คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Drive My Car || JinMark or MarkJin
DRIVE
MY CAR
Pairing: Jinyoung x Mark or
Mark x Jinyoung
Rate: PG-13 (จริงๆ)
Bg Song: Drive My Car ; The
Beatles https://www.youtube.com/watch?v=8Ts2U1mkfz4
วันหยุดช่วงฤดูร้อน
หากจะเปรียบเทียบกันจริงๆ
ก็คงคล้ายกับบั้นท้ายงอนๆที่หลบอยู่ใต้กระโปรงบานของสาวเชียร์ลีดเดอร์
ชื่นใจเมื่อได้จ้องมอง ตื่นเร้าเมื่อได้นึกถึง
สาบานได้ว่าผมไม่ได้พูดถึงหญิงสาวชมรมปอมปอมเชียร์
แต่ผมกำลังพูดถึงแสงแดดและสายลมในเดือนมิถุนาต่างหาก ที่แอลเอหนาวจับใจเมื่อหน้าหนาวที่ผ่านมา
ผมเกลียดความหนาวพอๆกับที่ผมรักหน้าร้อน หิมะทำให้ผมเกิดความใคร่รู้ในหัวจิตหัวใจ
มันไม่มีประโยชน์ใดๆที่จะถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงดำรงอยู่"
ผมหมายถึงดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความสับสน ขาดหายทั้งที่รู้สึกเต็มแน่น
ผมเกลียดตัวเองที่รู้สึกเหงาแล้วเริ่มวิเคราะห์ตัวเองอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาสาเหตุของความเหงาทั้งที่มันมิได้จำเป็น
ผู้คนไม่รู้ตัวว่าเวลาที่เดินกันเป็นคู่มันยิ่งลดอุณหภูมิที่ต่ำมากพออยู่แล้วให้ต่ำลงไป
ผมไม่ได้ปิดหูปิดตาถึงขนาดที่จะหลอกตัวเองว่าหน้าร้อนจะมีคนเดินกันเป็นคู่น้อยลง
พิลึกน่าดูถ้าจะคิดว่าเพียงแค่ตัวเลขในเทอร์โมมิเตอร์เพิ่มขึ้นจะทำให้คนเลิกกันได้
โปรเฟสเซอร์เจบียังไม่เลิกกับยองแจ
แล้วเรื่องอะไรผมถึงต้องคิดแบบนั้นถึงจะภาวนาให้เขาเลิกกันบ้างก็ตามที
เหตุผลง่ายๆที่สามารถตอบได้คือแดดไม่ได้ทำให้หนาว
แต่ทำให้ตื่นตัว กระชุ่มกระชวยคล้ายๆกับการดูบาสข้างสนามแล้วเห็นแก้มก้นงอนๆในกางเกงทับในรัดติ้ว
ผมสมมติให้คู่รักที่เดินจับมือกันเป็นน้ำแข็ง พอเจอหน้าหนาวที่มีกลิ่นอายแห่งความมืดหม่น
มันยิ่งทำให้รอบตัวผมห่อเหี่ยวบรรลัย แต่เมื่อน้ำแข็งมาอยู่ในหน้าร้อน
แสงแดดมีหน้าที่หลอกตาให้ไอเย็นงี่เง่านั่นดูจะหายไปได้ คล้ายแก้มก้นกลมๆดึงดูสายตาให้ไม่ต้องเห็นว่าทีมที่ตัวเองชอบแพ้ราบคราบ
เพราะฉะนั้น หากจะมีคนมาจูบกันต่อหน้า
ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขารักกันขนาดที่ผมต้องเหงาและอิจฉา
มีของดี – เดวิส
ผมมองข้อความ แย้มยิ้ม
หากจะเปรียบเทียบอีกครั้ง ของดีของเดวิสก็เหมือนจีสตริงของปอมปอมเกิร์ล รู้กันอยู่แล้วว่าพวกเธอมักจะใส่กางเกงทับเพื่อเซฟตัวเอง
แต่สำหรับสาวเจ้าบางคนเท่านั้นแหละที่ลืม (หรือไม่ก็ตั้งใจ) โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้มันโชคล้วนๆ
และนั่นหมายถึงรถคลาสสิกดีๆที่เป็นบุญหล่นทับคงได้มาไม่ง่าย
ผมจุดบุหรี่
เดินเท้าไปที่โรงรถของเจ้าของข้อความ ไม่ไกลจากวิทยาลัยก็ถึง
"ไม่เอาน่ามาร์ค
ถึงโรงรถของฉันจะเก่าแต่ฉันก็ไม่อยากให้มันระเบิด"
เสียงทุ้มต่ำลอยมาจากที่ไหนสักแห่งในโรงรถ
ผมยักไหล่ ดับบุหรี่แล้วสอดมันกลับเข้าที่เดิม ไม่อยากได้ยินเจ้าของอู่หรือที่เรียกกันนามว่าเดวิสต้องบ่นยาว
เราเจอกันครั้งแรกใกล้ๆมหาวิทยาลัยในสถานการณ์พิลึกพิลั่น เขาวิ่งเปลือยเข้ามาหาผม
ปลายคิ้วแตกเลือดเกรอะกรัง รอยลิปสติกที่แดงจนใกล้เคียงกับคำว่า แดงฉ่า ลอยเด่นอยู่ที่ลำคอ
เขาหลุดลุ่ย วิ่งเท้าเปล่า ความตื่นตระหนกตัวใหญ่เท่าฝาบ้านแปะอยู่บนใบหน้า
"เพื่อน
ที่ไหนพอจะให้ฉันซ่อนได้บ้าง ใครจะไปรู้ว่านังนั่นมันมีผัวแล้ว มันเอาปืนในลิ้นชักฟาดฉันเสียโลกหมุน"
ผมสะดุ้งจากการถูกขอความช่วยเหลือ
อยากยืนคิดอีกสักหน่อยว่าควรจะให้ชายผู้นี้โดนตีตายเพราะความโง่หรือให้เขารอดเพราะผู้ชายทุกคนต้องบริหารไอ้นั่น
ผมคิดพร้อมหลุบตามองต่ำ สุดท้ายผมก็เลือกอย่างหลังแล้วชี้ไปที่โกดังเก็บของของคณะ หลังจากนั้นเขาแสดงความจำนงที่จะเลี้ยงเบียร์โดยขอเวลาไปเพิ่มเสื้อผ้าให้ตัวเอง
สักครู่ใหญ่ๆเราสองคนจึงออกไปนั่งคุยสัพเพเหระ เขาเลี้ยงเบียร์
ผมเลี้ยงทรัฟเฟิลฟรายส์เขาหนึ่งมื้อชดเชย
“ความรู้สึกส่วนตัว ไม่ชอบการติดค้าง” ผมพูดเสียงหนักแน่น เขาขมวดคิ้ว เราสองคนคุยกันนานพอ เวลาส่วนใหญ่ถูกทำให้หมดไปจากการที่เดวิสเอาแต่สาปแช่งผู้สร้างรอยแผลบนหน้าผาก
มีเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้นที่น่าสนใจมากสำหรับผมคือเขาเปิดอู่ซ่อมรถแถมยังสะสมรถคลาสสิก
เขายื่นโทรศัพท์ให้ผมดูรูปเพื่อยืนยัน ไม่สนใจเสียงหัวเราในลำคอของชายผิวเข้มเมื่อเขาเห็นสายตาหื่นกระหายของผม
“อยากบอกให้รู้
ผมชอบมัน ไม่ได้มีนัยยะอะไร” ผมยิ้มโง่ให้เดวิส
ลืมผงทรัฟเฟิลที่พึ่งเลียจากปลายนิ้วไปเสียสนิท
ชักอยากจะให้เดวิสตอบแทนอะไรสักอย่างจากการที่ผมช่วยต่อชีวิตเจ้าโลกของเขาไว้
ในที่สุดเขาก็หัวเราะ สบถภาษาถิ่นอะไรสักอย่างออกมา “เจ้าพวกกลับกลอก
ฉันให้นายยืมขับเมื่อไรก็ได้ที่นายต้องการ” หลังจากนั้นมา ผมก็แวะเวียนมาที่
เดวิส แอนด์ คลาสสิก บ่อยกว่าหอพักเสียอีก
“รุ่นนี้ฉันเคยมีแต่น้องชายเจ้าปัญหามันเอาไปชนกำแพงเสียเรียบร้อย
เละไม่เหลือซาก” เดวิสถอยตัวออกจากใต้รถ เอาผ้าเช็ดคราบน้ำมันตามตัว
วางประแจ หันมายิ้มโชว์ฟันขาว
“Cadillac Eldorado สัญชาติอเมริกัน จอดทิ้งอยู่ในปั๊มโคตรนานเลย ไม่รู้ทำไมถึงไม่สอยไปนอนกอดด้วยสักคืน
แต่ก็ดีเพราะฉันซื้อมันมาในราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นเหรียญ
เจ้านี่มันหรูกว่าสิ่งที่ฉันมีอยู่มากเลยมาร์ค ตอนเจอมันครั้งแรกฉันนึกถึงคำที่นายชอบพูดว่า…”
“จีสตริงของปอมปอมเกิร์ล”
“นั่นแหละว่ะ
เว้นแต่นายจะไม่มีเจ้าของจีสตริงมานั่งเป็นเพื่อน”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
ผมเฉยเมย
เดินลูบไล้ตัวรถอยู่นานแสนนานระหว่างที่เดวิสเอาแต่สาธยายสิ่งที่ผมไม่ได้รู้เรื่องด้วยมากนัก
“ระบบเปิดประทุนไฟฟ้า ท้ายรถทรงครีบปลา
ไฟเบรกดวงที่สามอยู่เหนือไฟทรงกลม ล้อแม็ก ยางขอบขาว
ภายในเป็นสีขาวตัดแดงพวงมาลับสองก้าน แปดสูบเจ็ดพันซีซี แปดร้อยสี่สิบห้าแรงม้า
เอามาเคาะๆนิดหน่อยก็ได้แล่นฉิว” ผมปล่อยให้เสียงแหบๆของเดวิสลอยผ่านหูไป
ผมมันพวกชอบอะไรแค่ผิวเผิน เครื่องยนต์
กำลังกี่แรงม้าอะไรทั้งหมดนั่นผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
สิ่งที่ผมสนใจคือรูปร่างและความเป็นคลาสสิกของมันต่างหาก รูปลักษณ์ที่ดูเก่าของมันเจ๋งเป็นบ้า
“นายจะให้ฉันแต่งเพิ่มไหม
นายเป็นคนขับมันนี่”
ผมส่ายหัว “วิ่งได้ก็พอแล้ว”
“ขอบใจนะเดวิส
ค่ำๆจะเอามาส่ง” ผมรับกุญแจจากเดวิส สวมแว่นสีชาคู่ใจ
สตาร์ทเครื่องทันที มันสั่นกระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะคำราม
เดวิสดูปลาบปลื้มที่มันใช้งานได้โดยไม่งอแงต่อหน้าคนขับอย่างผม เมื่อเหยียบคันเร่ง
มันคำรามอีกครั้ง
ผมรู้ได้ว่ามันจะไม่ไปเสียอยู่กลางทางคล้ายกับการร่วมเพศแบบไม่เสร็จกิจ ฤดูร้อนของผมคงไปได้สวยอย่างที่หมายมั่นตั้งใจ
“มั่นใจนะว่าจะไม่มีสาวสักคนนั่งไปด้วยกัน”
เดวิสพูดขำๆ
“ไม่เคยมั่นใจไปมากกว่านี้แล้ว”
ทำไมหลายคนถึงไม่เคยเข้าใจว่าการเที่ยวคนเดียวมันดีตรงที่ไม่ต้องมาเอ่ยปากคุยกัน
ผมตีโพยตีพายในหน้าหนาวก็จริง แต่ก็ต้องการที่จะอยู่คนเดียวแบบไม่ต้องคิดอะไร
ไม่ต้องฟังเรื่องราวของใครให้หนักหัว แต่ก็นั่นแหละ
ผมมันคนส่วนน้อยเพราะคนส่วนใหญ่มีความคิดว่าเราต้องคุยกับใครสักคน นั่นมันข้ออ้างเอาไว้บังความกระอักกระอ่วนเวลาไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า
เมื่อหกล้มคนเดียว เราจะอับอายเพราะสายตาคนมอง ต่างกับล้มเวลามีเพื่อนไป
อย่างน้อยก็หัวเราะโง่ๆใส่เพื่อนแล้วเดินต่อได้อย่างไม่ใส่ใจเพราะคิดว่ามีเพื่อนคนเดียวที่มองเห็น
คนเราไม่ต้องการที่จะอายคนเดียวจริงมั้ย
“ฉันหาผู้หญิงให้นายได้นะ
อย่างน้อยลูกสาวฉันก็มองนายตาเป็นมัน เด็กไปหน่อยก็เถอะ”
“ขอบใจเดวิส
แต่ไม่เป็นไร”
“ฉันอาจจะเก็บได้ตามทางก็ได้
ใครจะไปรู้”
ผมพูดปัด เข้าเกียร์
หักพวกมาลัยบางสวย เคลื่อนตัวออกจากโรงรถด้วยความสุขใจ
“สมพรปาก
อย่างน้อยให้เจ้า Cadillac มันทำงานเรียกสาวบ้าง”
ผมยกมือขอบคุณเดวิสที่ตะโกนไล่หลัง
ยิ้มมุมปากกับความเป็นห่วงเป็นใยเกินไปของเพื่อนจากทางใต้ หักรถเข้าสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าสู่หนทางไร้จุดหมาย
เข้าสู่อาทิตย์อัสดงแห่งฤดูร้อน
______________________________________
Baby you can drive my car
Yes I'm gonna be a star
Baby you can drive my car
And maybe I love you
ผมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
เพลงสุ่มขึ้นมาจากเครื่องเสียงของรถคือเพลง DRIVE MY CAR ของ THE BEATLES สงสัยอย่างหนักถึงความรู้ใจของเจ้าของเก่า
บางทีเขาอาจจะเสียใจที่รู้ว่าผมจะใช้ลูกชายของเขาเพื่อขับรถเล่นเท่านั้น
ไม่ใช่เพื่อเอาไว้จีบผู้หญิงแต่อย่างใด รถมีไว้เพื่อขับ มิใช่เอาไว้อวดเสน่ห์
นั่นคือคติประจำใจ แต่ผมไม่เปลี่ยนเพลงให้เสียบรรยากาศหรอก
ผมขับรถก็ต้องฟังเพลงเกี่ยวกับการขับรถก็น่าจะถูกแล้ว อีกอย่าง เพลงของ THE
BEATLES นั้นดีเกินกว่าจะนอกใจเป็นอื่น
ถึงจะบอกว่าขับรถชมวิวอย่างไม่มีจุดหมาย
แต่ความจริงแล้วผมก็นึกได้ว่าผมควรมีสักที่หนึ่งที่ผมจะไป
ไม่เช่นนั้นผมจะไม่รู้ว่าผมจะขับรถไปทางไหนและสุดท้ายแล้วผมจะหลงทาง
หลังจากนั้นซัมเมอร์ของผมจะถูกเผาด้วยความหงุดหงิด ต้องหาทางกลับบ้านมากกว่าอยากขับรถกินน้ำมัน
จุดมุ่งหมายของผมยังอยู่ในบริเวณของแคลิฟอร์เนีย
ไกลขึ้นไปจากมาลิบูประมาณสิบไมล์
ผมขับรถให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะผมต้องการเวลาในการสูดดมกลิ่นอุ่นๆของแดดยามบ่าย
อยากจะถอดแว่นกันแดดแต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะผมจะแสบตาจนไม่สามารถขับรถกินลมได้ดั่งใจ
เมื่อถึงเวลาที่อยากจะให้สายลมสัมผัสหน้า ผมเหยียบคันเร่งขึ้นเล็กน้อย
จนปลายผมที่ปรกหน้าปลิวขึ้น เสร็จแล้ว ผมจึงผ่อนคันเร่ง
ผมกดรีพีทเพลง
DRIVE MY CAR ซ้ำๆเพราะไม่คิดว่าจะมีเพลงไหนที่เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้อีกแล้ว
ยกเว้นเรื่องผู้หญิงที่ผมไม่สนใจ หนทางจากวิทยาลัยมาที่มาลิบูค่อนข้างไกลแต่ไม่ได้ยากลำบากอะไร
รถคลาสสิก แสงแดด สายลม ต้นไม้ต้นสูงส่ายไปมาราวเต้นรำ สี่สิ่งนี้สร้างความสุขให้ผมอย่างต่อเนื่อง
และไม่ขาดตกบกพร่อง ผมตัดสินใจเข้าถนนเลนซ้ายเตรียมเข้าโค้ง
เห็นป้ายบอกทางไปถึงจุดหมายที่ผมตั้งใจไว้ พร้อมคำเตือนถึงเส้นทางขรุขระยากลำบาก
ชายคนหนึ่ง เสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มทับเสื้อยืดสีดำ
กางเกงยีนสีฟอกกับทิมเบอร์เลน สะพายกล้องตัวไม่เล็กไม่ใหญ่
ไม่รวมถึงเป้ใบหนึ่งที่ตัดสินได้เลยว่ามันใหญ่อยู่บนแผ่นหลัง เขาเดินเชื่องช้าอยู่ริมถนน
ท่าเดินเขาแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ
มันช้าเกินไปสำหรับการเดินท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง หากเขาจะถ่ายรูปผมจะไม่สงสัย
แต่เท่าที่สังเกตมาคือเขาไม่ได้แตะกล้องเลยแม่แต่น้อย
ดวงตาเขาจดจ้องไปที่ข้างหน้าอย่างมั่นคง ปลายเท้าขยับเชื่องช้า
แต่มันเป็นไปด้วยความเร็วคงที่ เพราะแบบนี้กระมังที่ผมคิดว่าท่าเดินของเขามันแปลก
คนเราไม่ควรเดินด้วยความเร็วที่เท่ากันขนาดนั้น
ผมสงสัยว่าเขากำลังจะไปไหน เส้นทางที่เขาและผมกำลังเดินทางมันมีอยู่จุดมุ่งหมายเดียว
และผมมั่นใจว่ามันไกลมากสำหรับหรับการเดินในอุณหภูมิแบบนี้
“ถ้าไม่รังเกียจ
ผมขอถามได้ไหมว่าคุณกำลังจะไปไหน” ผมชะลอรถและจอดใกล้กับที่ชายคนนั้นยืนอยู่
เขาหันหน้ามา ผมรู้ได้เลยว่าเป็นคนเอเชียแต่ยังคงใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพราะความสามารถในการสื่อสารภาษาทางเอเชียผมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
เขาสูงเกือบหกฟุตได้ ใบหน้าคมคาย พร้อมกับดวงตาส่องประกายราวกับดวงดาว ยามเขาจดจ้องที่ใบหน้า
กลายเป็นผมที่รู้สึกอึดอัด ดูเหมือนเขาจะเป็นพวกที่ชอบจ้องอะไรนานๆ
“EL MATADOR ครับ” ผมขยับตัว กระแอมเล็กน้อย
นานทีเดียวกว่าเขาจะตอบกลับมา เสียงเขานุ่มเป็นบ้า
“ผมกำลังจะไปที่นั่น
คุณสนใจจะ…นั่งรถไปกับผมมั้ย”
ผมกำพวงมาลัยแน่นเพราะรู้สึกไม่ชอบใจที่ไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมกับการชวนใครสักคนให้ขึ้นรถไปด้วยกัน
โดยไม่มีเจตนาที่จะทำให้มันดูแปลกประหลาดในสถานการณ์ที่เขาเดินคนเดียวและผมเป็นผู้ขับรถผ่านทางมาและชักชวนเขาเพื่อขึ้นรถ
ผมไม่อยากใช้คำว่า ติดรถ เพราะมันเหมาะกับเหตุที่เขามาข้อร้องผมมากกว่า
แต่การพูดว่า นั่งรถ นั่นก็ดูจะใกล้เคียงกับ เฮ้ สาวสวย
นั่งรถไปกับผมมั้ย ซึ่งคนตรงหน้าผมไม่ใช่แบบนั้นแม้แต่น้อย
I told that girl I can start right away
And she said, "Listen baby I got something to say
I got no car and it's breaking my heart
But I've found a driver and that's a start"
เขาเว้นเวลาไว้นานพอให้จบเพลงหนึ่งท่อน
ในขณะที่ผมต้องเสนอหน้าให้เขาจ้องมอง
มันเนิ่นนานเกินไปจนผมคิดว่ามีอะไรที่ดูผิดปกติ ชายคนนี้อาจจะขาดความสามารถในการประเมินสถานการณ์และโต้ตอบกับเพื่อนมนุษย์
“หลายไมล์กว่าคุณจะถึงชายหาด
แดดร้อนแบบนี้คุณอาจจะต้องไปพบพระเจ้าก่อนที่จะได้ถ่ายรูป พอถึงที่หมายค่อยแยกทางกันไป
คุณเข้าใจผมมั้ย” ผมถอดแว่นกันแดดออก
พยายามสื่อสารกับเขาอีกครั้ง จนกระทั่งเขาเปิดประตูเข้ามาในรถ
โยนเป้ไปนอนเอกเขนกที่ปลายเท้า เห็นหนังสือที่ดูเหมือนจะเป็นวรรณกรรมโผล่ออกมา
“ขอบคุณ ผมชื่อจินยอง
พึ่งย้ายมา…เพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้น”
“ผมมาร์ค” ผมบอกสั้นๆเพราะรู้สึกหมดกำลังไปกับการพูดก่อนหน้านี้
พินิจได้ว่าชายคนนี้ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร อาจเป็นบุคลิกประจำตัวที่ชอบจ้องหน้าคนนานๆ
ผมได้แต่คิดแล้วออกรถโดยไม่ลืมที่จะสงสัยถึงคำที่จินยองเลือกใช้ดูจะแปลกไปเสียหน่อย
เพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้น…
เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไปโดยที่ผมยังคงกดรีพีทโดยไม่สนใจว่าผู้ร่วมทางจะรู้สึกอย่างไร
ถือคติว่าคนขับคือเจ้าของรถและการเดินทาง
ไม่อึดอัดนักที่เขาไม่พูดอะไรเลยเพราะผมก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
เราเป็นเพียงแค่คนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันเท่านั้น
กระทั่งเขาตั้งคำถามขึ้น “ทำไมคุณถึงรับผมขึ้นมา”
ผมลูบจมูก
อาการที่ผมเป็นเวลาประหม่า อาจะเป็นผมเองที่ขาดความสามารถในการสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ที่พึ่งเจอกัน
“จริยธรรมกระมัง”
ผมคัดสรรคำ
“จริยธรรม?”
“ใช่ จริยธรรม”
ผมยืนยัน
“ขอคำจำกัดความของคำว่าจริยธรรมของคุณหน่อยได้มั้ย”
เขาเริ่มมองหน้าผมแบบไร้เหตุผลอีกครั้ง บางครั้งที่มันดูทะลุทะลวง
แต่บางครั้งมันก็ดูว่างเปล่าเสียฉงนใจ “ถ้าหมายถึงกลัวคุณจะหลงทางและเปลี่ยนเส้นทางไปสวรรค์
ก็ใช่ จริยธรรมของผม”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายิ้ม
และรับรู้ได้ว่าองค์ประกอบที่รวมกันเป็นใบหน้าของเขามันสวยงามยิ่งนัก
เขาไม่ได้หล่อมาก แต่ดูดีพอไม่น่าเบื่อ “แปลกนะ จริยธรรมของคุณกับผมคนละความหมายกันเลย”
ผมขมวดคิ้วและถาม “ได้โปรดบอกผมหากคุณต้องการจะบอก”
“จริยธรรมของคุณที่รับผมขึ้นมา
มันหมายถึง การที่คุณสละเวลาในการท่องเที่ยวคนเดียวของคุณมาให้คนอย่างผม…” ดวงตาเขาเปล่งประกายอีกครั้ง ผมรู้สึกรวดร้าว
“ไม่มีอะไรใครที่ใจดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
คุณมาร์คคงเข้าใจ”
ชายแปลกหน้ากดรีพีท ฮัมเพลง DRIVE MY CAR ของ THE
BEATLES
______________________________________
“ทำไมคุณถึงชอบเดิน”
ผมตะโกนสู้เสียงลมถามเขาเมื่อเหลือระยะทางอีกประมาณสองไมล์ที่จะถึงจุดที่ต้องจอดรถและต้องเลือกว่าจะเดินหรือขับรถผ่านเส้นทางขรุขระยิ่งกว่าดวงจันทร์
รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไปขัดจินยองที่กำลังยื่นมืออกไปนอกตัวรถ หลับตารับลม ผมมันคนไม่รู้จักจังหวะเสมอ
นั่นคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เขาลืมตา “เพราะผมขับรถไม่เป็น”
ผมขำพรืด แย่นักที่เสียมารยาท
แต่มันไม่มีทางที่คนรูปลักษณ์ดีแบบนี้จะขับรถไม่เป็น โชคดีที่เขายิ้มบางตอบรับ “ไม่อยากจะเชื่อ คุณสะพายกล้อง
คุณอ่านวรรณกรรม หน้าตาดี แต่ขับรถไม่เป็น”
“ใช่ว่าผมถ่ายรูปเป็น
อ่านหนังสือหลายเล่ม แล้วผมจะต้องขับรถเป็น ใช่ หล่อไม่จำเป็นต้องขับรถเป็น แต่ขับรถเป็นทำให้หล่อขึ้นต่างหาก
ความคิดคุณสลับกัน”
“โอเค ผมยอมแพ้
แต่หากคุณขับรถเป็น คุณจะชอบเดินอยู่มั้ย”
“คุณต้องถามตัวเอง
เพราะผมไม่เคยขับรถ ผมไม่สามารถเปรียบเทียบได้” ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่เป็นครั้งที่สองหลังจากเจอผู้ชายคนนี้เพียงชั่วโมงกว่า
สุดท้ายแล้วผมจึงถอนหายใจ ถามตัวเองเพื่อตอบคำถามที่ตนเองอยากรู้ “ผมชอบขับรถ เพราะผมชอบรถคลาสสิก และชอบที่จะขับ ไม่เคยมีการเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ชอบมาก่อน
ผมชอบเพราะชอบ ขอโทษด้วยที่ถามอะไรโง่ๆ”
“นั่นคงจะเป็นคำตอบ”
“แต่คุณควรจะขับได้
เพื่อความสะดวก”
“ผมไม่ชอบให้คนในครอบครัวสอน
มันโคตรจะงี่เง่า” ผมพยักหน้ายอมรับ
มันงี่เง่าอย่างที่จินยองว่าจริงๆ “ผมช่วยคุณได้นะจินยอง
หากคุณมีเวลามากพอในวันนี้ แน่นอน ผมไม่ใช่คนในครอบครัว มันน่าจะได้ผล”
เขาเงียบไปอีกแล้ว
“คุณรู้มั้ยว่าการสอนขับรถที่ได้ผลเพอร์เฟ็คที่สุดคือใครสอนใคร”
“ไม่ครับ”
เขายิ้มมุมปาก หันหน้ามา พูดเสียงโมโนโทน
“คือคนที่กำลังจีบกัน…”
รถกระตุกเพราะผมเข้าเกียร์ผิด ก่อนที่จะพูดเสียงเบากว่าสายลมพัดผ่าน
“ผมไม่ได้จีบคุณ
มันคงไม่ได้ผล”
“น่าขัน…ผมบอกเมื่อไร…ว่าคนที่สอนต้องเป็นคนจีบ เสียใจ คุณคิดกลับด้านอีกแล้ว”
ผมรู้แล้ว…ว่าใครที่รู้จังหวะเสมอ…
ชายแปลกหน้าอย่างไร…อย่างนั้น…
______________________________________
เรามาถึง EL MATADOR ในเวลาที่ดีที่สุด นั่นคือพระอาทิตย์กำลังตก
เราตัดสินใจจอดรถป้องกันความเสียหายแล้วเดินผ่านเส้นทางขรุขระ พร้อมด้วยเหตุผลที่ผมบอกจินยองว่า
“นึกถึงสาวที่อยากจะออนท็อปแต่ช่วงล่างไม่แข็งแรงสิ”
เขาเงียบแล้วเดินตามอย่างยินดี ผมรู้สึกเหมือนชนะได้หนึ่งยก ดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก
ชายหาดนี้เต็มไปด้วยก้อนหินก้อนใหญ่
เงียบสงบต่างจากชายหาดอื่นๆ คงเป็นเพราะอยากให้ช่วงล่างแข็งแรงอย่างที่ผมพูดไป
สีเข้มบนท้องฟ้าเวลาพบคล่ำเป็นพื้นหลังให้ดวงอาทิตย์สีแดงสด แสงสีส้มทองพาดผ่านโดยมีน้ำทะเลเป็นจุดหักเหคลื่นแล้วสาดแสงออกเป็นวงกว้าง
หากคนภายนอกมองเข้ามาคงเห็นชายสองคนยืนด้วยกัน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า
อีกข้างยกเบียร์ขึ้นมาจิบ
“เวลานี้ต้อง Beachwood Brewing ใช่มั้ยล่ะ” ผมยกคราฟต์เบียร์ขวดใหญ่ขึ้นตรงหน้า
จินยองหัวเราะ แต่ไม่พูดอะไร ยกเบียร์ขึ้นจิบเงียบๆ ผมเลิกสงสัยเรื่องที่เขาไม่ถ่ายภาพเลยสักภาพ
เลือกที่จะปลดปล่อยอารมณ์ไปกับพระอาทิตย์ตกดิน อย่างน้อยมันเป็นผลพลอยได้จากการเดินทางร่วมชั่วโมงที่มีเพลงเก่าเป็นเพื่อน
รวมถึงคนร่วมเดินทางคนใหม่ ตอนแรกผมคิดว่าจะบอกลา
ต่างคนต่างเดินเมื่อเราถึงจุดหมาย แต่เปล่าเลย
กลายเป็นผมที่เดินไปซื้อเบียร์ขวดย่อมสองขวดแล้วกลับมาที่เดิม คนเรามักเป็นแบบนี้เสมอ
ต้องการที่จะทำในสิ่งที่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็ปรารถนาในสิ่งตรงข้ามจนสุดประตู
บางคนสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ขณะที่คิดอยากตายทุกห้วงหายใจ
ออร่าบางอย่างของชายแปลกหน้าไม่ทำให้ผมหนักใจอย่างที่คิด
อาจจะเป็นเพราะเขาไม่พูด หรือไม่ก็รู้จังหวะที่จะพูดมากกว่า ผมพินิจ คิดได้ว่าเขาฉลาด
แยบยลในการวางตัวกับความสัมพันธ์ใหม่ที่เกือบจะล่าสุด
เขาดึงรั้งเมื่อผมเริ่มหย่อนในบทสนทนายามที่ไม่ควรหย่อน ส่วนตอนนี้เขากำลังจะหย่อนเพื่อให้ผมได้พูดอะไรสักอย่าง
เขานั่งลงบนพื้นทราย
เท้ามือไปด้านหลัง มองไปด้านหน้า ปลายผมดำขลับของเขาสะบัดตามสายลม มันพลิ้วไหว เหมือนเปลวไฟเกลี่ยไปตามใบหน้าหล่อเหลา
ผมเริ่มดำดิ่งได้จากการมองเขา ความสงบของเขาสวยงามยิ่งกว่าท้องทะเล ผมรู้สึกดี ปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์
“ผมชอบเที่ยวคนเดียว”
ผมเกริ่น ไม่คิดว่าเขาจะถามหาสาเหตุเลยเลือกที่จะบอกเอง “ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบการรับฟัง แต่ส่วนใหญ่ที่เคยพบเจอมา
แต่ละคนมักเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง ไม่ว่าจะหน้าหนาว หน้าร้อน ใบไม่ร่วง
ผมหมายความว่า บรรยากาศไม่ช่วยให้คนพวกนั้นรู้เลยว่า ณ เวลานั้น เขาควรจะทำอะไร ผมเลยกลับมาคิดว่า
ผมอาจจะต้องการคนที่รับฟังผมบ้างเช่นกัน ผู้หญิงที่ผมมีความสัมพันธ์ด้วย
หลายคนรับฟัง แต่ท้ายที่สุด ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยากจะพูดให้ใครฟังขนาดนั้น
บางครั้งผมจัดการความรู้สึกตัวเองได้ บางครั้งผมจัดการมันไม่ได้ เลวร้ายอย่างมาก
แต่ไม่ได้ต้องการจะบอกเล่าขนาดนั้น แย่ตรงที่ผมยังคงแตกสลายในสภาวะเช่นนั้น
สภาวะที่คิดว่าผมอยู่ได้ คุณเข้าใจมั้ย ผมไม่ต้องการในขณะที่ผมก็ยังต้องการ”
ผมหอบหายใจราวกับพูดมาเป็นแรมปี รู้ว่าเขากำลังฟัง ตกตะกอนสถานการณ์ผิดเพี้ยนของผมอย่างตั้งใจ
“คุณเลยเที่ยวคนเดียวเพื่อที่จะได้ไตร่ตรองตัวเอง?”
เขาถามหลังจากเงียบไป
“การเที่ยวคนเดียวทำให้ผม ไม่คิด อะไรเลยต่างหาก
นั่นคือเหตุผลที่แท้จริง”
จินยองจิบเบียร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พอๆกับผมที่เฝ้ารอให้สายลมพัดผ่านไป จนกระทั่งเขาเกร็งตัว เหมือนกับพร้อมที่จะพูด
“เราทุกคนล้วนมีความต้องการ คุณมาร์ค” ผมหลับตา และรับฟัง
“เรามีสิทธิ์ที่จะต้องการความรัก
คนรับฟัง คู่นอนปลดปล่อยอารมณ์”
“คุณรู้จัก โอโนเร่
เดอ บัลซัค มั้ย นักเขียนชาวฝรั่งเศส เขากล่าวไว้ว่า ความโดดเดี่ยวเป็นเรื่องดี
แม้กระนั้นคุณก็ยังต้องการใครสักคนเพื่อบอกเขาว่าความโดดเดี่ยวเป็นเรื่องดี”
“แปลก ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างแท้จริง
ตัวตนของคุณอยู่ได้แต่หัวใจโง่ๆของคุณไม่สามารถอยู่ได้
ความขัดแย้งมันทำให้เกิดภาวะแตกสลายอย่างที่คุณว่า หากคุณถามว่าผมเข้าใจมั้ย
ผมตอบได้เลยว่าผมเข้าใจดี”
เงามืดบางอย่างบดบัง ผมลืมตา
ในขณะที่เขากระซิบ และมองผมอย่างเปิดเผย “ผมรู้ คุณไม่ได้ต้องการอ้อมกอด คุณไม่ต้องการความรัก หัวใจของคุณกำลังเย็นเฉียบ
เพียงมีหัวใจอุ่นร้อนของใครบางคนมาอยู่เคียงข้าง…”
ดวงดาวเขาทอดแววอบอุ่นในประโยคสุดท้าย
“ในระยะที่ไม่ร้อนเกินไป…และไม่หนาวเกินไป…”
หัวใจเย็นเฉียบของผมอุ่นซ่าน
ผิวหนัง เลือดเนื้อ เต้นระบำ กรีดร้อง ล่องลอย และดำดิ่ง ผมไม่สามารถสรรหาคำใดที่เหมาะสม
แม้จะค้นหามันมากเท่าไร
ผมได้แต่กระซิบช้าๆ “ตราบใดที่คุณเป็นสุข และสามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้
นั่นหมายความว่าคุณยังเป็นสุขไม่มากพอ…และตอนนี้ผมไม่สามารถอธิบายมันออกมาได้”
เขาจูบผมหลังจากที่ผมพูดจบ
ผมเกร็งตัวในอ้อมกอดอุ่นร้อน ก่อนที่จะปล่อยกายให้อ่อนยวบเหมือนของเหลว
ปลดปล่อยความรู้สึกหนักอึ้งให้พ้นร่าง เขาช่วยปลดปล่อยผมออกจากความสับสน
เติมเต็มภาวะขาดหาย สลัดความเต็มแน่นจอมปลอมทิ้งไป และสอนให้ผมยอมรับตัวเองว่าผมคือมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิ์ต้องการใครสักคน
นั่นเพียงพอแล้วที่ผมจะตอบรับจูบของเขาด้วยความเต็มใจ
เราทั้งคู่ผละออกจากกัน และฮัมเพลง DRIVE MY CAR
Baby you can drive my car
Yes I'm gonna be a star
Baby you can drive my car
And maybe I love you
END
#iamjinmark
ขออภัยสำหรับความเนือย
ความจริงชอบเนื้ออะไรแบบนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณพี่ต้าร์ที่โยนเพลงดีๆมาให้ อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน
หากทำให้ผิดหวังน้องก็ขอกราบอภัย หากใครชอบก็ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ เลิฟยูว
I AM
ความคิดเห็น