ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    3 สหายนักสืบ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตราบาปสีแดง ...จาก พีระ

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 57


    สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัว ผมมีชื่อว่าพีระ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้...

                    วันนั้นเป็นวันที่ผมยังเรียนประถมอยู่ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยกันสองคน คนแรกคือ อธิศ คนที่สองคือ วรี พวกเราทั้งสามเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก จึงทำให้พวกเราสนิทกันมาก ไปที่ไหนก็จะไปด้วยกันตลอด อธิศจะเป็นคนสองบุคลิก เช่น บางเวลาเขาก็ชอบเล่นซนแบบเด็กๆ และยังชอบ พูดมากเป็นต่อยหอย แต่บางเวลาเขาก็มักจะแสดงอาการเงียบขรึม ไม่ยอมพูดยอมจากับใครเลยเป็นวันๆ ก็มี

    ส่วนอีกคนคือ วรี เธอเป็นผู้หญิงจำพวก “ยิปซี” เพราะเธอชอบแต่งตัวรุงรังแบบพวกโบฮีเมียน ผมก็ยังฟูฟอง แถมยังดูลายมือคนเก่งมากๆ เพื่อนๆ ในห้องจึงไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเธอนัก ส่วนอุปนิสัยใจคอของ วรีคือ เธอเป็นคนร่าเริง และไม่ค่อยอยู่สุขนัก เหตุนี้จึงทำให้ผมหลงรักเธอ...

    เอาล่ะผมจะเข้าเรื่องสักที

    วันนั้นเป็นวันที่ฟ้ามืดครึ้มตลอดทั้งวัน ในขณะนั้นผมกำลังนั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนทั้งสองอยู่ที่โรงอาหารของโรงเรียนอยู่

    “เฮ้ พีระ นายคิดยังไงกับ ตึกที่เขาสร้างอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนนี้บ้างล่ะ” อธิศถามผม

    ตึกที่ว่าคือตึกที่ถูกสร้างขึ้นจากโรงพยาบาลเก่า เพื่อทำเป็นห้างสรรพสินค้า

    “ฉันคิดว่าห้างนี้คงจะหลอนมากแน่ๆ” ผมตอบ

    “ใช่ ฉันคิดว่าพวกเขาไม่ควรเอาตึกนั้นมาทำห้างเลย เพราะถ้าเขาทำห้าง ห้างนั้นก็จะเจ๊ง เพราะว่าทำเลมันไม่ดี อีกอย่างห้างนั้นก็เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน ยิ่งไม่ควรใหญ่” ผมเห็นวรีที่กำลังเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย หันมาบ่น

    “ฉันก็เห็นด้วยกับวรีนะ แต่พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ กินข้าวต่อเถอะ” ผมพูดก่อนจะตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารต่อ

    ตกเย็นวันนั้นผม วรี พีระ ก็เดินทางกลับบ้าน แต่แล้ว พวกเราก็ต้องเดินผ่านตึกที่จะกลายเป็นห้างสรรพสินค้าในอนาคตจนได้ เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ห้างนั้นความรู้สึกแปลกๆ ก็จู่โจมผม ความรู้สึกของ... ความ ริษยา และ ความอาฆาต

    ผมหันไปไปมองตึกที่ว่าอีกครั้งด้วยความรู้สึกสั่นระรัวในหัวใจ ผมถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ก็ไร้ผล ผมไม่รู้อะไรเลย!!

     ผมจึงหันไปหาเพื่อนทั้งสองคน ผมก็พบว่าวรี อธิศก็เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับผมแต่... หลากอารมณ์

    ผมหันไปมองอธิศก่อน  ผมเห็นเขาร้องไห้ แววตาของเขามีความสงสารปรากฏ จากนั้นผมก็หันไปหาวรีบาง แววตาของเธอกำลังจดจ้องกับอะไรบางอย่างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

    เหตุใด? พวกเราทั้งสามถึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ นี่ขึ้นได้ เพียงแค่เดินผ่านตึกที่เคยเป็นโรงพยาบาลแห่งนี้...

    ผมเกิดรางสังหรณ์แปลกๆ ในจิตใจ ผมรีบย้ำเท้าเข้าไปในตึกนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงทักท้วงของวรีที่ไล่หลังมา ความรู้สึกนี้มันคืออะไรผมไม่ทราบ ผมรู้แต่เพียงว่าผมต้องเข้าไปเท่านั้น...

    เมื่อถึงที่ที่ผมเกิดรางสังหรณ์ ภาพที่เห็นต่อหน้าผมก็คือ เด็ก!!!

    เด็กที่มีอายุประมาณสองขวบ นอนตายอยู่... ข้างๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังใช้มีดกรีดร่างของเด็กคนนั้นอยู่ ดูจากหน้าของเธอ ผมคิดว่าเธอคงเป็นคนจีน และดูจากการกรีดเด็กที่เป็นตัวอักษรของเธอ ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ มันเป็นภาษาจีน แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร

    เมื่อผมเห็นดังนั้นผมก็กำลังจะตะโกนให้เธอหยุด ก็พอดีกับที่อธิศใช้มือปิดปากห้ามผมไว้

    “อย่าพีระ เราควรแจ้งตำรวจก่อน”  อธิศบอกเสียงแข็ง เมื่อผมได้ยินดังนั้น ผมจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นเพื่อโทร. หาตำรวจ แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เกิดหันหน้ามาทางผม เตรียมตัวจะเอามีดไล่แทงพวกเรา!!

    ผมกับวรีและอธิศ รีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว พวกเราพร้อมใจกับโยนกระเป๋าทิ้ง เพื่อจะสามารถวิ่งได้อย่างคล่องตัว แต่แล้วผมก็เห็นว่าวรีได้หยิบไม้หน้าสามที่อยู่ใกล้ๆ มาเป็นอาวุธ

    “วรีนั้นเธอจะทำอะไร!!!” ผมตะโกนถาม

    “ก็จะฟาดผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ ถามได้” วรีตอบ

    “แต่เธอจะเป็นอันตรายน่ะ ให้อธิศทำแทนเถอะ” ผมตอบ

    “นี้นายรักฉันมากเลยนะพีระ” อธิศหันมาบ่น ก่อนจะเดินไปเอาไม้กับวรีมาถือแทน เมื่อหญิงชาวจีนคนนั้นวิ่งมา อธิศก็รีบใช้ไม้หน้าสามฟาดหัวหญิงชาวจีนคนนั้นอย่างแรงและรวดเร็ว ทำให้หญิงชาวจีนคนนั้นสลบไปทันที

    “เฮ้ย เธอจะตายไหมนั้น อธิศนายนี่โหดจริงแท้” ผมหันไปแขวะอธิศ

    “เก่งจังอธิศ สมกับที่เป็นญาติฉันจริงๆ” วรีหันไปชมอธิศ ผมลืมบอกไปว่า อธิศและวรีเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน

    หลังจากนั้นผมก็โทรแจ้งตำรวจ กว่าตรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุก็เกือบหนึ่งชั่วโมง

    แต่ระหว่างนั้นอธิศก็มัดมือมัดเท้าของหญิงชาวจีนคนนั้นเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินกลับไปดูศพของเด็กคนนั้นด้วยความเวทนา และ สงสาร ตัวอักษรของเด็กคนนั้นคือคำว่า “

    หลังจากนำตัวผู้ต้องหาไปได้แล้ว ก็ได้รู้ว่าหญิงคนนั้นเป็นคนจากประเทศจีน ที่แอบลักพาตัวเด็กน้อยมาเมืองไทยที่ต้องฆ่าเด็กคนนั้นก็เพราะว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกเลี้ยงของเธอ ซึ่งก็คือลูกของเมียน้อยของสามีเธอนั้นเอง

    และ ที่เธอต้องสลักคำว่า ไว้ทั้งตัวของเด็กคนนั้นก็เพราะ เธอต้องการให้เด็กคนนั้นตายอย่างทุกข์ทรมานโดยมีความเกลียดชัง ติดอยู่ทั่วร้างของเด็กน้อย

    เหมือนกับว่าคำนั้นจะเป็นตราบาป ที่คงอยู่ชั่วนิรันทร์ สำหรับเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา...

     

     

      แปลว่า เกลียด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×