คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Home Run Special : LA Boy (END)
Home Run Special
: LA Boy (End)
Pairing: Park Jinyoung and Mark Tuan
Rate: PG-13
“ขอโทษที่มาช้า”
มาร์คเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์
หลังจากได้รับคำสั่งผ่านทางข้อความว่าให้เจอกันที่ร้านอาหารร้านเดิมเวลาสามทุ่ม
มาร์ครีบแต่งตัวออกจากบ้านด้วยรอยยิ้ม
หัวใจที่เคยนิ่งสงบจนเกือบจะหยุดมีโอกาสเต้นเร็วอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้วที่คนอย่างมาร์คต้วนจะรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากขนาดนี้
การได้รับคำสั่งให้ออกมาเจอกันที่เดิมทำให้มาร์ครู้สึกดีมากกว่า
อาจแปลกประหลาดที่ว่าการเซอร์ไพรซ์ควรจะเป็นสถานที่ใหม่ๆ
เหตุการณ์ตื่นตาตื่นใจเล่นเอาใจสั่น แต่มันไม่ใช่สำหรับชายผู้ชอบทำอะไรพื้นๆ
อย่างเดียวที่ต้องการเป็นแค่เลือดเนื้อและเสียงอบอุ่นจนปวดร้าวของปาร์คจินยอง
แม้จะเป็นอาหารมื้อเดิมบนโต๊ะตัวเดิม เพิ่มเติมคือความใส่ใจในวันสำคัญ
อาจมีความเคอะเขินอยู่บ้างในบางครั้ง คาดว่าจะเป็นแบบนั้น
แต่มาร์คคิดว่ามันจะไม่เป็นอะไร
คนเราควรใฝ่หาความมหัศจรรย์ของความธรรมดา
เพียงแค่นั้นความสุขจะโบยบินหาโดยที่ไม่ต้องกระดิกตัว
เขาพร้อมจะหลงลืมเรื่องราวที่ผ่านมาเพียงเพื่อความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในปัจจุบัน
หลายคนคิดว่ามันโง่เง่า
แต่ถ้าไม่เจอกับตัวจริงๆคงไม่รู้หรอกว่าหัวใจคนเรามีพื้นที่สีหม่นอยู่จริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก นายเลี้ยงฉันใช่มั้ย”
มาร์คยิ้มแป้น เงยหน้ามองเพื่อนที่แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ
เสื้อคอเต่าสีดำคลุมด้วยสูทสีเทาโก้หรู
ต่างจากเขาผู้ใส่เป็นแค่เชิ้ตสีพื้นกับกางเกงผ้าทรงหลวมโพรก
“แน่นอนอยู่แล้วสิ”
คิดว่าเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ถามเพื่อให้บทสนทนาไหลลื่น วันนี้วันเกิดมาร์คทั้งทีจินยองจะไม่เลี้ยงก็คงแปลก
“เข้าร้านกันเถอะ อย่าเสียเวลาเลยคุณมาร์ค”
คนผมทองหลุดขำออกมาเพราะเห็นเจ้านายสุดเนี้ยบโค้งตัวลงราวเป็นคนรับใช้เจ้านายผู้สูงส่ง
เห็นแบบนั้นแล้วสองเท้าจึงก้าวเดินเข้าไปในร้านสเต็กร้านโปรดของทั้งสองคน ประตูไม้เปิดออกพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊ง
โต๊ะประจำของพวกเขาอยู่ที่มุมร้าน ตำแหน่งที่เห็นวิวสวนของทางร้านชัดเจน
เมื่อเดินเข้าไปบริเวณโต๊ะ
รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นเพราะมีเมนูโปรดของเขาวางอยู่แล้ว
เพียงแค่จินยองจำเมนูที่ตนสั่งเป็นประจำได้ แค่นี้ก็ไม่รู้จะเก็บความสุขไว้ที่ไหน
แน่นอน มันต้องถูกเก็บไว้ชดเชยเวลาที่จินยองมีคู่ควงคนใหม่
มันไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากหากเขายังอยู่ในตำแหน่งเพื่อนผู้รู้ใจ
“ทำไมมีไวน์ขาวด้วยล่ะ”
“เด็กนอกประสาอะไรไม่รู้ว่าสเต็กปลาของนายต้องทานคู่กับไวน์ขาว”
จินยองยักคิ้วมาให้ก่อนที่จะรินของเหลวสีใสลงแก้วทรงสูง
ต่างจากไวน์แดงของจินยองที่ทานคู่กับสเต็กเนื้อฉ่ำน่าทาน “ครับ
เจ้านาย ขอคนโง่คนนี้ทานเลยแล้วกัน”
เรื่องราวสัพเพเหระไหลผ่านโต๊ะมากมายจนมาร์คไม่รู้ว่าคนสองคนจะคุยกันได้มากเรื่องมากราวถึงเพียงนี้
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บนสนทนาราบรื่นไม่หยุดหย่อน
ส่วนมากจะเป็นมาร์คที่ปิดประเด็นโดยมีจินยองเป็นคนตอบรับหรือปฏิเสธด้วยเสียงหัวเราะเบาๆตามสไตล์
“ไปเข้าห้องน้ำนะ”
“ไปสิ”
เพียงอย่างเดียวที่เจ้าของวันเกิดสังเกตและรู้สึกกวนใจไม่น้อย…
จินยองมองนาฬิกาบ่อย
อาจจะมีนัดตอบงาน…
“นายรีบใช่มั้ย
กลับกันก็ได้นะ” เมื่อจินยองกลับมา
มาร์คไม่จำเป็นต้องปกปิดความสงสัย
ทำไมการนัดกินข้าวที่แสนจะธรรมดาจะเลิกเร็วกว่าปกติไม่ได้
สบายๆอยู่แล้วแม้วันนี้จะเป็นวันสำคัญ
อย่างไรเขากับจินยองก็ได้ทานอาหารด้วยกันบ่อยๆอยู่แล้ว
“ไม่หรอก…”
“แต่นายดูมีเรื่องสำคัญจะต้องทำ
ฉันรู้”
“…………….”
รอยยิ้มเจือบางอย่างของจินยองทำให้มาร์ครู้
รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะดีใจอีกต่อไป
ตั้งแต่คบกันมา…จินยองไม่เคยแสดงสีหน้ารู้สึกผิดเลยครั้งเดียว
ถึงมันจะมีอยู่น้อยนิดแทบไม่สังเกตเห็น
แต่ตอนนี้มาร์ครู้แล้วว่าเหตุการณหลังจากนี้ไม่มีทางทำให้เขายิ้มกว้างเหมือนตอนที่เดินเข้าร้าน
และเมื่อคำตอบของเรื่องเดินเข้ามา
ความสุขที่เก็บไว้ในตอนต้นได้ถูกหั่นออกมาใช้ทันที
มีดแหลมคมคือปาร์คจินยอง…และผู้หญิงในผับคนนั้น…ที่เดินเข้ามานั่งแนบชิดกับผู้ชายใจร้ายคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ คุณมาร์ค”
เขามองหน้าจินยอง
ปาร์คจินยองผู้สนใจแต่เรื่องที่ตนต้องการ
รอยยิ้มรู้สึกผิดถูกฝังกลบไปด้วยความต้องการที่ไม่เคยสิ้นสุดของผู้ชายคนหนึ่งผู้เอาแต่เรียกร้องหาความสัมพันธ์
คนตรงหน้าน้อมตัวข้ามจากฝั่งตรงข้าม
กระซิบถ้อยคำขณะที่หญิงสาวขอตัวไปล้างมือ
“ฉันชวนเธอมาเดทมาร์ค
เธอให้เหตุผลว่าเธอไม่ต้องการมากับฉันสองต่อสองเพราะว่ามันจะทำให้เธอดูไม่ดี
เธอจึงบอกให้ฉันชวนใครก็ได้มาด้วย พอฉันบอกว่านึกไม่ออกว่าจะชวนใคร
เธอกลับเสนอว่าต้องการพบนายผู้ทำให้เราสองคนได้รู้จักกัน”
“คนอย่างนายปฏิเสธได้อยู่แล้ว”
ปลายจมูกแหลมชนเข้ากับสันกรามสวยเพียงเพราะจะผินหน้ามาหยิบเครื่องดื่ม
เขาไม่สนใจว่าจินยองไม่ยอมขยับหน้าออกไปแม้เพียงน้อยนิด
ร่างกายเรียกร้องเครื่องดื่มจนสั่นสะท้าน
ในขณะที่หัวใจกำลังรอฟังคำตอบที่เป็นตัวตัดสิน
“เธอบอกว่าถ้านายไม่มา
เธอก็จะไม่มา”
เมื่อสบตาใกล้ชิดกับดวงตาดำสนิท
มีประกายบางอย่างไม่สามารถอ่านออก แต่เขาไม่สนใจอ่านมันเพราะนั่นเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครเข้าใจ
เลือกหันมาควบคุมลมหายใจที่เริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นน้ำหอมประจำกายจินยองคละคลุ้งในโพรงจมูก
ร่างโปร่งถอยหลังออกจากการกระซิบที่ไม่จำเป็นพึงนึกเกลียดภาษาของร่างกายที่มีเฉพาะเขาสองคน
ทันทีที่แผ่นหลังกระทบกับพนักพิง เสียงแหบพร่าจึงเคลื่อนออกจากลำคอ
“ไม่บอกฉันล่วงหน้าล่ะจินยอง
ทำไมต้องเป็นความลับในวันที่ฉันถามนาย”
“……………….”
“ไม่ตอบล่ะจินยอง
คนอย่างนายจัดการทุกอย่างได้เสมอ จริงมั้ย” นิ้วเรียวเกี่ยวแก้วเปราะบาง
เหม่อมองของเหลวเคลื่อนไหวไปตามจังหวะการหมุนข้อมือ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“………………..”
“นายไม่ตอบ” พลันนั้นเสียงเบาหวิวเริ่มแข็งกร้าวขึ้น
พร้อมดวงตากราดเกรี้ยวที่มาร์คไม่เคยใช้มันกับจินยองเลยสักครั้งเดียว “ทำไมถึงไม่บอกฉันล่วงหน้า ฉันรู้คำตอบดีจินยอง
เพราะนายรู้ว่าฉันไม่ต้องการที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากการติดต่อขอเบอร์
จัดการนัดสถานที่ จัดช่อดอกไม้ หรือตามชำระคดีที่นายก่อไว้”
“และนายก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะฉันไม่เคยต้องการที่จะเป็นผู้ยุ่งเกี่ยวใดๆกับความสัมพันธ์ของนายกับผู้หญิงคนอื่น
นายถึงไม่บอกฉันล่วงหน้าเพราะฉันไม่มีทางยอมมาและนั่งสมเพชตัวเองบนโต๊ะอาหารแบบนี้
ฉันไม่ได้โกรธที่นายไม่บอกฉันล่วงหน้า จินยอง
แต่ฉันโกรธนายเหลือเกินที่ทำให้ฉันต้องมาทำสิ่งที่เกลียดที่สุดนั่นก็คือการเป็นตัวแปรสำคัญของชีวิตรักไม่ว่าจะของใครก็ตาม
ฉันไม่ต้องการให้ใครคู่นั้นต้องหยุดเดินเพียงเพราะฉันคนเดียวที่ต้องการจะพักหายใจ”
“น่าเสียใจ…ฉันได้บอกนายแล้วตั้งแต่วันแรกที่นายขอให้ฉันติดต่อผู้หญิงให้นาย
แต่นายก็ไม่รักษาสัญญา”
“ฉันสมเพชตัวเองมากที่สุด
เพียงเพราะนายเอ่ยปากขอร้องจากคนที่ไม่มีทางปฏิเสธนายได้ลง ฉันถึงสมเพชตัวเองที่ปล่อยให้นายใช้ความรู้สึกของฉันเป็นเครื่องมือ”
“และตอนนี้…ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยนั่งกับนายไปจนจบมื้อ”
มาร์คหอบหายใจในขณะที่จินยองยังคงส่งสายตาหลากความหมาย
เหมาะเจาะกับที่หญิงสาวกลับมาจากห้องน้ำ
เธอนั่งลงสั่งอาหารและยิ้มให้กับมาร์คด้วยความอ่อนโยน
เขายิ้มตอบกลับไป
“ขอบคุณคุณมาร์คที่มาในวันนี้นะคะ”
มาร์คหัวเราะเย้ยตัวเอง
เขาไม่ใช่หรือที่ควรเป็นคนที่ว่างที่สุดและเอ่ยคำขอบคุณกับแขกผู้เสียสละเวลามาในวันเกิดที่ไม่มีใครจำได้
“ได้โปรดอย่าขอบคุณเลยครับ
วันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเพื่อใคร” เขาตอบเธอแต่สบตากับผู้เป็นเจ้านาย
“คุณมาร์คมีธุระที่นี่อยู่แล้วหรือคะ”
“ใช่ครับ ตารางงานในวันนี้ของผมวงกลมด้วยดินสอ
ดูจากลักษณะคุณน่าจะชอบจดบันทึกด้วยสมุดใช่หรือไม่ครับ” มาร์คถามเธอเพราะเห็นว่ามีปลายกระดาษสีอ่อนโผล่ออกจากกระเป๋าใบค่อนข้างใหญ่ของเธอ
“คุณจดบันทึกด้วยดินสอหรือปากกาครับ”
“ปากกาค่ะ”
“ของผมใช้ทั้งปากกาและดินสอ”
“ทำไมถึงมีดินสอล่ะคะ”
“มันวงด้วยดินสอเพราะความจริงแล้ววันนี้ไม่ได้มีธุระ
แต่ว่าสิ่งที่คนอย่างผมควรทำในวันนี้ก็คือ…”
เขาสูดลมหายใจ สบตากับจินยอง
ฝ่ามือเรียวไม่ได้ถูกวางลงบนโต๊ะ
มันสั่นระริกอยู่บนบนใบหน้าเมื่อเจ้าตัวพยายามลูบหน้าลูบตาควบคุมไม่ให้เสียงแหบพร่าสั่นเทา
มันชื้นเหงื่อทั้งที่อยู่ในอุณหภูมิเย็นเฉียบ “รอฟังทางโทรศัพท์ รอดูโนติฟิเคชั่นบนเฟซบุ๊ค
รอเสียงแจ้งเตือนจากไลน์”
“และรอคำอวยพรวันเกิดจากใครบางคน…”
“ความหมายของดินสอมันก็มีเท่านี้แหละครับ”
“มาร์ค…”
“ทานอาหารกันต่อเถอะครับ”
เขาตัดบทเพราะจินยองเอ่ยเรียกชื่อด้วยเสียงอ่อนแรง
มื้ออาหารดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว
กลับกลายเป็นมาร์คที่สร้างบรรยากาศเป็นกันเองจากตัวช่วยที่เรียกว่าไวน์ขาว
ต่างจากผู้ชักชวนผู้เอาแต่นั่งจ้องหน้าเพื่อนสนิทหน้ามนที่ไม่สบตากันอีกเลย
แต่เหมือนกับหญิงสาวจะฉลาดพอที่จะรู้เรื่องราว
เธอจึงรับรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วและไม่เรียกร้องของหวาน
มาร์คสังเกตว่าเธอใกล้จะรับประทานเสร็จ เขาจึงเอ่ยขอตัวเพราะอยากให้สองคนได้อยู่ด้วยกันสักนิด
“พรุ่งนี้เข้าทำงานมั้ย…” จินยองถามขณะที่มาร์คลุกขึ้น
เงียบไปครู่หนึ่ง
มาร์คใช้เวลาคิดอยู่สักพัก จึงเอ่ยขึ้นชัดเจน
“ทำสิ…ไม่ได้เป็นอะไร…ทำไมจะต้องหยุดงาน…”
ถูกแล้วที่ตอบไปอย่างนั้น
เพราะอยากจะใช้เวลาทบทวนในสิ่งที่ตัวเองทำ
เขาจึงเลือกเดินกลับจากร้านอาหารมาที่สำนักงาน
ด้วยเหตุผลรองคือต้องการเอางานกลับไปทำดีกว่านั่งคิดถึงไร้สาระ
เขารู้สึกอย่างไรที่โดนทำแบบนี้
หนึ่ง จินยองไม่ยอมบอกกันเรื่องที่จะให้มาเป็นตัวช่วย มาร์คทบทวน สอง
จินยองรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเกลียดการไปเป็นส่วนร่วมของความสัมพันธ์
เหตุผลที่สองทำให้เขาโกรธจินยองมาก สาม
ความรู้สึกของเขาถูกจินยองใช้เป็นเครื่องมืออีกครั้ง และสี่
คือวันเกิดของเขาที่ถูกลืม
มาร์คผิดหวัง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มาร์คตอบจินยองไปแบบนั้น
สื่อความนัยว่าเขาจะไม่เป็นไรและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เป็นปกติ
ความเสียใจทำตัวเหมือนเชื้อโรคร้ายในร่างกาย เมื่อมันอ่อนแอลงด้วยความเคยชิน
ตัวมันจะกลายร่างและทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันเชื้อโรคตัวเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยม และนั่นเป็นสาเหตุของความผิดหวังที่ไม่ถึงกับเสียใจ
ยกเว้นที่เชื้อตัวใหม่ที่เรียกว่าความน้อยใจเข้ามาเจาะในพื้นที่สำคัญ
และเวลาที่สำคัญ
มาร์คน้อยใจที่ความสำคัญของเขาถูกลดระดับลงจนกระทั่งวันเกิดถูกลืม
และนั่นคือเรดโซนที่ถูกเจาะ
ถึงอย่างไร
มาร์คจะผ่านมันไปได้ เขาเชื่อ…ว่ามันจะเป็นแบบนั้น
เซ…แต่ไม่ถึงกับล้ม
“หนุ่มน้อย…เจอกันอีกแล้ว”
กลุ่มวัยรุ่นที่มาร์คคุ้นหน้าคุ้นตาดีจากเมื่อปีก่อน
แสงไฟข้างถนนสลัวเหลือเกิน เขาไม่สามารถที่จะคิดทางหนีทีไล่ได้ทัน
ยิ่งใบหน้าของสามคนนั้นใกล้เข้ามาพร้อมของมีคม
สายฝนในจินตนาการไหลรินอย่างบ้าคลั่ง ในวันนี้จินยองไม่อยู่ช่วยเขาอีกต่อไป
ทางสุดท้ายคือการอยู่ได้ด้วยตัวเอง
“วันนี้ผมไม่ให้อะไรคุณหรอกนะ”
แม้แต่นาฬิกาที่เป็นเข็มแทงหัวใจเมื่อมองเห็น
แต่มาร์คต้องการอยู่กับมันให้ได้
เอ่ยเจตนาเสร็จแล้วก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกัน
ชายร่างใหญ่ต่อยหน้าเสียจนเขาหน้าหัน หมดแรงจนปล่อยให้ทั้งสองคนกักตัวจากทางด้านหลัง
เหลืออีกหนึ่งคนที่ถือมีดเตรียมจ้วงแทง วืดหนึ่งที่หน้าจินยองลอยเข้ามา
น้ำตาพลันไหลรินอย่างไม่รู้สาเหตุ มาร์คยกปลายเท้าขึ้นถีบที่หน้าอกของชายคนนั้น
สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแล้วรีบวิ่งไปที่ที่ท่อเหล็กอันหนึ่งวางอยู่
เขากระหน่ำตีผู้ชายเหล่านั้น เหยียบย่ำไปที่หน้าอกพร้อมหยาดน้ำอุ่นที่ใบหน้า
มาร์ครู้ มันเหมือนกับเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่พร่ำบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรยามอกหัก
พอแม่อันเป็นที่รักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นน้ำตากลับไหลอาบหน้าอย่างง่ายดาย
เมื่อตำรวจมาถึง
เขาล้มลงด้วยความอ่อนแรง
แต่เมื่อเข่ากระแทกพื้น
มาร์คไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองล้มแต่อย่างใด
มาร์คยิ้มให้สีหน้างุนงงของพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท
อาจจะเป็นเพราะหน้าที่เริ่มจะบวมตุ่ยจนเกือบจะเรียกว่ายับเยิน
แต่ก็ไม่สนใจ รีบขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของจินยองเพื่อเอาเอกสารบางส่วนกลับไปทำงานที่ห้อง
เขาไม่ได้เปิดไฟเพราะคิดว่าจะใช้แค่แสงไฟจากด้านนอก
สองขาก้าวเดินผ่านพรมไปที่โต๊ะตัวใหญ่ของหัวหน้า เปิดแฟ้มหาอย่างใจเย็น
“กะแล้วว่านายต้องมาที่นี่”
มาร์คสะดุ้งขณะที่คุ้ยหยิบเอกสาร
ข้อมือถูกกระชากด้วยความรุนแรง เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจเมื่อพบว่าเสียงคุ้นหูและหน้าตาเลือนลางนั้นเป็นของปาร์คจินยอง
สายตาดุเข้มขึ้นในความมืด เขากลั้นลมหายใจเมื่อเจ้าของร่างสูงเดินไปเปิดไฟ
และเมื่อจินยองเห็นหน้ามาร์คเข้าชัดๆ ความเงียบทำหัวใจเต้นระรัวจนเสียงดังก้องอยู่ในหู
ลำตัวกลับถูกผลักให้ล้มลงนอนบนโต๊ะตัวใหญ่ ตามทาบทับด้วยวงแขนแข็งแรง
เสียงฝ่ามือกระแทกกับผิวโต๊ะจนคนด้านล่างอย่างมาร์คสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง
ดวงตาคมเข้มจ้องเขม็งที่บาดแผล เสียงทุ้มนุ่มลึกพูดเสียงเย็นเยียบ มาร์ครู้
จินยองไม่เคยโกรธขนาดนี้
“…อะไร”
“……………”
“ฉันถามว่าโดนอะไรมา…พูด”
“โดนจี้…เหมือนวันนั้น…” ริมฝีปากขยับช้าๆ
แทบไม่มีเสียงเล็ดรอด
“แล้วผ่านมาได้ยังไง”
ช่องว่างระหว่างลำตัวลดลงจนหน้าใจหาย
ลำตัวบอบช้ำถูกเติมเต็มด้วยกลิ่นน้ำหอม ผิวกายทาบทับจากแผ่นอก
วงแขนลดระดับลงจนเหลือเพียงข้อศอกค้ำโต๊ะ มาร์คเริ่มควบคุมระดับการหายใจไม่ได้เพราะช่องว่างระหว่างปลายจมูกของกันและกันนั้นหวุดหวิดจะหายไปเหลือเกิน
“..ส…สู้สิ…” เขาหัวเราะ “ดีใจนะ ที่สู้…จะได้ไม่ต้อง…”
เขาเงียบ พูดไม่ออก
“พูดต่อสิ” มาร์คเกร็งปลายเท้า
“…ไม่ต้องพึ่งนายอี…”
เขาคงพูดอะไรสักอย่างผิดเพราะช่องว่างระหว่างปากของกันและกันไม่เหลืออีกต่อไป
เสียงครางทุ้มต่ำเล็ดลอดออกมาเพราะความเจ็บปวดที่มุมปาก
ความชื้นจากด้านบนเริ่มละเอียดทั่วกลีบปาก มาร์คเริ่มเบี่ยงปลายจมูก ยกใบหน้าขึ้น
แอ่นลำตัวตามจังหวะที่คนด้านบนเคลื่อนไหว เผยอปากรอให้เจ้านายทดลองชิมไวน์ขาวรสชาติละมุนลิ้น
ไม่นานนักที่เขากลายเป็นลูกนกรออาหารจากเบื้องบน อ้าปากรอฟันแหลมคมที่เริ่มจะซุกซน
ไรหนวดบางเบาเสียดสีที่ปลายคาง สัญญาณแห่งความรัญจวนส่งผ่านเชื่องช้าจากเรียวขายาวที่กระทบช่วงสะโพกสอบ
ไม่รู้ว่ารองเท้าหลุดไปตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีปลายเท้าก็เริ่มลูบไล้แผ่นหลังแน่นตึง
กลีบปากล่างถูกปล่อยให้เจ้านายหนุ่มขบเม้ม
เกี่ยวรั้งตามใจเมื่ออีกฝ่ายผละออกตั้งใจให้ด้านล่างปรนเปรอบ้าง
เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ประสบการณ์จากแอลเอ
มาร์คหอบหายใจหนักหลังจากทำหน้าที่รุกล้ำในภายหลัง
เขาปล่อยมืออกจากใบหน้าชุ่มเหงื่อ ทิ้งตัวลงพื้นโต๊ะเย็นเฉียบ ปลายลิ้นชาหนึบเคลือบรสหวาน
ลมหายใจกระเส่าดัดแปลงเป็นคำพูด กระซิบชิดริมฝีปากหนา
“ต้องถามมั้ยว่าทำไม…”
“ห้ามพูด…ว่าไม่ต้องการกัน”เขารับฟัง หลับตาเงยหน้ารับจูบที่ลำคอ “ฉันไม่อนุญาต”
มาร์คจับสาบเสื้อที่กำลังจะโดนแหวกออกไว้แน่น
ไม่รู้ว่าริมฝีปากร้ายๆนั้นจะปลอดกระดุมออกได้รวดเร็วเช่นนี้
“ผมขอเหตุผล
คุณหัวหน้า”
“ฉันไม่อยากให้นายตอบว่าจะมาทำงานในวันพรุ่งนี้” เมื่อถอดเสื้อไม่ได้
ก็กลายเป็นซิปกางเกงที่ถูกรูดลงเชื่องช้า
“ทำไมรู้มั้ย เพราะนั่นหมายถึงการที่นายไม่รู้สึกอะไรกับฉันอีกต่อไป”
เสียงเนื้อผ้าสวบสาบ กางเกงผ้าของเขาถูกรูดไปกองที่ข้อเท้า
มาร์คหวีดร้อง
เส้นเลือดทุกเส้นร้อนระอุ บางสิ่งบางอย่างเริ่มก่อตัว “และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันค้นพบ…ว่าฉันทนไม่ได้”
“ฉันต้องการให้นายตอบว่า
ผมจะไม่มาทำงาน เพราะผมทนเห็นหน้าคนอย่างคุณไม่ได้ เพราะนั่นมันแสดงถึงความรู้สึกของนายที่ยังมีอยู่ครบถ้วน”
“อ…” เนื้อขาวเนียนบริเวณต้นขาบีบรัดสะโพกไว้แน่น อุณหภูมิจากฝ่ามือถ่ายเทผ่านการเสียดสีรวดเร็วแทบลุกเป็นไฟ
ผิวเนื้อแดงก่ำปรากฏสู่สายตาเพียงเน้นจังหวะที่ปลายนิ้ว มือที่กำชายเสื้อจึงเปลี่ยนเป็นจิกรั้งต้นคอหนาแทน
“ฉันรู้ว่านายรู้สึกเช่นไร
แต่ตราบใดที่มันทำให้เรารู้สึกพอใจเมื่ออยู่ใกล้กัน
มันก็ควรจะหยุดอยู่แค่ระดับนั้น” การสนทนาเป็นจริงเป็นจังไม่ควรเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้
มาร์คคิดพลางบิดกาย อ้าปากหอบหายใจรินรดใบหน้าคม จินยองยังคงกลั่นแกล้งให้เขาฟัง
ทั้งที่เขาไม่พร้อมจะตั้งสติระหว่างที่ใกล้จะถึงจุด
“แต่เมื่อมันลดลงจนเราสามารถแยกห่างจากกันได้อย่างเป็นอิสระ
ฉันก็ควรจะเพิ่ม และทำให้มันหยุดลดลงเสียที”
มาร์คใช้มือหยุดเครื่องมือสร้างความร้อนของจินยอง
จับข้อมือใหญ่ไว้แน่น หอบหายใจจนตัวโยน เหงื่อเม็ดโตผุดซึมทั่วไปหน้า ลิ้นชื้นเลียรอบริมฝีปาก
กลืนน้ำลายช้าๆก่อนจะพูดออกมาด้วยความยากลำบาก
“บอกรักอยู่หรือ”
“คิดเอาเองสิ”
“อึก….” เจ้านายคนเก่งมีมากกว่ามือที่ใช้ประโยชน์ได้
กลายเป็นมาร์คที่ต้องเชิดหน้า หลับตากรีดร้องภายใต้ฝ่ามือที่ยกขึ้นมาปิดกลั้นเสียงร้อง
ร่างโปร่งเกร็งตัวจนกล้ามเนื้อสวยเรียงตัว
เบียดต้นขาเข้าที่ข้างแก้มสากกระทั่งเรียวขาโดนจับกดลงบนพื้นโต๊ะ
ลิ้นอุ่นทำเอาร่างกายไม่ติดพื้น
สลับกับทิ้งตัวกระแทกเสียงดังในบางครั้งที่อีกฝ่ายใจดีผ่อนปรนจังหวะ
“พอ…ก่อน…จิน…อึก…” มาร์คเป็นลูกน้อง
แน่นอนว่าไม่สามารถสั่งอะไรเจ้านายอย่างจินยองได้ กลายเป็นความอ่อนนุ่มด้านหลังที่ได้รับการลงโทษ
เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อทั้งสองอย่างเริ่มพร้อมกัน
นักเปียโนอย่างจินยองใช้นิ้วมือพลิ้วไหวอย่างชำนิชำนาญ ในขณะที่ปากยังทำหน้าที่เรียกเสียงไพเราะไปทั่วห้อง
แม้ความคับแน่นจะทำให้ปลายนิ้วเคลื่อนไหวลำบาก แต่ความอุ่นร้อนของเนื้อนุ่มก็ตอบรับกับบทเพลงได้ดีจนสัมผัสกับจุดเร้าหลายครั้ง
สายธารอุ่นร้อนพวยพุ่งเมื่อร่างใหญ่บรรเลงเพลงแรกจบลง
มาร์คก้มลงมองร่างกายสั่นไหวของตนเอง
นิ่วหน้าเมื่อส่วนคับแน่นดึงรั้งปลายนิ้วเรียวไว้แน่น หน้าท้องหดเกร็งเป็นจังหวะ
หน้าร้อนวูบเมื่อสบตากับจินยองตอนใช้ของเหลวเหล่านั้นกับด้านหลังอีกครั้ง
เกลียดตัวเองเหลือเกินที่แยกปลายขาออกกว้างกว่าเดิม
“นายจะทำมันหรือ มันใจนะ” ไม่มีใครตอบคำถามเมื่อก้มทาบทับ
ความร้อนผ่าวแทรกซึมเข้ารวดเร็วจนร้องไม่ออก มือขาวขึ้นเส้นเลือดคว้าไปที่ใบหน้าหล่อเหลา
“เจ็บ…เจ็บ” มาร์คพูดเร็วๆ ใบหน้าเรียวแหงนหน้าจูบหนักๆบนริมฝีปากหนาแรงๆลดความอึดอัด
“อืม…ทำ”
เป็นคำตอบที่สายเกินไปนัก…
และแล้ว…บทเพลงที่เร่าร้อนกว่าสิ่งใดบนโลกถูกบรรเลงขึ้นโดยปาร์คจินยอง
มาร์คจับหน้าท้อง
เปิดร่างกายให้อีกฝ่ายสอดแทรกตามใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซุปร้อนๆ
เก็บกักและค่อยๆปลดปล่อยอุณหภูมิยามคนหรือตักตวง สักพักจึงกลายเป็นเนื้อสวยๆบนเตา
ร้อนฉ่าจนผิวเนื้อแดงสด หยาดเหงื่อผุดซึมไหลเยิ้ม ผิวเนื้อกระทบกันเกิดเสียงหน้าอาย
สองมือรั้งใบหน้า หยัดปลายเท้าลงบนโต๊ะ ขยับสะโพกมนตอบรับอารมณ์หนักหน่วง
พุ่งทะยานสุดการรับรู้ โสตประสาทปิดรับทุกสิ่งยกเว้นเสียงหอบครางของชายหนุ่มด้านบน
“ดี….มาก”
เรียวแขนยาวเกี่ยวรอบลำคอแน่น ใจหายวูบเพราะร่างทั้งร่างถูกยกขึ้นสูง
ก่อนจะถูกบังคับให้อยู่ในท่าน่าอายบนพื้นพรมสีดำสนิท
“ขยับหน่อยสิ” เขาตัวสั่น โอบรัดตัวตนของเจ้านายไว้แน่นกว่าเมื่อครู่
ปลายเท้าแยกออกกว้างโดยมีมือแข็งแรงรองรับที่ข้อพับ ร่างเล็กกว่าขยับขึ้นลงช้าๆ
เผยอปากค้างเพราะความล้ำลึก แหงนลำคอให้อีกฝ่ายขบเม้ม พลางจิกเล็บลงบนต้นขาแน่นก่อนจะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นตามใจเจ้านาย
เส้นเลือดปูนโปนปรากฏขึ้นบริเวณลำคอทั้งสองฝ่าย มาร์คกรีดร้องสุขสมผสมกับหอบหายใจ
ผิวเนื้อมันปลาบสะท้อนแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
ขับใบหน้าติดสวยให้นวลผ่องท่ามกลางความเร่าร้อน
“I’m gonna… ” เสียงแหบเพ้อออกมาในขณะที่ดูดดึงริมฝีปากหนา
ระบายอารมณ์ที่ใกล้เข้าสู่เป้าหมาย ก้อนเนื้อด้านหลังถูกนวดคลึง
แหวกช่องทางให้เปิดรับทุกส่วนเข้าลึกล้ำ กระทั่งร่างทั้งร่างล้มนอนลงกับพรมนุ่ม
สะโพกถูกตรึงไว้ด้านบนโดยมือกร้าน
มีเพียงความร้อนด้านล่างขยับถี่รัวจนมาร์คแทบหยุดหายใจ เสียงหวีดร้องขาดห้วง
เงียบหายเพราะกลั้นหายใจ ดังก้องเพราะส่วนล่างกระทบจุดอ่อนไหวถี่รัว
“อ…อ๊า…”ลมหายใจสุดท้ายปลดปล่อยพร้อมกับเขี้ยวแหลมคมกัดลงที่ต้นคอร้อนผ่าว
ต้นขาเรียวกระตุกเร่า บีบรัดตัวตนอีกฝ่ายไม่หยุด หอบหายใจรุนแรง ลมอุ่นร้อนรินรดใบหน้า
ริมฝีปากอ้าค้าง ดวงตาปรือปรอย แอ่นเกร็งลำตัวด้านบน
สั่นระริกตามจังหวะธารอุ่นร้อนที่พุ่งกระทบโพรงนุ่ม ดูดกลืนราวเด็กน้อยหิวโหย
น้ำนมค่อยๆล้นทะลักออกตามมุมปากช้าๆ ไหลเยิ้มประปรายไปทั่วบริเวณ
จินยองพรมจูบไปทั่วใบหน้าเรียว เกี่ยวกระหวัดร่างเล็กกว่าเข้ามาในอ้อมกอด
ในขณะที่มาร์คยังคงหอบหายใจรวยริน ดวงตาปรือปรอยลงอีกครั้ง “สุขสันต์วันเกิด” เสียงกระซิบอ่อนโยนดังขึ้นชิดใบหู
มาร์คได้แต่กอดรัดร่างหนาเป็นการตอบรับ
อย่างน้อยเชื้อร้ายของวันนี้ก็ได้ถูกทำลายไป มาร์คคิดขึ้นได้ และค่อยๆผล็อยหลับไป
เขาตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักสำรองของจินยอง
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยออกมาจากแก้ววางตั้งไว้บนโต๊ะ
ขนมปังร้อนๆสองแผ่นวางคู่กันในจานเล็ก มาร์คขยับตัวขึ้นนั่งคุกเข่า ดึงผ้าห่มออก
เตรียมตัวไปทำความสะอาดร่างกาย
หากกลับต้องเจอคุณเจ้านายเดินถือแก้วกาแฟเข้ามาเสียก่อน
“เซ็กซี่ว่ะ”
กว่าจะรู้ตัวฝ่ามืออุ่นๆจากแก้วกาแฟก็เข้าลูบไล้ที่ต้นขาด้านใน
มันจะไม่ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยถ้ามันยังไม่มีคราบขาวขุ่นจับตัวเป็นก้อนของใครบางคนเหลือเป็นหลักฐานจากเมื่อวาน
คนที่นั่งคุกเข่าได้แต่จับบ่าแกร่งรับการสั่นเทา จนกระทั่งถูกบังคับมอร์นิ่งคิสไป
มาร์คถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องการจะพูดอะไร
“เราจะเป็นอย่างนี้ต่อไปใช่มั้ยจินยอง”
คนตรงหน้าเขายกยิ้ม “ต่างไปแค่ฉันจะไม่มีใครให้นายต้องวุ่นวายอีกไง”
คำตอบของจินยองทำให้เขาพอใจ
ถึงแม้จะไม่ได้บอกว่ามาร์คต้องขยับความสัมพันธ์ขึ้นมาอีกหนึ่งก้าวโดยตรง
แต่การไม่มีใครของจินยองมันก็เปรียบว่าเขาได้ขยับขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ จากที่บอกไว้เมื่อคืน
เมื่อความรู้สึกของมาร์คลดลงจนสามารถแยกห่างจากกันได้อย่างเป็นอิสระ
จินยองก็ควรจะเพิ่ม และทำให้มันหยุดลดลงเสียที
มาร์คพึงใจ และขออนุญาตคิดว่ามันคือคำบอกรัก
“ฉันเป็นจินยองคนเดิม
สั่งให้นายเป็นมาร์คคนเดิมที่สนใจแต่เจ้านายคนนี้คนเดียว”
“ถ้างั้นก็….”
มาร์คยิ้ม
“ได้โปรดใช้ความรู้สึกของผม…ในจุดประสงค์ที่ถูกต้องสักทีนะครับ”
“My Boss …”
FIN
#iamjinmark
ได้โปรดให้อภัยหญิงชั่วคนนี้ด้วยค่ะ TT ป่วงเหลือเกิน อยากให้ทุกคนค่อยๆอ่าน ค่อยเดินตามทางไปนะคะ นี่เป็นเรื่องแรกที่เป็นจินมาร์คแบบยาวหน่อย แล้วก็แป็นแบบที่พยายามแหวกออกมาจากทางเดิม ที่คงไว้คือบุคคลิกของพี่จินกับพี่มาร์คค่า แต่ก็นะ จินมาร์คไอแอมก็ต้องมีลายเซ็นสักสองหน้าใช่ป่ะคะ 555555 /หลบขวด
ความคิดเห็น