คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Blow Me (One Last Kiss) || JinMark
Blow
Me (One Last Kiss)
Pairing : Park Jinyoung x Mark Tuan
Rate : PG-13
Bg song: Blow me (one last kiss)- Pink https://www.youtube.com/watch?v=3jNlIGDRkvQ
Author : wssw2801 (I AM)
โลกนี้ช่างหยาบคาย
ไม่สิ
โคตรจะหยาบคาย
ผู้กำกับบ้าอะไรวะ พูดจาเหมือนไม่มีใครรัก
หรือไม่ก็ทะเลาะกับคนข้างบ้านก่อนมาออดิชันรึไง
โถ เพราะจินยองเป็นที่รักหรอกนะ
เขาถึงไม่พูดว่าทะเลากับเมียมารึไงให้มันเสียปาก
ไอ้หมาเอ๊ย
อันนี้พูดในใจ
ผู้กำกับใจหยาบ(?) พูดมาได้ไงวะว่าเขาได้เพราะแค่หน้าตา
อดหลับอดนอนมาหลายวันหลายอาทิตย์ พร่ำฝึกซ้อมการแสดงมานานจนจะมากกว่าอายุลูกคุณด้วยซ้ำ
นี่ยังไม่รวมเวลาแห่งการตัดสินใจ เวลาแห่งการเลือกว่าจะเดินทางสายนี้นะ
แบบนั้นก็คงตั้งแต่คุณผู้กำกับสุดใจดีคนนี้ยังไม่เจอเมียมาให้ทะเลาะ
ถ้าคิดว่ามีดีแค่หน้าตาก็ไม่ต้องรับไปเลยสิโว้ย
มารับแล้วเอาไว้เป็นกระโถนระบายอารมณ์แบบนี้มันไม่โปรเลยสักนิด แต่นึกไปนึกมาที่ผู้กำกับพูดก็คงถูกอยู่บ้าง
ซ้อมการแสดงอยู่คนเดียว ไม่เคยเล่นให้ใครดูเป็นวงกว้าง อย่างมากก็แค่ในค่ายตัวเอง
จะมีใครมาวิจารณ์ ตบซ้ายตบขวาให้เขาเข้าที่กันเล่า เจอตบทีนึงก็เอาซะแบนติดข้างฝา
ถึงจะรับคำติชมได้ก็เถอะ แต่มันโกรธ เข้าใจมั๊ย
ปาร์คจินยองโกรธธ!!!!
คำรามสักทีดีมั๊ย ย๊าก…
“ไอ้หนู เป็นอะไร เดินกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว”
เออะ
จินยองสะดุดกึกจนหน้าจะคว่ำ
เงยหน้าไปเห็นคุณตาขายผลไม้ข้างทางมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง เขาหลุบตามองตัวเอง
มือสองข้างเผยออกด้านข้างเหมือนกำลังคุยหับคนล่องหน
เมื่อเคลื่อนสายตาไปที่กระจกหน้าร้านค้าข้างทาง
ตาเหลือกๆกับริมฝีปากที่อ้ากว้างทำให้เขารู้สึกตัว
ว่าไม่ได้พูดในใจ
ตายล่ะ
“อ…เอ่อ ผมซ้อมการแสดงครับคุณตา
ผมกำลังจะเป็นดาราแล้วนะ คุณตาคอยดูผมในทีวีนะ” เขาส่งเสียงที่คาดว่าเพราะที่สุด
สวมวิญญาณปาร์คจินยองที่เหล่านกน้อยไอก๊อตเซเว่นเห็นเป็นประจำ
ปาร์คจินยองผู้เลอโฉม
คุณตาส่งสายตาที่จินยองคิดว่าเรียกไปด่าน่าจะเจ็บน้อยกว่า
“เออ สู้ละกันไอ้หนู”
“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ” จินยองรีบโค้งตัว
บอกลาผู้อาวุโสแล้วเดินจากมา แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงแว่วไล่หลัง
“ไอ้หนุ่มนี่คงเครียดเรื่องเรียน พูดคนเดียวเหมือนคนบ้า”
เขาถอนหายใจ เร่งฝีเท้า
เดินทางกลับบริษัทเพราะอาจจะมีงานต้องคุยต่อ แต่พอผ่านร้านจีเอสแล้วก็ต้องหยุดพัก เดินเข้าไปกะจะซื้อเครื่องดื่มเย็นๆชื่นใจ
ดับความรุ่มร้อนในร่างกายไว้ก่อนที่จะไปกินหัวเพื่อนในวง…
…ขนาดน้ำยังไม่เข้าข้างปาร์คจินยองคนดีเลย โลกนี้มันเป็นบ้าอะไรกัน
พระเจ้านี่เป็นคนขี้ซ้ำเติมหรอ เห็นเขาโดนด่ามาแล้วก็ต้องแกล้งเขาเพิ่มใช่มั้ย
กะอีแค่น้ำขวดเดียวที่เป็นยี่ห้อโปรดยังกินไม่ได้
ได้ ไม่อยากให้กินยี่ห้อที่ชอบนักใช่มั๊ย
จะกินที่มันมีอยู่ให้หมดเลย เขากวาดมือเข้าไปในตู้แช่เย็น หยิบชาเขียวทุกยี่ห้อที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาทีละขวดด้วยความรวดเร็ว
ปากขมุบขมิบ พึมพำด่ากราดตั้งแต่คนส่งของ พนักงานเช็คสต๊อก
ลามไปถึงพระเจ้าที่อยู่บนฟ้า
ปัง
พนักงานสาวตกใจที่เห็นปาร์คจินยองสุดเนี๊ยบกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ
ผมเผ้าชี้ฟูเพราะเจ้าตัวขยี้จนเละไม่เป็นท่า เขาไม่สนใจสายตานั่น
กระแอมเร่งให้เธอรีบคิดเงิน พอสาวเจ้าคิดเงินเสร็จเขาก็เดินเชิดหน้าออกจากร้านทันที
ไม่ได้เข้าตึก
แต่เดินไปหลังร้าน
ไปเขมือบชาเขียว
เขานั่งลงที่พื้นหลังร้านจีเอส
เปิดชาเขียวทุกขวดแล้วกระดกเข้าปากทีละขวดด้วยความโมโห สาดน้ำ เหวี่ยงขวดออกไปให้กระเด็นออกไปเป็นบางครั้งเวลาที่รู้สึกไม่อร่อย
ต้องขอโทษน้องหมาตัวนั้นด้วยที่บังเอิญเอาหัวกลมๆน่ารักๆนั่นมาเป็นที่รับขวด
อารมณ์คุกกรุ่นยังไม่หายไปสักนิด
คำพูดของผู้กำกับยังคงชัดเจน แจ่มแจ้งอยู่ในสมอง
มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องนึกถึงทางแก้ปัญหา
รวมถึงวิธีจัดการกับจิตใจที่เริ่มจะอ่อนแอลงไปทุกที เขาไม่ต้องการไปปรึกษาคนอื่น
ไม่ต้องการร้องห่มร้องไห้ให้ใครได้ยิน
ไม่ใช่เพราะกลัวเพื่อนเป็นห่วง
แต่เป็นเพราะไม่ชอบยุ่งกับคนอื่น มันก็แค่นั้น
หนึ่ง วันๆเอาแต่อ่านหนังสือนิยาย
อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าหนังสือก็เป็นแค่โลกใบเล็กๆในกำมือ
จะดับสลายลงเพียงแค่ปิดมันลงไป การที่เขาเอาแต่อ่านหนังสือ ไม่ออกไปเจอผู้คน ไม่เจอเหตุการณ์รอบตัวที่อาจจะเป็นข้อคิดให้ชีวิต
นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความอดทนน้อยลง
สอง เขาเป็นที่รักมาตั้งแต่เกิดจนโต เป็นลูกคนเดียว
ถึงแม้จะเป็นคนต่างจังหวัดซึ่งมีภาพลักษณ์ว่าต้องสู้ชีวิตหรืออะไรก็ตาม อยากให้รู้ไว้ว่าต่างจังหวัดในสมัยนี้เหมือนกับเมืองหลวงอย่างกับแกะ
ตราบใดที่เขาสามารถหาซื้อเสื้อผ้าดีๆ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆได้ตามห้างสรรพสินค้า
หรือแม้กระทั่งในโลกของโซเชียลที่ทำให้เราได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแม้จะอยู่ห่างไกล
พูดง่ายๆก็คือ คุณวัดความต่างจังหวัดไม่ต่างจังหวัดด้วยชื่อจังหวัดไม่ได้อีกแล้ว
วกกลับมา(เรื่อยเปื่อยจริง จินยองพูดกับตัวเอง) เขาไม่ได้ต้องฝ่าฟันความลำบากเหมือนที่ทุกคนคิด พ่อแม่ดูแลด้วยความรัก
ความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ภูมิคุ้มกันทางสังคมเลยยังไม่ถึงจุดสูงสุด
เรื่องมันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
เพราะสภาพแวดล้อมรวมถึงผู้กำกับที่อาจจะทะเลาะกับเมียมา
สรุป โป๊ะเช๊ะ
พอโน้มน้าวตัวเองได้แล้ว (หรือที่จินยองเรียกว่าหาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้ว)
เขาก็กลับมานั่งเฉยๆ ปลอบใจตัวเองให้อดทน
สุดท้ายแล้วความประสบความสำเร็จก็จะวิ่งมาหาเราแน่นอนถ้าเราพยายาม แต่ ณ ตอนนี้เขาขอแค่นั่งปลอบใจตัวเอง
ไม่โยนความผิดให้ตัวเองคนเดียว โทษไปให้สภาพแวดล้อม ใบไม้ใบหญ้าสักเล็กหน่อยก็เท่านั้นเอง
แต่ใบไม้ใบหญ้าของจินยองคือครอบครัวเลยนะ
พอคิดได้ว่ามันชักจะออกนอกอ่าวเกินไป
จินยองจึงเลิกคิดแล้ววางแพลนสำหรับการซ้อมต่อไป
ซ้อมไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็ไม่ห่วยเองแหละ
กึก กึก
เอ๊ะ
ใครมารู้จักที่ลับของเขา
ยังไม่ทันคิดจบ
ปลายเท้าของใครบางคนก็เข้ามาในสายตา
มาร์ค ต้วนยืนยิ้มกับภาพตรงหน้า
จินยองกับพุงที่เริ่มห้อย ขวดชาเขียววางระเกะระกะเหมือนขวดโซจูในซีรีย์เกาหลี
เขาแอบขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเรอเอิ๊กออกมาจากเจ้าชายแห่งก็อตเซเว่น
“ไง หนักเลยสิ”
“มาได้ไง”
“โดนด่ามาหรอ”
“ผมไม่เคยบอกใครว่าผมชอบมานั่งที่นี่”
“ผู้กำกับพูดว่าไงบ้าง”
“พี่ไม่ซ้อมหรอ”
“เขาบอกว่านายห่วยหรอ”
“ครูฝึกบอกว่าพี่เต้นไม่ได้เรื่องหรอ”
“ตอนนี้สภาพนายแย่ชะมัด”
“พี่หล่อเสมอ”
“คิดมากไปถึงไหนแล้วล่ะ”
“ถึงบ้านพี่ที่แอลเอ”
“ไกลกว่านั้น เชื่อสิ”
“เออ ไกลกว่านั้น”
“พอเหอะ”
“เออ”
หลังจากผ่านกระบวนการไปหนึ่งชุด
มาร์คก็นั่งลงข้างๆไอ้คนพุงย้อย ความจริงวันนี้มันก็เป็นวันที่โคตรแย่สำหรับมาร์คเหมือนกัน
ท่าใหม่ก็ทำไม่ได้ ท่าเก่าก็ไปไม่รอด จะให้เขาเต้นอะไรนักหนา ท่าอะไรไม่รู้
แปลกชะมัด ถ้าอยากให้เขาตั้งใจเต้นก็ไม่ต้องมาตะคอกใส่กันหรอก อยู่เฉยๆไปนั่นแหละ
ถ้าเขาอยากเต้นเดี๋ยวเขาก็เต้นได้เองแหละ
ชิ แน่จริงก็ไปจ้าง jabbawockeez มาสิ
พ่อจะเต้นทั้งวันเลย คอยดู
ด่าก็ด่าไปเถอะ ครูฝึกอะไรนั่น
เขาไม่แคร์อยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ทำซะอย่าง ครูจะรำคาญจนอกแตกตาย ไม่มายุ่งเกี่ยว แล้วก็จะไม่ได้ยินคำบ่นอีก
มาร์ครู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร
อย่างน้อยเขาก็มีความรับผิดชอบมากพอ แต่มาร์คไม่ชอบการด่าไร้สาระ ถึงแม้จะไม่เก็บมาคิดแต่มันก็บั่นทอนจิตใจไม่น้อย
คนด่าคนว่าก็แค่เปลืองน้ำลาย แต่คนถูกด่ามันเปลืองหัวใจ
เขารู้ว่าจินยองเป็นคนตรงกันข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง
คิดมากเหมือนโลกจะแตกเอาอีกห้านาทีข้างหน้า จินยองเป็นคนชอบคิด
เก็บมาคิดหมดทุกอย่างอย่างกับเก็บแต้มเอารางวัล บางทีมาร์คก็รำคาญ
จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไมกัน พ่อเขาสอนมาให้รู้จักปล่อยวางแต่ก็ห้ามลืมการพัฒนา
บวกกับความเฮี้ยวโดยนิสัยเข้าไปอีกหน่อย คนแบบมาร์คต้วนจึงเกิดขึ้น
และนั่งอยู่บนทางเดินโสโครกหลังร้านขายของชำอยู่แบบนี้
มาร์คไม่ใช่คนเก่งอะไร
ก็แค่ผ่านมาได้ มันก็แค่นั้น
“………………..”
เขาแค่นั่งเงียบ เพราะรู้ว่าจินยองไม่มีทางปริปาก
และมาร์คก็รู้ว่าจินยองไม่ต้องการคนช่วยแก้ปัญหา แต่ต้องการที่จะ แชร์
ปัญหากับอะไรสักอย่าง แม้แต่ใบไม้ก็คงผ่านการคัดเลือกเพราะเรื่องในสมองจินยองมันเยอะเหลือเกิน
ตอนนี้มาร์คจึงทำหน้าที่เป็นแค่สสารรับเรื่องล่องหนจากจินยองอยู่
อาจจะดูน่าขนลุก
แต่มาร์คคิดว่ามันน่าจะช่วยคนหน้านิ่วคิ้วขมวดนี้ได้
“…กลับเหอะพี่” อย่าคิดว่าแค่ครู่เดียวหลังจากที่เขาพูดกันครั้งสุดท้าย
แต่นี้มันประมาณชั่วโมงได้ที่เขานั่งให้ยุงกัดกันเล่นๆ มาร์คพยักหน้า ยันตัว
ลุกขึ้นพลางมองหน้าจินยองไปด้วย ถึงแม้อาการจะดูบรรเทา
แต่ดวงตาสีเข้มยังคงแข็งกร้าว คิ้วหนาขมวดสลับกับคลายเป็นพักๆ
ทำปากงึมงำบ่นอะไรไม่รู้เรื่อง
มาร์คขำเสียงดังลั่น
ระหว่างที่นั่งลงไปเคียงข้างกัน
เขานึกถึงแม่ที่อยู่ห่างกันเป็นซีกโลก นึกถึงผู้หญิงที่สวยที่สุดในชีวิต ยามที่เขาเหนื่อยล้า
แม่จะเข้ามานั่งใกล้ๆ
จุ๊บที่ริมฝีปากเบาๆหนึ่งทีเพราะเขาคอยแต่จะดันแม่ออกด้วยความอาย
แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่มาร์ครู้สึกว่าพลังชีวิตเขากลับคืนมาเต็มเปี่ยม
ไวเท่าความคิด
มือเรียวๆก็สัมผัสที่โครงหน้าคนที่เจ้าตัวคิดว่าไม่หล่อ ขยับเข้าจุมพิตที่ริมฝีปากเย็น
หลับตาลง มองย้อนกลับไปในวัยเด็กที่มีแม่คอยปลอบประโลม
ณ ตอนนี้ เขาทั้งสองคนอยู่ไกลบ้านไกลเมือง
การให้กำลังใจกันคือสิ่งที่มีค่าที่สุด เมื่อกลีบปากเราสัมผัสกัน
อีกฝ่ายเอียงหัวเล็กน้อยให้เราแนบชิด แม้จะอยู่ในแวดล้อมที่สกปรก
อับชื้นไปด้วยข้าวของ เราจูบกันไม่ต่างจากสัตว์ตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โสโครก
แต่ความรู้สึกในหัวใจไม่ใช่เช่นนั้น
เราอยู่ในสนามหญ้ากว้างหน้าบ้าน เราอยู่ในที่ที่สายลมพัดโชย เราอยู่ในอ้อมกอดของบุพการีและพี่น้อง
เราอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
ด้วยเพียงแค่จุมพิตเดียว
จินยองลืมตาขึ้นหลังจากที่ผละออกจากกัน
ไม่มีอาการเขินอาย ไม่มีความอึดอัดแม้จะอยู่ในความเงียบ
เขายิ้มให้กันได้อย่างสุดใจ
ก่อนที่เขาสองคนจะออกจากซอกตึกเน่าๆ
หรือหัวใจเน่าๆจากวันที่โหดร้าย ไปสู่แสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามใกล้ตก
แสงที่แยงตาทำให้เขาสองคนรู้ว่าทุกวันยังมีทางออกของจิตใจที่บอบช้ำ กลิ่นอ่อนๆของแดดทำให้ทั้งจินยองและมาร์ครับรู้ถึงการรับรู้ได้ของประสาทสัมผัส
ตอนนี้เขายังมีชีวิติยู่ด้วยกัน
ในที่สุดทั้งสองคนก็ก้าวออกมาสู่แสงสว่าง
บางทีมาร์คก็คิดว่าความคิดเยอะของจินยองมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
การที่ใครคนนึงคิดเยอะมันก็หมายถึงว่าความรู้สึกของคนๆนั้นมันอัดแน่นและหลากหลาย
ถึงแม้มันจะขมวดกันเป็นปมเหมือนหูฟังเน่าๆในกระเป๋า แต่มาร์คก็คิดว่าจินยองจะผ่อนคลายเมื่อเราได้คลายปมเหล่านั้นออกไปได้
จินยองรู้สึกถึงความผ่อนคลาย ความหวัง และความห่วงใย
อีกหนึ่งอย่างที่ไม่มีทางลืม
…จินยองรู้สึกขอบคุณ
“…ขอบคุณนะ…”
Just when it can't get worse, I've had a shit day (No!)
Have you had a shit day? (No!), we've had a shit day (No!)
I think that life's too short for this, I want back my ignorance and bliss
I think I've had enough of this, blow me one last
kiss.
END
ความคิดเห็น