสะอาดแจกันแทนผมไง เพราะว่าโซฟายังมีรอยนูนขึ้นมานั้นเอง มีอะไรที่ผมพูดผิดไหมครับ คุณ คาวา ยานา

                    “ไม่เลยครับ ไม่เลย”

                    “อ้อ ผมพบอีกเบาะแสนึงด้วยล่ะ คุณอยากรู้หรือเปล่า”

                    “ครับ”

                    “วันนี้ฝนไม่ตก แล้วจะมีรอยเท้าได้ไงล่ะคุณ  พื้นดินก็แห้งซะขนาดนี้น่าจะคิดสักหน่อย”

                    “โอ้ ผมพลาดไปจริงๆ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้คุณและเพื่อนของคุณเดือดร้อน คุณอย่าบอกเรื่องนี้กับอารีอาได้ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนรักของผม ตอนผมผลักเขาตกหน้าผาที่จริงผมไม่ได้อยากผลักเลย แต่มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ได้โปรดอย่าบอกเขาเลยนะครับ แล้วผมจะหาทางคืนมงกุฎให้เขาเอง”

                    “คุณขโมยไปทำไมกันล่ะ?” ผมถามกลับบ้าง

                    “คุณก็คงจะเดาได้นะครับ ผมต้องการเงินครับ เงิน!! ผมมีหนี้ มันจึงทำให้ผมเกิดความคิดที่จะขโมยมงกุฎ กอปรกับเพื่อนของผมเล่าเรื่องมงกุฎทับทิมให้ฟัง ผมก็เลย...

    “เมื่อคุณทราบแล้วก็ได้โปรดช่วยผมเถอะนะครับ ผมไม่อยากให้อารีอาเสียใจ เพราะเขาคือเพื่อนคนเดียวของผม ถ้าเขารู้ เขาคงจะเกลียดผมไปตลอดแน่...”

                    ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก็จะตอบรับคำขอของเขา แล้วพวกเราก็พากันเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งทุกคนรออยู่

                    “ไปทำอะไรกันมาเหรอ อธิศ” พีระถาม

                    “อ๋อพอดี ฉันอยากให้เข้าพาไปยังสวนหลังบ้านน่ะ เพื่อจะเจอมงกุฎ แต่ก็ไม่เจออะไร”

                    “อ้าว ไหนนายบอกว่าเจอแล้วไงอธิศ บอกว่าอยู่ในห้องนั่งเล่นไง”

    “ฉันล้อเล่นน่ะ ฉันแค่อยากหลอกพวกนายเล่น”

    “แย่มาก ทำไมทำอย่างนี้” วรีบ่นบ้าง พลางมองผมเขม็ง แต่ผมไม่สนใจหรอก

                    “เอ่อ...คือ คุณอารีอาผมขอผ่านล่ะกันเรื่องนี้ ผมไม่มีปัญญาหามงกุฎให้คุณได้แล้วล่ะครับ ผมขอตัวล่ะ ลาก่อน” ผมพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแกล้งบอกอารีอาด้วยหน้าสลด “บางที คุณลองเอาฟันน้ำนมใส่ไว้ใต้หมอนดูสิครับ คุณอาจจะเจอมงกุฎอยู่ใต้เตียงก็ได้นะครับ ถ้าคุณหลับแล้วตื่นขึ้นมา”

                    จากนั้นผมก็หันไปขยิบตาให้คาวา ยานา ก่อนจะลากเพื่อนทั้งสองที่ต่อว่าผมซะยกใหญ่ ออกจากห้องโดยไม่สนใจคำทักท้วงของคุณอารีอา

                    “เฮ้ย ทำไมนายเป็นคนอย่างนี้นะอธิศ แย่จริงๆ คุณอารีอาเขาอุตสาห์ขอความช่วยเหลือพวกเรา นายก็น่าจะช่วยให้ถึงที่สุดสิ นี้ผ่านไปแค่สองชั่วโมงเอง”

                    “ใช่ นิสัยไม่ดีเลยนะ หลอกให้คนอื่นดีใจอย่างนี้ แล้วถ้าเกิดเขาหามงกุฎไม่เจอ เขาจะไม่แย่เหรอ”

                    ผมไม่ได้ตอบว่าอะไรนอกจากยิ้มให้เท่านั้น บางที่คุณอารีอาอาจจะมีนางฟ้าฟันน้ำนมเอามงกุฎมาส่งให้ตอนนอนอย่างที่ผมพูดก็ได้ ถ้าพ่อเพื่อนตัวดีของเขาจะทำให้ตามสัญญาน่ะนะ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×